Saturday, 7 June 2025
Econbiz

นายกฯ เตรียมไลฟ์ขายทุเรียน ส่งตรงจากจันทบุรี หวังดัน Soft Power เกษตรไทย-ช่วยชาวสวนในพื้นที่

(16 พ.ค. 68) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เตรียมร่วมไลฟ์สดขายทุเรียนกับกลุ่ม Young Smart Farmer ณ สวนรักตะวัน จ.จันทบุรี วันที่ 17 พฤษภาคมนี้ เพื่อส่งเสริมผลไม้ไทยและกระตุ้นการตลาดช่วงฤดูทุเรียน พร้อมรณรงค์การบริโภคผลไม้ตามฤดูกาล และชมบูธร้านอาหารที่ได้รับเครื่องหมาย Thai SELECT

ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะรับฟังปัญหาของเกษตรกรภาคตะวันออกทั้งเรื่องต้นทุน การผลิต และการส่งออก พร้อมให้นโยบายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับการสนับสนุนภาคเกษตรอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องร่วมคณะลงพื้นที่ด้วย

โดยในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีจะเยี่ยมชมขั้นตอนการส่งออกผลไม้ ณ บริษัท ดรากอน เฟรช ฟรุท อ.มะขาม จ.จันทบุรี และชมการคัดแยก แพ็กกิ้งทุเรียนมังคุด รวมถึงโมเดลความร่วมมือกับสายการบินแอร์เอเชีย ในการนำเมนูผลไม้ขึ้นให้บริการบนเครื่องบิน

ทั้งนี้ รัฐบาลยืนยันเดินหน้าสนับสนุนการส่งออกผลไม้ไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งในฤดูทุเรียนและผลไม้อื่น ๆ เพื่อสร้างรายได้ให้เกษตรกร กระจายตลาดสู่เมืองหลัก-เมืองรอง และผลักดันให้ 'ผลไม้ไทย' เป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่คนทั่วโลกต้องรู้จักและจดจำ

’กรณ์‘ มอง 'G-token' หวังดัน digital asset ในไทย แนะรัฐบาลป้องกันหวั่นกลายเป็น ’เงินตรานอกระบบ’

เมื่อวันที่ (15 พ.ค.68) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ โพสต์เฟซบุ๊ก 'นายกรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij' ระบุ  ว่าด้วยเรื่อง G-token: good or bad?

ปัจจุบันรัฐบาลสามารถกู้จากประชาชนได้ผ่านการขายพันธบัตรในแอปเป๋าตังที่คนไทยกว่า 40 ล้านคนมีในโทรศัพท์

ประชาชนสามารถลงทุนได้ด้วยเงินเพียงแค่ 100 บาท คิดจะขายก็ขายได้ ต้นทุนของรัฐบาลในการออกพันธบัตรผ่านช่องทางนี้ต่ำมาก ไม่น่าจะมีช่องทางไหนที่สะดวกและมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่านี้อีกแล้ว

คราวนี้รัฐบาลจะออกสิ่งที่เรียกว่า G-token แทน นั่นคือการกู้ผ่านการออกเหรียญคริปโตในระบบ blockchain นั่นเอง 

จริง ๆ ก็คือการ tokenise พันธบัตรรัฐบาลนั่นแหละ

ที่รัฐบาลบอกว่าไม่กระทบหนี้สาธารณะ ถ้าจะพูดให้ชัดขึ้นต้องบอกว่า ’ไม่กระทบมากกว่าถ้าออกเป็นพันธบัตร’ คือหนี้สาธารณะจะเพิ่มเท่ากัน นี่คือเพียงอีกวิธีที่จะกู้เงิน

ถามว่ากฎหมายให้ทำหรือไม่ รัฐบาลบอกว่าได้ มีบางคนออกมาบอกว่าไม่ได้ ส่วนตัวผมพูดได้แค่ว่ากฎหมายไม่ได้เขียนรองรับโดยตรงเพราะตอนร่างกฎหมายยังไม่มีคริปโต แต่ผมก็ไม่เห็นว่าทำไมจะทำไม่ได้ ตราบใดที่ G-token นี้มีสถานะเหมือนเป็นพันธบัตร ซึ่งซื้อขายได้ แต่ใช้ในการชำระเงินไม่ได้ 

