Saturday, 14 June 2025
ElectionTime

‘มาดามเดียร์’ ควง ‘จักรวี’ ฝากตัวชาวเขตสวนหลวง-ประเวศ ชี้!! มีความตั้งใจ-คุณสมบัติครบ เมิน ‘ฟิล์มรัฐภูมิ’ ลงชิงด้วย 

‘มาดามเดียร์’ ควง ‘จักรวี’ ผู้สมัคร ส.ส.เขตสวนหลวง-ประเวศ ร่วมงานดื่มน้ำชาการกุศลฯ เมิน ‘ฟิล์ม-รัฐภูมิ’ ลงชิงด้วย

(19 มี.ค.66) น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พร้อมด้วย นายจักรวี สุทธิผล ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตสวนหลวง-ประเวศ(หนองบอน) พรรคปชป. ร่วมงานดื่มน้ำชาการกุศล ในงาน ‘สาธารณกุศลคนสวนหลวง’ บริเวณอาคารเอนกประสงค์ครอบครัวปานเหล็ง ซอยอ่อนนุช 39 เขตสวนหลวง พร้อมพบปะทักทายพี่น้องชาวมุสลิม

น.ส.วทันยา กล่าวว่า ตั้งแต่ได้มาลงพื้นที่ในเขตสวนหลวง-ประเวศ จะเห็นได้ว่ามีบรรยากาศที่ดี ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และการต้อนรับอย่างอบอุ่นทุกครั้ง ซึ่งในเขตสวนหลวง-ประเวศนั้นจะเห็นได้ว่ามีประชาชนทั้งกลุ่มที่เป็นชาวพุทธ และชาวมุสลิม เป็นชุมชนที่มีความเป็นพหุวัฒนธรรม อีกทั้งจะเห็นได้ว่าในพื้นที่เขตสวนหลวงนั้นเป็นพื้นที่มีการขยายตัวของเมืองเข้ามา ทำให้ประชาชนบางส่วนอาจจะยังปรับตัวรับมือไม่ทัน

ส่วนกรณีที่ขณะนี้มีหลายพรรคการเมืองเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ในเขตสวนหลวง-ประเวศ ซึ่งมีทั้งอดีตดารานักแสดง อย่างเช่น ฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ นั้น น.ส.วทันยา กล่าวว่า ไม่รู้สึกหวั่นเกรง เพราะเชื่อว่าการทำงานการเมืองนั้น ชื่อเสียงอาจเป็นหนึ่งในปัจจัย แต่ตนเชื่อว่าประชาชนจะมองหาคนที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจทำงานเพื่อประชาชน ซึ่งนายจักรวี ผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคปชป.นั้นที่ผ่านมาได้ลงพื้นที่ทำงานให้ประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นายจักรวีก็ได้ทำงานช่วยเหลือประชาชนจนผ่านพ้นสถานการณ์มา ดังนั้นเชื่อว่าจะเป็นเครื่องชี้วัดที่สำคัญ อีกทั้งนายจักรวียังเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น ตั้งใจทำงาน มีคุณสมบัติที่พร้อมทั้งคุณวุฒิ ประสบการณ์การทำงานทั้งงานการเมือง และงานนอกการเมือง

‘ส.ว.ประพันธ์’ สอน ‘ก้าวไกล’ ทบทวนตัวเองใหม่ มุ่งสู่พรรคที่เน้นโยบายก้าวหน้า เชื่อ!! เทียบ 'เพื่อไทย' ได้

‘ส.ว.ประพันธ์’ แนะพรรคก้าวไกล ทบทวนบทบาทตัวเอง หลังเดินทางผิดมานาน เชื่อหากปรับท่าที จะผงาดขึ้นมาแทนเพื่อไทย

19 มี.ค.2566-นายประพันธ์ คูณมี สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) อดีตนักเคลื่อนไหวการเมืองนอกรัฐสภาชื่อดังตั้งแต่ยุค 14 ตุลาคม 2516 -6 ตุลาคม 2519 -เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 -กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้ความเห็นทางการเมืองถึงการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของพรรคก้าวไกล(ก.ก.)ว่า  จริงๆแล้วพรรคก้าวไกล ก็เป็นพรรคการเมืองที่ดีพรรคการเมืองหนึ่ง มีความตั้งใจที่จะสร้างพรรคขึ้นมาทำงานในเชิงมีหลักการและอุดมการณ์ทางการเมือง แต่ว่ามันเหมือนสมัยพวกเราเป็นนักศึกษาหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ที่มีความตื่นตัว และมีความเร่าร้อนเกินความจำเป็น มักจะมีอาการออกไปทางสุ่มเสี่ยงเอียงซ้าย ตามภาษานักทฤษฎีการเมืองและมักจะมองคนอื่นเป็นพวกปฏิกิริยาล้าหลัง

