Monday, 12 May 2025
GoodsVoice

เปิด 'แนวรุก-ความพร้อม' ผลิตภัณฑ์ชูอร่อยใต้เงา 'เจดีฟู้ด' สู่เป้าหมาย 'เข้าตลาดหุ้น-ลุ้นขยายตลาดต่างแดน 50%'

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับคุณธีรดา หอสัจจกุล รองกรรมการผู้จัดการบริหาร บริษัท เจดีฟู้ด จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทฯ ก่อตั้งโดยคนไทย และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเครื่องปรุงรส และอาหารแปรรูประดับประเทศ สร้างชื่อเสียงในระดับโลก ถึงเป้าหมายและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ พร้อม ๆ ไปกับการรับมือสภาพการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ

คุณธีรดา กล่าวว่า บริษัท เจดีฟู้ด จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นโดยคุณพ่อ นายธีรบุล หอสัจจกุล ซึ่งมีความเชี่ยวชาญและอยู่ในวงการอาหารมายาวนาน ในปี 2542 บริษัทฯ ได้เริ่มต้นประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายวัตถุดิบส่วนผสม (Food Ingredients) ตามสูตรที่พัฒนาขึ้นเองเพื่อจำหน่ายให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมประเภทขนมขบเคี้ยวและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โดยลักษณะผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทฯ แบ่งเป็น สินค้ารับจ้างผลิต OEM และกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสอาหาร แบ่งเป็น ผงปรุงรส, อาหารอบแห้ง, ซอสน้ำจิ้ม และไส้เบเกอรี่ (ฟิลลิ่ง)

คุณธีรดา กล่าวว่า อุตสาหกรรมเครื่องปรุงรสในปัจจุบันของไทยมีการแข่งขันกันสูงกว่าเมื่อก่อนมาก มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามากขึ้น อย่างไรก็ตามทางบริษัทฯ ยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดในอันดับต้น ๆ เนื่องจากมีประสบการณ์มายาวนานและมีการจัดทำระบบการผลิตให้ได้มาตรฐาน รสชาติอร่อย คุณภาพดี เพื่อให้ส่งออกสินค้าไปทั่วโลก

คุณธีรดา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้บริษัทฯ ยังสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย หรือ SME ที่มีความต้องการผลิตสินค้าอาหารแปรรูป เครื่องปรุงรส ในแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งได้ให้บริการในรูปแบบ One Stop Service ให้คำปรึกษาตั้งแต่การเริ่มผลิต การเลือกรสชาติ การจดแจ้ง อย. และแนะนำการทำตลาดให้ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ให้เติบโตอีกด้วย

เมื่อถามถึงสัดส่วนของการทำตลาดของบริษัทฯ ในปัจจุบัน? คุณธีรดา เผยว่า แบ่งเป็น ตลาดในประเทศ และต่างประเทศ โดยการจัดจำหน่ายยังเน้นตลาดในประเทศอยู่ แต่เป้าหมายในอนาคตมองว่า จะขยายตลาดไปต่างประเทศ 50% 

เมื่อถามถึงเทรนด์ของรสชาติ? คุณธีรดากล่าวว่า เมื่อก่อนการผลิตรสชาติจะตอบโจทย์ผู้บริโภคผ่านรสชาติหลัก ๆ เช่น ต้มยำ, ชีส, ซีฟู้ด เป็นต้น แต่ปัจจุบันผู้บริโภคมีความต้องการมากขึ้น ซับซ้อนมากขึ้น เช่น ต้มยำ จากรสชาติต้มยำธรรมดา ก็ต้องเป็นต้มยำกุ้ง, ต้มยำหัวมันกุ้ง เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ตอบโจทย์ลูกค้า และท้าทายผู้ผลิตไปในตัว 

เมื่อถามถึงไลน์ผลิตภัณฑ์ของเจดีฟู้ด? คุณธีรดา เผยว่า ในปัจจุบันมีการออกสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัท (Brand) ได้แก่ แบรนด์โอเค (OK) ซึ่งเป็นผงปรุงรส และไส้เบเกอรี่ (ฟิลลิ่ง) มีการคิดสูตรใหม่ให้เหมาะสมกับอาหารและสินค้าเบเกอรี่, แบรนด์ Crispconut ซึ่งเป็นขนมขบเคี้ยวประเภทมะพร้าวอบกรอบ, แบรนด์ กินดี (Kindee) เป็นผลิตภัณฑ์ผงปรุงรสสำเร็จรูป ไม่มีส่วนผสมของผงชูรส 

นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายสินค้าในรูปแบบต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น ก๋วยเตี๋ยวเรือกึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น รวมไปถึงการให้ความสำคัญกับแบรนด์ GOOD EATS ผลิตภัณฑ์ซุปกึ่งสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์ขนมโปรตีนอบกรอบที่ปราศจากผงชูรส โดยมีเป้าหมายยอดขายของบริษัทฯ ตั้งเป้าไว้ที่ 1,000 ล้านบาท ภายในปี พ.ศ. 2568 นี้

เมื่อถามถึงกลยุทธ์ของบริษัทฯ? คุณธีรดา กล่าวว่า มีการปรับตัวเสมอและติดตามเทรนด์ใหม่ตลอดเวลา และได้เรียนรู้จากคุณพ่อ เช่น ต้องศึกษาลูกค้าและแก้ Pain Point ของลูกค้าให้ได้ ว่าความต้องการของลูกค้า คืออะไรถ้าตอบโจทย์ลูกค้าได้ก็จะประสบความสำเร็จ ส่วนปัญหาอุปสรรคที่ผ่านมา มองว่าเรื่องโลกร้อนมีส่วนสำคัญทำให้วัตถุดิบไม่เพียงพอ ราคาวัตถุดิบในตลาดผันผวน ส่วนความภาคภูมิใจของคุณธีรดา คือ การนำพาบริษัทฯ เข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ประสบความสำเร็จ 

