Saturday, 7 June 2025
Meta

‘Meta’ ประกาศปลดพนักงานกว่า 10,000 ตำแหน่ง สนองเจตนารมณ์ Mark “ปีนี้บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่ผลกำไร”

เมื่อวานนี้ (14 มี.ค.66) World Maker รายงานว่า หลายสื่อรายงานว่า Meta หรือ Facebook เก่าจะปลดพนักงานเพิ่มอีกมากถึง -10,000 ตำแหน่งจากที่ปลดไปก่อนหน้านี้แล้ว -11,000 ตำแหน่ง !!! ทำให้ปลดพนักงานรวมกันภายในไม่กี่เดือนมานี้เป็น -21,000 ตำแหน่งข้าไปแล้ว ! หรือคิดเป็น -20% ของพนักงานทั้งหมดราว 80,000 คน

ข่าวนี้เกิดขึ้นหลังจากไม่กี่สัปดาห์มานี้ มีรายงานเบื้องต้นแล้วว่า Meta จะปลดพนักงานรอบ 2 อีกหลายคน แต่ไม่มีใครคิดว่าจะมากถึงขนาดนี้ !

อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น Facebook ดีดมากกว่า +5% คืนนี้ หลังจาก Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้งกล่าวว่าปีนี้บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่ผลกำไร! ซึ่งการปลดพนักงานออกอาจเป็นส่วนสำคัญที่จะลดค่าใช้จ่ายและทำให้ผลกำไรของบริษัทพุ่งสูงขึ้น (แม้ว่าจะดูเหมือนข่าวร้ายแต่สำหรับผู้ถือหุ้นอาจเป็นข่าวดี ?)

การปลดพนักงานของ Meta เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งทั่วโลกที่ไล่ออกกันยับ ๆ ในปีนี้ ! ซึ่งก็น่าติดตามต่อไปว่าการปลดพนักงานครั้งมหากาพย์จะส่งผลกระทบต่อตัวเลขเศรษฐกิจในอนาคตหรือไม่ ? 

📌 เพราะแม้ว่าจะมีการปลดไปในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ แต่ตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ยังคงแข็งแกร่งผิดคาด โดยเฉพาะตลาดแรงงานที่ดูตึงตัวจน FED ต้องประกาศขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุกต่อไป (ก่อนจะเกิดวิกฤต SVB ทำให้ตลาดเริ่มเปลี่ยนคาดการณ์)

ทั้งนี้ ดูเหมือนว่าหุ้นของบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่หลายแห่งจะเริ่มดีดตัวขึ้นเช่นกันหลังจากมีข่าว Lay off ออกมา เพราะนักลงทุนมองว่าจะส่งผลดีต่อกำไร แม้จะเป็นเรื่องแย่ต่อตัวเลขเศรษฐกิจก็ตาม

และการปลดพนักงานออกอาจช่วยเรื่องเงินเฟ้อได้ไม่มากก็น้อย ดังนั้นให้รอดูตัวเลข CPI ในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ? ขณะที่โดยรวมแล้วบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกน่าจะมีการปลดพนักงานรวมกันกว่า -100,000 คนเข้าไปแล้วในไตรมาสแรกปีนี้

Meta เตรียมเปิดบริการใหม่ จ่ายเงิน 429 บาทต่อเดือน รับเครื่องหมาย ‘Verified’ เพิ่มการมองเห็นมากยิ่งขึ้น


(29 มิ.ย. 66) Meta ผู้ให้บริการ Facebook เตรียมเปิดบริการยืนยันตัวแบบใหม่ Meta Verified โดยมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ได้ประกาศถึงบริการ Meta Verified มาตั้งแต่ช่วงกุมภาพันธ์ 2023 และเริ่มทดลองใช้ในออสเตรเลีย นิว ซีแลนด์ เป็นประเทศแรก ๆ ตามด้วยสหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา อินเดีย และเตรียมเปิดบริการเร็ว ๆ นี้ ในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา รวมถึงประเทศไทย ส่วนประเทศอื่น ๆ จะทยอยไปในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า 

ซึ่งล่าสุดในไทยได้เปิดให้จองคิวการยืนยันตัวตน หรือ Waiting List แล้ว สำหรับค่าบริการจะอยู่ที่เดือนละ 11.99 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 429 บาท เมื่อซื้อผ่านเว็บ และ 14.99 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 535 บาท เมื่อซื้อผ่านระบบปฏิบัติการ IOS และ Android

ผู้จ่ายเงินบริการ Meta Verified จะได้รับเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้าหลังชื่อบัญชีบน Facebook และ Instagram เพิ่มการมองเห็นให้กับโพสต์ ทำให้เพจเติบโตเร็วและมีผู้ติดตามเพิ่มมากขึ้นได้ง่ายกว่าบัญชีปกติ

