Tuesday, 10 June 2025
Lite

14 มกราคม “วันทรัพยากรป่าไม้แห่งชาติ” (National forest Conservation Day)

ป่าไม้เป็นทรัพยากรที่สำคัญของชาติ ให้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่ประชาชน ช่วยรักษาความสมดุลของภาวะแวดล้อมและป้องกันภัยธรรมชาติซึ่งนำความเสียหายอย่างร้ายแรง แก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน สาเหตุที่ทำให้เกิดภัยธรรมชาติส่วนหนึ่งมาจากการลักลอบตัดไม้ ทำลายป่าจนทำให้เกิดความเสียหายต่อสภาพป่าไม้ของชาติ ทำให้เกิดความไม่สมดุลทางภาวะแวดล้อม จนถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน

วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2532 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย ในพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 และพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 พระราชกำหนดดังกล่าวได้ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มีอำนาจสั่งการให้สัมปทานป่าไม้สิ้นสุดลง ทั้งแปลงได้ 
 

พิธีเปิด “อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี” โดยได้ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้ออกแบบร่วมกับพระเทวาภินิมมิต ประติมากรเลื่องชื่อในสมัยนั้น

15 มกราคม พ.ศ. 2477 พิธีเปิดอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ซึ่งข้าราชการ และประชาชนชาวนครราชสีมาได้ร่วมกันสร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิของ ย่าโม โดยได้ ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้ออกแบบร่วมกับพระเทวาภินิมมิต ประติมากรเลื่องชื่อในสมัยนั้น นับเป็นอนุสาวรีย์ของสามัญชนสตรีคนแรกของประเทศ 

เมื่อท้าวสุรนารี ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อปีพุทธศักราช 2395 อายุ 81 ปี เจ้าพระยามหิศราธิบดีผู้เป็นสวามี ได้ฌาปนกิจศพ และสร้างเจดีย์บรรจุอัฐิไว้ ณ วัดศาลาลอยซึ่งท้าวสุรนารีได้สร้างไว้ เมื่อเวลาผ่านไปเจดีย์ชำรุดลง พลตรีเจ้าพระยาสิงหเสนี (สอาด สิงหเสนี) ครั้นเมื่อยังเป็น พระยาประสิทธิศัลการ ข้าหลวงเทศาภิบาล ผู้สำเร็จราชการเมืองนครราชสีมา

องคมนตรี และรัฐมนตรี ได้บริจาคทรัพย์สร้างกู่ขนาดเล็ก บรรจุพระอัฐิท้าวสุรนารีขี้นใหม่ที่วัดกลาง (วัดพระนารายณ์มหาราช) สร้างเสร็จเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ร.ศ. 118 (พ.ศ. 2442) ต่อมากู่นั้นได้ทรุดโทรมลงมาอีก อีกทั้งยังอยู่ในที่แคบ ไม่สมเกียรติ พระยากำธรพายัพทิศ (ดิส อินทรโสฬส) ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นายพันเอกพระเริงรุกปัจจามิตร (ทอง รักสงบ) ผู้บังคับการมณฑลทหารบกที่ 5 พร้อมด้วยข้าราชการ และประชาชนชาวนครราชสีมาได้พร้อมใจกันสร้างอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีด้วยสัมฤทธิ์ ซึ่งทางกรมศิลปากรได้มอบให้ ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้ออกแบบร่วมกับ พระเทวาภินิมมิต (ฉาย เทียมศิลปไชย) ประติมากรเลื่องชื่อในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม พ.ศ. 2510 

ไอเดียสุดเจ๋ง! โหลใส่น้ำผึ้งกินได้ ทำจากขี้ผึ้ง ย่อยสลายง่าย ดีต่อสิ่งแวดล้อม

แบรนด์ Bee Loop ออกไอเดียบรรจุภัณฑ์ใส่น้ำผึ้งจากขี้ผึ้ง ทานได้จริงแถมยังฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ด้วย

บรรจุภัณฑ์ดีไซน์ใหม่จากแบรนด์ Bee Loop ทำจากวัสดุขี้ผึ้ง ซึ่งบรรจุภัณฑ์นี้ใช้วัสดุ 2 อย่าง คือวัสดุที่ผึ้งงานผลิตจากต่อมไขผึ้ง เพื่อใช้สร้างและซ่อมแซมรวงผึ้ง และเชือกลินินตรงฝาสำหรับเปิดฝาบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์นี้นำมาทดแทนตัวเดิมนั้นก็คือแก้ว ทาง Bee Loop เลยปรับเปลี่ยนมาใช้วัสดุนี้แทน เก็บน้ำผึ้งใส่ลงขี้ผึ้งของแท้ !

