Saturday, 7 June 2025
Econbiz

‘ผู้ส่งออก’ เหนื่อยหนัก!! ตลาดสหรัฐ ออร์เดอร์วูบ!! คู่แข่งเวียดนาม เร่ง!! โครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี

(11 พ.ค. 68) หลัง ประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกา ประกาศมาตรการด้านภาษีนำเข้า กับนานาประเทศ ที่จะส่งสินค้าไปขายยังสหรัฐอเมริกา การส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐก็ปั่นป่วน ปัจจุบันออร์เดอร์ส่งออกเริ่มลดลง เพราะคู่ค้าชะลอการนำเข้า หลังก่อนหน้านี้ เร่งตุนสต๊อกสินค้า ก่อนปรับขึ้นภาษี

ในไตรมาสแรกปี 2568 ไทยส่งออกไปสหรัฐโต 25% ล่าสุดคำสั่งซื้อเริ่มแผ่วลง สาเหตุหลักเพราะผู้นำเข้าสหรัฐได้เร่งสั่งซื้อสินค้าไปตุนสต๊อกก่อนมาตรการภาษีตอบโต้ใหม่ของ “ทรัมป์” ที่ชะลอไป 90 วันจะเริ่มใช้ โดยสินค้ากระทบหนัก ได้แก่ ข้าว ถุงมือยาง ทูน่ากระป๋อง อาหารสัตว์เลี้ยง และเครื่องนุ่งห่ม

การส่งออกข้าวหอมมะลิขยายตัวสูงแต่เริ่มลดลง เพราะลูกค้าเร่งตุนไว้ก่อน ขณะผู้ส่งออกไทยกังวลเรื่องเครดิตการค้า ด้านถุงมือยางแม้โตขึ้นเล็กน้อยแต่ยังเสียเปรียบมาเลเซียที่ถูกเก็บภาษีต่ำกว่า ส่วนทูน่าและอาหารสัตว์เลี้ยงแม้ยอดส่งออกยังสูงจากการนำเข้าล่วงหน้า แต่เริ่มชะลอคำสั่งซื้อแล้ว เพราะลูกค้ารอสัญญาณชัดเจนจากผลเจรจาภาษี

แม้ยอดส่งออกเครื่องนุ่งห่มโต 23% จากออร์เดอร์ปลายปีที่แล้ว แต่คาดว่าคำสั่งซื้อใหม่จะชะลอลงหากอัตราภาษีตอบโต้ไทยสูงกว่าเวียดนามหรืออินโดนีเซีย ซึ่งมีโอกาสที่คู่ค้าจะเปลี่ยนไปนำเข้าจากประเทศที่เสียภาษีน้อยกว่า

สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย” (สรท.) มองว่าสถานการณ์นี้ไทยต้องเร่งเจรจาการค้ากับสหรัฐ พร้อมเร่งหาตลาดใหม่รองรับ เพื่อไม่ให้การส่งออกไทยสะดุดครึ่งปีหลัง หากถูกเก็บภาษีสูงถึง 36% อาจทำให้การส่งออกทั้งปีติดลบถึง 2%

หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ต่อปี จาก 2.00% เป็น 1.75% ต่อปี เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 68 เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ นโยบายการเงิน และการค้าโลก โดยขณะนี้ธนาคารของรัฐ ธนาคารของรัฐ 5 แห่ง ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.15% ต่อปี รับมติกนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีผล 13-14 พ.ค. 68 นี้

เวียดนาม กำลังวางแผนเตรียมออกแพ็คเกจเงินกู้ครั้งใหญ่มูลค่า "500 ล้านล้านดอง" (ราว 6.6 แสนล้านบาท) กับธนาคาร 21 แห่ง เพื่อจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการพัฒนา "โครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี" เพื่อมุ่งกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวทางการเงินครั้งใหญ่ที่ไม่ได้พบบ่อยนักในประเทศนี้

ธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุด 4 แห่งในเวียดนาม ได้แก่ Vietcombank, VietinBank, BIDV และ Agribank ได้ให้คำมั่นว่าจะให้สินเชื่อมูลค่า 60 ล้านล้านดอง (ราว 7.6 หมื่นล้านบาท) สำหรับโครงการขยายโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี ส่วนธนาคารอื่นอีก 12 แห่งให้คำมั่นว่าจะให้สินเชื่อรายละ 20 ล้านล้านดอง (ราว 2.5 หมื่นล้านบาท) และอีก 5 แห่งให้คำมั่นว่าจะให้สินเชื่อรายละ 4 ล้านล้านดอง (ราว 5 พันล้านบาท)