แนวความคิดแบบนี้ไม่ต่างอะไรจากพวกเรดการ์ดในจีนสมัยหนึ่ง พรรคก้าวไกลต้องปรับตัวเองและสลัดคราบความคิดที่จะไปถึงขนาดจะไปเปลี่ยนแปลงระบอบโครงสร้างการปกครองประเทศ เปลี่ยนแปลงระบอบสถาบันฯ ยกเลิกกฎหมายอะไรต่าง ๆ ที่มันยังไม่ใช่สิ่งที่เป็นข้อเรียกร้องของประชาชน ในฐานะพรรคการเมืองที่เข้ามาตามระบอบของรัฐสภาและการเลือกตั้ง ที่มันไม่ได้มวลชน ไม่ได้แนวร่วม ไม่ได้ผู้สนับสนุนทำให้ตัวเองโดดเดี่ยว เรียกว่า เดินกลยุทธ์การเมืองผิด โดยหากพรรคก้าวไกลปรับตัวเอง และทำงานเหมือนกับที่ทำงานอยู่ในสภาฯในช่วงที่ผ่านมา ไปเป็นปากเป็นเสียงให้ประชาชน จะดีกว่าที่จะไปเล่นเกมบนท้องถนน หรือไปท้าทายอำนาจศาล ไปอะไรกับสถาบันฯ ที่ไม่ใช่แนวทางที่ถูกของพรรคการเมือง

“ผมเชื่อว่าหากพรรคก้าวไกลปรับตัวเองและมีท่วงทำนองที่มีความสุภาพ แล้วก็สร้างนโยบายที่เป็นประโยชน์ของมหาชน ก็ทำให้ก้าวไกลมีโอกาสจะขึ้นไปแทนพรรคเพื่อไทย เพราะพรรคเพื่อไทยมีแต่จะถอยลงมา เพราะทุกคนรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นพรรคของทักษิณ คนในพรรคเพื่อไทยที่มันไม่กล้าพูดเพราะมันโกหกตัวเองทั้งนั้น แม้แต่คนเสื้อแดง ก็ยังแตกหนีออกไป ซึ่งถ้าก้าวไกลปรับตัวเอง ปรับกลยุทธ์ ปรับนโยบาย ก้าวไกลก็มีโอกาสเติบโตได้ เพราะหากดูจากหน้าเสื่อการเมืองตอนนี้ ฝ่ายค้านที่เข้มแข็งที่สุดตอนนี้ ก็คือพรรคก้าวไกล ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อน ก้าวไกลก็เหมือนกับประชาธิปัตย์ สมัยเป็นฝ่ายค้าน แต่ว่าก้าวไกลเล่นประเด็นสะเปะสะปะกับประเด็นที่ไม่ควรไปเล่น เลยไม่ได้คนทุกชนชั้นมาเป็นแนวร่วม เป็นมิตรกันทางการเมือง”

นายประพันธ์ กล่าวว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในช่วงรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ที่เข้ามาเป็นนายกฯรอบสองหลังเลือกตั้งปี 2562(ม็อบสามนิ้ว)  ไม่สามารถเรียกมวลชนให้มาร่วมเคลื่อนไหวด้วยได้มาก เหมือนตอนพันธมิตรฯ หรือ กปปส.เคลื่อนไหว ทำให้เมื่อไม่มีมวลชนเข้าร่วมด้วย พลังเคลื่อนไหวก็ไปไม่ได้ ทำให้มาถึงตอนนี้ พลังในส่วนของกลุ่มที่เคลื่อนไหวดังกล่าว ก็อ่อนแรงและถดถอยไปเยอะ ไม่มีศักยภาพพอที่จะไปปลุกเร้าประชาชนให้มาเข้าร่วม อีกทั้งแกนนำหลายคนก็ถอดใจไปเยอะเพราะถูกดำเนินคดีหลายสิบคดี เสียอนาคตตัวเองไปเยอะ ผมจึงมองว่าพลังที่จะมาเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปสถาบันฯ ยกเลิกมาตรา 112 มันไม่น่าจะเกิดขึ้น