บริการยืนยันตัวแบบใหม่ Meta Verified รับสิทธิพิเศษดังนี้

1.) ตรายืนยันตัวตน หรือ verified badge ว่าคุณคือตัวจริงและบัญชีของคุณได้รับการรับรองความถูกต้องด้วยรหัสที่ออกโดยรัฐบาล ป้องกันการแอบอ้าง
2.) การเพิ่มการมองเห็นบนแพลตฟอร์ม ทั้งจากการค้นหา ความเห็น และคำแนะนำ
3.) บริการช่วยเหลือสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง เมื่อเจ้าของเพจประสบปัญหาการใช้งาน

สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครใช้บริการยืนยันตัวตน Meta Verified ต้องผ่านเงื่อนไขดังต่อไปนี้

1.) ตรายืนยันตัวตน หรือ verified badge ว่าคุณคือตัวจริงและบัญชีของคุณได้รับการรับรองความถูกต้องด้วยรหัสที่ออกโดยรัฐบาล
2.) ช่วยป้องกันการถูกแอบอ้างบัญชีจากผู้ไม่ประสงค์ดี
3. ได้รับบริการช่วยเหลือสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง เมื่อเจ้าของเพจประสบปัญหาการใช้งาน
4.) เพิ่มการมองเห็นบนแพลตฟอร์ม ทั้งจากการค้นหา ความเห็น และคำแนะนำ
5.) ได้รับสติกเกอร์พิเศษสุด exclusive

อย่างไรก็ดี การขอ Meta Verified บัญชีนั้น ๆ จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขขั้นต่ำที่กำหนดไว้ เช่น ประวัติการโพสต์ก่อนหน้า และมีอายุอย่างน้อย 18 ปี

โดยวิธีการสมัคร ผู้สมัครจะต้องส่งบัตรประจำตัวยืนยันตัวตน ที่ตรงกับชื่อโปรไฟล์และรูปบน เฟซบุ๊ก หรือ อินสตาแกรมที่ใช้งานอยู่

บริการเมตา เวอริไฟด์ เป็นการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญของเมตา ท่ามกลางการแข่งขันอย่างดุเดือดในแพลตฟอร์มเพื่อนำเสนอเนื้อหาใหม่ ๆ ซึ่งบริการนี้อาจทำให้ผู้ใช้งานยอมจ่ายเงิน เพื่อแลกกับความปลอดภัย ไม่โดนแอบอ้าง และแลกกับการเข้าถึง เพื่อเพิ่มฐานคนติดตามที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
 

‘Twitter’ ขู่ฟ้อง ‘Meta’ อ้าง Threads ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ด้าน Elon บอก “การแข่งขันเป็นเรื่องปกติ แต่การโกงไม่ใช่”

(7 ก.ค. 66) หลังสร้างความฮือฮาด้วยยอดผู้ลงทะเบียนเข้าใช้งานวันแรกหลังเปิดตัวกว่า 30 ล้านคน Threads ของ Meta ก็ต้องเผชิญกับการตอบโต้จาก Twitter ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มคู่แข่งในโซเชียลมีเดีย หลังทนายยืนขู่ฟ้องฐานละเมิดความลับทางการค้า

‘Alex Spiro’ ทนายความของ Twitter เปิดเผยว่า ได้ยื่นหนังสือไปยัง ‘Mark Zuckerberg’ ซีอีโอของ Meta Platforms ว่าจะฟ้องร้องเกี่ยวกับแพลตฟอร์ม Threads หากไมยุติการละเมิดความลับทางการค้า

Meta ซึ่งเปิดตัว Threads ในวันพุธและมีผู้ลงชื่อสมัครใช้มากกว่า 30 ล้านคน ดูเหมือนจะสร้างความสั่นสะเทือนให้กับ Twitter ของ Elon Musk โดยใช้ประโยชน์จากผู้ใช้หลายพันล้านคนของ Instagram

ในจดหมายของเขา Spiro กล่าวหาว่า Meta ว่าจ้างอดีตพนักงาน Twitter ที่ “มีและยังคงเข้าถึงความลับทางการค้าของ Twitter และข้อมูลลับสูงอื่นๆ” เว็บไซต์ข่าว Semafor รายงานเป็นครั้งแรก

“Twitter ตั้งใจที่จะบังคับใช้สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเคร่งครัด และเรียกร้องให้ Meta ดำเนินการทันทีเพื่อหยุดใช้ความลับทางการค้าของ Twitter หรือข้อมูลที่เป็นความลับสูงอื่นๆ” Spiro เขียนในจดหมาย