ติดเชื้อ“โควิด” พุ่งสูง 8 พันรายภายในหนึ่งสัปดาห์ ใกล้ช่วงเปิดเทอมอาจมีการระบาดขยายวงกว้าง ภาวะปัจจุบันระบาดหนักกว่าไข้หวัดใหญ่ 2 เท่า รัฐบาลเตือนประชาชนเฝ้าระวังเข้ม หากพบว่าเติดเชื้อให้แยกกักตัว อย่างน้อย 5 วันหลังติดเชื้อ

ในช่วงเปลี่ยนผ่านผู้ว่าแบงค์ชาติ ผู้ที่จะคานอำนาจรัฐ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินการคลังของประเทศไทย กับนโยบายภาครัฐ ที่ยังกู้วิกฤติเศรษฐกิจไทยไม่ได้ผล และยังหาแนวทางรับมือนโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐที่เป็นรูปธรรมไม่ได้ ประเทศเพื่อนบ้านเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี ไม่ใช่ ‘คาสิโน’

ถึงแม้ กนง.มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% แต่ถ่ายโอนไปยังผู้ประกอบการ เพียงร้อยละ 0.15% ตามประกาศของธนาคารรัฐ ทั้ง 5 แห่ง ซึ่งเป็นเช่นนี้มาตลอดในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 

ผู้ประกอบการ คงต้องรักษานโยบายงดการลงทุนเพื่อคงเงินสด รักษาสภาพคล่องไว้ก่อน เพราะสถานการณ์ยังคงมีความเสี่ยงจากทุกๆ ด้าน การระบาดเชื้อโควิดก็กำลังกลับมาอีกระลอก... อย่างน้อย..ประครองให้จำนวนผู้ประกอบการไม่ปิดตัวลงไปมากกว่านี้ ไม่งั้น อัตราแรงงานที่ว่างงาน คงพุ่งขึ้นไม่หยุด เศรษฐกิจไทยคงกู่ไม่กลับไปอีกนาน

‘วิกรม’ แนะ!! ผู้ประกอบการไทย ปรับตัวรับ ‘ภาษีทรัมป์’ กระจายตลาดส่งออกสินค้า พัฒนาศักยภาพการผลิต!! สร้างฐานการผลิตสินค้าใหม่ ป้อนตลาดทั่วโลก

(12 พ.ค. 68) นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานกรรมการและรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA เปิดเผยว่า จากนโยบายการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐ ที่เรียกเก็บจากประเทศผู้ส่งออกทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย เชื่อว่าทุกประเทศที่เป็นฐานผลิตเพื่อการส่งออกจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน  แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับผลการเจรจา ซึ่งผู้ผลิตต้องปรับตัวเพื่อลดผลกระทบดังกล่าว เช่นการขยายไปยังตลาดใหม่ๆ  ลดการพึ่งพิงตลาดสหรัฐฯเพียงอย่างเดียว ปรับแผนการผลิตโดยวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่สอดรับกับทิศทางของตลาด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการกระจายสินค้าไปได้ทั่วโลก

ขณะเดียวกันมูลค่าการค้าระหว่างกลุ่มประเทศในอาเซียน มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 10% ในทุกๆปี  ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการค้าในอาเซียน และจีนเป็นตลาดใหญ่ โดยเฉพาะจีน ที่มีจำนวนประชากรและอัตราการเติบโตรายได้ต่อหัวค่อนข้างสูงทำให้ยังเป็นโอกาสสำหรับสินค้าไทยที่จะส่งออกไปยังประเทศจีน โดยอาศัยความได้เปรียบในด้านภูมิศาสตร์ที่สามารถส่งสินค้าไปได้ ทั้งระบบขนส่งโดย รถยนต์ และระบบราง เป็นต้น  

“สิ่งที่เกิดขึ้นเราต้องปรับตัวให้ได้ เพราะผู้ประกอบการที่ใช้ไทยเป็นฐานการผลิต ไม่ได้มีเป้าหมายส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ อย่างเดียว แต่ส่งสินค้าไปยังทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นยางรถยนต์ แอร์  ทำให้เกิดกระจายตลาดไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก จากอดีตที่ตลาดส่งออกของไทยให้ความสำคัญกับ 3 กลุ่มประเทศหลักประกอบด้วย สหรัฐฯ  ยุโรป และญี่ปุ่น  ซึ่งกินส่วนแบ่งตลาดอย่างน้อย 20% ในแต่ละประเทศ แต่สถานการณ์ปัจจุบันจะพึ่งพิงตลาดในอาเซียน และจีนเพิ่มขึ้น ทำให้สัดส่วน ของ 3ประเทศหลักเดิม มีสัดส่วนลดลงมาอย่างต่อเนื่อง” นายวิกรมกล่าว