ปัญหาคือ พอมันเป็นเหรียญ มันก็สามารถถูกเอาไปใช้ชำระเงินได้ง่ายขึ้น รัฐบาลก็ควรต้องอธิบายว่ามีมาตรการอย่างไรที่จะป้องกันไม่ให้คนไทยหรือต่างชาติใช้ G-token เสมือนเป็นเงินบาท (เพราะมีรัฐบาลคำ้ประกัน) สุดท้ายก็จะเป็นเงินอีกประเภทหนึ่งที่รัฐบาลเป็นคนออกหรือไม่? (หรือนั่นคือความตั้งใจ?)  ต้องฟังความเห็นของแบงก์ชาติในประเด็นนี้

ถามว่าการเข้าถึง G-token โดยประชาชนจะสะดวกกว่าการซื้อพันธบัตรรัฐบาลหรือไม่ คำตอบคือ ’ไม่‘  เพราะคนไทยยังคงจะมี digital wallet น้อยกว่าแอปเป๋าตัง

ถามว่าแล้วรัฐบาลทำไปเพื่ออะไร ผมเชื่อว่าเหตุผลหลักคือต้องการเพิ่มความนิยมใน digital asset ในประเทศไทย พวก crypto exchange เช่น Bitkub หรือ Binance ต้องชอบเพราะทำให้มีสินค้าในตลาดของตนมากขึ้น และลูกค้าใหม่ก็อาจจะหันมาสนใจลงทุนใน Bitcoin หรือ digital asset ตัวอื่น ๆ มากขึ้นในอนาคต รัฐบาลก่อนหน้านี้อยากให้ประชาชนมีแอปเป๋าตัง รัฐบาลนี้อยากให้มี digital wallet

ทั้งหมดนี้ดีหรือไม่ดีอย่างไรขึ้นอยู่กับว่าคุณให้ค่ากับคริปโตแค่ไหน และรัฐบาลจะสามารถป้องกันไม่ให้ G-token กลายเป็นเงินตรา ‘นอกระบบ’ หรือไม่

‘อพท.’ ผลักดัน!! ชุมชนท่องเที่ยว ในพื้นที่พิเศษ ชวนออฟฟิศ ยกทีมนอกกรอบ ไปรอบเมืองไทย

(17 พ.ค. 68) นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. ได้ร่วมเสวนาในหัวข้อ “ยกทีมประชุม รุมรักเมืองไทย ซีซั่น 2 ชวนชาวออฟฟิศ ยกทีมนอกกรอบ ไปรอบเมืองไทย” และกล่าวถึงประโยชน์ของการจัดงานในครั้งนี้ว่า ในฐานะที่ อพท. เป็นองค์กรกลางในการประสาน ส่งเสริมและพัฒนาให้ชุมชนท้องถิ่นและพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวมีศักยภาพและมีการบริหารจัดการการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ การเข้าร่วมเป็นพันธมิตรในแคมเปญฯ ในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการต่อเนื่องมาจากปี 2567 ซึ่งได้นำชุมชนในพื้นที่พิเศษที่มีศักยภาพเข้าร่วมแคมเปญถึง 25 ชุมชน สำหรับในซีซั่น 2 ในปี 2568 นี้ ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ อพท. ได้ประชาสัมพันธ์และเชิญชวนนักเดินทางคุณภาพกลุ่มไมซ์ ให้มาสัมผัสประสบการณ์ใหม่จากการเดินทางท่องเที่ยวโดยชุมชนที่มีเสน่ห์และอัตลักษณ์โดดเด่น ผ่านภูมิปัญญา เรื่องเล่าและได้ทดลองกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ของชุมชน โดย อพท. ได้คัดสรรชุมชนที่มีศักยภาพเข้าร่วมแคมเปญเพิ่มขึ้นเป็น 32 ชุมชน และสนับสนุนค่าจัดกิจกรรมขององค์กรใน ชุมชนมูลค่า 10,000 บาทต่อกลุ่ม ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเชื่อมโยงชุมชนท่องเที่ยวสู่ตลาดมูลค่าสูง และเปิดโอกาสให้ชุมชนได้แสดงศักยภาพ อัตลักษณ์ สินค้าและกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ พร้อมได้ประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่างๆ ของชุมชน นำมาสู่การสร้างและกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น และเชื่อว่า “การท่องเที่ยวโดยชุมชน จะเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ได้เรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจในการจัดกิจกรรมองค์กรให้กับทุกๆ คน”