เริ่มแล้ว Twitter ขู่ฟ้อง Meta ฐาน Threads ใช้ความลับทางการค้า

‘Andy Stone’ โฆษกของ Meta กล่าวว่า “ไม่มีใครในทีมวิศวกรของ Threads ที่เป็นอดีตพนักงานของ Twitter และนั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ”

ด้านอดีตพนักงานอาวุโสของ Twitter บอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่าพวกเขาไม่ทราบว่ามีอดีตพนักงานที่ทำงานใน Threads หรือบุคลากรอาวุโสคนใดที่เข้าทำงานที่ Meta เลย

ในขณะเดียวกัน Musk เจ้าของ Twitter กล่าวว่า “การแข่งขันเป็นเรื่องปกติ แต่การโกงไม่ใช่” เพื่อตอบกลับทวีตที่อ้างถึงข่าวดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญารวมถึง Mark Lemley ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายของ Stanford กล่าวว่าหากจะมีการฟ้องร้อง Twitter ต้องมีหลักฐานและข้อเท็จจริงมากกว่าที่ระบุมา

“การว่าจ้างอดีตพนักงานของ Twitter (ซึ่ง Twitter ปลดออกหรือถูกไล่ออก) และข้อเท็จจริงที่ว่า Facebook สร้างเว็บไซต์ที่ค่อนข้างคล้ายกันนั้นไม่น่าจะสนับสนุนการอ้างสิทธิ์ในความลับทางการค้า” เขากล่าว

ด้าน Jeanne Fromer ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก กล่าวว่า บริษัทที่กล่าวหาว่าขโมยความลับทางการค้าต้องแสดงให้เห็นว่าพวกเขาใช้ความพยายามอย่างสมเหตุสมผลในการปกป้องความลับของบริษัท กรณีต่างๆ มักจะวนเวียนอยู่กับระบบรักษาความปลอดภัยที่ถูกหลีกเลี่ยงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

'มาเลเซีย' ยกฟ้อง ‘เฟซบุ๊ก’ กรณีไม่ปิดกั้นเนื้อหาสร้างความแตกแยก หลัง META รับปากจะปิดกั้นเนื้อหาโจมตี 'ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์' ให้

(31 ก.ค. 66) ช่องยูทูบ Vihok News ได้ออกมาเปิดเผยถึงประเด็นที่กำลังเป็นที่น่าสนใจอยู่ในขณะนี้ สำหรับ ‘มาเลเซีย’ ที่เตรียมยื่นฟ้อง ‘เมตา’ กรณีไม่ปิดกั้นเนื้อหาสร้างความแตกแยก ซึ่งล่าสุดทางมาเลเซียได้กลับลำและยืนยันที่จะไม่ฟ้องแล้ว หลังเมตารับปากจะปิดกั้นเนื้อหาอันตรายเหล่านี้ โดยระบุว่า…

‘มาเลเซีย’ กลับลำไม่ฟ้อง ‘เมตา’ หลังรับปากจะทําการปิดกั้นเนื้อหาที่เป็นอันตราย และสร้างความแตกแยก ทั้งนี้ รัฐบาลของมาเลเซียอาจทำการยกเลิกแผนการดําเนินคดีกับเมตา ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก หลังได้รับความร่วมมือเชิงบวกจากบริษัทเกี่ยวกับการปิดกั้นเนื้อหาที่เป็นอันตรายและสร้างความแตกแยกในสังคม

เมื่อเดือนที่แล้วคณะกรรมาธิการสื่อสารและสื่อสารสารสนเทศของมาเลเซีย ได้ประกาศจะยื่นฟ้องเมตา โทษฐานไม่ดําเนินการปิดกั้นคอมเมนต์ที่ไม่พึงประสงค์ ที่เกี่ยวกับเชื้อชาติ ศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ และดูหมิ่นเหยียดหยามปลอมแปลงเป็นบุคคลอื่น รวมไปถึงการพนันออนไลน์และโฆษณาล่อลวงต่างๆ

อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีสื่อสารของมาเลเซียได้ออกแถลงการณ์ว่า ทางเมตาได้ให้คํามั่นสัญญาต่อหน่วยงานกํากับดูแลตํารวจมาเลเซีย จะเร่งดําเนินการปิดกั้นสิ่งเหล่านี้ สำหรับเฟซบุ๊กถือว่าเป็นแพลตฟอร์มที่มีจํานวนผู้ใช้มากที่สุดในมาเลเซีย โดยมีการประเมินว่า 60% ของประชากร 33 ล้านคน มีบัญชีเฟซบุ๊กอย่างน้อย 1 บัญชี

