Friday, 13 June 2025
ElectionTime

‘ศิรินันท์ รทสช.’ ชูนโยบาย ‘ทักษะแห่งโลกอนาคต’ สร้างทักษะ-โอกาสให้คนทำงาน ก้าวสู่ตลาดแรงงานโลก

(17 มี.ค.66) น.ส.ศิรินันท์ ศิริพานิช ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงการเข้าร่วมงาน ‘CODING ERA Next Wave of Thailand’s Education หรือ ยุคโค้ดดิ้ง คลื่นลูกใหม่แห่งการศึกษาไทย’ ว่า จากการที่ตนคร่ำหวอดในวงการการศึกษามากกว่า 10 ปี ปัจจุบันยังดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการเด็ก สตรี เยาวชน ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาสของพรรค และเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. ได้เตรียมผลักดันนโยบายด้าน Future Skill หรือทักษะแห่งอนาคต ให้เกิดขึ้นจริง เพื่อเตรียมความพร้อม สร้างทักษะการทำงาน และอาชีพแห่งโลกอนาคต พร้อมสร้างบุคลากรที่เป็นที่ต้องการของตลาดโลก นำมาซึ่งรายได้ที่ดี และคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน 

ดังนั้นจึงทำให้มองย้อนไปว่า ตลาดงาน ต้องการใครไปทํางาน และงานอะไรที่ตอนนี้เป็นที่ต้องการ จนสร้างรายได้ที่สูงขึ้น โดยเห็นว่างานด้าน Coding, Robotic, รถพลังงานไฟฟ้า (EV) ล้วนแต่เป็นงานที่ตลาดโลกต้องการในปัจจุบัน จึงต้องพัฒนาทักษะ Future Skill ให้คนไทยอย่างเร่งด่วน ให้มีทักษะด้านอาชีพที่ตลาดโลกต้องการ เมื่อมีความต้องการสูง ก็จะทำให้ได้รับค่าตอบแทนที่สูงด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงต้องเร่งสร้างและพัฒนาทักษะดังกล่าวให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

น.ส.ศิรินันท์ กล่าวว่า แนวทางการสร้าง Future Skill สามารถทำได้ 3 แนวทาง คือ 

1. เพิ่ม Future Skill ในหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียน ประสานกระทรวงศึกษาธิการเดินหน้าเพิ่มหลักสูตร ชุดความรู้ Future Skill และทักษะต่าง ๆ ซึ่งหลักสูตรพวกนี้ทำให้เยาวชน หรือคนที่เรียนสามารถนํามาต่อยอดหารายได้ในระหว่างที่เรียนไปพร้อม ๆ กันได้ 

2. Re-Skill ให้กับพนักงานบริษัท รวมถึงนักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่และยังไม่มีงานทำ ได้เพิ่มทักษะใหม่ๆ และความเชี่ยวชาญให้กับตัวเองตามที่ตลาดโลกต้องการ โดยใช้หลักการประสานมหาวิทยาลัยต่างๆ รวมถึง ภาค เอกชนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญมาร่วมพัฒนาหลักสูตรกับทางรัฐบาล เพื่อให้ได้หลักสูตรการ Re-Skill ที่เหมาะสมและทำได้จริง 

3. ตั้ง ‘สถาบันส่งเสริมทักษะแห่งโลกอนาคต’ รัฐบาลสามารถตั้งสถาบันแห่งการฝึกทักษะแห่งโลกอนาคต ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางในการจัดทําหลักสูตร เพื่อให้เยาวชน และประชาชน สามารถเข้าเรียนได้ โดยทางสถาบันยังเป็นตัวกลางในการประสานกับผู้ประกอบการ เพื่อรับรองว่าหลังจากจบหลักสูตรจะมีงานรองรับทันที รวมทั้งยังสามารถส่งออกแรงงานในทักษะที่ตลาดงานต้องการอีกด้วย ก็จะช่วยขับเคลื่อนภาคธุรกิจระดับมหภาคต่อไป 

