Monday, 9 June 2025
GoodsVoice

ธนาคารทหารไทย เผยชื่อใหม่หลังควบรวมกับธนาคารธนชาตเสร็จสิ้น เป็น 'ธนาคารทหารไทยธนชาต'​ ชื่อย่อหลักทรัพย์เปลี่ยนเป็น TTB

ธนาคารทหารไทย หรือ TMB ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเห็นสมควรเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนชื่อธนาคารและแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิ

ทั้งนี้ จะแก้ไขชื่อเป็น ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ TMBThanachart Bank เพื่อให้เป็นไปตามกลยุทธ์ในการปรับเปลี่ยนภาพของแบรนด์ หรือ Rebranding ของธนาคารภายหลังการดำเนินการตามโครงการซื้อหุ้นเพื่อการโอนและรับโอนกิจการทั้งหมดของธนาคารธนชาต มายังธนาคารทหารไทย

นอกจากนี้ ธนาคารมีแผนจะเปลี่ยนแปลงชื่อย่อหลักทรัพย์จาก TMB เป็น TTB ต่อไป โดยการเปลี่ยนแปลงชื่อย่อหลักทรัพย์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายหลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติเปลี่ยนชื่อธนาคาร และนายทะเบียนมหาชน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์รับจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิ

ขณะเดียวกันที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารได้มีมติเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 454,937,500 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.95 บาท ดังนี้

- จำนวนไม่เกิน 305 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.95 บาท เพื่อรองรับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้บริหาร และพนักงานของธนาคาร และธนาคารธนชาต (TBANK) ภายใต้โครงการ 2021 TMB Stock Retention Program และ

- จำนวนไม่เกิน 149,937,500 หุ้นมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.95 บาท เพื่อรองรับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้บริหารและพนักงานของธนาคาร และ TBANK ภายใต้โครงการ 2019 TMB Stock Retention Program ที่ยังคงมีผลอยู่


ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/business/stocks-gold/2039937

เพิ่มอัตราค่าจ้าง 3 กลุ่มแรงงาน สูงสุด 630 บาทต่อวัน

ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลในสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับประเด็นเรื่อง เพิ่มอัตราค่าจ้าง 3 กลุ่มแรงงาน สูงสุด 630 บาทต่อวัน ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย กรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลจริง

กรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี ได้ให้ข้อมูลว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีการเห็นชอบเพิ่มอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ 3 กลุ่มสาขาอาชีพ รวม 13 สาขา ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ เพื่อให้ลูกจ้างที่ผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติในแต่ละสาขาอาชีพ และแต่ละระดับได้รับค่าจ้างที่เหมาะสมเป็นธรรม สอดคล้องกับทักษะฝีมือความรู้ความสามารถของตน แต่ทั้งนี้ประกาศอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ จะมีผลบังคับใช้ 90 วันหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา

โดยอัตราค่าจ้างแต่ละสาขาอาชีพ มีรายละเอียดดังนี้

1. กลุ่มช่างอุตสาหกรรม ค่าจ้างตั้งแต่ 460 – 630 บาทต่อวัน ได้แก่

1.1 ช่างกลึง

1.2 ช่างควบคุมเครื่องกลึง CNC

1.3 ช่างควบคุมเครื่อง Wire Cut

1.4 ช่างเชื่อมอาร์กโลหะด้วยมือ

2. กลุ่มช่างไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ ค่าจ้างต่อวันตั้งแต่ 440 - 540 บาทต่อวัน ได้แก่

2.1 ช่างไฟฟ้าภายนอกอาคาร

2.2 ช่างโทรคมนาคม (ไมโครเวฟและการสื่อสารดาวเทียม)

2.3 ช่างควบคุมด้วยระบบโปรแกรมเมเบิ้ลลอจิกคอนโทรลเลอร์ (Programmable Logic Controller: PLC)

2.4 ช่างไฟฟ้าสำหรับอุตสาหกรรมการจัดประชุม การเดินทางเพื่อเป็นรางวัล และการแสดงสินค้า (MICE : Meeting Incentives Conventions Exhibitions)