ความร่วมมือดังกล่าวนั้นตอบโจทย์การดำเนินงานของ อพท. ซึ่งเป็นองค์กรกลางในการประสาน ส่งเสริม และสนับสนุนการพัฒนาและบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในเชิงบูรณาการ ตลอดจนการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นให้มีศักยภาพตามมาตรฐานการท่องเที่ยวโดยชุมชน (CBT Thailand) สามารถบริหารจัดการการท่องเที่ยวได้ด้วยตนเอง และพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ (Creative Tourism) ที่นำเสนออัตลักษณ์ที่โดดเด่นและเชื่อมโยงชุมชนท่องเที่ยวสู่ตลาดมูลค่าสูง นำมาสู่การสร้างและกระจายรายได้มาสู่ท้องถิ่นต่อไป  

‘แพทองธาร – นายกฯ เวียดนาม’ ร่วมเปิดงานใหญ่ แสดงวิสัยทัศน์ มุ่งเน้นเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศ ในทุกระดับ

(17 พ.ค. 68) นายฝั่ม มิญ จิ๊ญ นายกรัฐมนตรีของเวียดนาม พร้อมด้วยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ได้เข้าร่วมงาน Vietnam–Thailand Business Forum 2025 พร้อมทั้งแสดงวิสัยทัศน์ มุ่งเน้นเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศในทุกระดับ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ นโยบาย และประชาชน ณ โรงแรม Melia กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เมื่อวานนี้ (16 พ.ค. 68) 

ทั้งนี้ คุณธาราบดี ซึ้งอดิชัยวิทย์ SVP & General Manager ธนาคารกรุงเทพ สาขาเวียดนาม ได้รับเกียรติให้เป็นผู้ดำเนินรายการในช่วงเสวนา ซึ่งมีผู้บริหารระดับสูง ตัวแทนภาคเอกชนจากทั้งประเทศไทย และเวียดนาม อาทิ WHA Amata FPT และ Vietjet มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ วิสัยทัศน์ และแนวทางการสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว เพื่อร่วมกันยกระดับเศรษฐกิจไทย–เวียดนาม สู่อนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน

‘อรรถวิชช์’ เผยร่าง กม.ส่งเสริมอุตฯปาล์มน้ำมันเสร็จแล้ว ดูแลจัดการทั้งระบบตั้งแต่ชาวสวนถึงอุตสาหกรรมการผลิต

‘อรรถวิชช์’ เผย ยกร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันเสร็จแล้ว ชู "สำนักงานอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน" ดูแลโครงสร้างแบบครบวงจร ช่วยเกษตรกร-ผู้ประกอบการ มีรายได้อย่างมั่นคงเป็นธรรมทุกฝ่าย 

(19 พ.ค. 68) ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ประธานคณะกรรมการยกร่างกฎหมายส่งเสริมปาล์มน้ำมัน เปิดเผยว่า ตนได้รับมอบหมายจากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้เป็นประธานยกร่างกฎหมายส่งเสริมอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน โดยนายพีระพันธุ์ และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้รับเป็นที่ปรึกษาและผู้ให้ความเห็นเกี่ยวกับร่างกฎหมายฉบับนี้

ซึ่งล่าสุดตนได้ดำเนินการยกร่างกฎหมายเสร็จสิ้น และส่งมอบต่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยขั้นตอนหลังจากนี้จะเป็นการเตรียมเปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาสังคม ก่อนนำร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.) และสภาผู้แทนราษฎร ให้พิจารณาเห็นชอบร่างกฎหมายเพื่อบังคับใช้ต่อไป

ดร.อรรถวิชช์ กล่าวถึงสาระสำคัญของร่างกฎหมายส่งเสริมอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน ว่า จะบัญญัติให้มีสำนักอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน ที่จะเป็นหน่วยงานหลักในการควบคุมดูแลร่างกฎหมายนี้และอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งจะใช้ระบบแบ่งปันผลประโยชน์ โดยเกษตรกร จะได้ผลประโยชน์จากการขายผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มที่แปรรูป ทั้งจะมีระบบประกันรายได้และการสร้างระบบซื้อขายอย่างเป็นธรรม ที่สำคัญ จะทำให้เกษตรกรไม่ต้องเร่งขายปาล์มที่ยังไม่สุกเต็มที่ควบคู่ไปกับมีการควบคุมการชั่งน้ำหนัก คำนวณเปอร์เซ็นต์น้ำมันปาล์มอย่างเป็นธรรม ซึ่งถือได้ว่าจะช่วยสร้างผลประโยชน์ให้กับเกษตรกรอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมโดยแท้จริง