“นอกจากนี้ในฐานะนักการเมืองสตรี เราควรเน้นเพิ่มทักษะด้านดิจิทัล (digital literacy) ในกลุ่มสตรีด้วยค่ะ เพราะผู้หญิงมีบทบาทและหน้าที่ที่สำคัญ คือ บทบาทของความเป็น ‘แม่’ มีความใกล้ชิดกับลูก ถ้าเราส่งเสริมทักษะด้านดิจิทัลในกลุ่มผู้หญิงให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง คุณแม่ทุกท่านก็สามารถใช้ทักษะนี้สร้างอาชีพในขณะที่ต้องหยุดทำงานเพื่อเลี้ยงลูก และขณะเดียวกันก็สามารถสอนทักษะเหล่านี้ให้กับลูกๆ ในช่วงเวลาที่อยู่ที่บ้านได้ด้วยค่ะ ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับความเท่าเทียมของเยาวชนหญิงและชาย ซึ่งนักเรียนทุกคนสามารถเข้าถึงทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมและทั่วถึงแล้ว แต่ยังขาดความรู้ด้านดิจิทัลสำหรับการต่อยอดสู่โลกอนาคตค” น.ส.ศิรินันท์ กล่าว 

เข้าทางปืน ‘พลังประชารัฐ-ก้าวไกล’ ‘ปชป.-รสทช.’ ร่อแร่ ‘ภท.’ สายไหมไม่รอด

ปฏิกิริยาต่อประกาศการแบ่งเขตเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ออกมาเมื่อวันที่ 16 มี.ค. 66 บางพรรคร้องเฮ บางพรรคร้องโฮ…

เฉพาะสนาม กทม. ที่มีประชากร 5,394,910 คน เฉลี่ยราษฎรต่อ ส.ส.1 คนเท่ากับ 163,482.212 นั้น...กกต. เคาะแบบที่1 ออกมาใช้ ‘อรรถวิชช์  สุวรรณภักดี’ รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ไปยื่นฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนประกาศแบ่งเขตดังกล่าวทันที…

เหตุผลหลักของอรรถวิชช์ คือ ผิดหลักเกณฑ์ พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.2561 มาตา 27(1) ที่ระบุหลักเกณฑ์ให้ ‘รวมอำเภอต่าง ๆ เป็นเขตเลือกตั้ง’ หรือต้องมีอำเภอ (เขต) หลัก แต่ปรากฏว่าจาก 33 เขตเลือกตั้งเป็นการรวมตำบล (แขวง) โดยไม่มีเขตหลักถึง 13 เขตเลือกตั้ง...

ไม่เพียงแค่พรรคชาติพัฒนากล้า...แม้แต่พรรคเพื่อไทย โดยสุรชาติ เทียนทอง ส.ส.กทม. และ ดร.อิ่ม ธีรรัตน์ สำเร็จวณิชย์ โฆษกพรรคก็ออกมาแถลงในแนวเดียวกัน...แต่ราย ดร.อิ่ม เธอคิดฟุ้งไปหน่อยว่าอาจเป็นแผนทำให้การเลือกตั้งโมฆะ…

‘มณีรัตน์ ลิมป์รัตนกาญจน์’ เลือดใหม่แห่ง ‘ภูมิใจไทย’ ผู้เชื่อมั่นในสังคมดี ต้องเริ่มจากเยาวชนที่มีคุณภาพ

‘ภูมิใจไทย’ ส่ง ‘มณีรัตน์’ คนรุ่นใหม่ ดีกรีนักกฎหมายจาก King’s College London นักธุรกิจมากความสามารถ และนักขับเคลื่อนงานด้านประชาสังคม พ่วงบทบาทในแวดวงการเมืองร่วม 10 ปี ชิงชัยสนาม กทม. เขต 'พระโขนง-บางนา'