เมื่อถามถึงการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม? คุณธีรดา เล่าให้ฟังทิ้งท้ายว่า "ทางบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) การลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือการปล่อยมลภาวะอื่น ๆ (Low Carbon Business) เราคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและความหลากหลายทางชีวภาพ การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายในการจัดการพลังงานและการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 20% ภายในปี 2570 เทียบกับปีฐาน 2564"

'อ.พงษ์ภาณุ' มอง Fast Fashion ตัวการใหญ่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ชี้!! ธุรกิจเกี่ยวข้องควรตระหนัก ฟากไทยส่งเสริมผ้ารักษ์โลกแล้ว

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่พูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'Fast Fashion กับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก' เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

ธุรกิจ Fast Fashion ได้ส่งผลให้พฤติกรรมการผลิตและการบริโภคของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา 

Fast Fashion คือ การเปลี่ยนแฟชันด้วยความถี่ที่สูงมาก สมัยก่อนอาจมีการออกคอลเลคชันใหม่ปีละ 2 คร้้ง คือ Summer และ Winter Collection แต่ปัจจุบันอาจมีคอลเลคชันใหม่ทุกสัปดาห์ ประกอบกับต้นทุนการผลิตที่ต่ำลงจากการ Outsource การผลิตไปยังประเทศที่มีต้นทุนต่ำ ทำให้ผู้บริโภคมีความสามารถและความต้องการซื้อเสื้อผ้าบ่อยขึ้น

ปริมาณการผลิตและการบริโภคเสื้อผ้าที่มากขึ้น และเทคโนโลยีการผลิตที่ยังคงอาศัยการใช้น้ำและการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลือง การใช้สารเคมีที่เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งขยะเสื้อผ้าเก่าจำนวนมากที่ไม่สามารถกำจัดได้ ได้ทำให้อุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้ากลายเป็นอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

แม้ว่าแนวโน้มการบริโภคแฟชันที่มากขึ้นและถูกลงจะเป็นประโยชน์กับทั้งผู้บริโภคในวงกว้างและผู้ผลิตซึ่งส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศยากจน แต่หากปล่อยให้เป็นไปตามแนวโน้มนี้ จะเป็นอุปสรรคต่อความพยายามของประชาคมโลกที่จะแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้หลายประเทศเริ่มหันมาใช้มาตรการเก็บภาษีเสื้อผ้า บางประเทศส่งเสริมธุรกิจเสื้อผ้าใช้แล้ว รวมทั้งธุรกิจให้ยืมเสื้อผ้า เป็นต้น

ส่วนในไทย ก็เป็นที่น่ายินดีที่กระทรวงมหาดไทยและองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ได้ริเริ่มโครงการส่งเสริมผ้าไทยให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ผู้ประกอบการผ้าไทย ซึ่งเป็นคนในระดับรากหญ้าและชุมชน เข้าถึงกลไกการลดก๊าซเรือนกระจกตามมาตรฐานของ อบก. โดยมีการคำนวณและติดเครื่องหมายรับรอง Carbon Footprint ซึ่งจะช่วยให้ผ้าไทยสามารถเข้าสู่ตลาดโลกในราคาที่สูงขึ้น 

นอกจากนี้ยังได้มีการปรับเปลี่ยนกรรมวิธีการผลิตจากที่เคยใช้สีเคมีในการฟอกย้อมมาใช้สีธรรมชาติ ซึ่งในรอบปีที่ผ่านมาสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้เป็นจำนวนมาก 

ขณะที่ขั้นตอนต่อไป ก็จะเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้าซื้อขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสร้างรายได้เสริมให้กับผู้ประกอบการผ้าไทยอีกด้วย

ไม่เพียงเท่านี้ กลไกการลดก๊าซเรือนกระจกของไทย กำลังก้าวไปไกลอีกระดับ เมื่อ อบก. ได้ออกมาตรฐานโครงการใหม่ที่มีความเข้มข้นและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ที่เรียกว่า T-VER Premium อีกด้วย

แม้ว่าการทำโครงการลดก๊าซเรือนกระจกจะยากและมีต้นทุนสูงขึ้น แต่เชื่อแน่ว่าคาร์บอนเครดิตของไทยน่าจะมีราคาสูงขึ้น โดยภายในสัปดาห์นี้จะมีการอนุมัติโครงการ T-VER Premium ขนาดใหญ่อย่างน้อย 4 โครงการ ขณะเดียวกันคณะรัฐมนตรียังได้อนุมัติโครงการร่วมมือกับญี่ปุ่นที่เรียกว่า Joint Credit Mechanism-JCM เพื่อสนับสนุนให้เอกชนของ 2 ประเทศร่วมทำโครงการลดก๊าซเรือนกระจกตามมาตรฐาน T-VER Premium ของไทยอีกด้วย

‘ประภัตร’ ชี้ช่องรัฐ ติดโซลาร์ให้เกษตรกร ช่วยลดภาระต้นทุน พร้อมหนุนปลูกต้นไม้ส่งตะวันออกกลาง เพิ่มรายได้มั่นคง

(21 มิ.ย. 67) นายประภัตร โพธสุธน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้พลังงานในภาคการเกษตร ภาคครัวเรือน ภาคการขนส่งเป็นจำนวนมาก เชื้อเพลิงส่วนใหญ่นำเข้ามาจากต่างประเทศและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น อีกทั้งมีราคาแพง จากข้อมูลพบว่า มีเกษตรกรที่ได้ขึ้นทะเบียนมากกว่า 8 ล้านครัวเรือน แต่ละครอบครัวมีค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ค่าใช้จ่ายในการประกอบอาชีพทางการเกษตรสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าทางการเกษตรสูงขึ้นตาม และต้องยอมรับว่าประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาการใช้พลังงานเป็นอย่างมาก จึงมีความจำเป็นต้องเร่งแก้ไขปัญหาพลังงานในภาคเกษตรโดยเร็ว ก่อนที่จะเกิดวิกฤติอย่างรุนแรง