นายวิกรม กล่าวอีกว่า การปรับตัวที่จะสามารถยังคงรักษาการเติบโตต่อไปได้ ต้องนำบทเรียนของประเทศต่าง ๆ ที่พัฒนาเศรษฐกิจให้เข้มแข็ง แม้ว่าต้องเผชิญปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจในทุกรูปแบบมาโดยตลอด เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และจีน รวมทั้งสิงคโปร์ ที่เป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ  โดยเริ่มการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ จากการเปิดรับ บุคลากร ที่มีความสามารถจากประเทศอื่นๆ เข้ามาร่วมมือกับคนในประเทศ ขณะที่ประเทศไทยควรนำมาเป็นแบบอย่าง เช่น ดึงคนเก่งจากต่างประเทศมาเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนาศักยภาพในการผลิตและบุคคลากร  รวมถึงนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี หรือ โนฮาวน์ มาพัฒนาการผลิตสินค้าใหม่ๆตรงกับความต้องการของตลาด  เพื่อยกระดับสินค้าไทย 

“ปัจจุบัน ผู้ประกอบการที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะของไทยส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตเพื่อการส่งออก 80% เป็นการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูง สามารถกระจายไปยังทั่วโลก และพึ่งพิงตลาดในประเทศเพียง 20%” นายวิกรมกล่าว

ด้านนายโอซามู ซูโด รักษาการประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) กล่าวว่า  เชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมไทยและปรับตัวเพื่อรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก รวมถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลจากขึ้นภาษีของสหรัฐฯเนื่องจากเรามีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและให้บริการที่เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจระดับโลก ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในการเลือกไทยเป็นฐานการผลิตและการลงทุน รวมถึงศักยภาพทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมและเป็นศูนย์กลางทางการผลิตในภูมิภาคเอเชียทำให้เราสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติได้อย่างต่อเนื่อง 

สำหรับแผนเดินหน้าของของกลุ่มอมตะในปีนี้ ยังคงรักษาการเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากบริษัทกลุ่มอมตะ มีนิคมอุตสาหกรรมในหลายประเทศที่รองรับการลงทุนในพื้นที่เศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน ทั้งนิคมฯ อมตะในไทยประเทศเวียดนาม    และที่อยู่ระหว่างการพัฒนาใน สปป.ลาว   ดังนั้นการตัดสินใจของนักลงทุนที่เข้าไปลงทุนในนิคมฯ ต้องใช้องค์ประกอบหลายด้านในการย้ายฐานการผลิต เพราะเป็นการลงทุนระยะยาว ต้องพิจารณาถึงสิทธิประโยชน์ โครงสร้างพื้นฐาน ศักยภาพแรงงาน สิ่งอำนวยความสะดวกต่อการลงทุน  ที่สำคัญผู้ประกอบได้มีการเตรียมตัว และคาดการณ์เพื่อรับผลกระทบที่เกิดขึ้นของตลาดสหรัฐฯล่วงหน้าอยู่แล้ว และส่วนใหญ่เตรียมแผนรับมือกับสถานการณ์เกิดขึ้นไว้ในระดับหนึ่ง

ครม.ไฟเขียวออก 'Thailand Digital Token' ระดมทุนรูปแบบใหม่ G-Token ประเดิม 5 พันล้านบาท คาดจะสามารถออกได้ภายใน 2 เดือนนี้

(13 พ.ค.68) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลมีแผนจะออกเครื่องมือระดมทุนแบบใหม่ของภาครัฐ คือ Thailand Digital Token หรือ โทเคนดิจิทัลของภาครัฐ (G Token)  เพื่อเป็นทางเลือกการออมให้กับประชาชน เพิ่มเติมจากรูปแบบเดิมที่มีการออก ‘พันธบัตรออมทรัพย์’ เพื่อให้สามารถเข้าถึงประชาชนรายย่อยได้มากขึ้น ให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงิน และสามารถลงทุนในจำนวนน้อยได้ โดยคาดว่าจะทดลองระบบด้วยการออกงวดแรกราว 5 พันล้านบาท บวก/ลบ ภายใน 1-2 เดือนนี้

