Sunday, 15 June 2025
GoodsVoice

สภาพัฒน์ฯ ปรับเป้าจีดีพีไทยทั้งปีเหลือ 2%

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสแรกของปี 2564 และแนวโน้มปี 2564 ว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2564 ลดลง 2.6% หลังจากได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงปลายปีต่อเนื่องมาถึงช่วงต้นปี ทำให้ทั้งปี สศช. ได้ปรับประมาณการใหม่ จากเดิมคาดว่าจะขยายตัว 2.5-3.5% เหลือเพียง 1.5-2.5% หรือเฉลี่ยที่ 2% ซึ่งปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ จากการลดลง 6.1% ในปี 2563

ทั้งนี้พบว่า การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปรับตัวลดลง 0.5% เทียบกับการขยายตัว 0.9% ในไตรมาสก่อนหน้า การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลขยายตัว 2.1% ต่อเนื่องจากการขยายตัว 2.2% ในไตรมาสก่อนหน้า การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำในไตรมาสนี้อยู่ที่ 20% (ต่ำกว่าอัตราเบิกจ่าย 32.8% ในไตรมาสก่อนหน้า และ 28.2% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) 

ส่วนการลงทุนรวม ขยายตัว 7.3% ปรับตัวดีขึ้นมากจากการลดลง 2.5% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส 3% เทียบกับการลดลง 3.3% ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่การลงทุนภาครัฐขยายตัวในเกณฑ์สูง 19.6% เร่งขึ้นจากการขยายตัว 0.6% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนรัฐบาลขยายตัว 28.4% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานต่ำในปี 2563 ส่วนการลงทุนรัฐวิสาหกิจขยายตัว 9.3%

ด้านการส่งออกสินค้า มีมูลค่า 64,004 ล้านดอลลาร์ กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาส 5.3% เทียบกับการลดลง 1.5% ในไตรมาสก่อนหน้าสอดคล้องกับการฟื้นตัวที่ชัดเจนของเศรษฐกิจโลกและการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าในตลาดโลก 

สมอ. เตรียมเชือดผู้จำหน่ายสินค้าออนไลน์ หลังพบโพสต์จำหน่ายเครื่องหรี่ไฟไม่มี มอก. บนแอปพลิเคชัน ช้อปปิ้งออนไลน์ ‘Shopee’ เร่งตรวจสอบขยายผล หากพบผิดจริงจะดำเนินการตามกฎหมายทันที

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและกระจายเป็นวงกว้าง ประชาชนจึงหันมาสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์กันมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินทางและลดความเสี่ยงต่อการรับเชื้อโควิด-19

สมอ. ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลความปลอดภัยของประชาชนจากการใช้สินค้าที่ได้มาตรฐาน จึงดำเนินการตรวจควบคุมการจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะบนเว็บไซต์ และแอปพลิเคชันช้อปปิ้งออนไลน์ชื่อดังที่ได้รับความนิยมจากประชาชนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเฝ้าระวังผ่านระบบ National Single Window หรือ NSW  อย่างใกล้ชิด ตลอดจนเปิดรับข้อร้องเรียนจากผู้บริโภคกรณีสินค้าไม่ได้มาตรฐานผ่านทางออนไลน์ทุกช่องทาง ซึ่งพบว่ามีข้อร้องเรียนจากการซื้อสินค้าออนไลน์เป็นจำนวนมาก 

ล่าสุด สมอ. ได้รับข้อร้องเรียนผ่านทางเฟซบุ๊ค https://th-th.facebook.com/tisiofficial/ ว่า บนแอปพลิเคชัน Shopee มีการจำหน่ายเครื่องหรี่ไฟ (Dimmer) รุ่น Suntec STD-1600 โดยไม่แสดงเครื่องหมาย มอก. ซึ่งสินค้าดังกล่าวอยู่ในข่ายสินค้าควบคุมตาม มอก.1955-2551 จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบ พบว่า มีผู้จำหน่าย 6 ราย ที่จำหน่ายเครื่องหรี่ไฟที่ไม่แสดงเครื่องหมาย มอก. ได้แก่