ส่วนผู้ประกอบการก็จะมีการควบคุมจำนวนของผู้ประกอบการ การสร้างมาตรฐานที่เท่าเทียม มีระบบส่งเสริม รวมทั้งการได้วัตถุดิบชั้นดี โดยไม่ต้องแย่งกันซื้อปาล์ม แต่ก็ยังได้ปาล์มสุก มีคุณภาพ ได้น้ำมันสูง

“ตนใช้ระบบการกำกับคล้ายกับพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย ที่ยึดนโยบายหลักที่ว่า อุตสาหกรรมนำเกษตร มาเป็นหัวใจหลักในการพัฒนาและขับเคลื่อน อันจะสร้างผลประโยชน์ที่เป็นธรรมได้ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ที่สำคัญเกษตรกรและผู้ประกอบการสามารถเติบโตไปพร้อมกันได้อย่างมั่นคงและเป็นธรรม โดยไม่มีใครถูกเอาเปรียบด้วย” ดร.อรรถวิชช์ กล่าวทิ้งท้าย

บีโอไอ ปรับเงื่อนไขส่งเสริมการลงทุนรับมือการค้าโลก พร้อมไฟเขียว 7 โครงการ มูลค่าเฉียด 1 แสนล้านบาท

(19 พ.ค. 68) บอร์ดบีโอไอ อนุมัติมาตรการชุดใหญ่ เสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทย รับมือการค้าโลกยุคใหม่ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางความผันผวน มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน พร้อมออกมาตรการส่งเสริมกิจการท่องเที่ยวในเมืองรอง ฟื้นเที่ยวไทยทั่วประเทศ อนุมัติส่งเสริมลงทุน 7 โครงการ มูลค่าเฉียด 1 แสนล้านบาท

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้เห็นชอบ “มาตรการส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทยเพื่อรองรับโลกยุคใหม่” โดยมุ่งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ไทย รักษาสมดุลทางเศรษฐกิจ ภายใต้สภาวะตลาดที่มีความผันผวน เพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบจากมาตรการการค้าของสหรัฐอเมริกา และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยในหลากหลายอุตสาหกรรมได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain ระดับโลก โดยมีมาตรการสำคัญ 4 ด้าน ดังนี้

1. ส่งเสริมให้ SMEs ไทย ปรับปรุงประสิทธิภาพ โดยออกมาตรการพิเศษเพื่อกระตุ้นให้ SMEs ไทย ลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การปรับเปลี่ยนเครื่องจักร การใช้ระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีดิจิทัล การประหยัดพลังงาน การยกระดับสู่มาตรฐานเพื่อความยั่งยืนในระดับสากล รวมทั้งการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ SMEs ไทย จากเดิมยกเว้นภาษีเงินได้ 3 ปี ในวงเงินไม่เกินร้อยละ 50 ของเงินลงทุนในการปรับปรุงประสิทธิภาพ ปรับเพิ่มขึ้นเป็นยกเว้นภาษีเงินได้ 5 ปี ในวงเงินร้อยละ 100

2. งดให้การส่งเสริมกิจการที่อาจมีปริมาณผลิตเกินความต้องการ (Oversupply) หรือกิจการที่มีความเสี่ยงต่อมาตรการการค้าของสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ เช่น กิจการผลิตเซลล์และแผงเซลล์แสงอาทิตย์ แบตเตอรี่กลุ่มตะกั่ว-กรด อุปกรณ์เสริมและอุปกรณ์ตกแต่งยานพาหนะ กิจการตัดโลหะ กิจการคัดแยกวัสดุที่ไม่ใช้แล้วกรณีตั้งนอกนิคมอุตสาหกรรมและไม่มีกระบวนการรีไซเคิล นอกจากนี้ ยังจะงดส่งเสริมกิจการเหล็กขั้นปลายเพิ่มเติมจากเดิม ได้แก่ กิจการผลิตเหล็กทรงยาวทุกชนิด เหล็กทรงแบน (เฉพาะเหล็กแผ่นรีดร้อนและเหล็กแผ่นหนา) และท่อเหล็กชนิดต่าง ๆ