นาทีนี้ หลายพรรคการเมืองเริ่มประกาศตัว ว่าที่ผู้สมัครผู้แทนราษฎรในกรุงเทพมหานครกันครบ 33 เขตเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งส่วนใหญ่ มักจะเป็นผู้สมัครหน้าคุ้น ที่ต้องลุ้นว่าในสมัยหน้าพวกเขาเหล่านี้จะกลับเข้ามาทำงานและแก้ปัญหา กทม.ได้โดนใจคนกรุงมากน้อยแค่ไหน

อย่างไรก็ตาม ก็มีหลากหน้าผู้สมัครเลือดใหม่ ที่ต้องยอมรับว่าพรรษาอาจจะยังไม่ถึงขั้นบรมครู แต่เท่าที่รู้หลายคนมีดีกรีและความมุ่งมั่นที่น่าสนใจมาลองทำงานให้คนกรุงดูสักคำรบไม่น้อย เฉกเช่นเดียวกันกับเธอคนนี้ ‘มณีรัตน์ ลิมป์รัตนกาญจน์’ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคภูมิใจไทย เขตพระโขนง-บางนา

ด้วยประสบการณ์ที่เคยร่วมงานกับบรรดาพรรคการเมืองและคนการเมืองชั้นนำของประเทศมามากมาย ในวันนี้ ‘มณีรัตน์ ลิมป์รัตนกาญจน์’ ดีกรีนักกฎหมายจาก King's College สาขาความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายองค์กรและพาณิชย์ ได้เลือกปักธงลงสมัคร ส.ส.ในนามพรรคภูมิใจไทย ด้วยมุมมองทางการเมืองที่คลิกตรงกัน นั่นคือ ‘พูดแล้วทำ’ ซึ่งเธอเชื่อในความเอาจริงเอาจังกับทุกเรื่องของพรรคนี้ เช่นเดียวกันกับบุคลิกส่วนตัวที่ ‘คิด-พูด-ทำ’ ในทุกๆ เรื่องที่โฟกัส

แม้ ‘มณีรัตน์’ จะแลดูเป็นคนรุ่นใหม่วัยเยาว์ แต่ประสบการณ์ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ต้องเรียกว่าโชกโชน ทั้งกับธุรกิจส่วนตัวที่เป็นผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ บริษัทที่ทำธุรกิจด้าน e-Commerce เจ้าแรกๆ ในประเทศไทย และเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของสินค้าหลากหลายแบรนด์ที่เอ่ยชื่อมาทุกคนล้วนรู้จักเป็นอย่างดี ซึ่งปัจจุบันนี้ธุรกิจดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง มียอดขายและกำไรที่น่าพึงพอใจ ภายใต้ความตั้งใจในการที่จะให้ธุรกิจนี้ยืนอยู่และเดินหน้าได้อย่างยั่งยืนต่อเธอและผู้เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม สนามธุรกิจ ที่เธอยังคงยืนเคียงข้างมาจนถึงปัจจุบัน ก็ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตในช่วงระยะเวลาเกือบ 20 กว่าปีมานี้ แต่เธอยังคงเลือกเข้าไปมีบทบาทกับงานภาคประชาสังคม ภาคประชาชน รวมถึงการเข้าร่วมกับงานภาคการเมืองเท่าที่จะมีโอกาส โดยหวังว่าจะมีโอกาสได้ใช้ความรู้ความสามารถในด้านต่างๆ เข้ามาช่วยพัฒนากรุงเทพฯ โดยเฉพาะในมิติของสังคมและเยาวชน ที่เธอเชื่อว่า สังคมดีจะเกิดขึ้นได้จากรากฐานอย่างเยาวชนที่ดี

มณีรัตน์เริ่มมีโอกาสก้าวเข้าสู่บทบาทของงานภาคการเมืองและภาคสังคมควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจตั้งแต่ช่วงปี 2007-2008 โดยเธอได้มีโอกาสเข้าไปทำงานด้านกลยุทธ์ ในฐานะคณะกรรมด้านประชาสัมพันธ์ของพรรคประชาธิปัตย์