1.) อุบลแสงฟ้าอิเล็คโทรนิค จังหวัดอุบลราชธานี

2.) Messi99  จังหวัดเพชรบุรี

3.) Little_boy_889  กรุงเทพฯ  

4.) Beeshop กรุงเทพฯ  

5.) Starcomshop กรุงเทพฯ และ

6.) Bon lighting จังหวัดปทุมธานี  

สมอ. จึงได้แจ้งให้บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของแอปพลิเคชัน Shopee ลบข้อความที่มีการโพสต์จำหน่ายเครื่องหรี่ไฟของผู้จำหน่ายทั้ง 6 ราย ออกจากแอปพลิเคชันทันที พร้อมทั้งให้จัดส่งภาพถ่ายฉลากสินค้าทุกด้าน และให้แสดงหลักฐานแหล่งที่มาของสินค้าภายใน 15 วัน หากตรวจสอบแล้วพบว่าได้รับอนุญาตตามมาตรฐาน มอก.1955-2551 จาก สมอ. อย่างถูกต้อง จึงจะขายสินค้าบนแอปพลิเคชันดังกล่าวได้ แต่หากพบว่าเป็นการลักลอบจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต สมอ. จะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้จำหน่ายทันที โดยมีความผิดฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และจะสอบสวนขยายผลเพิ่มเติมไปถึงผู้นำเข้าสินค้าดังกล่าวด้วย หากพบว่านำเข้าโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ เตรียมเอาผิด Shopee ด้วยฐานโฆษณาจำหน่ายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า เครื่องหรี่ไฟหรืออุปกรณ์หรี่แสง (Dimmer) เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยปรับเปลี่ยนความสว่างของหลอดไฟต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานและให้แสงสว่างตามความต้องการ เป็นสินค้าในจำนวน 123 รายการ ที่ สมอ. ควบคุม โดยต้องขออนุญาตจาก สมอ. ก่อนทำ หรือนำเข้า รวมถึงการจำหน่ายจะต้องจำหน่ายเฉพาะสินค้าที่ได้มาตรฐานเท่านั้น เนื่องจากเป็นสินค้าที่ต้องมีความปลอดภัยในการนำไปใช้งาน เพราะหากไม่ได้มาตรฐานอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ โดยเครื่องหรี่ไฟที่ได้มาตรฐานจะมีแรงดันไฟฟ้าที่กำหนด 220-240 โวลต์ และกำลังไฟฟ้าที่กำหนด 5-40 วัตต์ มีการควบคุมการปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

เพื่อไม่ให้รบกวนการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียง ปัจจุบันมีผู้ทำ และนำเข้าสินค้าดังกล่าวได้รับใบอนุญาตจาก สมอ. แล้วกว่า 50 ราย จึงขอเตือนประชาชนให้เลือกซื้อสินค้าด้วยความรอบคอบ เลือกที่ได้มาตรฐาน โดยการสังเกตเครื่องหมายมาตรฐาน ก่อนซื้อทุกครั้ง เพื่อลดความเสี่ยงจากอันตรายในการนำไปใช้ ทั้งนี้ หากผู้บริโภคพบเห็นการกระทำความผิดหรือต้องการแจ้งเบาะแสสินค้าควบคุมที่ไม่ได้มาตรฐาน สามารถแจ้งได้ที่ https://th-th.facebook.com/tisiofficial/ ตลอด 24 ชม. และตรวจสอบรายชื่อสินค้าควบคุมจำนวน 123 รายการ ได้ที่ https://www.tisi.go.th/website/standardlist/comp_thai/th เลขาธิการ สมอ. กล่าวทิ้งท้าย                      
 

“จุรินทร์ ” หารือ นิวซีแลนด์ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ รุกจับมือร่วมฝ่าโควิด และเตรียมพร้อมไทยเจ้าภาพเอเปคถัดจากนี้

วันที่ 17 พฤษภาคม 2564 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หารือทางโทรศัพท์กับรัฐมนตรีกระทรวงการค้าและการส่งออกของนิวซีแลนด์ (นายเดเมียน โอ คอนเนอร์) ผ่านระบบ วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ณ ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการโสมสวลี ชั้น 11 สํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์

ภายหลังการหารือ นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้ได้มีโอกาสหารือกับรัฐมนตรีกระทรวงการค้าของนิวซีแลนด์ในฐานะที่ปีนี้นิวซีแลนด์เป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค และในปีหน้าไทยจะรับไม้ต่อจากนิวซีแลนด์โดยการเป็นเจ้าภาพของประเทศไทยจะเริ่มต้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีนี้เป็นต้นไป สำหรับเอเปคนั้นเป็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจร่วมกันของกลุ่มประเทศในเอเชียและแปซิฟิคจำนวน 21 ประเทศ ก่อตั้งตั้งแต่ปี 2532 มูลค่าการค้าของไทยกับเอเปคปีละประมาณ 10 ล้านล้านบาท คิดเป็น 70% ของมูลค่าการค้าของไทยต่อการค้ารวมกับทุกประเทศในโลก