‘ณัฐวุฒิ’ ต่อสายตรง ‘อุ๊งอิ๊ง’ โฟนอินปราศรัยระยอง อ้อนปชช. เลือกทั้งคนทั้งพรรค ให้เกิดแลนด์สไลด์

เพื่อไทยบุกระยอง ‘เต้น’ ต่อสายตรง ‘อิ๊งค์’ โฟนอินถึงเวทีปราศรัยใหญ่ระยอง บอกคุณหมอขอร้องไม่ให้เดินทางไกล  ด้าน ‘เสี่ยนิด – ชลน่าน’ ประสานเสียงลั่น ตัดญาติขาดมิตรทุกพรรค ขอเทคะแนนให้เพื่อไทยพรรคเดียว

(19 มี.ค.2566) ที่ จ.ระยอง เมื่อเวลา 15.00 น. พรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรค นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจพรรคและว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ระยอง พรรค ได้พบปะพูดคุยกับผู้ประกอบการนักธุรกิจ ที่ร้านอาหารแหลมเจริญ อ.เมือง จ.ระยอง 

จากนั้นเวลา 17.30 น. พรรคเพื่อไทย จัดเวทีปราศรัย ที่ลานหมู่บ้านเพลินใจ 5 (ข้างขนส่งใหม่) อ.เมือง จ.ระยอง นำโดย นพ.ชลน่าน, นายเศรษฐา ,นพ.พรหมินทร์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัครส.ส.ระยอง 5 เขต ประกอบด้วย นายพเนตร วงษ์ไพศาล ,นายภีมเดช อมรสุคนธ์ ,นายชัยณรงค์ สันทัสนะโชค, นายวิเชียร สุขเกิด และนายวิชัย ล้ำสุทธิ โดยมีประชาชนเดินทางมารับฟังการปราศรัยเต็มพื้นที่ 

โดยนพ.ชลน่าน ปราศรัยว่า ตนเองตื้นตันใจที่พี่น้องชาวระยองมากันอย่างเนืองแน่น ที่ผ่านมาสภาพัฒน์ฯ ระบุว่าพี่น้องชาวระยองมีรายได้ต่อหัว 1.1 ล้านบาทต่อปี ถือว่าเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ แต่เมื่อไปคุยกับชาวบ้านบางส่วน บอกว่าเป็นเพียงแค่ตัวเลขเท่านั้น ดังนั้นขอให้พี่น้องที่มีรายได้ไม่ถึง 2 หมื่นบาท ตกลงปลงใจมาจับมือกับพรรคพท. เราจะสร้างรายได้ให้พี่น้องเกิน 2 หมื่นบาท วันนี้เราขออาสาพาพี่น้องออกจากไอซียู คือคุณหมออิ๊งค์ แพทองธาร และคุณหมอเศรษฐา วันนี้คนไทยที่เปรียบเหมือนคนไข้ หัวใจกำลังหยุดเต้น ดังนั้นคุณหมอของเราจะเอาเครื่องมือทางเศรษฐกิจมากระตุกหัวใจ

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า พี่น้องให้กระเป๋าตุงด้วยดิจิทัล วอลเล็ต เราต้องรวมใจ เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนให้พี่น้องชาวระยองมาเลือกเพื่อไทยทั้งคนทั้งพรรคให้ยกจังหวัด มาร่วมเปลี่ยนประเทศไปด้วยกัน เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าเราไม่ชนะทั้ง 5 เขตในระยอง และเราไม่ชนะทั้งประเทศอย่างถล่มทลายแบบแลนด์สไลด์ สิ่งที่เกิดขึ้นคือหลังเลือกตั้งเราจะตั้งรัฐบาลไม่ได้

“ตอนนี้ 250 เสียงไม่ห่วง เรามั่นใจว่าได้ ส.ส.250 เสียงขึ้นไป แต่ยังชนะไม่เด็ดขาด ตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และพรรคพวกจะแย่งตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เอา พล.อ.ประยุทธ์มาเป็นนายกฯ พี่น้องจะเอาหรือ ดังนั้น 310 เสียงคือเป้าหมาย เขาจะไม่แย่งเราตั้งรัฐบาล ส่วนพรรคอื่น ๆ จะมาร่วมเลือกนายกฯ ในสภาฯ กับเรา มั่นใจว่าเลือกตั้ง 14 พ.ค. โอกาสเป็นของเราแล้ว นอกจากเอาประยุทธ์ออกไป ปิดสวิตช์ ส.ว.แล้ว ยังได้นโยบายที่กินได้และประชาธิปไตยที่จับต้องได้ เราไม่มีพรรคพี่พรรคน้อง พรรคญาติหรือพรรคลุง ขอให้เลือก พท.เพียงพรรคเดียว” นพ.ชลน่าน กล่าว 