2.5 ช่างติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์

3. กลุ่มช่างเครื่องกล ค่าจ้างตั้งแต่ 415 – 430 บาทต่อวัน ได้แก่

3.1 พนักงานควบคุมเครื่องจักรรถยกไฟฟ้า

3.2 พนักงานควบคุมเครื่องจักรรถยกใช้เครื่องยนต์

3.3 ช่างตั้งศูนย์และถ่วงล้อรถยนต์

3.4 ช่างซ่อมรถจักรยานยนต์

และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจาก กรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.prd.go.th หรือโทร. 02 6182323

(หน่วยงานที่ตรวจสอบ : กรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี)​


ที่มา: https://www.antifakenewscenter.com/%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87-3-%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94-630-%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD/

กทก. ยัน! จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยเพิ่มขึ้นไม่หวั่นโควิด คาดยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังไทยจิ้มเข็มวัคซีนและผ่อนปรนต่างชาติฉีดวัคซีนเข้าไทยได้ไม่ต้องกักตัว

กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา ได้สรุปจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในเดือนมกราคม พ.ศ. 2564 เริ่มกลับมามีจำนวนเพิ่มขึ้น แม้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระรอกใหม่เกิดขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่ช่วงปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2563 ต่อเนื่องมาจนถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2564 โดยจากการรวบรวมตัวเลขทั้งนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาผ่านวีซ่าประเภทพิเศษ (เอสทีวี) นักท่องเที่ยวกลุ่มสมาชิกไทยแลนด์อีลิทการ์ด และกลุ่มนักธุรกิจ เดินทางเข้าประเทศไทยแล้วจำนวน 7,694 คน ส่วนจำนวนรายได้ ล่าสุดยังอยู่ระหว่างการรวบรวม

ทั้งนี้ประเมินว่า ในช่วงต่อจากนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติในกลุ่มที่ได้รับการผ่อนปรนให้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ เดินทางเข้ามาต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ประเทศไทยได้มีการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 เป็นที่เรียบร้อยในช่วงตังแต่เดือนมี.ค.นี้เป็นต้นไป รวมไปถึงแนวโน้มการผ่อนปรนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีน และมีใบรับรองอย่างถูกต้อง สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยที่ไม่ต้องกักตัว ตามนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กาลโหม ซึ่งได้ออกมาประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้

สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยในเดือนนี้ ภาพรวมมีทั้งหมด 7,694 คน ลดลง 99.80% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อนที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยรวม 3.81 ล้านคน ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของการระบาดของไวรัสโควิด-19 จากประเทศจีน ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวที่ติดลบเกือบ 100% นี้ เป็นผลมาจากการระบาดที่ยังไม่สิ้นสุด แต่ก็เป็นที่น่าสนใจว่าจำนวนตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนนี้ มีจำนวนตัวเลขการเดินทางเข้ามามากกว่าหลาย ๆ เดือนในช่วงที่มีการระบาดของไวรัสโควิด และรัฐบาลได้ผ่อนปรนให้เดินทางเข้ามาได้แล้ว โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับในช่วงไตรมาสที่ 3 - 4 ของปี 63

กรมสรรพสามิต เล็งชะลอขึ้นภาษีน้ำหวาน จากเดิมกำหนดขึ้น 1 ตุลาคม 64 หวังช่วยผู้ประกอบการในยุคโควิด-19

นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมฯ เตรียมชะลอการปรับขึ้นภาษีเครื่องดื่มที่มีความหวาน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 เนื่องจากในวันที่ 1 ต.ค. 2564 จะครบกำหนดเวลาที่ต้องมีการปรับขึ้นภาษีความหวานรอบใหม่ จากระยะที่ 2 ไปสู่ระยะที่ 3 ซึ่งจะมีอัตราภาษีที่เพิ่มแบบก้าวกระโดด จนอาจกลายเป็นภาระให้กับผู้ประกอบการ และผู้บริโภค โดยที่ผ่านมาการเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีสารความหวาน ได้กำหนดอัตราภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 4 ระยะ ซึ่งปัจจุบันกำลังเก็บภาษีระยะที่ 2 ถึงวันที่ 30 ก.ย.นี้