ต่อมาในปีเดียวกัน เธอก็ได้ร่วมงานในคณะทำงานด้านเยาวชนของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งเธอมุ่งมั่นในการผลักดันนโยบายด้านเด็กและเยาวชน เพื่อนำเสนอกับผู้ว่าฯ กทม. เพราะถือว่านโยบายด้านเด็กและเยาวชนเป็นสิ่งที่สำคัญไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมือง ตนยอมให้ถูกมองว่าหน้าด้าน แต่ตนอยากให้ผู้ว่าฯ กทม.ทำนโยบายเพื่อเด็กนำไปเป็นกรอบในการปฏิบัติราชการต่อไป 

หลังจากนั้นในปี 2009 ก็ขยับขึ้นมาเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการ ด้านกิจการเยาวชนของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์บริพัตร

‘กกต.’ ชี้!! ทำตามกฎหมายทุกขั้นตอน  หลัง ‘ชพก.’ ท้วง!! ปมแบ่งเขต กทม.

(17 มี.ค. 66) ที่สำนักคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายปกรณ์ มหรรณพ กกต.แถลงข่าวชี้แจงข้อท้วงติงจากพรรคการเมือง ถึงกรณีการแบ่งเขตเลือกตั้งเลือกตั้งใหม่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ว่า วันนี้ กกต.จะมีการเรียกประชุมด่วน ซึ่งสืบเนื่องมาจากพิจารณาข้อมูลทุกอย่าง รวมทั้งของพรรคชาติพัฒนากล้า เมื่อมีข้อท้วงติงของพรรคการเมือง เราก็พร้อมที่จะตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง จึงมีการเรียกประชุมด่วนในเวลา 16.00 น.ของวันนี้ สำหรับเรื่องดังกล่าว เราพร้อมให้ข้อมูลและเหตุผล ซึ่งสิ่งที่มีข่าวในช่วงนี้คือการแบ่งเขตของ กกต.กทม.อาจจะมีปัญหา แต่ตนขอยืนยันว่า ผอ.กกต.กทม.และทีมงาน รวมทั้งส่วนกลางที่เกี่ยวข้องได้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการแบ่งเขตอย่างสุดความสามารถ และได้ใช้เวลาในการพิจารณาอย่างเหมาะสม

“โดยเรื่องที่มีข้อท้วงติงของนักการเมืองนั้นบางครั้งอาจจะไม่ตรงกับข้อเท็จจริง อยากจะขอชี้แจงว่าการแบ่งเขตครั้งนี้ กกต.กทม.ยึดหลักตามรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.อย่างเคร่งครัด ซึ่งกฎหมายในมาตรา 27 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ระบุว่าให้แบ่งเขตแต่ละเขตติดต่อกัน และต้องจัดให้มีจำนวนราษฎรในแต่ละเขตใกล้เคียงกันต่างกันไม่เกินบวกลบร้อยละ 10 ซึ่งมาจากรัฐธรรมนูญมาตรา 86 (5) บัญญัติว่าจะต้องแบ่งเขตเลือกตั้งแต่ละเขตให้แต่ละเขตติดต่อกัน และต้องจัดให้มีจำนวนราษฎรในแต่ละเขตใกล้เคียงกัน ซึ่งกฎหมายบัญญัติให้เราปฏิบัติ” นายปกรณ์ กล่าว

นายปกรณ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่เป็นปัญหาคือ กรุงเทพมหานครไม่สามารถกำหนดเขตปกครองเดียวให้เป็นเขตเลือกตั้งได้ เพราะค่าเฉลี่ยของประชากรของกรุงเทพมหานครในหนึ่งเขตเลือกตั้ง มีประมาณ 160,000 คน ตัวอย่างเช่น เขตปกครองในเขตคลองสามวา มีประมาณ 200,000 คน, เขตบางเขน เขตประเวศ เขตลาดกระบังมีเขตละ 180,000 คน, เขตสายไหม 200,000 กว่าคน, เขตหนองจอก เขตบางขุนเทียน มีเขตละ 180,000 กว่าคน, เขตบางแค 190,000 คน