แถมบรรจุภัณฑ์นี้ยังสามารถรับประทานได้จริง โดยตัวขี้ผึ้งสามารถรับประทานได้เลย และตัวบรรจุภัณฑ์เองยังสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียไวรัส สามารถเก็บน้ำผึ้งได้อีกนาน ไม่เสียรสชาติแน่นอน

118 ปี กำเนิด ‘โรงเรียนช่างไหม’ โดยกระทรวงเกษตราธิการ ซึ่งพัฒนาเป็น 'มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์' ในปัจจุบัน

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งแรกของประเทศไทยที่เปิดสอนหลักสูตรทางด้านการเกษตร ก่อตั้งขึ้นเป็นลำดับที่ 3 ของประเทศ แรกเริ่มเป็น ‘โรงเรียนช่างไหม’ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2447 โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม องค์อธิบดีกรมช่างไหม ในกระทรวงเกษตราธิการ ได้ทรงจัดตั้งโรงเรียนช่างไหมขึ้น ณ ท้องที่ตำบล ทุ่งศาลาแดง กรุงเทพมหานคร ในบริเวณเดียวกันกับสวนหม่อนและสถานีทดลองเลี้ยงไหม 

โดยจัดการศึกษาหลักสูตร 2 ปี สอนเกี่ยวกับวิชาการ เลี้ยงไหมโดยเฉพาะ ต่อมาใน พ.ศ. 2449 ได้ขยายหลักสูตรเป็น 3 ปี โดยเพิ่มวิชาการเพาะปลูกพืชอื่นๆ เข้าในหลักสูตรตลอดจนได้เริ่มสอนวิชาสัตวแพทย์ด้วยและได้เปลี่ยนชื่อโรงเรียน เป็นโรงเรียนวิชาการเพาะปลูกต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนการเพาะปลูก 

โดยในปี พ.ศ. 2451 กระทรวงเกษตราธิการ ได้รวมโรงเรียนที่อยู่ในสังกัด 3 โรงเรียนคือ โรงเรียนแผนที่ โรงเรียนกรมคลอง และโรงเรียนวิชาการเพาะปลูก เป็นโรงเรียนเดียวกัน เพื่อผลิตคนเข้ารับราชการในกรมกองต่างๆ ของกระทรวงเกษตราธิการ โดยใช้ชื่อโรงเรียนว่าโรงเรียนกระทรวงเกษตราธิการ และย้ายสถานที่ตั้งมารวมกัน ณ พระราชวังสระปทุม พร้อมกับได้ให้เรียบเรียงหลักสูตรใหม่ซึ่งถือได้ว่าเป็นหลักสูตรระดับอุดมศึกษาวิชาการเกษตรศาสตร์ หลักสูตรแรกของประเทศไทย

‘น้องเฟิร์น’ สาวน้อยออทิสติกหัวใจแกร่ง ขอเป็นตัวแทนคนพิการ บนเวทีนางสาวไทย

สร้างปรากฏการณ์บนเวทีการประกวดนางสาวไทยเมื่อ “เฟิร์น พรนภาพรรณ” สาวน้อยออทิสติกถึงตัวจะพิการแต่ใจสู้ขอลงประกวดสักครั้งในชีวิต ! 

เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2565 ที่กองประกวดนางสาวไทยประจำปี 2565 ได้มีการจัดรอบคัดเลือกเพื่อเฟ้นหานางสาวไทยในปีนี้ มีสาวน้อยคนหนึ่งได้สร้างความประทับใจในรอบคัดเลือกนี้อย่างมาก 

นั่นคือ “เฟิร์น พรนภาพรรณ สังวาลทอง” สาวน้อยวัย 21 ปี จากคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาไทย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้พิการออทิสติก ได้เข้ามาลงประกวดชิงมงกุฎในครั้งนี้ด้วย ซึ่งเฟิร์นนั้นเป็นออทิสติก ประเภท A TYPE ลักษณะเหมือนคนปกติทุกอย่าง แต่จะมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร การทำความเข้าใจเรื่องการตีความ รวมไปถึงการเข้าสังคม

มนุษย์ไร้หัวใจคนแรกของโลก ดำรงชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากชีพจร

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาทางการแพทย์สมัยใหม่ได้มอบสิ่งวิเศษให้กับเรามากมายไม่ว่าจะเป็นวัคซีนป้องกันโรคระบาดหรือแม้แต่วิธีรักษาโรคมะเร็งที่แสนจะเหลือเชื่อ

เมื่อย้อนกลับไปเมื่อปีค.ศ. 2011 สองนายแพทย์จากสถาบันหัวใจเท็กซัสได้คิดค้นหัวใจเทียมที่เป็นเครื่องสามารถทำให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ในโดยปราศจากอวัยวะที่สำคัญมากที่สุดของร่างกาย

ดร.บิลลี่ คอร์น และ ดร.บูส ฟาซิเออ ได้คิดค้นเครื่องจักรที่สามารถสูบฉีดเลือดไปทั่วร่างกายได้สำเร็จ เขาได้เริ่มใช้มันครั้งแรกกับลูกวัวอายุ 8 เดือน โดยพวกเขาได้ถอดหัวใจของมันออกมาหลังจากนั้นก็ได้ใช้เครื่องจักรที่มีลักษณะคล้ายหอยโข่งสองอันประกบกันเข้าไปแทนที่แทนหัวใจเดิมและในที่สุดพวกเขาก็สามารถชุบชีวิตลูกวัวตัวดังกล่าวได้สำเร็จ “ลูกวัวตัวนั้นเติบโตมาเป็นวัวที่แข็งแรง มีความสุข แถมยังขี้เล่นมากๆ อีกด้วย” ดร.บิลลี่กล่าว

หลังจากนั้นพวกเขาได้นำเครื่องจักรดังกล่าวไปลองใช้กับมนุษย์เป็นครั้งแรก ทั้งสองได้เลือกนายเคร็ก ลูอิส ผู้ป่วยโรคอะไมลอยด์ (amyloidosis) เกิดจากการผิดปกติของระบบผลิตโปรตีนในร่างกายเป็นสาเหตุให้หัวใจตับและไตล้มเหลวเฉียบพลันและยังมีโอกาสที่จะเสียชีวิตสูงอีกด้วย

189 ปี การค้นพบครั้งสำคัญของไทย เมื่อ ‘รัชกาลที่ 4’ ทรงค้นพบ ‘ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง’ ซึ่งถูกยกย่องให้เป็น ‘มรดกแห่งความทรงจำของโลก’

จารึกพ่อขุนรามคำแหง หรือ จารึกหลักที่ 1 เป็นศิลาจารึกที่บันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์สมัยกรุงสุโขทัย ศิลาจารึกนี้ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เป็นผู้ทรงค้นพบขณะผนวชอยู่ เมื่อวันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2376 ณ เนินปราสาทเมืองเก่าสุโขทัย อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย มีลักษณะเป็นหลักสี่เหลี่ยมด้านเท่า ทรงกระโจม สูง 111 เซนติเมตร หนา 35 เซนติเมตร เป็นหินทรายแป้งเนื้อละเอียด มีจารึกทั้งสี่ด้าน ปัจจุบันเก็บอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร

เนื้อหาของจารึกแบ่งได้เป็นสามตอน ตอนที่ 1 บรรทัดที่ 1 ถึง 18 เป็นการเล่าพระราชประวัติพ่อขุนรามคำแหงมหาราชตั้งแต่ประสูติจนเสวยราชย์ ใช้คำว่า "กู" เป็นหลัก ตอนที่ 2 ไม่ใช้คำว่า "กู" แต่ใช้ว่า "พ่อขุนรามคำแหง" เล่าถึงเหตุการณ์และธรรมเนียมในกรุงสุโขทัย และตอนที่ 3 ตั้งแต่ด้านที่ 4 บรรทัดที่ 12 ถึงบรรทัดสุดท้าย มีตัวหนังสือต่างจากตอนที่ 1 และ 2 จึงน่าจะจารึกขึ้นภายหลัง เป็นการสรรเสริญและยอพระเกียรติพ่อขุนรามคำแหง และกล่าวถึงอาณาเขตราชอาณาจักรสุโขทัย

จารึกได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกเมื่อปี พ.ศ. 2546 โดยยูเนสโกบรรยายว่า "[จารึกนี้] นับเป็นมรดกเอกสารชิ้นหลักซึ่งมีความสำคัญระดับโลก เพราะให้ข้อมูลอันทรงค่าว่าด้วยแก่นหลักหลายประการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมโลก ไม่เพียงแต่บันทึกการประดิษฐ์อักษรไทยซึ่งเป็นรากฐานแห่งอักษรที่ผู้คนหกสิบล้านคนใช้อยู่ในประเทศไทยปัจจุบัน การพรรณนาสุโขทัยรัฐไทยสมัยศตวรรษที่ 13 ไว้โดยละเอียดและหาได้ยากนั้นยังสะท้อนถึงคุณค่าสากลที่รัฐทั้งหลายในโลกทุกวันนี้ร่วมยึดถือ”
 

‘สมเด็จพระนเรศวรมหาราช’ ทรงกระทำยุทธหัตถี และมีชัยชนะต่อ ‘พระมหาอุปราชา’ ของพม่า

สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยลำดับที่ 18 แห่งราชอาณาจักรศรีอยุธยา เสด็จพระราชสมภพที่เมืองพิษณุโลก ปีเถาะ พ.ศ. 2098 ทรงมีสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเจ้า ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินราชวงศ์สุโขทัยองค์แรกที่ครองกรุงศรีอยุธยาเป็นพระบิดา และมีพระวิสุทธิกษัตรี เป็นพระราชธิดาของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิอีกด้วย

ภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาให้กับพม่า องค์พระนเรศวรได้ถูกนำเป็นองค์ประกัน ณ เมืองหงสา และได้ร่ำเรียนวิชาความรู้ ความสามารถต่างๆ เพื่อรอวันที่จะได้กลับมากู้ชาติกู้แผ่นดินอีกครั้ง แต่ด้วยความกตัญญูของสมเด็จพระนเรศวร ที่มีต่อพระเจ้าบุเรงนอง ที่ชุบเลี้ยงดูแลจนเติบใหญ่ จึงไม่ทำการขัดขืนใดๆ เมื่อพระเจ้าบุเรงนองยังมีชีวิตอยู่ แต่ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าบุเรงนอง สมเด็จพระนเรศวรได้กลับมาปกครองยังพระนครกรุงศรีอยุธยา และด้วยวิชาความรู้และความสามารถของพระองค์ ได้ทำการรบข้าศึกต่างๆ และชนะเรื่อยมา จนเป็นที่เกรงกลัวของข้าศึกเป็นอย่างมาก  
 

วันนี้เมื่อปี 2545 ‘พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร’ ทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ ณ อาคารผู้โดยสาร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

เมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2545 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ อาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่ออกแบบอาคารโดย เฮลมุต ยาห์น (Helmut Jahn) สถาปนิกชาวอเมริกัน-เยอรมัน
 

“สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” เป็นองค์ประธานในพิธีปล่อยเรือหลวงจักรีนฤเบศร

เรือหลวงจักรีนฤเบศร ได้เริ่มสร้างในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2536 และมีการวางกระดูกงูในวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2537 ทำพิธีปล่อยเรือลงน้ำในวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2539 โดย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีปล่อยเรือหลวงจักรีนฤเบศรลงน้ำ ณ อู่เรือบาซาน ประเทศสเปน ก่อนจะขึ้นระวางประจำการเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2540 
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top