นายประภัตร กล่าวว่า ตนมองเห็นสภาพปัญหา และพยายามหาทางแก้ไขปัญหามาโดยตลอดที่ผ่านมาได้เคยหารือกับ บริษัท แคปปิตอล ทรัสต์ กรุ๊ป จำกัด ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นผู้ออก Digital Bond เพื่อระดมทุนกับนักลงทุนสถาบันในต่างประเทศอย่างถูกกฎหมายเชื่อมต่อกับ บริษัท ซีแอลเอ็มวี โฮลดิ้ง จำกัด เป็นผู้บริหารโครงการในประเทศไทย เพื่อติดตั้ง โซลาร์เซลล์ให้เกษตรกรและโครงการปลูกต้นไม้ส่งตะวันออกกลาง เพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร โดยโครงการโซล่าเซลล์จะช่วยทดแทนพลังงานที่มาจากน้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องจักรกลการเกษตร ปั๊มน้ำไฟฟ้า โดรนสำหรับพ่นปุ๋ย โครงการปลูกต้นไม้ส่งตะวันออกกลางจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรไทย 

นายประภัตร กล่าวว่า โครงการนี้จะตั้งเป้าช่วยลดไฟฟ้าลงจากราคาปกติ เบื้องต้นได้มีการเร่งหารือกับผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม โดยให้เร่งศึกษาความเป็นไปได้ จัดหาแนวทางดำเนินงาน การตรวจสอบคุณภาพระบบโซลาร์เซลล์ และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความมั่นใจกับกองทุนต่างประเทศ และนักลงทุนสถาบันในต่างประเทศ 

นายประภัตร กล่าวว่า โครงการเหล่านี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มหาศาล ลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง โดยเกษตรกรไม่ต้องเสียค่าเชื้อเพลิง และมีรายได้เพิ่มกลับให้แต่ละครัวเรือนจากการปลูกต้นไม้เพื่อการส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโครงการโซล่าร์เซลล์นำร่องประสบความสำเร็จ จะสามารถขยายผลติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ไปยังเกษตรกรทุกครัวเรือน และครัวเรือนอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในภาคเกษตรได้ ตนแนะนำให้บริษัทแคปปิตอลทรัสต์พิจารณาซื้อระบบโซลาร์เซลล์ที่มีคุณภาพสูง มีความน่าเชื่อถือระดับโลก เช่น บริษัท เทสล่า เพราะเชื่อว่าหากเกษตรกรในประเทศได้ใช้ระบบโซลาร์เซลล์จำนวนมากจากบริษ้ทชั้นนำอย่างเทสล่าก็จะเป็นผลดีต่อเกษตรกรไทยในราคาที่เหมาะสม

‘ดีป้า’ เผย ดัชนีชี้วัดความสามารถ ในการแข่งขันเมืองอัจฉริยะ ชี้!! ‘วังจันทร์วัลเลย์-ภูเก็ต’ ครองแชมป์ จาก 5 องค์ประกอบ

(22 มิ.ย.67) ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า โพสต์เฟซบุ๊กว่า สำนักงานเมืองอัจฉริยะประเทศไทย ภายใต้การกำกับดูแลของ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) แถลงรายงานดัชนีชี้วัดความสามารถในการแข่งขันเมืองอัจฉริยะประเทศไทย ประจำปี 2566 (Thailand Smart City Competitiveness Index (TSCCI) 2023) จาก 30 เมือง 23 จังหวัด 

โดยพิจารณาจาก 5 องค์ประกอบของแผนพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ได้แก่ การกำหนดวิสัยทัศน์ เป้าหมาย วัตถุประสงค์ และลักษณะของเมืองอัจฉริยะ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางกายภาพและดิจิทัล การพัฒนาระบบข้อมูลและความปลอดภัย การบริการระบบเมืองอัจฉริยะ 7 ด้าน และการระบุแนวทางการลงทุนและการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน ซึ่งดัชนีชี้วัดความสามารถในการแข่งขันเมืองอัจฉริยะประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วยการจัดอันดับเมืองอัจฉริยะตามพื้นที่ (City-based) และการจัดอันดับเมืองอัจฉริยะตามจังหวัด (Province-based)

สำหรับเมืองอัจฉริยะตามพื้นที่ (City-based) ที่ได้รับคะแนนชี้วัดความสามารถในการแข่งขันสูงที่สุด 3 อันดับแรกของปี 2566 ประกอบด้วย เมืองอัจฉริยะวังจันทร์วัลเลย์ จังหวัดระยอง 83.55% สามย่านสมาร์ทซิตี้ กรุงเทพมหานคร 79.02% และคลองผดุงกรุงเกษม กรุงเทพมหานคร 74.55% 

ขณะที่เมืองอัจฉริยะตามจังหวัด (Province-based) ที่ได้รับคะแนนชี้วัดความสามารถในการแข่งขันสูงที่สุด 3 อันดับแรก คือ จังหวัดภูเก็ต 83.60% จังหวัดฉะเชิงเทรา 76.78% และ จังหวัดขอนแก่น 53.81% 

โดยสามารถดูรายงานดัชนีชี้วัดความสามารถในการแข่งขันเมืองอัจฉริยะประเทศไทย ประจำปี 2566 (TSCCI 2023) ได้ที่ https://short.depa.or.th/mpITe และผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับเมืองอัจฉริยะประเทศไทยได้ที่ http://www.smartcitythailand.or.th

‘ครม.’ สั่ง ‘มท.’ เร่งพิจารณาแก้กฎหมาย ‘หนุนอสังหาฯ’ ให้สิทธิคนต่างชาติ ซื้อคอนโดฯ ได้ 75% พร้อมถือครองได้ 99 ปี

(22 มิ.ย.67) แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือด่วนที่สุด ที่ นร 0503/12790 ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2567 ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านอสังหาริมทรัพย์ 

โดยมีเนื้อหาระบุว่า ตามที่ได้ยืนยันมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2567 เรื่อง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ และการเตรียมการเพื่อรองรับการดำเนินการยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลก (Thailand Vision) ไปเพื่อดำเนินการ ความละเอียดแจ้งแล้ว นั้น 