วันนี้สาระสำคัญของการหารือทางท่านรัฐมนตรีการค้านิวซีแลนด์ในฐานะประเทศเจ้าภาพการประชุม มีดำริที่ต้องการออกแถลงการณ์ร่วมผลจากการประชุมเอเปคปีนี้ 3 แถลงการณ์ และขอความเห็นจากตนในฐานะรัฐมนตรีการค้าของประเทศไทย

"ผมได้แจ้งว่าประเทศไทยให้ความยินดีในการสนับสนุนแถลงการณ์ร่วมทั้ง 3 ฉบับ ประกอบด้วยฉบับที่ 1 แถลงการณ์ร่วมฉบับใหญ่ของรัฐมนตรีการค้าเอเปคทั้งหมด สาระสำคัญ ประเด็นที่ 1 กำหนดให้การค้านั้นเป็นปัจจัยสำคัญในการที่ช่วยแก้ปัญหาสถานการณ์โควิด ประเด็นที่ 2 เอเปคสนับสนุนการค้าในระบบพหุภาคีโดยเฉพาะในรูป WTO ประเด็นที่ 3 เอเปคสนับสนุนเศรษฐกิจแบบ BCG คือทั้งเศรษฐกิจ Bio Economy เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียวซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน

แถลงการณ์ฉบับที่ 2 กำหนดให้สมาชิกในกลุ่มประเทศเอเปค จะไม่จำกัดการส่งออกวัคซีนโควิด ยกเว้นมีข้อจำกัดตามที่ WTO กำหนดไว้เท่านั้น เช่น ไม่พอใช้ในประเทศ เป็นต้น

แถลงการณ์ฉบับที่ 3 ภาคบริการด้านโลจิสติกส์ ซึ่งเอเปคต้องการส่งเสริมความร่วมมือด้านโลจิสติกส์สนับสนุนกระบวนการนำเข้าส่งออกทางผ่านด่านต่าง ๆ ด้วยระบบดิจิตอลในสินค้าที่จำเป็นในสถานการณ์โลกปัจจุบัน ทั้งเครื่องมือแพทย์ วัคซีน อาหาร สินค้าเกษตร หรือสินค้าเครื่องใช้ในบ้านในยุค New Normal " นายจุรินทร์ กล่าว

และประเด็นหารือเพิ่มเติมตนได้แจ้งให้รัฐมนตรีนิวซีแลนด์ทราบว่าตนตอบรับการเข้าร่วมประชุมในวันที่ 4 และ 5 มิถุนายนปีนี้แล้ว ที่นิวซีแลนด์เป็นเจ้าภาพโดยการประชุมวันที่ 4 เป็นการประชุมรัฐมนตรีการค้าร่วมกับสภาธุรกิจเอกชนเอเปคซึ่งการประชุมวันนั้นจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม

1.) การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ

2.) เรื่องการรับมือเศรษฐกิจต่อวิกฤติโควิด

3.) กลุ่มที่ว่าด้วยการฟื้นตัวเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนหลังสถานการณ์โควิดซึ่งประเทศไทยประสงค์จะเข้าร่วมในกลุ่มที่ 2 คือเรื่องการรับมือทางด้านเศรษฐกิจต่อสถานการณ์โควิดปัจจุบัน และการประชุมวันที่ 5 มิถุนายนเป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีโดยเฉพาะของกลุ่มประเทศเอเปค