3. เพิ่มความเข้มข้นในการพิจารณากระบวนการผลิตที่เป็นสาระสำคัญ สำหรับบางกิจการที่มีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบจากมาตรการการค้าสหรัฐฯ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์โลหะ และอุตสาหกรรมเบา โดยกำหนดเป็นเงื่อนไขชัดเจนว่า ต้องมีกระบวนการผลิตที่เป็นสาระสำคัญ โดยมีการแปรสภาพวัตถุดิบหลักเป็นผลิตภัณฑ์อย่างเพียงพอ เช่น มีการเปลี่ยนพิกัดศุลกากรอย่างน้อยในระดับ 4 หลัก เพื่อให้การผลิตเพื่อส่งออกของไทยเป็นที่ยอมรับและเกิดประโยชน์ต่อประเทศชัดเจนมากยิ่งขึ้น

4. ปรับปรุงเงื่อนไขการจ้างงานบุคลากรต่างชาติ  สำหรับกิจการผลิตที่ขอรับการส่งเสริมลงทุนและมีการจ้างงานทั้งบริษัทตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป จะต้องมีการจ้างบุคลากรไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของการจ้างงานทั้งหมด นอกจากนี้ จะกำหนดรายได้ขั้นต่ำของบุคลากรต่างชาติที่จะขอใช้สิทธิด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงานกับบีโอไอ เช่น ถ้าเป็นระดับผู้บริหาร ต้องมีรายได้ 150,000 บาทขึ้นไป และระดับผู้เชี่ยวชาญ 50,000 บาทขึ้นไป เพื่อสร้างสมดุลการจ้างงานในประเทศให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงการแย่งงานบุคลากรไทย และกระตุ้นให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้แก่บุคลากรไทยมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศให้มาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มแก่เศรษฐกิจไทยได้

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้บีโอไอดำเนินการศึกษาแนวทางการกำหนดมาตรการเพื่อส่งเสริมให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศ และการส่งเสริมการร่วมทุน ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการต่างชาติร่วมมือกับผู้ประกอบการไทยและช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับคนไทยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกิจการที่มีความสำคัญต่อการสร้างห่วงโซ่อุปทาน และให้นำกลับมาเสนอบอร์ดอีกครั้ง

ส่งเสริมท่องเที่ยวเมืองรอง

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบ “มาตรการส่งเสริมการลงทุนกิจการด้านการท่องเที่ยวในเมืองรอง” ตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ในเมืองรอง เพื่อส่งเสริมการกระจายตัวของนักท่องเที่ยว และเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้มากขึ้น โดยสำหรับกิจการด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ กิจการสร้างแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพ สวนสนุก ศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรมไทย ศูนย์หัตถกรรมไทย พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์เปิด ศูนย์แสดงสินค้านานาชาติ หอประชุมขนาดใหญ่ ท่าเรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) บริการที่จอดเรือท่องเที่ยว สนามแข่งขันยานยนต์ กระเช้าไฟฟ้าและรถรางไฟฟ้าเพื่อการท่องเที่ยว หากเป็นการลงทุนตั้งสถานประกอบการในเมืองรอง 55 จังหวัด จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม จากเดิม 5 ปี เป็น 8 ปี  และสำหรับกิจการโรงแรม หากตั้งในเมืองรอง 55 จังหวัด จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม จากเดิม 3 ปี เป็น 5 ปี

ปรับปรุงกิจการ Data Center, Data Hosting และ Cloud Service

บอร์ดบีโอไอ ได้อนุมัติการปรับปรุงการส่งเสริมการลงทุนกิจการ Data Center, Data Hosting และ Cloud Service ให้มีความเหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจในปัจจุบัน โดยจะเน้นให้สิทธิประโยชน์ระดับสูงกับกิจการที่ใช้อุปกรณ์ที่มีความสามารถในการประมวลผลขั้นสูง (Advanced Computing Capabilities) และมีการใช้พลังงานไฟฟ้าและน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งได้เพิ่มเงื่อนไขให้โครงการที่จะขอรับการส่งเสริม ต้องเสนอแผนพัฒนาบุคลากรไทย เช่น การจัดทำหลักสูตรร่วมกับสถาบันการศึกษา การวิจัยและพัฒนา การพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs หรือการใช้อุปกรณ์ที่ผลิตในประเทศ โดยต้องดำเนินการตามแผนที่เสนอให้แล้วเสร็จก่อนการใช้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้ ทั้งนี้ เพื่อให้การลงทุนในกลุ่มธุรกิจนี้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลแก่ประเทศไทยให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