สำหรับประเด็นเชื้อชาติและศาสนา นับเป็นประเด็นที่อ่อนไหวอย่างมากในมาเลเซีย เพราะมีประชากรส่วนใหญ่เป็น ‘ชาวมลายู’ และยังคงมีสัดส่วนของ ‘ชาวจีน’ และ ‘เชื้อสายอินเดีย’ อยู่ด้วยไม่น้อย ส่วนการแสดงความเห็นของสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเรื่องที่อ่อนไหวด้วยเช่นกัน โดยผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบอาจถูกดําเนินคดีฐานยุยงปลุกปั่นอีกด้วย

Trillion Dollar Club Companies ของโลก มูลค่าสูงกว่าตลาดหุ้นไทย - GDP ประเทศยักษ์ใหญ่

จากราคาหุ้น Nvidia บริษัทเทคโนโลยีสัญชาติอเมริกันที่มีชื่อเสียงในด้านการออกแบบและผลิตหน่วยประมวลผลกราฟฟิก (GPUs) ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในคอมพิวเตอร์สำหรับเล่นเกมและเวิร์กสเตชันระดับมืออาชีพ ที่ยังคงร้อนแรงและเดินหน้าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบัน Nvidia มีมูลค่าตลาด (Market Cap) เบียดและผลัดกันแซงหน้าหุ้นพี่ใหญ่อย่าง Microsoft มาแบบชนิดไม่มีใครยอมใคร โดยที่ทั้งสองบริษัทเป็นบริษัทที่ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดที่สูงกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (3 Trillion Dollar) ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ

ซึ่งในสหรัฐฯ เองจะมีการจัดอันดับบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงเกินกว่า 1 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์ขึ้นไป โดยไม่จำเป็นต้องเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเท่านั้นนะคะ แต่เพียงแค่บริษัทนอกตลาดหุ้นจะถูกนำมาประเมินมูลค่าได้ยากกว่าบริษัทในตลาดที่จดทะเบียนค่ะ 

แล้ว 1 ล้านล้านดอลลาร์ใหญ่ขนาดไหน? ถ้าเทียบกับมูลค่าตลาดหุ้นไทย 

ณ ปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าอยู่ที่ 4 แสนกว่าล้านเหรียญเองค่ะ โดยบริษัทกลุ่มนี้ก็จะมีชื่อเรียกเฉพาะค่ะ เราจะเรียกบริษัทกลุ่มนี้ว่าเป็นบริษัทในกลุ่ม Trillion Dollar Club ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดบริษัทในคลับนี้มีด้วยกันอยู่ 6 บริษัทซึ่งทั้งหมดเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นค่ะ โดยทั้ง 6 บริษัทประกอบไปด้วย...

1. Apple (AAPL)
2. Microsoft (MSFT)
3. Alphabet (GOOG)
4. Amazon (AMZN)
5. Nvidia (NVDA) 
และ 6. Meta (META)

ก่อนหน้านี้ก็มีบริษัทหุ้นผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla (TSLA) และบริษัทผลิตน้ำมันสัญชาติซาอุดีอาระเบียอย่าง Saudi Aramco (2222) ที่เคยเข้ามา แต่ก็ถูกนำออกไปตอนที่มูลค่าตลาดของบริษัทพวกนั้นลดลงค่ะ โดยบริษัทแรกที่เข้าในคลับก็คือ AAPL โดย AAPL เข้ามาในคลับตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2018 และจนถึงทุกวันนี้ก็ไม่เคยออกจากคลับอีกเลยค่ะ 

ถ้าเทียบขนาดของ AAPL ก็เทียบได้เท่า ๆ กับ GDP ของแคนาดา และ ออสเตรเลียเลยทีเดียวค่ะ ส่วน Nvidia ที่กำลังร้อนแรงเข้ามาร่วมคลับในตอนเดือนพฤษภาคม 2023 เพราะตอนนั้นมูลค่าตลาดโตขึ้นมาถึง 200% เลยค่ะ 

จริง ๆ แล้วบริษัทที่แตะ 1 ล้านล้านเหรียญแห่งแรกของโลก คือบริษัทสัญชาติจีนอย่าง Petro China ซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ค่ะ โดยเข้ามาแตะในกลุ่ม Trillion Club ในวันแรกของการซื้อขายในช่วงพฤศจิกายน 2007 ค่ะแต่ก็อยู่ได้ไม่นานก็หลุดไปค่ะ 

อย่างไรก็ตามบริษัทในคลับนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ โดยจะสลับเปลี่ยนหมนุนเวียนเข้าออกตามมูลค่าตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปค่ะ 

‘นายกฯ มาเลย์’ ควันออกหู!! ‘เฟซบุ๊ก’ ลบโพสต์ไว้อาลัยผู้นำฮามาส ประณาม ‘Meta’ เลิกเป็นเครื่องมือให้ ‘ไซออนิสต์อิสราเอล’ เสียที