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้รับทราบความคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มาพิจารณาแล้วว่า โทเคนดังกล่าว จะไม่ได้นำไปใช้ในการชำระค่าสินค้าและบริการ (Means of Payment) และจะทำในสัดส่วนที่เหมาะสม แต่รายย่อยจะสามารถนำโทเคนไปแลกเปลี่ยนมือได้ผ่านระบบ Exchange ที่มีอยู่ได้

นายพิชัย อธิบายว่า สำนักบริหารหนี้ กระทรวงการคลัง มีหน้าที่จะในการออกตราสารให้กับสถาบันและประชาชน ในการระดมเงิน ถือเป็นส่วนหนึ่งในการระดมเงินในส่วนที่ขาดดุล โดยทั่วไปมีการออกพันธบัตรให้สถาบัน ไม่ว่าจะเป็นการออมออกพันธบัตรออมเงินให้กับประชาชน ซึ่งถือเป็นช่องทางเดิม ๆ ดังนั้นจึงมีแนวคิดว่า จะทำช่องทางใหม่ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุน เลยมีการออกเครื่องมือการระดมทุนให้กับรัฐบาล โดยเป็น ’ไทยแลนด์ดิจิทัลโทเคน‘ คือผู้ถือหน่วย หรือเครื่องมือการลงทุน จะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนด้วยการฝากเงิน และถือเป็นส่วนหนึ่งของหนี้สาธารณะ ไม่ได้เป็นการพิมพ์เงินใหม่แต่อย่างใด และไม่ได้เป็นประเภทแบบคริปโต ตามที่หลายฝ่ายเข้าใจ โดยข้อดีประชาชนสามารถที่จะลงทุนได้แม้จะลงทุนน้อย

‘วิชัย ทองแตง’ หนุนความร่วมมือ ไทย – เนเธอร์แลนด์ ผนึกกำลังสร้างอุตสาหกรรมเกษตรคาร์บอนต่ำ

เมื่อวันที่ (12 พ.ค. 68) นายวิชัย ทองแตง ให้เกียรติเป็นสักขีพยาน ในโอกาสที่ กลุ่มธุรกิจเครือ Green Standard-Thailand ลงนามความร่วมมือกับ Agritronika-The Netherlands สร้างอุตสาหกรรมเกษตรด้วยเทคโนโลยี Digital-AI และ Automation-Robotic เพื่อสร้างธุรกิจและการพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรคาร์บอนต่ำ (Mitigation) และ Food Security (Adaptation) ให้กับประเทศไทยในยุคที่สภาพภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากก๊าซเรือนกระจก นำไปสู่การวางแผนทางการเกษตร/เกษตรอุตสาหกรรมที่ advance ที่สุด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยอย่างยิ่ง สมดังเจตนารมณ์ของนายวิชัย ทองแตงสืบไป

ทั้งนี้ ภาวะโลกร้อน นับเป็นมหันตภัยที่รุนแรงต่อมนุษยชาติ ซึ่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัย เข้ามาบริหารจัดการระบบเพาะปลูกในทุกขั้นตอนเพื่อพัฒนาภาคการเกษตรให้มั่นคง ปลอดภัย และได้ผลผลิตที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการนำเครื่องจักร หุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ และนวัตกรรมต่าง ๆ ในการควบคุมการเกษตร นับเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ภาคการเกษตรสามารถช่วยโลกในด้านการก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมาก และขณะเดียวกันยังเป็นการเพิ่มผลผลิตที่จะส่งผลต่อความมั่นคงทางด้านอาหารให้กับชาวโลกด้วย

ITEL ผนึกกำลัง สทป. เปิดตัวบริษัทร่วมทุน 'NDC' เสริมแกร่งเทคโนโลยี - อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ

สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ จับมือ อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จัดตั้ง 'บริษัท เนชันแนล ดีเฟนส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด' หรือ NDC รุกธุรกิจการสื่อสารเพื่อความมั่นคง สนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทย หวังช่วยยกระดับเทคโนโลยีความมั่นคงของประเทศด้วยนวัตกรรม IoT, AI, และ Big Data Analytics