ไฟเขียวลงทุน 7 โครงการ มูลค่าเฉียดแสนล้าน

ที่ประชุมได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนกิจการ Data Center และพลังงานหมุนเวียน รวม 7 โครงการ มูลค่าลงทุนประมาณ 1 แสนล้านบาท ประกอบด้วย กิจการ Data Center 5 โครงการ ได้แก่ (1) บริษัท วิสตัส เทคโนโลยี จำกัด เงินลงทุน 6,854 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี (2) บริษัท บริดจ์ ดาต้า เซ็นเตอร์ ไอไอไอ (ประเทศไทย) จำกัด เงินลงทุน 14,452 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี (3) บริษัท กาแล็คซี่ พีค ดาต้า เซ็นเตอร์ จำกัด เงินลงทุน 23,553 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง (4) บริษัท กาแล็คซี่ ดาต้า เซ็นเตอร์ จำกัด เงินลงทุน 22,313 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง และ (5) บริษัท ดิจิทัล เอดจ์ ดีซี (ประเทศไทย) จำกัด เงินลงทุน 24,522 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี

กิจการพลังงานหมุนเวียน 2 โครงการ ได้แก่ (1) บริษัท อัลฟ่า วัน โปรเจค จำกัด ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม เงินลงทุน 3,195 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชุมพร และ (2) บริษัท อัลฟ่า ทู โปรเจค จำกัด ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม เงินลงทุน 4,838 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

‘อมตะ ซัมมิท’ เร่งตรวจสอบผนังอาคารถล่ม พร้อมประสานผู้เชี่ยวชาญหาสาเหตุอย่างละเอียด

(19 พ.ค. 68) บริษัท อมตะ ซัมมิท เรดดี้บิลท์ จำกัด ออกแถลงการณ์กรณีผนังอาคารด้านหน้าอาคารให้เช่า ในนิคมฯอมตะซิตี้ ชลบุรี หลุดร่วงจากตัวอาคารยืนยันเดินหน้าตรวจสอบสาเหตุอย่างเร่งด่วน และยกระดับมาตรการความปลอดภัยในทุกอาคาร

นางสาวจันจิรา แย้มยิ้ม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อมตะ ซัมมิท เรดดี้บิลท์ จำกัด เปิดเผยถึงกรณีผนังอาคารด้านหน้าอาคารให้เช่าแห่งหนึ่งภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี เกิดการหลุดร่วงจากตัวอาคารว่า บริษัทขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้มีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเพียงหนึ่งราย แต่เหตุการณ์ดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของผู้เช่า ซึ่งบริษัทฯไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด

บริษัทฯให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของผู้เช่าและบุคลากรทุกฝ่าย โดยได้ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมโครงสร้าง และตัวแทนจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ กนอ.เพื่อเร่งตรวจสอบหาสาเหตุของเหตุการณ์อย่างละเอียด พร้อมเพิ่มการตรวจสอบซ้ำด้านความปลอดภัย

นอกจากนี้ บริษัทฯจะนัดหมายเพื่อร่วมประชุมกับผู้เช่าอาคารในลักษณะเดียวกันทุกราย เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง แผนการดำเนินงาน และมาตรการตรวจสอบซ้ำด้านความปลอดภัย พร้อมเปิดรับฟังข้อเสนอแนะจากผู้เช่า และเชิญผู้เชี่ยวชาญร่วมตรวจสอบโครงสร้างอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความมั่นใจร่วมกัน

บริษัทฯขอยืนยันความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส มีความรับผิดชอบ และเปิดกว้างให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสาธารณะชน เข้าตรวจสอบได้อย่างเต็มที่ เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้เช่า นักลงทุน และพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต

สกพอ. ผนึกกำลัง กกท. ผุดโปรเจกต์ยักษ์ ยกระดับเมืองอัจฉริยะ EECiti สร้างศูนย์กีฬานานาชาติจ.ชลบุรี บนเนื้อที่ 1,500 ไร่ หนุนเมืองน่าอยู่รองรับประชากร 3.5 แสนคน ปูทางไทยจัดกีฬาโลก-คอนเสิร์ต-เวทีนานาชาติ ตั้งเป้าสร้างงาน 2 แสนตำแหน่งใน 10 ปี