เมื่อวานนี้ (1 ส.ค.67) นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย ออกมาประณาม เมตา แพลตฟอร์มส (Meta Platforms) บริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก (Facebook) อย่างดุเดือดว่าทำตัว ‘ขี้ขลาดตาขาว’ หลังถูกเฟซบุ๊กลบโพสต์ที่ตนเองแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุลอบสังหาร อิสมาอีล ฮานิเยห์ ผู้นำกลุ่มฮามาส

มาเลเซียซึ่งมีพลเมืองส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามถือเป็นชาติที่แสดงจุดยืนสนับสนุนปาเลสไตน์อย่างแข็งขันเรื่อยมา และนายกฯ อันวาร์ ก็ได้โพสต์คลิปวิดีโอบันทึกการสนทนาระหว่างตนกับเจ้าหน้าที่ฮามาสคนหนึ่ง เพื่อแสดงความโศกเศร้าอาลัยต่อการจากไปของฮานิเยห์ ก่อนที่โพสต์ดังกล่าวจะถูกเฟซบุ๊กลบออกไป

เหตุลอบสังหารอุกอาจครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างที่ ฮานิเยห์ เดินทางไปยังกรุงเตหะรานของอิหร่าน เพื่อเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของประธานาธิบดี มาซูด เปเซสเคียน ผู้นำอิหร่านคนใหม่

หลายฝ่ายมองว่า นี่คือการเติมเชื้อไฟให้กับความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่รุนแรงอยู่แล้ว และอาจทำให้การสู้รบในกาซาลุกลามขยายวงกว้างจนกลายเป็นสงครามระดับภูมิภาค

อันวาร์ ซึ่งมีโอกาสได้พบ ฮานิเยห์ ที่กาตาร์เมื่อเดือน พ.ค. ระบุว่า ตนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำทางการเมืองของฮามาส แม้มาเลเซียจะไม่ได้เข้าไปมีส่วนสนับสนุนฮามาสในด้านการทหารก็ตาม

“ขอให้นี่เป็นการส่งสารที่ชัดเจนแจ่มแจ้งถึงเมตา : หยุดแสดงอาการขี้ขลาดตาขาวแบบนี้เสียที และเลิกทำตัวเป็นเครื่องมือให้กับระบอบไซออนิสต์อิสราเอล!” อันวาร์ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก

ทั้งนี้ เมตา ยังไม่ออกมาตอบคำถามสื่อมวลชนในวันที่ 1 ส.ค.67 ขณะที่กระทรวงสื่อสารของมาเลเซียระบุว่า จะมีการเปิดแถลงข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลมาเลเซียเคยประท้วงเมตามาแล้วหลายครั้งเรื่องการปิดกั้นคอนเทนต์ต่าง ๆ รวมถึงข่าวที่ อันวาร์ ไปพบกับ ฮานิเยห์ ครั้งสุดท้าย ซึ่งต่อมาทางเมตาก็ได้ยอมปลดบล็อกโพสต์ดังกล่าวให้

โดย เมตา ออกมาอธิบายในตอนนั้นว่า ‘ไม่ได้มีเจตนา’ ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นบนเฟซบุ๊ก และก็ไม่เคยใช้มาตรการจำกัดเนื้อหาที่สนับสนุนชาวปาเลสไตน์ด้วย

อย่างไรก็ตาม เมตา ถือว่าฮามาสซึ่งเป็นขบวนการอิสลามิสต์ที่ปกครองฉนวนกาซาคือหนึ่งใน ‘องค์กรอันตราย’ (dangerous organization) และห้ามการเผยแพร่เนื้อหายกย่องเชิดชูคนกลุ่มนี้ นอกจากนี้เมตายังใช้ระบบตรวจจับอัตโนมัติร่วมกับทรัพยากรบุคคลในการลบโพสต์หรือติดป้ายคำเตือนภาพกราฟิกต่าง ๆ ที่เข้าข่ายผิดกฎของแพลตฟอร์มด้วย

รัฐบาลมาเลเซียประกาศจุดยืนสนับสนุนทางออกแบบ 2 รัฐควบคู่ (two-state solution) เพื่อสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์

ซักเคอร์เบิร์กรอดคดี!! ฐานทำเยาวชนเสพติดโซเชียลมีเดีย จ่อเอาผิดบริษัท Facebook-Instagram แทน

(11 พ.ย.67) ผู้พิพากษาของรัฐบาลกลางได้ปฏิเสธคำร้องอีกครั้งที่พยายามให้มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กต้องรับผิดชอบเป็นรายบุคคลในคดีความกว่า 20 คดี ซึ่งกล่าวหา Meta Platforms Inc. และบริษัทโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ว่ามีส่วนในการเสพติดสื่อของเด็กและเยาวชน