สำหรับโครงสร้างภาษีเครื่องดื่มที่มีความหวาน ที่มีกำหนดเพิ่มขึ้นวันที่ 1 ต.ค.64 เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลไม่เกิน 6 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร จะยังได้รับยกเว้นเก็บภาษีเหมือนเดิม ส่วนเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล 6 - 8 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร จะเสียภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้นจาก 0.10 บาทต่อลิตร เป็น 0.30 บาทต่อลิตร เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล 8 - 10 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร จะเสียภาษีเพิ่มขึ้นจาก 0.30บาทต่อลิตร เป็น 1 บาทต่อลิตร

เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล 10-14 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร จะเสียภาษีเพิ่มขึ้นจาก 1 บาทต่อลิตร เป็น 3 บาทต่อลิตร เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล 14 - 18 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร จะเสียภาษีเพิ่มขึ้นจาก 3 บาทต่อลิตร เป็น 5 บาทต่อลิตร ขณะที่เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเกิน18 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร จะเสียภาษีเท่าเดิมที่ 5 บาทต่อลิตร

“กรมจะทบทวนดูว่าจะมีการชะลอขึ้นภาษีออกไปหรือไม่ โดยจะนำข้อมูลนำมาพิจารณารายละเอียดดูความเหมาะสมอีกครั้ง ซึ่งยังไม่ได้ยืนยันว่าจะมีการเลื่อนออกไป หรือเลื่อนออกไปมากน้อยแค่ไหน ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา”

นายจุรินทร์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตั้งเป้าหมายการดำเนินงาน 3 ด้าน ของทูตพาณิชย์ทั้ง58 แห่งทั่วโลก หวังดันส่งออกไทยโต 4% ปี64

นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าจากการที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สั่งการให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์จัดทำเป้าหมายการดำเนินงานของทูตพาณิชย์ในการผลักดันการส่งออกปี 2564 ทั้งนี้มีเป้าหมายการดำเนินงานของทูตพาณิชย์ 3 ด้านเพื่อเร่งรัดการส่งออกให้เติบโต 4% ในปีนี้นั้น 

นายจุรินทร์ เห็นชอบให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้นำนโยบาย 14 แผนงานและทิศทางกระทรวงพาณิชย์ปี 2564 ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มาเป็นกรอบการกำหนดเป้าหมายของทูตพาณิชย์ 3 เป้าหมาย คือ 

เป้าหมายที่ 1 ด้านอัตราขยายตัวการส่งออกรายประเทศและรายสินค้าให้ขยายตัว 4% โดยทั่ว ทั้ง 58 แห่งใน 43 ประเทศทั่วโลก โดยประเมินเป้าหมายการส่งออกปี 2564 เป็นรายประเทศและรายสินค้าและหาหรือภาคเอกชนโดยเฉพาะสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและสมาคมที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมประเมินสถานการณ์การส่งออกของไทยทั้งนี้ภายหลังการหารือได้กำหนดเป้าหมายที่ร้อยละ4 สอดคล้องกับนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

เป้าหมายที่ 2 จำนวนผู้นำเข้าร่วมกิจกรรมของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ สินค้าประเภทเกษตรและอาหาร เป้าหมาย 6.64% สินค้า New normal เป้าหมาย 6.81% กลุ่มแฟชั่น 2.36% กลุ่มอุตสาหกรรมหนัก 3. 76% ด้านธุรกิจและบริการ 103 ครั้ง 

เป้าหมายที่ 3 จำนวนกิจกรรมที่ร่วมกับแพลตฟอร์มพันธมิตรออนไลน์ E-Commetce Platform ในต่างประเทศรวม 65 ครั้ง เน้นตลาดอินเดีย สหรัฐอเมริกา อาเซียน และจีน โดยให้เป็นไปตามนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ภายใต้วิสัยทัศน์ "เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด" ที่ต้องการผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสินค้าเกษตรและอาหารคุณภาพของโลก 