(19 พ.ค. 68) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) จับมือการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ลงนามความร่วมมือ (MOU) สร้าง “ศูนย์กีฬานานาชาติ จ.ชลบุรี” บนพื้นที่กว่า 1,500 ไร่ ภายในโครงการเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ EECiti หวังยกระดับสู่ศูนย์กลางการจัดการแข่งขันกีฬาและอีเวนต์ระดับโลก พร้อมส่งเสริมสุขภาพและเศรษฐกิจกีฬาไทย

ศูนย์กีฬาแห่งนี้จะได้มาตรฐานระดับนานาชาติ รองรับทั้งการแข่งขัน กีฬาอาชีพ คอนเสิร์ต เทศกาลขนาดใหญ่ พร้อมศูนย์ฟื้นฟูนักกีฬาและนวัตกรรมวิทยาศาสตร์การกีฬาครบวงจร สอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติมุ่งพัฒนากีฬาเพื่อความเป็นเลิศและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ สกพอ. เผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านกีฬา ระบบนิเวศเมืองน่าอยู่ และดึงดูดนักลงทุนเข้าสู่พื้นที่ EEC ตามแนวทางเศรษฐกิจสีเขียว คาดว่าโครงการจะรองรับประชากรกว่า 3.5 แสนคน และสร้างงานกว่า 2 แสนตำแหน่งภายในปี 2580

นอกจากศูนย์กีฬานานาชาติแล้ว พื้นที่ EECiti ยังเตรียมพัฒนาเป็นเมืองอัจฉริยะติด 1 ใน 10 ของโลก พร้อมรองรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสีเขียวและเศรษฐกิจหมุนเวียน ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รองรับการลงทุนใหม่ในพื้นที่อีอีซีในอนาคต

‘บอสชาตรี’ ปลื้มบิ๊กอีเวนต์ ONE สร้างเงินสะพัดระดับชาติ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย มูลค่ากว่า 1.6 หมื่นล้านบาทต่อปี

(20 พ.ค. 68) ชาตรี ศิษย์ยอดธง ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ ONE แชมเปียนชิพ แสดงความภาคภูมิใจ หลังรายงานล่าสุดจาก Nielsen ชี้ว่า ONE มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย สร้างรายได้หมุนเวียนกว่า 470 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.6 หมื่นล้านบาทต่อปี ผ่านการจัดการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลก และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา

รายงานระบุว่า 82% ของผู้ชมต่างชาติ ซึ่งมาจากประเทศมีกำลังซื้อสูง เช่น ออสเตรเลีย สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และแคนาดา เดินทางมาไทยเพื่อชมการแข่งขันของ ONE และกว่า 65% ของนักท่องเที่ยวเหล่านี้ยังเลือกขยายทริปเที่ยวในจังหวัดอื่น ทำให้ใช้เวลาในประเทศไทยเฉลี่ยมากกว่า 10 วัน

ด้านผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ภาคค้าปลีกและนันทนาการได้รับรายได้สูงสุดจากอีเวนต์ของ ONE รวมกว่า 105 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3,675 ล้านบาท) ตามด้วยภาคที่พัก 1,890 ล้านบาท และภาคอาหารเครื่องดื่ม 1,330 ล้านบาท

บิ๊กบอสชาตรี กล่าวย้ำว่า ONE ไม่เพียงเป็นเวทีการต่อสู้ระดับโลก แต่ยังเป็นเครื่องมือทรงพลังในการส่งเสริมภาพลักษณ์และเศรษฐกิจไทย พร้อมขอบคุณแฟนคลับ นักกีฬา พันธมิตร และทีมงานทุกคนที่ร่วมผลักดัน ONE ให้เป็นฟันเฟืองสำคัญในแนวคิด 5F ของการท่องเที่ยวไทยอย่างแท้จริง

‘กอบศักดิ์’ ชี้ บริโภค – อุตสาหกรรมไทยถดถอย แนะเร่งแก้หนี้ครัวเรือน - ผลัดใบอุตสาหกรรมใหม่

 ‘ดร.กอบ’ ชี้ 2 จุดอ่อนหลักฉุดเศรษฐกิจไทย ทั้งการบริโภค - อุตสาหกรรมถดถอย เครื่องยนต์เศรษฐกิจเริ่มดับ แนะเร่งแก้หนี้ครัวเรือน-ผลัดใบอุตสาหกรรมใหม่

วันที่ (20 พ.ต. 68) ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุน (FETCO) โพสต์เฟซบุ๊ก กอบศักดิ์ ภูตระกูล ระบุว่า

ปัญหาหลักของเศรษฐกิจไทย !!!