ประเด็นเพิ่มเติมนิวซีแลนด์ขอให้ประเทศไทยช่วยสนับสนุนการนำเข้าเมล็ดพันธุ์หอมใหญ่ของนิวซีแลนด์คิดภาษีเป็นศูนย์ ตามข้อตกลง FTA ระหว่างไทยกับนิวซีแลนด์อยู่แล้วแต่เรายังดำเนินการได้ไม่ครบถ้วน ซึ่งตนจะนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ในเดือนกรกฎาคม และตนได้ขอให้ทางนิวซีแลนด์ช่วยนำเข้าสินค้าที่จำเป็นต่อสถานการณ์โควิดเพิ่มเติมมากขึ้นจากการนำเข้าปกติที่ผ่านมา โดยขอให้นำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับทางการแพทย์ เช่น ถุงมือยาง ผลิตภัณฑ์ยาง อาหารแปรรูป อาหารสัตว์เลี้ยง ผลไม้ เช่น ลิ้นจี่ ลำไย มะม่วง มังคุด เพราะผ่านการตรวจสอบด้านสุขอนามัยจากนิวซีแลนด์เรียบร้อยแล้ว และทางนิวซีแลนด์ให้การรับรองแล้ว ขอให้นำเข้าเพิ่มเติมเป็นพิเศษนอกจากผลไม้ชนิดอื่น ๆ ที่มีการนำเข้าโดยปกติ

โรงงานน้ำตาล ประกาศร่วมมือดูแลด้านสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมอย่างเป็นระบบ หวังยกระดับอุตสาหกรรมก้าวสู่ Zero Wastes

โรงงานน้ำตาล ประกาศร่วมมือดูแลด้านสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การจัดเก็บผลผลิตในไร่จนถึงกระบวนการผลิต เพื่อลดกระทบด้านฝุ่นละออง น้ำเสีย หวังยกระดับอุตสาหกรรมก้าวสู่ Zero Wastes หลังประสบความสำเร็จในด้านความร่วมมือกับชาวไร่ลดอ้อยไฟไหม้ ที่ทำให้ฝุ่นควันส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมลดลง

นายสิริวุทธิ์ เสียมภักดี ประธานคณะทำงานด้านประชาสัมพันธ์ 3 สมาคมโรงงานน้ำตาลทราย หรือ TSMC เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายไทย ได้มีความเห็นร่วมกันบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบตั้งแต่ในไร่จนถึงกระบวนนำอ้อยเข้ามาหีบสกัดเป็นน้ำตาลทราย เพื่อลดผลกระทบด้านฝุ่นละออง น้ำเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิตไม่ให้ก่อผลกระทบต่อชุมชน รวมถึงนำของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิตน้ำตาลมาสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจสูงสุด ซึ่งถือเป็นหนึ่งในความตั้งใจของผู้ประกอบการโรงงานที่ต้องการยกระดับอุตสาหกรรมให้ก้าวสู่การเป็น Zero Wastes ได้อย่างแท้จริง

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาลทั้งหมดทั่วประเทศได้ตระหนักและเห็นถึงความสำคัญกับการบริหารจัดการดูแลด้านสิ่งแวดล้อมแก่ชุมชนมาโดยตลอด โดยแต่ละโรงงานได้ลงทุนด้านเครื่องดักจับฝุ่นลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ PM 2.5 หรือการบำบัดน้ำเสียให้สะอาด ปลอดภัยและไม่ส่งต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงนำผลพลอยได้ที่ถือเป็นขยะอุตสาหกรรม เช่น ชานอ้อยมาใช้เผาไฟฟ้า เพื่อนำความร้อนที่ได้ไปใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า หรือการนำกากน้ำตาล มาใช้ผลิตเป็นเอทานอลสำหรับเป็นส่วนผสมในน้ำมันเชื้อเพลิงยานยนต์ ทำให้สามารถลดมลพิษในอากาศและลดใช้จ่ายนำเข้าเชื้อเพลิงพลังงานให้แก่ประเทศ นอกจากนี้ มีการนำน้ำเสียมาผ่านกระบวนการผลิตเป็นไบโอแก๊ส และทำการบำบัดก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ หรือนำกลับมาใช้ซ้ำในกระบวนการผลิตได้อีก ซึ่งแต่ละโรงงานได้มีการลงทุนเป็นจำนวนมากเพื่อบริหารจัดการของเสียจากกระบวนการผลิต มิให้ส่งผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ ความสำเร็จจากความร่วมมือกันของผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาลและชาวไร่อ้อย จะเป็นพลังสำคัญในการช่วยกันดูแลด้านสิ่งแวดล้อมให้สามารถก้าวสู่เป้าหมายที่วางไว้ เช่นเดียวกับการลดผลกระทบจากปัญหาอ้อยไฟไหม้ในฤดูการเก็บเกี่ยวผลผลิตปีที่ผ่านมา ที่สามารถลดการเผาอ้อยทำให้ปัญหาทุเลาความรุนแรงลง และผู้ที่เกี่ยวข้องก็ได้รับประโยชน์สูงสุดจากความร่วมมือกันในครั้งนี้ โดยชาวไร่มีรายได้ที่ดีขึ้นจากผลผลิตน้ำตาลต่อตันอ้อยและค่าความหวานในอ้อยสูงสุดในรอบ 30 ปี ขณะที่โรงงานได้ผลผลิตน้ำตาลที่ดีทีสุดแม้มีวิกฤติภัยแล้งก็ตาม 