"ทั้งนี้ให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เน้นเป้าหมายที่2 และ3ในการประเมินการดำเนินงานของทูตพาณิชย์ในปี 2564 เนื่องจากเห็นว่าเป็นปัจจัยสำเร็จในการขับเคลื่อนการขยายตัวการส่งออกนอกจากนี้ยังให้ทูตพาณิชย์และภาคเอกชนกำหนดเป้าหมายขับเคลื่อนการส่งออกของไทย Working Target ปี 2564 ขยายตัวที่ 4% อย่างไรก็ตามรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ให้ความเห็นชอบเป้าหมายการดำเนินงานทั้ง 3 ข้อพร้อมสั่งการให้เร่งรัดดำเนินงานให้ได้ประสิทธิภาพต่อไป " นางมัลลิกา กล่าว

การรถไฟแห่งประเทศไทย ปรับเพิ่มการเดินรถชานเมือง 14 ขบวน รองรับการผ่อนปรนมาตราการโควิด เริ่ม 1 มีนาคม 64

การรถไฟแห่งประเทศไทย ขอแจ้งปรับเพิ่มการให้บริการเดินรถตามแนวทางการผ่อนปรนมาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด–19 ของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เพื่อรองรับความต้องการใช้บริการที่มีเพิ่มขึ้น โดยมีการเปิดให้บริการเดินขบวนรถชานเมืองเพิ่มอีก 14 ขบวน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป ประกอบด้วย

รถชานเมืองสายตะวันออก  
ขบวน 275/276 กรุงเทพ-อรัญประเทศ-กรุงเทพ 
ขบวน 283/284 กรุงเทพ-พลูตาหลวง-กรุงเทพ

สายเหนือ
ขบวน 209/210 กรุงเทพ-บ้านตาคลี-กรุงเทพ 
ขบวน 317/318 กรุงเทพ-ลพบุรี-กรุงเทพ
ขบวน 303/304 อยุธยา-ลพบุรี-อยุธยา

สายใต้
ขบวน 259/260 ธนบุรี-น้ำตก-ธนบุรี
ขบวน 251/252 ธนบุรี-ประจวบคีรีขันธ์-ธนบุรี

อย่างไรก็ตาม ในส่วนบางพื้นที่ ที่ยังคงมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด การรถไฟฯ ได้มีการขยายเวลางดการให้บริการเดินรถโดยสารเชิงพาณิชย์ชั่วคราวต่อไป จนกว่าจะแจ้งเปลี่ยนแปลง สำหรับประชาชนที่ต้องการเดินทางโดยรถไฟ สำรองที่นั่งล่วงหน้า หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเฟซบุ๊กแฟนเพจทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย

สัญญาณเศรษฐกิจฟื้น ‘สุริยะ’เผยเริ่มต้นปี 64 ดัชนีอุตฯ ปรับขึ้น 6.03% ส่วนส่งออกสินค้าอุตฯขยายตัวสูงสุดรอบ 29 เดือน

กระทรวงอุตสาหกรรม เผยดัชนีอุตสาหกรรมเดือน ม.ค. 64 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือน ธ.ค. 63 ร้อยละ 6.03 ส่วนการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหักทองและรายการพิเศษในเดือน ม.ค.64 ขยายตัวร้อยละ 8.22 ขยายต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 สูงที่สุดในรอบ 29 เดือน