นายเศรษฐา กล่าวว่า นโยบายพรรคพท.โดนใจประชาชนมาตลอด มีสองนโยบายที่อยากกล่าวซึ่งโดนใจแน่นอน หากพรรคพท.เป็นรัฐบาล เราจะใช้บล็อกเชน ทำดิจิทัล วอลเล็ตใส่เงินให้คนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป นอกจากนี้เราจะสำรวจอย่างรวดเร็ว ครอบครัวไหนมีรายได้ไม่ถึง 2 หมื่นบาท เราจะเติมเงินให้ทันที ถือเป็นโยบายที่โดนใจ แก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้ ถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนประเทศโดยเริ่มจากระยอง รอบนี้เรามีผู้สมัครที่มีคุณภาพ เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง เราไม่มีพรรคพี่ พรรคน้อง พรรคสาขา อย่าให้ใครเอาเรื่องนี้มาพูด เรามีนโยบายเด็ดๆ ขอให้พี่น้องเลือกผู้สมัครระยองทั้ง 5 เขตของพรรคพท.หากเลือกเพื่อไทยแลนด์สไลด์ 310 เสียง เราทำนโยบายได้อย่างแน่นอน

'ชัยวุฒิ' ทวนความจำ '30 บาท' ยุค พปชร. ตอบโจทย์ อุดรอยรั่ว '30 บาท' ยุครบ.เสียอำนาจ ที่เอาแต่เคลม

'ชัยวุฒิ' ซัด บางพรรคย้อนอดีต เกลียดปฏิวัติ เหน็บ เพราะเสียอำนาจ เย้ย '30 บาท ตายทุกโรค' ทำวุ่น เคลม รัฐบาลปัจจุบัน ปลดล็อกได้

(19 มี.ค.66) ที่สนามกีฬาสมโภชน์ 700 ปี จ.เชียงใหม่ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวปราศรัยตอนหนึ่ง ว่า บางพรรคพูดถึงผลงานตัวเองเมื่อ 20 ปีที่แล้ว พูดแต่เรื่องเก่า เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค สมัยก่อนมีปัญหามากแถวบ้านตนเรียก 30 บาท ตายทุกโรค เพราะโรงพยาบาลและรัฐบาลเจ๊ง เงินไม่พอ กว่าจะแก้ปัญหามาได้เหนื่อยมาก แต่รัฐบาลนี้ทำมาแล้ว ไม่ต้องไปดูป้ายหาเสียงพรรคไหน เพราะ พรรคพปชร.ทำมาแล้ว 

'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' นายกฯ หญิงคนเดียวของประเทศ กับวิบากกรรม 'จำนำข้าว'

ย้อนเวลาไป 12 ปีก่อน การเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนมากกว่า 15 ล้านเสียง ได้ส.ส. 265 จาก 500 คน เกินครึ่งของที่นั่งในสภา แต่ที่สำคัญกว่าการชนะเลือกตั้ง คือการผลักดัน 'นายกรัฐมนตรีหญิง' คนแรกของไทยก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง เธอคือ 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' โดยเป็นการพิสูจน์และเปิดประตูความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การเมืองไทย แต่น่าเสียดายที่บทส่งท้าย ของประวัติศาสตร์หน้าสำคัญนี้ กลับกลายเป็นความผิดพลาด เกิดวิบากกรรมทางการเมืองที่ทำให้เจ้าตัวยังไม่กลับประเทศไทยจนถึงวันนี้ 

กล่าวถึง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เธอเป็นบุตรสาวของนายเลิศ ชินวัตร อดีต ส.ส.เชียงใหม่ โดยในบรรดาลูกๆ ทั้ง 10 คนของนายเลิศ หลายคนเดินตามรอยของบิดาในการก้าวเข้าสู่สนามการเมือง ไม่ว่าจะเป็นอดีตนายกฯ ทักษิณ นางเยาวลักษณ์ นางเยาวเรศ นางเยาวภา และนายพายัพ ชินวัตร ส่วนลูกสาวคนสุดท้อง 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' เดิมไม่สนใจการเมืองแต่มุ่งหน้าเติบโตในสายธุรกิจ 