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าทั้ง 8 เขตนี้ ไม่สามารถแบ่งเป็นเขตเดียวของการเลือกตั้งได้ เราจึงได้พิจารณาตามกฎหมายในมาตรา 21 (2) ที่กำหนดว่า ในกรณีที่ไม่สามารถทำตาม (1) ได้ เพราะราษฎรในแต่ละเขตไม่ใกล้เคียงกัน จึงให้แบ่งเขตตามสภาพของชุมชนที่มีราษฎรติดต่อกันประจำ ในลักษณะเป็นเขตชุมชนเดียวกัน โดยจะต้องให้จำนวนประชากรมีจำนวนใกล้เคียงกันมากที่สุด

นายปกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีตามที่เป็นข่าวที่ยกตัวอย่างเขต 8 และ 9 ว่าไม่มีเขตหลัก ซึ่งกฎหมายไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมีเขตหลัก ซึ่งเขต 8 และ 9 มองแล้วมีเขตหลักและจำเป็นต้องเอาแขวงที่ใกล้เคียงมารวมกัน เพื่อให้จำนวนประชากรมีจำนวนใกล้เคียงกันมากที่สุด อย่างไรก็ตามเราได้ปฏิบัติตามมาตรา 27 (2) อย่างเคร่งครัด ทุกเขตจะเป็นลักษณะชุมชนเดียวกัน จำนวนราษฎรจะไม่เกินหลักเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่ง กกต.ได้ออกหลักเกณฑ์ระเบียบที่ว่า จังหวัดแบ่งเขตโดยค่าเฉลี่ยประชากรในจังหวัดเป็นเกณฑ์ แต่ละเขตไม่ควรเกินร้อยละ 10 ของค่าเฉลี่ยประชากร หรือในกรุงเทพมหานครแต่ละเขตไม่ควรเกิน 16,000 คน

‘พิธา’ นำทัพ ‘ก้าวไกล’ ลุย ‘ปทุมฯ’ พื้นที่ยุทธศาสตร์ พร้อมแง้มนโยบายเศรษฐกิจ ก่อนยุบสภา

‘พิธา’ พร้อมปักธง ‘ก้าวไกล’ ปทุมธานี ชี้เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ แง้มเปิดนโยบาย-ทีมเศรษฐกิจ จัดเต็มหลังยุบสภา

วันที่ 17 มีนาคม 2566 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย รังสิมันต์  โรม โฆษกพรรคก้าวไกล และ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ปทุมธานี ทั้ง 7 เขต ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนก่อนขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ ที่ตลาดจัมโบ้ คลองสาม จังหวัดปทุมธานี โดยก่อนหน้านี้ระหว่างวัน พิธา พร้อมกับ เชตวัน เตือประโคน ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ปทุมธานี เขต 6 ได้ขึ้นรถแห่ขอคะแนนจากประชาชนชาวปทุมธานีด้วย

พิธา กล่าวถึงกรณีการแบ่งเขตเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าการแบ่งเขตตามรูปแบบที่ 1 ที่ กกต.เลือกใช้ ถึงแม้ว่าจะมีค่าความเบี่ยงเบนจากค่าเฉลี่ยประชากรที่ไม่เกินร้อยละ 10% ตามเกณฑ์ตัวเลข แต่ก็สร้างความสับสนแก่ประชาชนเป็นอย่างมาก บางเขตเลือกตั้งประกอบด้วยเขตปกครองมากกว่า 3 เขต ฝั่งว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคมีการจัดทีมหาเสียงกันใหม่ เพื่อลดความสับสนและพบปะพี่น้องประชาชน สร้างความเข้าใจให้มากขึ้น อันที่จริงตนคิดว่า กกต. ควรแบ่งเขตเลือกตั้งเสร็จสิ้นตั้งนานแล้ว เพราะตอนนี้ใกล้ช่วงยุบสภา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความสับสนในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง จึงหวังว่าจะไม่มีเจตนาแอบแฝง ช่วงชิงความได้เปรียบในการหาเสียงของผู้มีอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงกฎหมายและผลกระทบต่อประชาชนในอนาคต อย่างไรก็ตาม พรรคก้าวไกล พร้อมสู้ศึกเลือกตั้งไม่ว่าเขตเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร และมั่นใจว่าจะกวาดที่นั่ง ส.ส. ได้เป็นอันดับหนึ่งใน กทม.