ล่าสุดในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้เสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (9 เมษายน 2567) เรื่อง มาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษามาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องนั้น เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับมหภาค และดึงดูดนักลงทุนขนาดใหญ่ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยมีปัจจัยต่างๆ ที่จะส่งเสริมการเข้ามาทำงานของชาวต่างชาติที่มีศักยภาพ 

จึงขอให้ กระทรวงมหาดไทย ศึกษาความเป็นไปได้ พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการให้สิทธิคนต่างด้าว สามารถถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุด จากเดิมไม่เกิน 49% เป็นไม่เกิน 75% โดยอาจกำหนดเงื่อนไขอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของนิติบุคคลอาคารชุด เช่น การจำกัดสิทธิการออกเสียงของคนต่างด้าว และนิติบุคคลต่างด้าวที่ได้เข้ามาถือกรรมสิทธิ์ในภายหลังจากที่เกินอัตราส่วน 49% และพิจารณาทบทวนการกำหนดระยะเวลาของทรัพย์อิงสิทธิตามพระราชบัญญัติทรัพย์อิงสิทธิ พ.ศ. 2562 โดยกำหนดให้ทรัพย์อิงสิทธิมีกำหนดเวลาได้ไม่เกิน 99 ปี

‘นักวิชาการสิ่งแวดล้อม’ เผย คนไทยต้องเสีย ‘ภาษีคาร์บอน’ เพิ่มขึ้น ชี้!! เป็นการกระตุ้นให้ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

(22 มิ.ย.67) ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ คนไทยกำลังจะต้องเสียภาษีคาร์บอนเพิ่มขึ้นอีกรายการ...เพื่อช่วยกันลดโลกร้อน มีเนื้อหาดังนี้

1. ปี 2569 ยุโรปจะเริ่มเก็บภาษี Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM หรือภาษีนำเข้าคาร์บอนเป็นมาตรการปรับราคาสินค้านำเข้าบางประเภทก่อนเข้าพรมแดนของสหภาพยุโรป เพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง อุตสาหกรรม มีเป้าหมาย จากเดิม 5 กลุ่มสินค้า ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย และไฟฟ้าให้เพิ่มเป็น 7 กลุ่มสินค้าโดยรวมไฮ โดรเจนและสินค้าปลายน้ำบางรายการ เช่น น็อตและสกรูที่ทำจากเหล็กและเหล็ก กล้า ด้วย โดยผู้นำเข้าจะต้องซื้อใบรับรอง CBAM ตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้านั้นและต้องจ่ายภาษีคาร์ บอนตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้าที่ตนนำเข้า นอกจากนี้ยุโรปกำลังจะมีการขยายไปที่สินค้าประเภทอื่น ๆ อีกด้วย เช่น สารอินทรีย์พื้นฐานพลาสติกและโพลีเมอร์ แก้ว เซรามิค ยิปซัม กระดาษ เป็นต้น ผู้ส่งออกไทยเตรียมตัวจ่ายเพิ่ม...

2.สำหรับประเทศไทย ในปีงบประมาณปี 68 กรมสรรพสามิตจะเริ่มจัดเก็บภาษีคาร์ บอน (Carbon Tax)นำร่อง โดยจะนำภาษีคาร์บอนแทรกอยู่ในโครงสร้างภาษี คาดว่าจะเก็บภาษีคาร์บอนอยู่ที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอนโดยเริ่มต้นที่น้ำมันดีเซลก่อนซึ่งน้ำมันดีเซล 1 ลิตรจะปล่อยก๊าซคาร์ บอนไดออกไซด์ 0.0026 ตันคาร์บอน ดังนั้น น้ำมันดีเซล 1 ลิตรจะเสียภาษีคาร์บอนเท่ากับ 0.46 บาทต่อลิตรโดยบวกไว้ในราคาน้ำมัน

3. ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) เป็นภาษีที่เก็บจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก โดยฐานภาษีคาร์บอนที่ใช้ในการจัดเก็บ มี 2 แบบ คือ
1.จัดเก็บภาษีทางตรงจากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตสินค้า
2. จัดเก็บภาษีทางอ้อมตามการบริโภค
...ต่อไปผู้บริโภคเองอาจจะสามารถตัดสินใจเลือกอุดหนุนผลิตภัณฑ์ที่มีการปล่อยคาร์ บอนต่ำและสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้โดยดูจากฉลากคาร์บอนที่ติดมากับสินค้า

4.ประเทศไทยปักหมุดมุ่งสู่การเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)ภายในปี 2593 รวมถึงขยับสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์(Net zero emissions)ภายในปี 2608 ได้ตั้งเป้าการลดก๊าซเรือนกระจกในรูปคาร์บอนไดออกไซด์ จากค่าสูงสุดของไทย 388 ล้านตันต่อปี ลงไปเหลือ120 ล้านตันต่อปี โดยแผนระยะสั้นจากนี้ไปจนถึง ปี ค.ศ. 2573 จะลดก๊าซเรือนกระจก ให้ได้ 40%

'สุชาติ ชมกลิ่น' จาก 'ก.แรงงาน' สู่ 'ก.พาณิชย์' คิดใหญ่!! ค้าขายไทยดี GDP ต่อประชากรสูง-ร่ำรวย

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ได้มีโอกาสพูดคุยกับ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยหนึ่งในประเด็นที่เปิดฉาก เป็นการพูดถึงบทบาท จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สู่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ว่ามีความแตกต่างในการบริหารงานหรือไม่? อย่างไร? 

เกี่ยวกับประเด็นนี้ นายสุชาติ กล่าวว่า "ผมมองว่าคล้ายกับกระทรวงแรงงาน ตรงนั้นต้องหางานให้พี่น้องประชาชนคนไทยไปทำงาน ซึ่งมีความต้องการทำงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะต่างประเทศ ที่เราก็ต้องไปเจรจากับคู่ค้าต่างประเทศในการส่งแรงงาน...