จนเมื่อพรรคพลังประชาชนถูกยุบ ในราวปลายปี 2551 เข้าสู่ยุคของพรรคเพื่อไทย 'ยิ่งลักษณ์' เป็นทางเลือกแรกของอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่จะให้เป็นหัวหน้าพรรคแต่ยังถูกปฏิเสธ ด้วยไม่อยากเข้าสู่การเมืองและสนใจทำธุรกิจเท่านั้น ต่อมาปี 2554 ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตัดสินใจเข้าสู่สนามการเมือง หลังได้รับการร้องขอให้ลงสมัครรับเลือกตั้งแทน 'ดร.ทักษิณ' พี่ชาย โดยนำทัพพรรคเพื่อไทยสู้ศึกเลือกตั้ง ในฐานะผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 และใช้เวลาเพียง 49 วัน พาเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง กรุยทางสู่การเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย ในวัยเพียง 44 ปี 

นอกจากกระแสความนิยมในตัว 'ดร.ทักษิณ' ที่นำพา 'ยิ่งลักษณ์' ก้าวขึ้นสู่อำนาจแล้ว หากลองดูนโยบายของพรรคเพื่อไทยในช่วงปีนั้นก็ถือว่า หลายนโยบายที่ใช้หาเสียงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางเศรษฐกิจที่เรียกคะแนนนิยมจากการเลือกตั้งด้วย ทั้งนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท , จบปริญญาตรี เงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท , โครงการรถยนต์คันแรก , ลดหย่อนภาษีบ้านหลังแรก , แจกแท็บเลตให้เด็กนักเรียนให้เข้าถึงคอมพิวเตอร์และการเรียนออนไลน์ รวมถึงนโยบายที่ให้ทั้งคุณและโทษกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นั่นคือ 'โครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ด' 

'ประชาธิปัตย์' พรรคการเมืองที่ไม่เคยห่างหายไปจาก 'การเมืองไทย'

ใกล้เลือกตั้งเข้าไปทุกขณะ หากสำรวจข้อมูลพรรคการเมืองจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่อัปเดตล่าสุด ณ วันที่ 8 มีนาคม 2566 พบว่ามีพรรคการเมืองที่ยังดำเนินการอยู่ทั้งสิ้น 88 พรรค   

ใน 88 พรรค มีอยู่เพียงแค่พรรคเดียว ที่อายุยืนยาวที่สุด เป็นพรรคเดียวที่จัดตั้งในยุคแรกและยังคงดำเนินการจนถึงวันนี้ ไม่เคยห่างหายไปจากการเมืองไทย  เดาไม่ยาก ว่าพรรคการเมืองที่ว่านั้นคือ พรรคประชาธิปัตย์

ย้อนกลับไป ในช่วงเวลาหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 มีแนวคิดจัดตั้งพรรคการเมืองอยู่เป็นระยะ แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้เป็นรูปเป็นร่างได้ ต่อมาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประมาณปี 2488  บรรยากาศประชาธิปไตยในไทยเปิดกว้างมากขึ้น พรรคการเมืองไทยยุคแรกจึงก่อตัวขึ้นในยุคนั้น

ปี 2489  พรรคประชาธิปัตย์ถูกก่อตั้งขึ้นโดย 'พันตรีควง อภัยวงศ์' คณะราษฎรสายพลเรือน พร้อมกับขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคคนแรก โดยมี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เลขาธิการพรรคคนแรกนำพรรคก้าวหน้าของตนมารวมกับพรรคประชาธิปไตยของ ดร.โชติ คุ้มพันธ์ แล้วให้ชื่อว่า 'พรรคประชาธิปัตย์'

จนถึงวันนี้ พรรคประชาธิปัตย์มีหัวหน้าพรรคมาแล้ว  8 คน ในจำนวนนี้ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 4 คน คือ พันตรีควง อภัยวงศ์ , ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช , นายชวน หลีกภัย และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส่วนอีก 4 คน ได้ดำรงตำแหน่งรองนายกฯ คือ พ.อ.(พิเศษ)ถนัด คอมันตร์ , นายพิชัย รัตตกุล , นายบัญญัติ บรรทัดฐาน และหัวหน้าพรรคคนปัจจุบันคือ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ 