ผู้พิพากษาอีวอนน์ กอนซาเลซ โรเจอร์ส แห่งศาลแขวงสหรัฐ ซึ่งดูแลคดีนี้ได้ตัดสินให้ซีอีโอของ Meta อยู่ในข้างเดียว โดยเห็นว่าคำร้องที่แก้ไขยังไม่เพียงพอที่จะดำเนินคดีต่อไป โดยคำตัดสินนี้ยกเลิกการฟ้องร้องซักเคอร์เบิร์กในฐานะจำเลยโดยไม่กระทบต่อข้อกล่าวหาต่อ Meta ในฐานะบริษัท

คดีความที่ยื่นในนามของเยาวชนกล่าวหาว่า พนักงานของ Meta เคยเตือนซักเคอร์เบิร์กหลายครั้งว่า Instagram และ Facebook ไม่ปลอดภัยสำหรับเด็ก แต่เขาเพิกเฉยต่อคำเตือนดังกล่าวและเลือกที่จะไม่เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ

การถือให้ซีอีโอของบริษัทขนาดใหญ่รับผิดชอบในทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เนื่องจากกฎหมายขององค์กรมีการคุ้มครองผู้บริหารจากความรับผิดชอบโดยตรง

"แม้ว่าในอนาคตการสืบพยานอาจเผยให้เห็นการมีส่วนร่วมและการสั่งการของซักเคอร์เบิร์กในเรื่องการปิดบังข้อมูลที่เป็นการหลอกลวงของ Meta แต่ข้อกล่าวหาที่มีอยู่ในขณะนี้ยังไม่เพียงพอต่อมาตรฐานการรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่บริษัท" โรเจอร์สกล่าวในคำสั่งของเธอ

คดีที่ระบุชื่อซักเคอร์เบิร์กเป็นเพียงส่วนน้อยในคดีฟ้องร้องกว่า 1,000 คดีในศาลรัฐบาลกลางและศาลรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยครอบครัวและเขตการศึกษาได้ยื่นฟ้อง Meta และบริษัทอื่นๆ เช่น Google ของ Alphabet, TikTok ของ ByteDance และ Snap เจ้าของแพลตฟอร์ม Snapchat โดยโรเจอร์สและผู้พิพากษาแห่งรัฐลอสแอนเจลิสได้อนุญาตให้บางข้อกล่าวหาดำเนินการได้ ขณะที่ปฏิเสธบางข้อกล่าวหาไป

แจกโบนัส 1.7 แสน ดึงครีเอเตอร์ทิ้ง 'TikTok' มาร่วมเฟซบุ๊ก-อินสตาแกรม

เมื่อวันที่ (21 ม.ค. 68) เมตา (Meta) ประกาศแผนการแจกโบนัสด้วยเป้าหมายดึงดูดใจนักสร้างเนื้อหาออนไลน์ ซึ่งเรียกกันว่า “ครีเอเตอร์” (creator)  จากติ๊กต็อก (TikTok)

รายงานระบุว่าครีเอเตอร์จากติ๊กต็อกที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์จะได้รับโบนัสสูงถึง 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.7 แสนบาท) ในระยะเวลา 3 เดือน สำหรับการโพสต์รีล (Reel) หรือคลิปวิดีโอสั้นบนเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม

นอกจากนั้นครีเอเตอร์จากติ๊กต็อกเหล่านี้ยังจะเข้าถึงโปรแกรมสร้างรายได้จากคอนเทนต์บนเฟซบุ๊ก (Facebook Content Monetization) ซึ่งช่วยให้มีรายได้จากการโพสต์วิดีโอ รูปภาพ และข้อความบนเฟซบุ๊ก

ขณะเดียวกันเมตาจะมอบข้อเสนอด้านเนื้อหาแก่ครีเอเตอร์จากติ๊กต็อกบางส่วนเพื่อช่วยพวกเขาเพิ่มจำนวนผู้ชมบนอินสตาแกรมและเฟซบุ๊ก ทั้งยังจะปรับปรุงรูปแบบของรีลให้ดึงดูดใจครีเอเตอร์จากติ๊กต็อกมากขึ้นด้วย

อนึ่ง เมื่อวันจันทร์ (20 ม.ค.) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อชะลอการแบนติ๊กต็อกเป็นระยะเวลา 75 วัน และแจ้งกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ ไม่ให้บังคับใช้บทลงโทษของการแบน

อย่างไรก็ดี แอปพลิเคชันติ๊กต็อกยังคงไม่ได้กลับมาอยู่ในร้านค้าแอปพลิเคชันของแอปเปิล (Apple) และกูเกิล (Google)