ส่วนความคาดหวังต่อผลการเลือกตั้งในจังหวัดปทุมธานี พิธากล่าวว่า ปทุมธานีเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ของพรรคก้าวไกลมาตั้งแต่ครั้งพรรคอนาคตใหม่ ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 พรรคอนาคตใหม่ได้คะแนนเป็นอันดับสอง รวมมากกว่า 147,000 คะแนน หรือคิดเป็น 1 ใน 4 ของคนปทุมธานี เลือกพรรคอนาคตใหม่ วันนี้ลงพื้นที่พบปะประชาชนตั้งแต่เช้า ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวต่อว่า ปทุมธานีเป็นเมืองที่มีการเจริญเติบโตเยอะ มี SMEs มากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ทำให้มีคนย้ายเข้ามาทำงานอยู่อาศัย ดังนั้น โจทย์ที่พรรคก้าวไกลต้องตีให้แตกคือ การแก้ไขปัญหาที่มาพร้อมกับการเจริญเติบโตของเมือง คือ 'คลอง คน ถนน' ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการคมนาคม ปัญหาขยะ ปัญหาความสะอาดของลำคลอง

‘พิธา’ ฉะ ‘บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม’ พอกันที 8 ปีที่บริหารประเทศย่อยยับ ลั่น!! เตรียมปิดฉากระบอบปรสิตผ่านบัตรเลือกตั้ง ของ ปชช.

เมื่อวันที่ (17 มี.ค. 66) ช่วงค่ำ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ขึ้นปราศรัยปิดการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคก้าวไกลจังหวัดปทุมธานีที่ตลาดจัมโบ้ ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง โดยนายพิธากล่าวว่าเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญมาก เพราะเป็นวาระสุดท้ายของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร การเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เปลี่ยนรัฐบาลและนโยบาย แต่ต้องปักธงวัฒนธรรมทางการเมืองแบบใหม่ด้วย

นายพิธากล่าวว่าสัปดาห์นี้ พล.อ.ประยุทธ์ทำงานเป็นสัปดาห์สุดท้าย พอกันที 8 ปีที่แปดเปื้อน 8 ปีที่ผ่านมา บริหารประเทศย่อยยับอย่างไร ตอนนี้ก็ยังย่อยยับอย่างนั้น มีโฆษณาออกมาจากพรรครวมไทยสร้างชาติว่านโยบายพรรคการเมืองต่าง ๆ เหมือนไอติมที่แบ่งกันดูด ส่วนพรรคของ พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นไอติมสีน้ำเงินผ่านมือถือ แต่ภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์เองไม่ใช่หรือ ฝนตกไม่ทั่วฟ้า เยียวยาไม่ทั่วถึง ชีวิตสิ้นคำนึง คำนึงถึงแค่ความตาย ครั้งนี้เรามีโอกาสแล้ว เหลือเวลาอีก 60 วัน ถึงเวลาปิดฉากระบอบปรสิตผ่านบัตรเลือกตั้งของประชาชน

‘บิ๊กแจ๊ส’ มอบดอกไม้ต้อนรับ ‘อุ๊งอิ๊ง’ เยือนเมืองปทุมฯ ด้าน ‘เฉลิม’ พร้อมหนุน ลั่น!! บิ๊กแจ๊ส ยังไงก็อยู่เพื่อไทย