ยุคทองของพรรคประขาธิปัตย์ ซึ่งถือว่ารุ่งเรืองที่สุด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ ถึงขั้นมีวลีที่ว่า "ส่งเสาไฟฟ้าลงสมัครยังชนะ" และ "คนใต้กรีดเลือดมาเป็นสีฟ้า" นั้น ก่อตัวและเกิดขึ้นในยุคของผู้นำพรรคที่ชื่อ 'ชวน หลีกภัย' 

จุดเริ่มต้นการสั่งสมความนิยมในภาคใต้ของพรรคประชาธิปัตย์ เกิดขึ้นในปี 2523 ที่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี และมีพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคร่วมรัฐบาล เนื่องจาก พลเอกเปรม ซึ่งพื้นเพเป็นคนสงขลา ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่ามีความซื่อสัตย์ สุจริต ทำให้ได้รับความนิยมชมชอบจากประชาชนสูง

พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีรัฐมนตรีที่เป็น ส.ส.ในพื้นที่ภาคใต้จำนวนมาก จึงเริ่มสร้างความนิยมในภาคใต้อย่างแนบแน่นในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลที่ได้รับความไว้วางใจจากพลเอกเปรม กระทั่ง ปี 2531 กระแสฟีเวอร์ นายชวน หลีกภัย ซึ่งได้ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคต่อจากนายพิชัย รัตตกุล เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ 

ต่อมามีการเลือกตั้งหลังเหตุการณ์พฤษภา 2535 พรรคประชาธิปัตย์ชนะเลือกตั้ง และนายชวน หลีกภัย ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งครั้งนั้นมีการรณรงค์หาเสียงชูประเด็น 'นายกฯ คนใต้' ตามรอยพลเอกเปรม นับตั้งแต่นั้นมานายชวน หลีกภัย และพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้สร้างความนิยมให้เกิดขึ้นแก่พรรคประชาธิปัตย์ในหมู่คนภาคใต้จนถึงปัจจุบัน

‘เพชรรัตน์ ก้าวไกล’ รุดช่วยชาวเชียงใหม่ประสบภัยพายุลูกเห็บ ย้ำ!! บทบาทท้องถิ่นสำคัญ สามารถช่วยปชช. ได้ทันท่วงที

‘พลอย เพชรรัตน์’ ก้าวไกลเชียงใหม่ เขต 1 เร่งประสานช่วยเหลือประชาชน หลังพายุลูกเห็บถล่ม พบ ต.ฟ้าฮ่าม เสียหายกว่า 6,000 หลังคาเรือน ชี้โดมความร้อนเป็นเหตุ ในอนาคตมีโอกาสเกิดซ้ำ ระยะยาวต้องสร้างระบบแจ้งเตือนล่วงหน้า ย้ำนโยบาย ‘ก้าวไกล’ หนุนกระจายอำนาจ เพิ่มงบท้องถิ่นรับมือสถานการณ์

(20 มี.ค.66) เพชรรัตน์ ใหม่ชมภู ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ เขต 1 พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กรณีเกิดวาตภัยสร้างความเสียหายในหลายพื้นที่ของ จ.เชียงใหม่ ว่าจากการลงพื้นที่ร่วมกับเดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต (Think Forward Center) พบว่าความเสียหายเกิดขึ้นใน 2 ส่วนหลัก คือบ้านเรือนของประชาชน และเสาไฟฟ้าหักโค่น โดย ต.ฟ้าฮ่าม อ.เมือง เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เกิดความเสียหายมากที่สุด หมู่บ้านที่ประสบปัญหาหนัก ประกอบด้วยหมู่ 1,2,3, และ 5 บ้านเรือนเสียหายจนแทบอาศัยอยู่ในบ้านไม่ได้ และทั้งหมด 7 หมู่บ้านใน ต.ฟ้าฮ่าม เกิดความเสียหายกว่า 6,000 หลังคาเรือน

เพชรรัตน์ กล่าวถึงการช่วยเหลือประชาชนของหน่วยงานในท้องถิ่นว่า ตอนนี้ทางเทศบาลตำบลฟ้าฮ่ามได้ตั้งศูนย์ประสานงานชั่วคราว ยังคงรับบริจาคกระเบื้องมุงหลังคาเพื่อมอบให้พี่น้องในชุมชน รวมถึงน้ำดื่มสะอาด อาหารพร้อมทาน และเครื่องปั่นไฟชั่วคราวตามหมู่บ้าน เพื่อช่วยเหลือประชาชนเป็นการเฉพาะ ขณะที่พรรคก้าวไกลได้เร่งประสานงานระหว่างบุคคลทั่วไปที่ต้องการช่วยเหลือคนในพื้นที่ ระดมอาหาร เครื่องปั่นไฟ จัดส่งให้เทศบาลฯ