เมื่อวานนี้ (13 พ.ค.68) สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) และ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ ลงนามในสัญญาร่วมทุนจัดตั้ง 'บริษัท เนชันแนล ดีเฟนส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (NATIONAL DEFENSE CORPORATION LTD.)' หรือ NDC มุ่งพัฒนาและให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อความมั่นคง พร้อมสนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยอย่างเต็มรูปแบบ

พิธีลงนามสัญญาร่วมทุนดังกล่าวจัดขึ้น ณ ห้องราชเสนีพิทักษ์ ชั้น 10 สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (แจ้งวัฒนะ) โดยได้รับเกียรติจาก พลเอก พอพล มณีรินทร์ ประธานกรรมการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เป็นประธานในพิธี ผู้ร่วมลงนามประกอบด้วย พลเอก ดร.ชรัติ อุ่มสัมฤทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ และ ดร.ณัฐนัย อนันตรัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน)

บริษัทร่วมทุนใหม่ 'NDC' จัดตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์หลักในการดำเนินธุรกิจบริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อความมั่นคงของประเทศ โดยจะมุ่งเน้นให้บริการเกี่ยวกับระบบความปลอดภัยสาธารณะ (Public Safety) โซลูชันดิจิทัล (Digital Solutions) รวมถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ทันสมัย เช่น Internet of Things (IoT), ปัญญาประดิษฐ์ (AI), Cloud Computing และ Big Data Analytics

ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการผสานจุดแข็งของทั้งสองหน่วยงาน โดย สทป. มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนาระบบงานด้านความมั่นคง ขณะที่ ITEL เป็นภาคเอกชนที่มีศักยภาพสูง มีโครงข่ายโทรคมนาคมที่ทันสมัยระดับประเทศ และประสบการณ์ยาวนานในธุรกิจ ICT การก่อตั้ง NDC จึงเป็นการบูรณาการศักยภาพของทั้งสององค์กร เพื่อร่วมกันพัฒนาและส่งมอบเทคโนโลยีสารสนเทศและโซลูชันด้านความปลอดภัยที่สามารถตอบสนองความต้องการของภาครัฐและหน่วยงานด้านความมั่นคงได้อย่างแท้จริง

ดร.ณัฐนัย อนันตรัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า “นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ที่ ITEL ได้มีโอกาสร่วมงานกับ สทป. ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน NDC ยกระดับบริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับงานด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะได้นำความเชี่ยวชาญด้านโครงข่ายของเรา มาสนับสนุนภารกิจของประเทศในมิติที่สำคัญ”   

ดร.ณัฐนัย ยังกล่าวเสริมอีกว่า “เราเชื่อมั่นว่า NDC จะไม่เพียงแต่เป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งของภาครัฐ แต่ยังเป็นฟันเฟืองสำคัญในการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการสื่อสารเพื่อความมั่นคงในภูมิภาค เราพร้อมให้การสนับสนุนทั้งด้านการบริหารจัดการบุคลากร และเทคโนโลยี เพื่อให้ NDC ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว”

บริษัทฯ มีความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม การให้บริการโครงข่ายไฟเบอร์ออฟติกประสิทธิภาพสูงที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และประสบการณ์ในการให้บริการวงจรสื่อสารความเร็วสูงแก่ทั้งภาครัฐและเอกชน การร่วมทุนนี้จะเปิดโอกาสให้ ITEL ต่อยอดเทคโนโลยีไปสู่ระบบสื่อสารเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ การบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ และการพัฒนาแพลตฟอร์มเมืองอัจฉริยะที่มีความปลอดภัยสูง เพื่อรองรับภารกิจด้านความมั่นคงระดับชาติอย่างยั่งยืน

การจัดตั้ง NDC มุ่งหวังให้เป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีความมั่นคง ทั้งในมิติปัจจุบันและการวางรากฐานสำหรับอนาคต โดยเชื่อมั่นว่า NDC จะมีบทบาทสำคัญในการวางโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีให้กับประเทศ ไม่เพียงแต่รับมือกับภัยคุกคามจากภายนอก แต่ยังเป็นการเสริมสร้างความปลอดภัยภายในประเทศ และยกระดับความมั่นคงแห่งชาติอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ของ ITEL ในการขยายธุรกิจสู่ตลาดความมั่นคงที่มีศักยภาพสูง ต่อยอดจากความเชี่ยวชาญเดิม และสร้างโอกาสการเติบโตใหม่ ๆ ให้กับบริษัท