"ขณะที่เมื่อมากำกับดูแลกระทรวงพาณิชย์ ก็ต้องดูการเจรจาการค้า ว่าแต่ละประเทศต้องการสินค้าอะไรจากประเทศไทย ซึ่งมีลักษณะคล้ายกัน...

"อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างกันของธรรมชาติในแต่ละกระทรวงฯ ก็มี เช่น ในแง่ของพาณิชย์ สินค้าที่เราส่งไปมีเรื่องของการแข่งขันในระดับโลก รวมถึงมีรายละเอียดมากกว่าในเรื่องราคาตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาอยู่ด้วย ซึ่งต่างจากบทบาทในเรื่องของแรงงาน"

เมื่อถามถึงบทบาทในปัจจุบันว่าต้องกำกับดูแลหน่วยงานใดเป็นสำคัญ? นายสุชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันได้รับมอบหมายงานจากนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้กำกับดูแลงานของ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ / สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า / และสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) 

โดยในส่วนของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป็นหน่วยงานสำคัญ เพราะเป็นเรื่องการเปิดประตูพูดคุยการค้าขายระหว่างประเทศ ต้องเปิดประตูให้ได้ ซึ่งนโยบายปัจจุบันมีการส่งออกสินค้าหลักอยู่แล้ว แต่ตนก็พยายามส่งเสริมสินค้ารองให้มากขึ้น 

นอกจากนี้ ยังมีภารกิจในการสร้างคนตัวเล็กให้เป็นคนตัวใหญ่ เช่น ผู้ประกอบการธุรกิจ SME ที่จำเป็นต้องส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการส่งออกให้ได้ รวมถึงการขยายตลาดใหม่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากตลาดจีนเพียงอย่างเดียว เช่น อินเดีย และซาอุดีอาระเบีย เป็นต้น 

"ปัจจุบันเรามีทูตพาณิชย์ทั่วโลก 58 ประเทศ ซึ่งทูตต้องทำการบ้านให้เราว่าแต่ละประเทศมีกำลังซื้อเป็นอย่างไร เปิดตลาดใหม่ให้มากขึ้นโดยเฉพาะผลไม้ไทย" รมช.พาณิชย์ กล่าวเสริม 

ในส่วนของ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า? นายสุชาติ เผยว่า ก็ต้องลงพื้นที่เก็บข้อมูลการค้าต่าง ๆ จากหอการค้า สภาอุตสาหกรรม หรือผู้ประกอบการธุรกิจ SME เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์แล้วจัดทำนโยบายแผนและยุทธศาสตร์ให้มีข้อมูลรอบด้าน  

สุดท้ายกับ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานที่อบรมให้ความรู้ให้แก่บุคลากรในภูมิภาค เพื่อเสริมศักยภาพด้านการค้าและการพัฒนา ซึ่งทุกหน่วยงานต้องคิดนอกกรอบ เหล่านี้คือภารกิจใต้หมวกผู้ช่วยรัฐมนตรีพาณิชย์ ณ ปัจจุบัน

เมื่อถามถึงความกังวลใจกับภารกิจในการบริหารงานกระทรวงพาณิชย์ที่ค่อนข้างหนัก? นายสุชาติ กล่าวว่า "จริงๆ แล้ว เป็นความ 'ใฝ่ฝัน' ของผมเลย เพราะวันหนึ่งผมเคยทำหลายภารกิจของกระทรวงแรงงานได้สำเร็จ ก็อยากทำเรื่องการค้าขายให้ประเทศไทยร่ำรวย และมี GDP ต่อประชากรสูงๆ ด้วยเช่นกัน"

เมื่อถามถึงประเด็นราคาสินค้าและค่าครองชีพสูงในปัจจุบัน? นายสุชาติ กล่าวว่า "เรื่องนี้ท่านภูมิธรรม ได้มอบนโยบายให้ทางกรมการค้าภายใน โดยท่านอธิบดีลงไปดูหลายเรื่อง ลงไปดูต้นทุนสินค้าจริงๆ ว่าเป็นอย่างไร มันสูงจริงไหม ด้วยเหตุและผล และต้องทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ค่าครองชีพสูงกว่านี้ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ต้องดูแลเรื่องราคาสินค้าไม่ให้ผู้ผลิตเอาเปรียบผู้บริโภค และต้องสร้างสมดุลให้ได้ เอาความจริงให้ปรากฏอย่าฟังความข้างเดียว" 

สุดท้าย นายสุชาติ ยังได้ฝากถึงกลุ่มผู้กักตุนสินค้า ด้วยว่า ไม่ควรกักตุน เพราะเป็นการเอาเปรียบประชาชน 

'อ.พงษ์ภาณุ' คิกออฟ!! ปฏิบัติการรักษ์โลก หนุนแผนดำเนินงานสีเขียวองค์กรไทย ร่วม 'อบก.' เคาะขึ้นทะเบียน-รับรองโครงการลดก๊าซฯ แก่องค์กรเข้าเกณฑ์

เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.67 TGO ได้มีจัดการประชุมคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ครั้งที่ 7/2567 โดยมี นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ประธานกรรมการ TGO ร่วมกับผู้แทนปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม : สส.) เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร พร้อมด้วยที่ปรึกษาคณะกรรมการฯ และคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

สำหรับสาระการประชุมในครั้งนี้ ได้มีการอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายรับรองฉลากคาร์บอน (คาร์บอนฟุตพริ้นท์) และขึ้นทะเบียนและการรับรองโครงการลดก๊าซเรือนกระจก ในโครงการ Premium T-VER / โครงการ Standard T-VER / โครงการ Standard T-VER หมวด 'โครงการป่าชุมชน' / โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) และ การอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายรับรองประเภทนิวทรัลองค์กร

>> สำหรับในส่วนของ โครงการ Premium T-VER ที่ประชุมมีมติเห็นชอบขึ้นทะเบียนจำนวน 4 โครงการ โดยมีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลด/กักเก็บได้ รวมทั้งสิ้น 19,517 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (tCO2eq/year) ซึ่งโครงการทั้งหมดดำเนินกิจกรรมเพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟูลดความเสื่อมโทรมของพื้นที่ป่า และการปลูกป่าเสริม ประกอบด้วย...