บัญชีเมตา 'ฟอลโลว์' ทรัมป์เอง ทั้งที่เคยอันฟอลไปแล้วหลายรอบ

เมื่อวานนี้ (22 ม.ค.68) ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียของเมตา (Meta) บางรายเปิดเผยว่า บัญชีของพวกเขาได้กลับไปติดตามโปรไฟล์ของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์, รองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง เมลาเนีย ทรัมป์ อีกครั้ง หลังจากที่ได้เลิกติดตามไปแล้ว  

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อมีการเปลี่ยนผ่านคณะบริหาร บัญชีโซเชียลมีเดียอย่างเป็นทางการของทำเนียบขาวจะถูกส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ชุดใหม่ที่ได้รับเลือก ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในปี 2560 และ 2564 เมื่อทรัมป์เข้ารับตำแหน่งต่อจากบารัค โอบามา และโจ ไบเดนเข้ามารับตำแหน่งต่อจากทรัมป์  

อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานบางรายระบุว่า แม้พวกเขาจะเลิกติดตามบัญชีของทรัมป์, รองประธานาธิบดี และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งไปตั้งแต่วันจันทร์ที่ 20 มกราคม แต่กลับพบว่าบัญชีของตัวเองกลับไปติดตามบัญชีเหล่านั้นอีกครั้งโดยไม่ตั้งใจ บางคนต้องกดเลิกติดตามซ้ำหลายครั้ง หรือถึงขั้นบล็อกบัญชีเหล่านั้น  

แอนนา สปริงเกอร์ ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ผ่านเธรดส์ (Threads) ของเมตาว่า “ฉันและคนอื่น ๆ ได้เลิกติดตามทรัมป์และแวนซ์เมื่อวันจันทร์ แต่ต่อมาพบว่าบัญชีของตัวเองกลับไปติดตามพวกเขาอีกครั้ง ไม่แน่ใจว่ามันเป็นความผิดพลาดของระบบหรือเกิดจากความตั้งใจ แต่ที่แน่ ๆ คือมันเกิดขึ้นจริง”  

จนถึงขณะนี้ เมตายังไม่ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว ขณะเดียวกัน ทำเนียบขาวก็ไม่ได้ให้ความเห็นใด ๆ เช่นกัน  

เดมี โลวาโต นักร้องชื่อดังจากสหรัฐฯ โพสต์สตอรีบนอินสตาแกรมที่มีผู้ติดตามกว่า 150 ล้านคน เผยว่าเธอพบปัญหาเดียวกัน โดยระบุว่า “วันนี้ฉันเลิกติดตามหมอนี่มา 2 ครั้งแล้ว” พร้อมโพสต์ภาพที่บัญชีของเธอติดตามรองประธานาธิบดีแวนซ์  

ผู้ใช้งานคนอื่น ๆ ยังรายงานเพิ่มเติมว่า พวกเขาพบว่าบัญชีของตัวเองติดตามเมลาเนีย ทรัมป์โดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งทำให้เกิดคำถามถึงความผิดพลาดของระบบหรือการเปลี่ยนแปลงที่ไม่โปร่งใสในระบบของเมตา

สั่ง Meta ควัก 25 ล้านดอลลาร์ชดใช้ทรัมป์ กรณีปิดบัญชีจากเหตุจลาจลรัฐสภา

(30 ม.ค. 68) บริษัท Meta ยินยอมที่จะจ่าย 25 ล้านดอลลาร์ให้กับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อยุติคดีความที่ทรัมป์ฟ้องร้องบริษัท หลังจากที่แพลตฟอร์มสั่งระงับบัญชีของทรัมป์หลังเหตุการณ์จลาจลที่รัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 รายงานข่าวดังกล่าวถูกเปิดเผยโดย  The Wall Street Journal และได้รับการยืนยันโดยโฆษกของ Meta 

จากรายงานของ The Wall Street Journal ระบุว่า เงินจำนวน 22 ล้านดอลลาร์ที่ Meta จ่ายให้ทรัมป์นี้จะถูกนำไปสมทบทุนสร้างหอสมุดประธานาธิบดี ส่วนที่เหลือจะถูกใช้จ่ายเป็นค่าธรรมเนียมทางกฎหมายและชำระให้กับโจทก์รายอื่น ๆ ที่มีชื่อในคดีดังกล่าว ทั้งนี้ ทำเนียบขาวยังไม่ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ 