เมื่อวานนี้ทางสภาพัฒน์ได้ประกาศ GDP ไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ ขยายตัว +3.1% ออกมาได้ดีกว่าที่หลายคนคิด จากการเร่งส่งออก ที่ช่วยให้การส่งออกสินค้า +13.8% ซึ่งจะดีต่อเนื่องในไตรมาสที่ 2

โดยผู้ประกอบการสหรัฐคงพยายามเร่งนำเข้าก่อนที่จะหมด 90 วัน มีของไว้ก่อน ดีกว่า แม้ว่าจะถูก Tariffs 10% เพราะในอนาคตไม่รู้ว่าจะจบกันอย่างไร

ในข้อมูล GDP ของสภาพัฒน์ที่แถลงออกมา มีตัวเลข 2 ตัวที่น่าจับตามองที่จะกดดันเศรษฐกิจไทยไปในช่วงหลายปีข้างหน้า

1. การบริโภคภาคเอกชน ที่ขยายตัวได้เพียง +2.6% ซึ่งน่ากังวลใจ เพราะปกติแล้ว การบริโภคภาคเอกชนจะมีขนาดประมาณ 55% ของเศรษฐกิจ เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทย จะคึกคักหรือไม่ ก็จะขึ้นกับว่า คนใช้จ่ายหรือไม่ ซึ่งตัวเลขนี้ควรจะขยายตัวได้ 5-6% แต่ช่วง 4 ไตรมาสสุดท้าย ขยายตัวได้เพียงประมาณ 3% กว่าๆ ส่วนหนึ่งคงเป็นผลจากการที่เศรษฐกิจไทยไม่ค่อยโต และอีกส่วนคงมาจากการที่เราเป็นหนี้กันมาก มีหนี้ครัวเรือนสูง มีหนี้เสียเพิ่มขึ้น

2. ตัวเลขที่ยิ่งน่ากังวลใจไปกว่านั้น ก็คือ การผลิตของภาคอุตสาหกรรม ภาคนี้ คือ ภาคที่สร้างรายได้หลักของประเทศ ล่าสุดมีสัดส่วนประมาณ 28% ของ GDP ในช่วงที่เราขยายตัวดีๆ ภาคนี้จะเป็นหัวหอก เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนสำคัญที่จะช่วยผลักเศรษฐกิจไทย ช่วงปี 2000-2007 ขยายตัวที่ +9.5% ช่วงปี 2010-2018 ขยายตัวที่ +4.1% แต่ 5 ไตรมาสสุดท้าย ขยายตัวเฉลี่ยเพียง +0.5%

เครื่องยนต์ดับ !!!!
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าอุตสาหกรรมไทยกำลังตกรุ่น โรงงานกำลังปิด หรือ ลดกำลังการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มยานยนต์ที่กำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ถ้าเราอยากเห็นเศรษฐกิจไทยคึกคักอีกรอบ นี่คือโจทย์สำคัญที่เราต้องแก้ให้ได้

แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และ สร้างหรือผลัดใบภาคอุตสาหกรรมไทย ที่จะมาเป็นรายได้ใหม่ๆ ให้กับประเทศ ทดแทนการปิดตัวของโรงงานแบบเดิม ๆ

ถ้าเราแก้ไม่ได้ เศรษฐกิจไทยก็ยากจะกลับไปโตอย่างที่เราหวังกัน ถูกเพื่อนบ้านแซง หรือ ทิ้งไว้ข้างหลัง โชคดีช่วงนี้ คลื่นการลงทุนรอบใหม่ในอาเซียนกำลังมา หลายๆ ประเทศกำลังหลั่งไหลเข้ามาลงทุน หลังจากทิ้งเราไปหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง

ถ้าหากว่า เราได้ส่วนแบ่งที่พอสมควร อีก 3-5 ปีให้หลัง เราจะมีภาคอุตสาหกรรมใหม่ที่จะออกดอกออกผลอีกครั้งเป็นเครื่องยนต์ใหม่ให้เศรษฐกิจไทยไปอีก 15-20 ปี

ขอเป็นกำลังใจให้กับ BOI ที่พยายามต่อสู้ ช่วงชิงโอกาสให้ประเทศไทย ในช่วงเช่นนี้ หาก BOI มีงบ มีคนเพิ่มเติมอนาคตของไทยก็จะสดใสมากขึ้นครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top