จับตา!! ความร้อนแรง ‘พรรคเพื่อไทย’ ใต้จังหวะระเบิดสังหาร ‘เศรษฐา’ เริ่มก่อตัว

จากผล นิด้าโพล เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 มี.ค.2566 ถ้าพูดจาภาษานักเลงม้า ก็ต้องบอกว่า พรรคเพื่อไทยเข้าป้ายทั้งวินทั้งเพลส...

‘อุ๊งอิ๊ง’ เป็นนายกฯที่ 38.20% ส.ส.เขต มาอันดับ1 ที่ 49.75 ส.ส.บัญชีรายชื่อ ก็มาอันดับ1 ที่ 49.85%

ทิ้งห่างอันดับ 2 (พิธา -ก้าวไกล) และอันดับ 3 (บิ๊กตู่ - รวมไทยสร้างชาติ) มากกว่าเท่าตัว…

โอ้!มายก๊อด...!! โพลออกมาแบบนี้ ดีไม่ดี ผอ.นิด้าโพล ดร.สุวิชา เป้าอารีย์ อาจจะถูกนินทาว่ามีนอกมีในกันกับใครในเพื่อไทยหรือเปล่า?

แต่เท่าที่อยู่ในวงการสื่อมานานพอประมาณ...เชื่อว่าคนอย่าง ดร.สุวิชา ไม่เป็นแบบนั้นแน่นอน..!!

อย่างไรซะ ทั้งหลายทั้งปวงก็อย่าเพิ่งไปปักใจกับโพลทั้งหมด....อันว่าม้าแข่งนั้นวิ่งกันประมาณ1,200 เมตร  บางตัว ตอนออกตัวนำมาครึ่งค่อนข้างทาง แต่สุดท้ายก็แผ่วเอาดื้อๆ โดนเพื่อนแซงกลายเป็นม้าตีนต้น...ศึกเลือกตั้งก็เช่นเดียวกันยุบสภา แล้วต้องสัประยุทธ์กันอีกเกือบ 2 เดือน จึงจะหย่อนบัตร

แต่ก็นั่นแหละยังไงๆ ไม่ต้อง นิด้าโพล หรอก..เลือกตั้งหนนี้ ม้าที่ชื่อ เพื่อไทย ก็เข้าทั้งวินทั้งเพลส เป็นแชมป์เลือกตั้งวันยังค่ำ...แบบไม่มีใครมาเบียดได้…

แล้วก็ต้องยอมรับว่าการไปบุกแนวรบด้านตะวันออกชลบุรีและระยอง เมื่อวันที่ 18 -19 มี.ค.ทำให้กองเชียร์และนักรบฮึกเหิมขึ้นมาก…

ทว่า น่าเสียดายที่ ‘แม่ทัพ’ อย่าง ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร  ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯหมายเลข 1 ท้องแก่ อีก3วันก็ครบ8เดือนแล้ว คงเดินทางหาเสียงไม่สะดวก จะใช้โทรศัพท์-วิดีโอคอลล์ หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ล้ำยุคแค่ไหนก็ไม่ได้น้ำได้เนื้อเท่ามาเจอตัวเป็นๆ...

ครั้นจะพึ่งพาแคนดิเดตนายกฯ หมายเลข 2 อย่าง เศรษฐา ทวีสิน  ซึ่งผ่านการทดสอบมาแล้ว4-5 เวทีปราศรัย แม้กรรมการจะยกธงให้ ‘ผ่าน’ ก็จริง แต่มีการกระซิบกันหนาหูว่า อีกไม่นานนับจากนี้ข้อมูลประเภทระเบิดสังหารเศรษฐา จะทะลักไหลออกมา จนอาจทำให้คนสูง192ซม.ทรุดฮวบ…

...เรื่องส่วนตัวเกี่ยวกับผู้หญิง...เงื่อนปมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์…ฯลฯ

ว่ากันว่าที่ จตุพร พรหมพันธุ์ แพลมๆ เรื่อง ‘ขงเบ้ง’ หรือ เสี่ยเบ้ง นั้นเป็นแค่น้ำจิ้ม…     