1. โครงการปลูกป่าอย่างมีส่วนร่วม กฟผ. ปี พ.ศ. 2566 (ตำบลแม่ตีบ อำเภองาว จังหวัดลำปาง) โดย กรมป่าไม้ และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
2. โครงการฟื้นฟูป่าชายเลนเพื่อระบบนิเวศ ที่ยั่งยืนของประเทศไทย (กลุ่ม 1) โดย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และบริษัท สยาม ทีซี เทคโนโลยี จำกัด
3. โครงการปลูกป่าชายเลนช่วยโลกลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทย (กลุ่ม 1) โดย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง บริษัท สยาม ทีซี เทคโนโลยี จำกัด และบริษัท วิสุทธิ คอนซัลแตนท์ จำกัด
4. โครงการเพิ่มแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ของประเทศไทย ผ่านการจัดการป่าชายเลนอย่างยั่งยืน โดยเอสซีจี เคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) โดย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน)

>> ในส่วนของโครงการ Standard T-VER ที่ประชุมมีมติเห็นชอบขึ้นทะเบียนจำนวน 26 โครงการ โดยมีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลด/กักเก็บได้ รวมทั้งสิ้น 87,649 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (tCO2eq/year) ประกอบด้วย...

1. โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โซลาร์ ออร์เคสตรา ที่บริษัท ไทย-เยอรมัน โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) (CPA3)
2. โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โซลาร์ออร์เคสตราที่บริษัท เมืองทองอุตสาหกรรมอาลูมีเนียม จำกัด (CPA4)
3. โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากโซล่าเซลล์ เฮเฟเล่ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ บางนา
4. โครงการโซลาเซลล์ของ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน)
5. โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ของบริษัท จินป่าว พรีซิชั่น อินดัสทรี่ จำกัด ที่โรงงานสมุทรปราการ
6. โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาอาคารของบริษัท ทิปโก้ เอฟแอนด์บี จำกัด และบริษัท ทิปโก้ฟูดส์ จำกัด (มหาชน)
7. โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (998.44 kWp) โดยบริษัท คิงส์ ซิง ออโต้ โมบาย พาร์ท จำกัด
8. โครงการกักเก็บและเผาทำลายก๊าซมีเทน โดย บริษัท น้ำตาลและอ้อยตะวันออก จำกัด (มหาชน)
9. โครงการปลูกป่าอย่างยั่งยืนพื้นที่สวนป่าสักของบริษัท คาร์บอน ทีค จำกัด ตำบลหงส์หิน อำเภอจุน จังหวัดพะเยา
10. โครงการปลูกป่าอย่างยั่งยืนพื้นที่สวนป่าสักของบริษัท คาร์บอน ทีค จำกัด จังหวัดอุตรดิตถ์
11. โครงการปลูกป่าอย่างยั่งยืนพื้นที่สวนป่าสักของบริษัท คาร์บอน ทีค จำกัดอำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์
12. โครงการปลูกป่าอย่างยั่งยืน ณ วัดเขาสาป ตำบลเพ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง
13. โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ประเภทป่าไม้และพื้นที่สีเขียวจังหวัดเชียงรายและพะเยา โดยบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) และกรมป่าไม้
14. โครงการป่าชุมชนบ้านห้วยหมากเอียกเหนือและป่าชุมชนบ้านนาเจริญ ตำบลป่าซาง อำเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย
15. โครงการป่าชุมชนตำบลป่าป้อง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่
16. โครงการป่าชุมชนบ้านหินเพิง ตำบลคลองพน อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่
17. โครงการป่าชุมชนบ้านทุ่งหยีเพ็ง ตำบลศาลาด่าน อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่
18. โครงการป่าชุมชนอำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่
19. โครงการป่าชุมชนอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ (โครงการที่ 4)
20. โครงการป่าชุมชนอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย
21. โครงการป่าชุมชนอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
22. โครงการป่าชุมชนอำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่
23. โครงการป่าชุมชนอำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่
24. โครงการป่าชุมชนอำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ
25. โครงการปลูกป่าชายเลน เพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต อำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด โดยบริษัท รีกัล จิวเวลลี่ แมนูแฟคเจอร์ จำกัด
26. โครงการปลูกป่าชายเลน เพื่อสร้างความยั่งยืนในระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม อำเภอแกลง จังหวัดระยอง โดย บริษัท สยาม ทีซี เทคโนโลยี จำกัด

>> ในส่วนโครงการ Standard T-VER หมวด 'โครงการป่าชุมชน' ที่ประชุมมีมติเห็นชอบขึ้นทะเบียน จำนวน 11 โครงการ (รวม 67 ป่าชุมชน พื้นที่ 90,412 ไร่) โดยโครงการทั้งหมดดำเนินกิจกรรมเพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟู ลดความเสื่อมโทรมของพื้นที่ป่าชุมชน และการปลูกป่าเสริม มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลด/กักเก็บได้ รวมทั้งสิ้น 50,575 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (tCO2eq/year) ประกอบด้วย...

1. โครงการป่าชุมชนบ้านห้วยหมากเอียกเหนือและป่าชุมชนบ้านนาเจริญ ตำบลป่าซาง อำเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย
2. โครงการป่าชุมชนตำบลป่าป้อง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่
3. โครงการป่าชุมชนบ้านหินเพิง ตำบลคลองพน อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่
4. โครงการป่าชุมชนบ้านทุ่งหยีเพ็ง ตำบลศาลาด่าน อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่
5. โครงการป่าชุมชนอำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่
6. โครงการป่าชุมชนอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ (โครงการที่ 4)
7. โครงการป่าชุมชนอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย
8. โครงการป่าชุมชนอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
9. โครงการป่าชุมชนอำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่
10. โครงการป่าชุมชนอำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่
11. โครงการป่าชุมชนอำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ

>> ในส่วนของโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) ที่ประชุมมีมติเห็นชอบรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจก จำนวน 13 โครงการ โดยมีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลด/กักเก็บได้ รวมทั้งสิ้น 1,326,753 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq) ประกอบด้วย...

1. โครงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ที่นครสวรรค์ ประเทศไทย
2. โครงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ที่พิษณุโลก ประเทศไทย
3. โครงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ที่ลำปาง ประเทศไทย
4. โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังลม หนุมาน 1
5. โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังลม หนุมาน 5
6. โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังลม หนุมาน 8
7. โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังลม หนุมาน 9
8. โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังลม หนุมาน 10
9. โครงการผลิตไฟฟ้าจากลม หาดกังหัน 126 เมกะวัตต์
10. โครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากชีวมวล ขนาด 9.9 เมกะวัตต์ โดย ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่
11. โครงการกักเก็บและใช้ประโยชน์จากก๊าซมีเทน โดย บริษัท ปาล์มดีศรีนคร จำกัด
12. โครงการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าแสงสว่างจากหลอดไอปรอทความดันสูงเป็นแอลอีดีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน
13. โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย

ทั้งนี้ ในภาพรวมโครงการ T-VER มีการรับรองคาร์บอนเครดิตที่เข้าสู่ตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตภายในประเทศรวมทั้งสิ้นมากกว่า 19.4 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยการดำเนินโครงการดังกล่าวยังก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วม (Co-benefit) ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เช่น เพิ่มพื้นที่สีเขียวและความหลากหลายทางชีวภาพให้ชุมชน ลดมลพิษด้านสิ่งแวดล้อม เพิ่มรายได้แก่ชุมชน เพิ่มมูลค่าของเสียหรือของเหลือทิ้งทางการเกษตรและครัวเรือน เป็นต้น

>> สุดท้าย ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายรับรองประเภทนิวทรัลองค์กร สำหรับ 4 องค์กร ออฟเซตองค์กร / สำหรับ 2 องค์กร และนิวทรัลอีเวนต์ สำหรับ 6 อีเวนต์ ซึ่งมีการชดเชยปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่างๆ ขององค์กร และอีเวนต์ โดยมีจำนวนคาร์บอนเครดิตจากโครงการ T-VER ที่ซื้อมาชดเชย รวมทั้งสิ้น 27,821 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq) ได้แก่...

นิวทรัลองค์กร สำหรับ 4 องค์กร...
1. บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน)
2. บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน)
3. บริษัท บาฟส์ขนส่งทางท่อ จำกัด
4. บริษัท ซิตี้ฟูด จำกัด

ออฟเซตองค์กร สำหรับ 2 องค์กร...
1. บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด
2. บริษัท เอ็ม ดี เอ็กซ์ จำกัด (มหาชน) สาขานิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ ซิตี้

นิวทรัลอีเวนต์ สำหรับ 6 อีเวนต์...
1. งาน 62nd ICCA Congress 2023
2. งานประชุมสามัญผู้ถือหุ้น บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ประจำปี 2567
3. งาน Bangchak Open 2024

4. งาน Unlocking Potential : I-RECs in Thailand
5. พิธีมอบทุนการศึกษาบุตรพนักงาน รางวัลอายุงาน รางวัลปฏิบัติงานสม่ำเสมอ AFCR ระยอง ประจำปี 2567
6. การประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2567 โดย บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)

‘รัดเกล้า’ เผยข่าวดี!! 'ไทย-ติมอร์' เดินหน้าส่งเสริมความสัมพันธ์รอบด้าน ร่วมลงนาม ‘Free visa’ กระชับความร่วมมือ ‘ท่องเที่ยว-ศก.-วัฒนธรรม’

(22 มิ.ย.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์–เลสเต เดินหน้ากระชับความร่วมมือและส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ ผ่านร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราประเภทท่องเที่ยวสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา ซึ่งได้มีการลงนามในช่วงการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและความมั่นคงของติมอร์ ระหว่างวันที่ 20-21 มิ.ย.ที่ผ่านมา

รองโฆษกรัฐบาล กล่าวว่า ติมอร์มีความประสงค์จะจัดทำความตกลงฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางระหว่างประชาชนของไทยและติมอร์เพื่อการท่องเที่ยว รวมทั้งเป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำหรับการเป็นสมาชิกอาเซียนของติมอร์ ติมอร์จึงได้เสนอขอจัดทำความตกลงฯ เพื่อขอให้ฝ่ายไทยพิจารณา ซึ่งที่ประชุม ครม. (18 มิ.ย.67) ได้มีมติเห็นชอบแล้วตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ โดยมีสาระสำคัญ อาทิ ความตกลงฉบับนี้มีไว้เพื่ออำนวยความสะดวกให้บุคคลสัญชาติไทยและบุคคลสัญชาติติมอร์เดินทางเข้าดินแดนของภาคีอีกฝ่ายหนึ่งด้วยวัตถุประสงค์เพื่อการท่องเที่ยว โดยไม่ต้องมีการขอรับการตรวจลงตรา เป็นระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน มีผลบังคับใช้ในวันที่ 30 วันนับจากวันที่ได้รับการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งสุดท้ายโดยคู่ภาคีว่าได้ปฏิบัติตามขั้นตอนภายในที่จำเป็นของตนเพื่อให้ความตกลงฉบับนี้มีผลบังคับใช้จนกว่าจะถูกบอกเลิกโดยคู่ภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง

นางรัดเกล้า กล่าวอีกว่า ภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจระงับการปฏิบัติตามความตกลงฉบับนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ การรักษาความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ หรือสาธารณสุข โดยการระงับและการเพิกถอนการระงับดังกล่าวจะต้องทำโดยการบอกกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรต่อภาคีอีกฝ่ายหนึ่งผ่านช่องทางการทูตอย่างน้อย 30 วันล่วงหน้า เป็นต้น โดยความตกลงฯ ดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ในการอำนวยความสะดวกในการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยจะมีผลเชิงบวกต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย - ติมอร์ ในภาพรวมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ตลอดจนความสัมพันธ์ระดับประชาชน