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมกราคม 2564 ดัชนีเพิ่มขึ้นจากเดือนธันวาคม 2563 อยู่ที่ระดับ 101.82 และอัตราการใช้กำลังการผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 66.41 ทำให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม เดือนแรกของปี 2564 กลับมามีแนวโน้มขยายตัว เนื่องจากความเชื่อมั่นในการจัดหาและบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 ที่ล็อตแรกได้จัดส่งถึงประเทศไทยแล้วเมื่อวานนี้ (24 ก.พ.64) และจะเริ่มฉีดเข็มแรกโดยเร็วที่สุดตามแผนการกระจายวัคซีนโควิด-19 ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น โครงการคนละครึ่ง ช้อปดีมีคืน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เราชนะ และโครงการเรารักกันจะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนมกราคม 2564 หดตัวร้อยละ 2.80 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2563 ส่งผลต่อเนื่องมายังเดือนมกราคม 2564 ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การจับจ่ายใช้สอย รวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศลดลง ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวในระยะสั้น

นายทองชัยกล่าวต่อว่าแนวโน้มเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมไทยจะปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการกระจายวัคซีนโควิค-19 ทั้งในและต่างประเทศ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ จำนวนการแพร่ระบาดที่ลดลงอย่างต่อเนื่องรวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามามีแนวโน้มที่ดีขึ้นอีกทั้งรัฐบาลได้ผ่อนคลายกิจกรรมในพื้นที่ควบคุม อาทิเช่น ร้านอาหารเปิดบริการได้ตามปกติ สถานบันเทิง ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า สถานศึกษา สถาบันกวดวิชา และสถานที่ออกกำลังกาย

เป็นต้น สำหรับในมุมเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับจากความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในหลายประเทศ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการผลิตและการบริโภค ส่งผลให้การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหักทองและรายการพิเศษเดือนมกราคม 2564 ขยายตัวร้อยละ 8.22 โดยเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือน ที่ 2 และเป็นการขยายตัวสูงที่สุดในรอบ 29 เดือน ซึ่งจากที่กล่าวมาสะท้อนให้เห็นสภาวะเศรษฐกิจของไทยที่มีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ

อุตสาหกรรมหลักที่ยังคงขยายตัวดีในเดือนมกราคม 2564 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนได้แก่

เม็ดพลาสติก ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 10.86 จากความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่เพิ่มขึ้น เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อีกทั้งจากสถานการณ์โควิด-19 ที่หลายสถานประกอบการมีนโยบายให้พนักงาน work from home ประกอบกับการลดการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ จึงส่งผลให้กลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์ ถุงอาหาร ขวด และเครื่องใช้ในครัวเรือนขยายตัวมากกว่าปีก่อน

เหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 9.44 จากความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และบรรจุภัณฑ์อาหาร นอกจากนี้ สถานการณ์ราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากจีนมีการนำเข้าสินค้าเหล็กเพิ่มสูงขึ้นมากจนเกิดภาวะขาดแคลนสินค้า (Short Supply) ผู้ผลิตจึงเร่งผลิตเพื่อขายทำกำไรในช่วงนี้

เฟอร์นิเจอร์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 23.63 จากเฟอร์นิเจอร์ทำด้วยไม้เป็นหลัก จากการส่งออกไปสหรัฐอเมริกา รวมถึงสามารถกลับมาส่งสินค้าได้ตามปกติหลังมีปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ในช่วงก่อนหน้า

อาหารสัตว์สำเร็จรูป ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 9.21 จากอาหารสัตว์เลี้ยงสำเร็จรูปและอาหารปลาเป็นหลัก โดยเพิ่มขึ้นจากการผลิตอาหารแมวเพื่อส่งออกไปสหรัฐอเมริกา เนื่องจากผู้ผลิตในสหรัฐอเมริกาเลิกการผลิตและหันมาสั่งซื้อสินค้าจากไทยเพื่อจำหน่ายแทน

คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 5.74 จาก สินค้า Printer เป็นหลัก ซึ่งผู้ผลิตได้รับคำสั่งซื้อต่อเนื่องในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เนื่องจากผู้ผลิตจากอินโดนีเซีย จีน และฟิลิปปินส์ ไม่สามารถผลิตและส่งมอบสินค้าได้ รวมถึงความต้องการใช้เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการทำงาน work from home

เนื้อโคขุนราคาดี ธ.ก.ส. อัดสินเชื่อ 5 หมื่นล้าน ดอกแค่ 0.01% ต่อปี หนุนเกษตรกรรวมกลุ่มเลี้ยงโคขุน