ยุบสภา 8 ปี 9 เดือน 26 วัน

วันที่ 20 มีนาคม 2566 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566 ตามคำแนะนำของคณะรัฐบาล ความว่า

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า

ด้วยนายกรัฐมนตรีได้นำความกราบบังคมทูลฯ ว่า ตามที่สภาผู้แทนราษฎรได้ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่ พ.ศ. 2562 และบัดนี้ได้ปิดสมัยประชุมสามัญประจำปีที่สี่ อันเป็นปีสุดท้ายของอายุสภาผู้แทนราษฎรแล้ว สมควรยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย อันเป็นการคืนอำนาจการตัดสินใจทางการเมือง ให้แก่ประชาชนโดยเร็วเพื่อให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 103 และมาตรา 175 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้

รัฐบาล 'ลุงตู่' อยู่ในใจ

นับถอยหลัง รัฐบาลที่นำโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังจะหมดวาระลงในวันที่ 23 มีนาคม 2566 ถึงตรงนี้ หลายฝ่ายกะเก็งว่า “ลุงตู่” จะยุบ หรือไม่ยุบสภา ก่อนรัฐบาลหมดวาระ แต่หากก้าวข้ามเรื่องราวเหล่านี้ไป ในช่วงเวลากว่า 4 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้สร้างสรรค์ผลงานเอาไว้มากมาย ซึ่งถ้าจะให้นึกถึง “ภาพจำ” ที่รัฐบาลได้สร้างเอาไว้ The State Times ขอยกให้ 6 เรื่องราวเหล่านี้

เริ่มจากภาพการต่อสู้กับวิกฤติโควิด-19 ซึ่งใช้เวลากว่า 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2563 มาจนถึงปี 2566 ระหว่างทางต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ามากมาย เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า โรคระบาดนี้เกิดขึ้นครั้งแรกของโลก ไม่มีใครรู้ดีกว่าใคร และที่สำคัญ ไม่มีใครที่มีวัคซีน แต่ผลสุดท้าย รัฐบาล โดยการนำของลุงตู่ ก็สามารถฝ่าทุกกระแสดราม่า ทำให้ประชาชนคนไทย ก้าวข้ามจากโควิด-19 และได้ฉีดวัคซีนกันถ้วนหน้า

เชื่อมโยงจากเรื่องโควิด-19 มาถึงการได้เปิดประเทศ ต้อนรับนักท่องเที่ยว ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย และหลายๆ ประเทศที่มีวิทยาการก้าวล้ำกว่าประเทศไทย ยังเปิดบ้านเปิดเมือง “ช้ากว่า” เราอยู่ไม่น้อย ถึงวันนี้ นักท่องเที่ยวเดินแบกเป้กันเต็มเมือง ส่วนหนึ่งเพราะการวางมาตรการการดูแลป้องกันที่เข้มงวด จึงสามารถเปิดประตูประเทศได้อย่างรวดเร็ว เป็นที่น่าประทับใจ

พูดถึงความสัมพันธ์ต่างประเทศ รัฐบาล โดยการนำของลุงตู่ ถือว่ามีภาพจำที่ดีไม่น้อย โดยเฉพาะกับงานใหญ่อย่าง “การประชุมเอเปค” เมื่อปลายปี 2565 ซึ่งการจัดงานผ่านพ้นไปด้วยดี และที่ดีมากกว่านั้น คือภาพความสัมพันธ์ของลุงตู่กับผู้นำหลายต่อหลายชาติ แม้จะเป็นเพียงภาพถ่ายไม่กี่ช็อต ที่ถูกนำเสนอตามหน้าสื่อ แต่สำหรับในเวทีโลกแล้ว นี่คือ “พลัง” ของความเป็นประเทศไทย ที่จะถูกฉายและขับเคลื่อนต่อไปในเวทีระดับนานาชาติ

4 ปีของรัฐบาลลุงตู่ ไม่ได้มีแต่เรื่องบวกๆ หลายๆ เรื่องที่ต้องเรียกว่าเป็นปัญหา จนนำมาซึ่งอีกภาพจำหนึ่ง นั่นคือ การเยียวยาดูแลประชาชน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า ในช่วงเวลา 4 ปีนี้ มีโครงการ “เยียวยาประชาชน” เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าใครจะมองว่าเป็นการ “แจกเงิน” หรือ “ประชานิยมทางอ้อม” แต่สุดท้ายแล้ว “ผลประโยชน์” ตกไปสู่มือคนไทยทุกระดับอย่างแท้จริง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top