รองโฆษกรัฐบาล กล่าวว่า ทั้งนี้ กต. แจ้งว่า ร่างความตกลงฯ มีถ้อยคำและบริบทที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ ดังนั้น ร่างความตกลงฯ จึงเป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งจะต้องขอความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีก่อนการลงนามและดำเนินการให้มีผลผูกพัน แต่ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ขอให้ กต. สามารถดำเนินการได้ โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว

'ส่งออก' ติดสปีด!! พ.ค.โต 7.2% แรงหนุนจากสินค้าเกษตร ชวนจับตา 'ทุเรียน' โตแรง!! มั่นใจครองแชมป์ตลาดจีน

(22 มิ.ย.67) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกเดือน พ.ค.2567 มีมูลค่า 26,219.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 7.2% โดยมูลค่าสูงสุดในรอบ 14 เดือน และขยายตัวเป็นบวก 2 เดือนติดต่อกัน คิดเป็นเงินบาท มูลค่า 960,220 ล้านบาท การนำเข้ามีมูลค่า 25,563.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 1.7% คิดเป็นเงินบาท มูลค่า 947,007 ล้านบาท เกินดุลการค้า 656.1 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินบาท มูลค่า 13,214 ล้านบาท รวม 5 เดือน ของปี 2567 (ม.ค.-พ.ค.) การส่งออก มูลค่า 120,954.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 2.6% คิดเป็นเงินบาท มูลค่า 4,298,248 ล้านบาท การนำเข้า มูลค่า 125,954.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.5% คิดเป็นเงินบาท มูลค่า 4,542,224 ล้านบาท ขาดดุลการค้า 5,460.7 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินบาท มูลค่า 243,976 ล้านบาท

สำหรับการส่งออกที่เพิ่มขึ้น มาจากการเพิ่มขึ้นของการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร 19.4% โดยสินค้าเกษตร เพิ่ม 36.5% สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร เพิ่ม 0.8 สินค้าสำคัญที่เพิ่มขึ้น เช่น ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ยางพารา อาหารสัตว์เลี้ยง ไก่แปรรูป ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ ผลไม้กระป๋องและแปรรูป สิ่งปรุงรสอาหาร นมและผลิตภัณฑ์นม ส่วนสินค้าที่ลดลง เช่น ข้าว อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป น้ำตาลทราย ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ทั้งนี้ 5 เดือนของปี 2567 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร เพิ่ม 4.7%

ส่วนการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่ม 4.6% สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ทองแดงและของทำด้วยทองแดง ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ส่วนสินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น ผลิตภัณฑ์ยาง แผงวงจรไฟฟ้า เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์และไดโอด รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ ทั้งนี้ 5 เดือนของปี 2567 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่ม 2.4%

ทางด้านตลาดส่งออก ตลาดหลัก เพิ่ม 8% โดยสหรัฐฯ เพิ่ม 9.1% CLMV เพิ่ม 9.6% จีน เพิ่ม 31.2% แต่อาเซียน (5) ลด 0.6% และสหภาพยุโรป (27) ลด 5.4% ญี่ปุ่น ลด 1% ตลาดรอง เพิ่ม 5.1% โดยเอเชียใต้ เพิ่ม 22.4% ลาตินอเมริกา เพิ่ม 14.8% รัสเซียและกลุ่ม CIS เพิ่ม 2.7% แต่ทวีปออสเตรเลีย ลด 1.4% ตะวันออกกลาง ลด 8.1% แอฟริกา ลด 19% สหราชอาณาจักร ลด 1.5% ตลาดอื่น ๆ เพิ่ม 11.5% อาทิ สวิตเซอร์แลนด์ เพิ่ม 28.1%

นายพูนพงษ์กล่าวว่า เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา การส่งออกผลไม้ พลิกกลับมาเป็นบวกสูงถึง 128% โดยในนี้เป็นการส่งออก ทุเรียน 83,059.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% แสดงให้เห็นว่า ทุเรียนของไทยยังส่งออกได้ดี โดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดจีน หลังจากที่ลดลงช่วง 1-2 เดือนก่อนหน้า เพราะผลผลิตปีนี้ออกล่าช้า แต่พอเดือน พ.ค. ผลผลิตมีเต็มที่ ทำให้ส่งออกได้มากขึ้น และคาดว่าเดือนต่อ ๆ ไปก็จะส่งออกได้ดีขึ้น อีกทั้งยังมีทุเรียนภาคใต้ ที่จะเข้ามาเสริม ทำให้มั่นใจว่าไทยยังคงเป็นแชมป์ส่งออกไปจีนเหนือคู่แข่งแน่นอน

สำหรับแนวโน้มการส่งออกเดือน มิ.ย.2567 คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง และยังเป็นบวก แม้ว่าฐานเดือนเดียวกันของปี 2566 จะอยู่ในระดับสูงที่ 2.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และตัวเลขครึ่งปี เป็นบวกแน่นอน ส่วนครึ่งปีหลัง การส่งออกยังจะเติบโตได้ดี โดยมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การค้าโลก ปัญหาเงินเฟ้อที่เบาบางลง ธนาคารกลางของแต่ละประเทศมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นกำลังซื้อ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ค่าระวางเรือ ที่เป็นผลลบต่อการส่งออก แต่ตัวเลขทั้งปียังมั่นใจจะขยายตัว 1-2%

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การส่งออกยังคงเติบโตได้ดี แต่ภาคเอกชนมีความกังวลในเรื่องค่าระวางเรือที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยค่าระวางเรือไปยุโรป เพิ่มขึ้น 2 เท่า เมื่อเทียบกับเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา และเส้นทางไปสหรัฐฯ ก็เพิ่ม 2 เท่าเช่นเดียวกัน ทำให้เป็นต้นทุน แต่ยังประเมินส่งออกครึ่งปี 2567 น่าจะบวกได้ 2%


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top