ธ.ก.ส. ร่วมกรมปศุสัตว์ หนุนเกษตรกรรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชนส่งเสริมการเลี้ยงโคขุน พร้อมสนับสนุนความรู้คู่เงินทุนหมุนเวียนผ่านสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย อัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรก 0.01% ต่อปี หรือล้านละ 100 บาท

นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. ได้ร่วมลงนามความร่วมมือกับกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขับเคลื่อนโครงการสนับสนุนสินเชื่อส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ โคเนื้อ กระบือ แพะเนื้อ และไก่พื้นเมือง โดยสนับสนุนสินเชื่อตามโครงการธุรกิจชุมชนสร้างไทย เป็นเพื่อเป็นค่าลงทุนและค่าใช้จ่ายหมุนเวียน อัตราดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี หรือล้านละ 100 บาท เป็นระยะเวลา 3 ปีนับแต่วันกู้

โดยตั้งแต่ปีที่ 4 เป็นต้นไปคิดอัตราดอกเบี้ยตามเกณฑ์ปกติของธนาคาร กำหนดชำระคืนเงินกู้กรณีค่าใช้จ่ายหมุนเวียน ไม่เกิน 12 เดือน (พิเศษไม่เกิน 18 เดือน) กรณีค่าลงทุน ไม่เกิน 15 ปี (พิเศษไม่เกิน 20 ปี) นับแต่วันที่กู้ ระยะเวลาจ่ายเงินกู้ตั้งแต่บัดนี้ ถึง 30 พฤศจิกายน 2565 วงเงินสินเชื่อรวม 50,000 ล้านบาท

ปัจจุบันมีวิสาหกิจชุมชนที่เข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 104 แห่ง และ ธ.ก.ส. ได้สนับสนุนสินเชื่อไปแล้วกว่า 417 ล้านบาท ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวข้องได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอ ปศุสัตว์อำเภอ หรือ ธ.ก.ส. ในพื้นที่ของท่าน

"ปัจจุบัน ธ.ก.ส. เล็งเห็นว่าโคเนื้อได้รับความนิยมในการบริโภค อีกทั้งมีราคาขายที่สูงขึ้นกว่าในอดีต จึงได้มีการสนับสนุนให้เกษตรกรหันมาเลี้ยงโคขุนเพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรมีอาชีพและรายได้ที่เพิ่มขึ้น"

สร้างรายได้จากแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ‘ปิดทองหลังพระ’ ช่วยเพิ่มรายได้ชุมชน 426 ล้าน เล็งขยายเพิ่มอีก 9 จังหวัดพื้นที่ต้นแบบในปีนี้

สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ นำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงประยุกต์ใช้แก้ปัญหาชุมชนในท้องถิ่น ในพื้นที่ 12 จังหวัด ช่วยสร้างรายได้เพิ่ม 426 ล้าน เล็งขยายเพิ่มอีก 9 จังหวัดในปีนี้

นายการัณย์ ศุภกิจวิเลขการ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ เปิดเผยผลดำเนินงานของปิดทองฯ ในปี 63 ว่า ปิดทองฯ ได้น้อมนำแนวพระราชดำริ โดยเฉพาะหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ช่วยแก้ปัญหาให้กับชุมชนในท้องถิ่น ในพื้นที่ดำเนินการ 12 จังหวัด สามารถเพิ่มพื้นที่รับประโยชน์จากน้ำ 33,171 ไร่ ให้กับเกษตรกร 14,260 ครัวเรือน เพื่อทำการเกษตรได้ตลอดทั้งปี ช่วยสร้างรายได้รวม 426 ล้านบาท

“รายได้เหล่านี้มาจากการส่งเสริมอาชีพ การปลูกพืชหมุนเวียนตลอดปีและการท่องเที่ยววิถีท้องถิ่นของพื้นที่ต้นแบบ 69 ล้านบาท โครงการทุเรียนคุณภาพสามจังหวัดชายแดนใต้ 140 ล้านบาท และรายได้ที่เป็นผลจากการพัฒนาแหล่งน้ำและส่งเสริมอาชีพจากโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฐานรากเพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาวะว่างงานจากปัญหาโควิด-19 อีก 217 ล้านบาท”