(18 มี.ค. 66) เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 66 ที่อาคารยิมเนเซียม 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พรรคเพื่อไทย นำโดย นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรือ ‘อุ๊งอิ๊ง’ ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และนายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ร่วมจัดงาน ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’ เปิดตัวผู้ประสงค์ลงสมัครรับการเลือกตั้ง ส.ส.เขต ทั้ง 400 เขตทั่วประเทศ รวมถึงประกาศนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง โดยมีคณะกรรมการบริหารพรรค, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.), ผู้ประสงค์ลงสมัครรับการเลือกตั้ง ส.ส., สมาชิกพรรค และผู้สนับสนุนพรรคเข้าร่วมงาน จนแน่นสถานที่

บรรยากาศการจัดงานเป็นไปอย่างคึกคักตั้งแต่เปิดเวที ในโอกาสนี้ พล.ต.ท.คำรณ ธูปกระจ่าง (บิ๊กแจ๊ส) นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ร้อยตำรวจเอก ดร.ตรีลุพธ์ ธูปกระจ่าง นายกเทศมนตรีนครรังสิต ได้เดินทางมามอบดอกไม้ให้กำลังใจคุณอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร พรรคเพื่อไทย โดยคุณอุ๊งอิ๊งได้กล่าวขอบคุณบิ๊กแจ๊ส ส่วนนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้กล่าวกับบิ๊กแจ๊สว่าเรายังเหมือนเดิม ทางด้าน ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง ได้พูดว่า บิ๊กแจ๊สจะไปไหนได้ ยังไงอยู่เพื่อไทย มีการโบกธงเพื่อไทย ป้ายสนับสนุนยกเชียร์ พร้อมตะโกนโห่ร้อง ตั้งแต่หน้างานจนถึงบริเวณจัดงาน อากาศครึกครื้นตลอดเวลา

สำหรับพรรคเพื่อไทยในจังหวัดปทุมธานีทั้ง 7 เขต ประกอบด้วย

เขต 1. นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล ที่ครองแชมป์มายาวนาน เป็นถึงอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ขุมกำลังหลักอยู่ที่อำเภอลาดหลุมแก้วและเมืองปทุม

เขต 2.นายศุภชัย นพขำ ลูกชายของนายกแป๊ะ นายสายัณ นพขำ อดีตนายกเทศมนตรีตำบลบ้านกลาง เป็น ส.ส.แชมป์เก่า และลงพื้นที่ตลอด

เขต 3. นายยุทธศักดิ์ ชูประเสริฐ นักการเมืองใหม่ที่เปิดตัวเดินลงพื้นที่มาหลายปีต่อเนื่อง อาสาอยากจะเข้ามาพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่

เขต 4. นายสุทิน นพขำ อดีต ส.ส.ปทุมธานี น้องชายของนายกแป๊ะ นายสายัณ นพขำ อดีตนายกเทศมนตรีตำบลบ้านกลาง ครั้งนี้กลับมาลงสนามสู้ศึกอีกครั้ง

‘อิ๊งค์’ โยน ‘เศรษฐา’ ตอบ หลังถูกสื่อนอกถามแทงใจดำ “พรรคเพื่อไทย เป็นพรรคของตระกูลชินวัตรหรือไม่?”

เมื่อวานนี้ (17 มี.ค. 66) ที่ยิมเนเซียม 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต พรรคเพื่อไทย ได้จัดงาน ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’ พร้อมเปิดตัวผู้ประสงค์ลงสมัครเลือกตั้ง ทั้ง 400 เขต

ทว่าช่วงหนึ่งของงานที่เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวซักถามนั้น ได้มีผู้สื่อข่าวต่างชาติถามขึ้นมาว่า “การที่ น.ส.แพทองธาร มาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย กังวลหรือไม่ว่าจะเป็นการตอกย้ำภาพความเป็นพรรคของครอบครัวชินวัตร” ทำให้ น.ส.แพทองธาร ส่งไมโครโฟนให้ นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยเป็นผู้ตอบคำถามแทน ซึ่ง นายเศรษฐา ก็ได้ผายมือไปยังที่นั่งของคณะผู้บริหารพรรค และผู้ประสงค์ลงสมัครเลือกตั้ง ส.ส. ก่อนกล่าวยืนยันว่า “พรรคเพื่อไทยไม่ใช่ธุรกิจครอบครัว บุคคลากรของพรรคเพื่อไทยล้วนแล้วเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยม มีความรู้ความสามารถทั้งสิ้น พวกเขาที่มาไม่ใช่ ‘ชินวัตร’ ให้เครดิตพวกเราหน่อยน่า ผมขอร้องคุณ”