“ความสำเร็จในการร่วมมือกันกับชาวไร่ในการลดการเผาอ้อยในรอบการผลิตที่ผ่านมา มีส่วนทำให้สามารถลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายในความร่วมกันดูแลสิ่งแวดล้อม มุ่งลดผลกระทบจากมลพิษในทุกด้าน ตั้งแต่การเก็บเกี่ยวอ้อยสด ไม่เผาอ้อย และจัดการน้ำเสียที่เกิดจากการผลิตที่ต้องผ่านการควบคุมและบำบัดอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการนำของเสียจากการผลิตไปสร้างให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมก้าวสู่การเป็น Zero Waste ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพ (BCG) ของประเทศที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และมีการหมุนเวียนกลับมาใช้ประโยชน์ได้” นายสิริวุทธิ์ กล่าว

ททท. เล็งคุย สศช. ปลดล็อก “ทัวร์เที่ยวไทย” ไปได้ทุกวัน 

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท. ได้หารือร่วมกับสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) เพื่อร่วมกันหาทางส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ ผ่านบริษัททัวร์ในประเทศ และการดำเนินการภายใต้โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ระยะที่ 3 และทัวร์เที่ยวไทย ซึ่งทางภาคเอกชนก็เสนอว่า อยากให้ปลดล็อคเงื่อนไขให้ผู้ที่เข้าร่วมโครงการสามารถซื้อทัวร์เดือนทางได้ทุกวันโดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นวันธรรมดาเท่านั้น เพื่อจะช่วยกระตุ้นให้คนเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งทั้ง 2 โครงการนั้น กำหนดจำนวนคนร่วมโครงการเอาไว้ประมาณ 3 ล้านคน โดย ททท. จะไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป 

ทั้งนี้ในปี 64 ททท. อาจต้องปรับเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศลงจากเดิมที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ประมาณ 100-120 ล้านคน/ครั้ง คิดเป็นเงินรายได้ 5.5 แสนล้านบาท เหลือเพียง 90 ล้านคน/ครั้ง เนื่องจากปัจจุบันยังพบจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศอยู่ในอัตราที่สูง ประกอบกับการดำเนินนโยบายฟื้นฟูการท่องเที่ยว ทั้งเราเที่ยวด้วยกัน ระยะที่ 3 และทัวร์เที่ยวไทย ยังไม่สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการตั้งแต่เดือน พ.ค.นี้ จึงส่งผลให้จำนวนคนเดินทางท่องเที่ยวลดลง 

อย่างไรก็ตามแม้จำนวนนักท่องเที่ยวอาจปรับลดลงจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด แต่ ททท. ก็จำเป็นต้องหามาตรการอื่น ๆ มากระตุ้นให้คนเกิดการเดินทางหลังจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิดในประเทศคลี่คลายลงแล้ว โดยตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าไตรมาสที่ 3 สถานการณ์น่าจะดีขึ้น ล่าสุดได้จัดเตรียมแนวทางการกระตุ้นการเดินทางใหม่ผ่านการจัดทำสถานที่ท่องเที่ยวอันซีนใหม่ของประเทศไทยอีก 25 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นอันซีนแห่งใหม่ ทดแทนของเดิมที่คนรู้จักกันมากแล้ว ซึ่งเชื่อว่า หากผลักดันออกมาได้ จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้คนออกไปเที่ยวเพิ่มขึ้น 

เฮ! สรรพากรยืดเวลาจ่ายภาษีหัก ณ ที่จ่าย-แวต ช่วงโควิด

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้ออกประกาศขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่ม ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สำหรับเดือนก.ค. 2564 ขยายออกไปเป็นภายในวันที่ 30 ก.ค. 2564 และการยื่นแบบในเดือนส.ค. 2564 ขยายออกไปเป็นภายในวันที่ 31 ส.ค. 2564 เพื่อสนับสนุนการทำธุรกรรมทางภาษีที่บ้าน TAX from Home ช่วยบรรเทาและเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่