สำหรับในปี 2563 ที่ผ่านมา หลังเกิดสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจ ร่วมถึงปัญหาภัยแล้ง ปิดทองฯ ได้เพิ่มความเข้มข้นในการทำงาน ด้วยการดำเนินงานโครงการจ้างงานคนจากปัญหาโควิด-19 เริ่มจาก 3 จังหวัดภาคอีสาน คือกาฬสินธุ์ ขอนแก่น และ อุดรธานี 107 โครงการ จ้างงานคนว่างงาน 369 คน ทำให้มีรายได้ระหว่างว่างงาน และได้เรียนรู้แนวพระราชดำริในเรื่องเกษตรทฤษฎีใหม่ เพิ่มทางเลือกการประกอบอาชีพ

โดยชุมชนยังได้รับประโยชน์จากแหล่งน้ำเพิ่มขึ้น 23.7 ล้านลูกบาศก์เมตร พื้นที่รับประโยชน์ 30,900 ไร่ คำนวณแล้วคนในพื้นที่ 5,320 ครัวเรือน จะมีรายได้เพิ่มขึ้นรวม 217 ล้านบาทและปัจจุบันนี้ได้ขยายผลดำเนินการออกไปอีก 9 จังหวัดพื้นที่ต้นแบบรวม 543 โครงการ

ธนาคารแห่งประเทศไทย เผยภาพรวมธุรกิจเดือน ก.พ.64 ปรับตัวดีขึ้น หลังภาครัฐผ่อนคลายมาตรการคุมเข้ม ขณะที่ภาคท่องเที่ยวได้อานิสงส์วันหยุดยาว

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลสำรวจเรื่องผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ต่อภาคธุรกิจไทยในเดือนก.พ. 2564 พบว่า ระดับการฟื้นตัวของธุรกิจในภาพรวมปรับดีขึ้นจากเดือนก่อน หลังมีการผ่อนคลายมาตรการ และปรับโซนพื้นที่ควบคุมใหม่ โดยภาคการค้าได้รับอานิสงส์เพิ่มเติมจากมาตรการของรัฐ และภาคท่องเที่ยวเริ่มเห็นสัญญาณปรับดีขึ้นจากผลของวันหยุดยาว โดยธุรกิจส่วนใหญ่ คาดว่า ผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในไทยจะใกล้เคียงหรือน้อยกว่าระลอกก่อนเล็กน้อย อีกทั้งยังปรับตัวได้ค่อนข้างมากและดีขึ้นจากเดือนก่อน ยกเว้นภาคท่องเที่ยวและภาคการค้า

ส่วนระดับกิจกรรมทางธุรกิจปรับดีขึ้นจากปีก่อน หลังมีการผ่อนคลายมาตรการ และปรับโซนพื้นที่ควบคุมใหม่ในเดือน ก.พ. ส่งผลให้ความเชื่อมั่น รวมถึงกิจกรรมบางส่วนที่หยุดชะงักไปเริ่มทยอยกลับมา และช่วยให้ระดับการจ้างงานและรายได้ของแรงงานในธุรกิจส่วนใหญ่ทยอยปรับดีขึ้น ทั้งจำนวนแรงงาน ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยและรายได้เฉลี่ยต่อคน

ขณะที่การใช้นโยบายปรับเปลี่ยนการจ้างงาน พบว่า ธุรกิจทั้งในและนอกภาคการผลิตใช้นโยบายปรับเปลี่ยนการจ้างงานลดลงจากเดือนก่อน โดยเฉพาะการสลับกันมาทำงาน และลดชั่วโมงทำงาน แต่ธุรกิจนอกภาคการผลิตมีแนวโน้มใช้นโยบายปลดคนงานเพิ่มขึ้น เพื่อประคับประคองธุรกิจให้สามารถเดินหน้าต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top