ผู้สื่อข่าวถามต่อไปยัง น.ส.แพทองธาร ว่าอะไรที่ทำให้เธอเหมาะสมต่อการเป็นผู้นำ เธอตอบว่า “พรรคของเราแข็งแกร่งมากด้วยนโยบายต่าง ๆ พรรคของเรา ทีมของพวกเรา มีความสามารถ เคยทำงานมาแล้ว และจะมาทำมันอีกครั้ง โดยครั้งนี้ จะทำให้คนไทยร่ำรวยยิ่งขึ้น สะดวกสบายมากขึ้นด้วยนโยบายของเรา แม้นายกฯ อาจจะใช่หรือไม่ใช่ดิฉัน แต่ถ้าเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล นั่นคือคำตอบของประเทศ”

นอกจากนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ยังได้กล่าวเพิ่มเติมถึงรายละเอียดในนโยบายเติมรายได้ 20,000 บาทต่อเดือนต่อครอบครัวว่า นโยบายดังกล่าวคิดจากครัวเรือน ไม่ใช่คิดต่อคน ถ้าครอบครัวใดรายได้ไม่เกิน 20,000 บาทต่อเดือน เราจะเติมเงินให้เพื่อให้เขามีศักยภาพในการดำเนินชีวิต และเสียภาษีกลับมายังรัฐบาล ย้ำว่าเราจะไม่ใช้นโยบายแจกเงินไปทั่วและไม่ได้อะไรกลับมาเลย โดยเราไม่สามารถใส่เงินไปแค่จุดเดียว และแก้ปัญหาไปวันต่อวัน อันนี้คือนโยบายกระตุ้นฐานราก พร้อมกระตุ้นทั้งระบบอีกด้วย

หลังจากนั้น นายเศรษฐา ก็ได้กล่าวเสริมถึงนโยบายใหม่ที่จะการตอกย้ำเป้าหมายชนะเลือกตั้งแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทย ที่เชื่อว่านโยบายต่าง ๆ ที่เปิดตัวจะเป็นนโยบายที่ลงไปถึงประชาชนทุกคน ซึ่งจะเป็นจิ๊กซอว์สุดท้ายที่จะทำให้ชนะการเลือกตั้งได้อย่างแน่นอน

‘ต้นกล้า ก้าวไกล’ เผย ไม่หวั่นแบ่งเขตพิศดาร ซัด!! กกต.แบ่งเขตแบบเล่นเก้าอี้ดนตรี

(18 มี.ค. 66) นายจรยุทธ จตุพรประสิทธิ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.(ยานนาวา-บางคอแหลม) พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงการแบ่งเขตเลือกตั้งล่าสุดโดย คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าการแบ่งเขตครั้งนี้ มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยยะสำคัญหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร แม้ว่าในเขตยานนาวา-บางคอแหลม ที่ตนลงสมัคร จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แต่สำหรับหลายเขต มีทั้งที่ถูกเพิ่มพื้นที่และลดพื้นที่ลงจนเกิดความสับสนทั้งในหมู่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งและว่าที่ผู้สมัครเอง

นายจรยุทธ กล่าวต่อว่า การแบ่งเขตเช่นนี้ อาจ มองได้ว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของพรรคใดพรรคหนึ่ง ให้ได้คะแนนเสียงได้เปรียบกว่าพรรคอื่น ๆ หรือไม่ และยังมีความน่ากังวลอีกประการหนึ่ง คือการทำหน้าที่ของ ส.ส. ในอนาคตจะยากลำบากขึ้นไปอีก จากการแบ่งเขตที่ไม่สอดคล้องกับสภาพของพื้นที่ ประชากร และความเป็นจริง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top