ทั้งนี้ ที่ผ่านมากรมสรรพากรได้ขยายเวลาการยื่นแบบฯ ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.1, ภ.ง.ด.2, ภ.ง.ด.3, ภ.ง.ด.53 และ ภ.ง.ด.54) และภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30 และ ภ.พ.36) ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ถึงวันสุดท้ายของเดือนที่ต้องยื่นแบบฯ โดยให้เริ่มขยายเวลาสำหรับการยื่นแบบฯ ในเดือนก.พ. 2564 ถึงเดือนมิ.ย. 2564 สำหรับการขยายกำหนดเวลา การยื่นแบบฯ ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่ม ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในครั้งนี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 

“ในช่วงที่ผ่านมากระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรได้มีมาตรการช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการผ่านการทำธุรกรรมภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์จากที่บ้านหรือ Tax from Home ซึ่งทำให้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นและนานขึ้นกว่า 280,000 ล้านบาท และช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อได้เป็นอย่างดี เช่น การขยายเวลายื่นแบบฯ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่ม ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สำหรับการขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบฯ ในครั้งนี้เป็นการดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการเว้นระยะห่าง หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ตามมาตรการของภาครัฐ และศบค. กำหนด” 

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เผยความคืบหน้าความร่วมมือ ปตท.จัดตั้งหน่วยธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เผยความคืบหน้าความร่วมมือ ปตท.จัดตั้งหน่วยธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม หนุนผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม ปรับระบบการผลิตไปสู่เทคโนโลยีอัตโนมัติ และหุ่นยนต์ นำร่อง 4 บริษัท ทดสอบระบบ ITP Platform พร้อมสำรวจข้อมูลผู้ประกอบการใน 6 นิคมอุตสาหกรรมเป้าหมายปรับปรุงระบบ!

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ. และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกันจัดทำโครงการยกระดับศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่อนาคต (Industrial Transformation Platform) หรือ ITP Platform ซึ่งเป็นการให้บริการเชื่อมโยงลูกค้า คู่ค้าและหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยระบบดังกล่าวจะเชื่อมโยงข้อมูลกับ กนอ. เพื่อรองรับการบริการของ กนอ. ประกอบด้วย ระบบช่วยตัดสินใจเลือกนิคมอุตสาหกรรม ระบบอนุมัติ-อนุญาต (e-PP) และสิทธิประโยชน์จาก กนอ.

“โครงการ ITP แพลตฟอร์มนี้ เป็นการขยายความร่วมมือหลัง กนอ. ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการศึกษาแนวทางการจัดตั้งหน่วยธุรกิจ (JV Company) เพื่อดำเนินการธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์มร่วมกัน ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมหันมาใช้ระบบหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ และเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับความสามารถการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ตลอดจนสร้างมูลค่าเพิ่มให้อุตสาหกรรมไทยก้าวสู่สากลอย่างยั่งยืน เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมยกระดับอุตสาหกรรมไปสู่ยุค 4.0” นายวีริศ กล่าว

ทั้งนี้ กนอ. และ ปตท.ได้จัดทำโครงการนำร่องร่วมกับผู้ประกอบการ 4 ราย (Pilot Project) ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ชลบุรี โดยให้คำปรึกษาเรื่องสิทธิประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน และให้คำปรึกษาด้านการประยุกต์ใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เพื่อปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต รวมทั้งทดสอบทดลองระบบกับ ITP Platform สำหรับบริษัทนำร่อง 4 แห่ง ที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้แก่

1.) บริษัท ไทย ไดโซ แอโรโซล จำกัด ผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมอุปโภค-บริโภค

2.) บริษัท ทีบีเคเค (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์

3.) บริษัท ไทยโตเคน เทอร์โม จำกัด ผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมโลหะ และ

4.) บริษัท โอเรียนเต็ล คอปเปอร์ จำกัด ผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมโลหะ

นอกจากนี้ กนอ.และปตท.ยังได้สัมภาษณ์ผู้ประกอบการ จำนวน 12 ราย ในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วน, ยานยนต์และชิ้นส่วน และผลิตภัณฑ์เหล็กและโลหะ จากนิคมอุตสาหกรรมเป้าหมาย 6 แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง, นิคมอุตสาหกรรมบางปู จ.สมุทรปราการ, นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จ.ชลบุรี, นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ชลบุรี จ.ชลบุรี, นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ระยอง จ.ระยอง และนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง) จ.ระยอง รวมทั้งส่งแบบสอบถามไปยังผู้ประกอบการทุกนิคมที่สนใจยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตให้เป็นระบบควบคุมอัตโนมัติ เพื่อเข้าร่วมทดสอบการใช้งานระบบ ITP Platform ให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น

“กนอ. และ ปตท.อยู่ระหว่างร่วมศึกษาแนวทางการร่วมทุนในรูปแบบ Co-Investment โดยจะพิจารณาจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาแนวทางการจัดตั้งหน่วยธุรกิจ (JV Company) เพื่อดำเนินการธุรกิจร่วมกันระหว่าง กนอ. ปตท. และ บริษัท พีทีที เอนเนอร์ยี่ โซลูชั่นส์ จำกัด ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จได้ในเร็ว ๆ นี้” นายวีริศ กล่าวปิดท้าย

ชงครม.ไฟเขียวลดส่งเงินเข้ากองทุนประกันสังคม 3 เดือน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานเตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม โดยให้ลดอัตราเงินสมทบนายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 จากเดิมฝ่ายละ 5% เหลือฝ่ายละ 2.5% ของค่าจ้างผู้ประกันตน และผู้ประกันตนมาตรา 39 เหลืออัตราเดือนละ 216 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ในงวดเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2564 ส่วนงวดเดือนกันยายน 2564 เป็นต้นไป ให้ส่งเงินสมทบอัตราเดิม เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ประกันตนในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่

ทั้งนี้เชื่อว่าการลดเงินครั้งนี้จะช่วยให้นายจ้างและลูกจ้างสามารถนำเงินสมทบที่ลดลงไปใช้จ่ายเพื่อเสริมสภาพคล่องในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในระยะเวลาตั้งแต่เดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2564 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 20,163 ล้านบาท เป็นการลดปัญหาทางการเงินได้ ขณะเดียวกันกระทรวงแรงงาน ยังเสนอร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตเป็นผู้ประกอบการตรวจสอบมาตรฐานด้วย

นอกจากนี้กระทรวงมหาดไทย ยังเสนอร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองเชียงใหม่ พร้อมทั้งเสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความด้านทาน และความคงทนของอาคารและพื้นดินที่รองรับอาคาร ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร ส่วนกระทรวงคมนาคม เสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบ้านพรุตำบลควนลัง อำเภอหาดใหญ่ ตำบลทุ่งลาน และตำบลคลองหลา อำเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา และกระทรวงการคลัง เสนอขอความเห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2564 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย

ยัน! รัฐยังไม่กระเป๋าฉีกมีเงินเยียวยาโควิดถึงปีหน้า

นายวันฉัตร สุวรรณกิตติ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ในปี 64-65 รัฐบาลยังคงมีวงเงินเพียงพอสำหรับการทำมาตรการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งปัจจุบันการดำเนินการของแผนงานและโครงการภายใต้ พ.ร.ก. เงินกู้โควิด-19 วงเงิน 1 ล้านล้านบาทนั้น มีการอนุมัติวงเงินไปแล้วรวมทั้งสิ้น 833,475 ล้านบาท โดยยังมีวงเงินคงเหลืออีกมากถึง 166,525 ล้านบาท รวมทั้งยังมีแหล่งเงินอื่นที่สามารถนำมารองรับมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลได้

สำหรับวงเงินนอกเหนือจาก พ.ร.ก. เงินกู้โควิด-19 ในปัจจุบันประกอบด้วย งบประมาณจากงบกลาง ในส่วนของเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น ภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 วงเงิน 99,000 ล้านบาท ซึ่งยังมีวงเงินคงเหลือ 98,213.9 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วงเงิน 40,325.6 ล้านบาท ซึ่งยังมีวงเงินคงเหลือ 37,108.2 ล้านบาท ขณะเดียวกันในปีงบประมาณ 65 รัฐบาลยังได้มีการตั้งวงเงินงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อฉุกเฉินและจำเป็น จำนวน 89,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถนำมาใช้เพื่อการเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบได้ 