การฟ้องร้อง Facebook ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้บริษัทแม่ Meta เป็นหนึ่งในหลายคดีที่ทรัมป์ยื่นฟ้อง สืบเนื่องหลังเหตุการณ์วันที่ 6 มกราคม ซึ่งนอกจาก Facebook แล้ว ทรัมป์ยังยื่นฟ้อง YouTube และ Twitter (ปัจจุบันคือ X) รวมถึงผู้บริหารของบริษัทเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม คดีฟ้องร้อง Twitter ถูกผู้พิพากษาของรัฐบาลกลางยกฟ้องไปแล้ว ขณะที่คดีฟ้องร้อง Google ถูกระงับคดีชั่วคราวไปในปี 2023 แต่ยังมีโอกาสที่จะนำกลับมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง

หลังเหตุการณ์จลาจลที่รัฐสภาสหรัฐฯ Facebook ระงับบัญชีของทรัมป์ เนื่องจากเขาใช้แพลตฟอร์มเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการเลือกตั้งและอ้างว่าตนเป็นผู้ชนะในปี 2020 การตัดสินใจดังกล่าวถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายของ Facebook ซึ่งก่อนหน้านี้มักปล่อยให้ผู้นำทางการเมืองใช้งานแพลตฟอร์มได้โดยไม่มีการควบคุมเข้มงวด แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์รุนแรง บริษัทได้ปรับปรุงกฎระเบียบใหม่เพื่อให้สามารถระงับบัญชีบุคคลสำคัญได้ในกรณี "พิเศษ" เช่น ภาวะความไม่สงบและความรุนแรงทางการเมือง

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Facebook ในเวลานั้นกล่าวว่า "เราเชื่อว่าความเสี่ยงจากการปล่อยให้ประธานาธิบดีใช้งานแพลตฟอร์มของเราต่อไปในช่วงเวลานี้นั้นสูงเกินไป" บริษัทจึงตัดสินใจลงโทษทรัมป์ขั้นสูงสุดตามกฎใหม่ โดยระงับบัญชี Facebook และ Instagram ของเขาแบบไม่มีกำหนด

"พวกเขาไม่ควรได้รับอนุญาตให้ทำแบบนี้ พวกเขากำลังเซ็นเซอร์และปิดปากเรา และสุดท้ายแล้ว เราจะชนะ ประเทศของเราไม่สามารถทนรับการกดขี่แบบนี้ได้อีกต่อไป!" ทรัมป์กล่าวในขณะนั้น และเสริมว่า "ครั้งต่อไปที่ผมอยู่ในทำเนียบขาว จะไม่มีมื้อค่ำที่ซักเคอร์เบิร์กและภรรยาของเขาร้องขออีกต่อไป ทุกอย่างจะเป็นเรื่องธุรกิจเท่านั้น!"

ไม่กี่เดือนต่อมา Facebook ปรับลดระยะเวลาการระงับบัญชีของทรัมป์เป็นสองปี และในปี 2023 เมื่อครบกำหนดสองปี บริษัทได้คืนสิทธิ์ให้เขากลับมาใช้งานแพลตฟอร์ม เช่นเดียวกับ Twitter และ YouTube ที่ยกเลิกการแบนบัญชีของทรัมป์

ล่าสุด ซักเคอร์เบิร์กดูเหมือนจะกลับมาเป็นที่โปรดปรานของทรัมป์อีกครั้ง โดยมีรายงานว่าเขาพบกับทรัมป์หลายครั้งในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และนั่งแถวหน้าระหว่างพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดี ซักเคอร์เบิร์กยังเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงระดับหรูให้กับทรัมป์ในช่วงเฉลิมฉลองวันเข้ารับตำแหน่ง

การเจรจายุติคดีเริ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายน เมื่อซักเคอร์เบิร์กไปรับประทานอาหารค่ำกับทรัมป์ที่บ้านพัก Mar-a-Lago ในฟลอริดา โดย The Wall Street Journal รายงานว่าทรัมป์ระบุว่าคดีความต้องถูกจัดการให้เรียบร้อยก่อนที่ซักเคอร์เบิร์กจะสามารถ "เข้าร่วมกลุ่มของเขา" ได้ ต่อมา ซักเคอร์เบิร์กกลับไปที่ Mar-a-Lago ในช่วงต้นเดือนมกราคมเพื่อการไกล่เกลี่ยที่กินเวลาทั้งวัน

หลังจากเดินทางไปฟลอริดาไม่นาน ซักเคอร์เบิร์กก็ประกาศนโยบายใหม่ของ Meta โดยระบุว่าบริษัทจะยกเลิกข้อจำกัดบางอย่างเกี่ยวกับเนื้อหาทางการเมือง และอนุญาตให้มีการแสดงความคิดเห็นมากขึ้น โดยสะท้อนคำพูดของทรัมป์ว่า "การเซ็นเซอร์ออนไลน์มีมากเกินไปแล้ว ถึงเวลาที่เราจะกลับไปสู่รากฐานของเรา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top