นอกจากนี้ มีการกำหนดกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีสำหรับการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามยุทธศาสตร์แผนแม่บทเฉพาะกิจ ทั้งการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากภายในประเทศ การปรับปรุงและพัฒนาปัจจัยพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูและพัฒนาประเทศ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามภารกิจของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องซึ่งสามารถนำมาดำเนินโครงการที่มีวัตถุประสงค์ในการฟื้นฟูและให้การช่วยเหลือเยียวยาช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ได้เช่นกัน

ส.อ.ท. เร่งเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ฟื้นโครงการลดระยะเวลาเครดิตทางการค้า “FTI Faster Payment Phase 2” ช่วย SMEs ในซัพพลายเชนกว่า 20,000 ราย และพยุงเศรษฐกิจเดินหน้าต่อได้

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกเดือนเมษายน ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของทุกภาคส่วน หลายธุรกิจประสบปัญหายอดขายลดลง และขาดสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งแนวทางหนึ่งที่ภาคเอกชนจะสามารถร่วมแรงร่วมใจ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการด้วยกันให้อยู่รอดในสถานการณ์ที่ไม่ปกตินี้ได้ คือ การช่วยกันชำระค่าสินค้าหรือบริการให้แก่คู่ค้าเร็วขึ้น

ที่ผ่านมา ส.อ.ท. ได้ดำเนินโครงการ FTI Faster Payment (ส.อ.ท.ช่วยเศรษฐกิจไทย) ชำระหนี้ค่าสินค้าหรือบริการให้แก่คู่ค้าที่เป็น SMEs ภายใน 30 วัน ซึ่งมีซัพพลายเออร์ที่เป็น SMEs ไม่ต่ำกว่า 20,000 กิจการที่ได้รับประโยชน์ มีมูลค่าการซื้อขายของ SMEs ในซัพพลายเชนอย่างน้อย 4,300 ล้านบาทต่อเดือน

โดย ส.อ.ท.ได้ฟื้นโครงการ FTI Faster Payment Phase 2 กลับมาอีกครั้ง โดยจับมือกับ 163 บริษัทที่เคยเข้าร่วมโครงการในครั้งที่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของ ส.อ.ท. ไม่ว่าจะเป็น บริษัทในเครือ SCG, บมจ.สหพัฒนพิบูล, กลุ่มบริษัทซีพี, บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ หรือ บมจ.ปตท. และกลุ่มค้าส่งค้าปลีกรายใหญ่ ซึ่งทั้งหมดนี้มี SMEs ในซัพพลายเชนหลายหมื่นราย และจะขอความร่วมมือขยายผลไปยังกลุ่มผู้ประกอบการในตลาด MAI และ SET100 โดยคาดหวังว่าโครงการ FTI Faster Payment Phase 2 จะช่วยเพิ่มเสริมสภาพคล่องให้เกิดทั้งซัพพลายเชน ซึ่งจะเป็นการช่วยพยุงเศรษฐกิจในภาวะวิกฤติให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้

โครงการ FTI Faster Payment สามารถต่อยอดไปยังแพลตฟอร์ม Digital Factoring ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่ง ส.อ.ท.ได้มีการหารือกับ ธปท.ในเบื้องต้นแล้ว โดยได้เสนอประเด็นต่าง ๆ ที่จะสามารถขับเคลื่อน Digital Factoring ให้สามารถเกิดขึ้นได้เร็วและเป็นไปได้ รวมถึง ส.อ.ท. สามารถสนับสนุนการพัฒนาระบบในการตรวจสอบยืนยัน Invoice ในโครงการเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสถาบันการเงินมากขึ้น

สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และไม่ได้อยู่ในซัพพลายเชนดังกล่าว ส.อ.ท. ไม่ได้ละทิ้ง และยังคงหาแนวทางในการช่วยเหลือเร่งด่วนในรูปแบบอื่น ๆ ต่อไป อาทิ การร่วมกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จัดอบรมและ Workshop เตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการในการเข้าถึงสินเชื่อ ภายใต้มาตรการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบการธุรกิจฯ (ซอฟท์โลน) และติดตามรับฟังปัญหาของ SME ที่ยังเข้าไม่ถึงมาตรการดังกล่าว โดยมอบหมายให้นายปรีชา ส่งวัฒนา รองประธาน ส.อ.ท. ดูแลงานสถาบันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอุตสาหกรรมการผลิต (SMI) เป็นผู้ดูแลมาตรการต่าง ๆ เป็นหลัก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top