ไทย เดินหน้าตุนทองคำต่อเนื่อง ยังยืนหนึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียน หลังไตรมาสแรกซื้อเพิ่มอีก 17%

ไทย เดินหน้าตุนทองคำต่อเนื่อง ยังยืนหนึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียน หลังไตรมาสแรกซื้อเพิ่มอีก 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

‘นิสสัน’ ประกาศเลิกจ้างพนักงาน เพิ่มอีก 11,000 คนทั่วโลก พร้อมปิดโรงงาน 7 แห่ง หลังยอดขายทรุดหนัก แผนควบรวมกับ ‘ฮอนด้า’ ก็ล่ม

(14 พ.ค. 68) นิสสัน ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น เตรียมเลิกจ้างพนักงานเพิ่มเติม 11,000 คน และปิดโรงงาน 7 แห่งทั่วโลก หลังจากยอดขายลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในจีนและสหรัฐฯ สองตลาดหลักที่มีการแข่งขันสูงและมีแรงกดดันด้านราคา ทำให้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อรายได้ของบริษัท พร้อมกันนี้การควบรวมกิจการกับฮอนด้าและมิตซูบิชิที่คาดว่าจะช่วยพลิกฟื้นสถานการณ์ก็ล้มเหลวในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

การปลดพนักงานครั้งนี้นับเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลดต้นทุนอย่างเข้มข้น ซึ่งรวมถึงการลดการผลิตทั่วโลกลง 20% ส่งผลให้ยอดเลิกจ้างสะสมในปีที่ผ่านมาพุ่งแตะ 20,000 ตำแหน่ง คิดเป็น 15% ของกำลังพลทั้งหมด โดยสองในสามของตำแหน่งที่ถูกตัดจะอยู่ในภาคการผลิต ส่วนที่เหลือกระจายอยู่ในสายงานขาย งานบริหาร และงานวิจัย

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ นายอีวาน เอสปิโนซา ระบุว่า ปีงบประมาณที่ผ่านมานับเป็นปีที่ท้าทายที่สุดของบริษัท ด้วยต้นทุนที่สูงขึ้นและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ โดยนิสสันรายงานผลขาดทุนประจำปีถึง 670,000 ล้านเยน (ราว 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ทั้งนี้ บริษัทยังไม่สามารถให้แนวโน้มรายได้ในปีหน้าได้ เนื่องจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ยังคงไม่มีความชัดเจน

นอกจากการปลดพนักงาน นิสสันยังยกเลิกแผนลงทุนสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่และรถยนต์ไฟฟ้าในญี่ปุ่น ขณะที่ตลาดหลักอย่างจีนเผชิญการแข่งขันรุนแรงจากผู้ผลิตท้องถิ่น เช่น BYD ส่วนในสหรัฐฯ อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่สูงขึ้นก็ฉุดรั้งยอดขายรถใหม่ แม้จะมีการฟื้นตัวเล็กน้อยในช่วงปีที่ผ่านมา ขณะที่รัฐบาลอังกฤษกำลังจับตาว่าโรงงานในเมืองซันเดอร์แลนด์จะได้รับผลกระทบจากแผนปรับโครงสร้างนี้หรือไม่

‘พีระพันธุ์’ บินถกซื้อไฟฟ้าตรงจาก สปป. ลาว หลังพบบางเขื่อนผลิตไฟกำลังทยอยหมดสัมปทาน

(14 พ.ค. 68) แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกำลังเดินไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) ตามคำเชิญของนายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรีลาวในวันที่ 14-15 พ.ค. 68

ทั้งนี้ ทางสปป.ลาว ได้มอบหมายให้สะเหลิมไซ กมมะสิด รองนายกรัฐมนตรี และดร.คำมะนี อินทิลาด รัฐมนตรีพลังงาน และเหมืองแร่เป็นผู้เจรจาหารือ

การเดินทางไปดังกล่าวเป็นไปตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ครั้งนี้ จุดประสงค์หลักเพื่อการเจรจาซื้อไฟฟ้าเข้ามายังประเทศไทย เนื่องจากมีบางเขื่อนผลิตไฟฟ้าที่จะทยอยหมดสัมปทาน หลังจากที่ก่อนหน้านี้จะมีผู้ที่เข้าไปขอสัมปทานเพื่อนำมาขายให้ไทยอีกทอดหนึ่ง

“เมื่อสามารถซื้อไฟจาก สปป. ลาวได้โดยตรงก็จะทำต้นทุนลดลง ซึ่งก็จะมีผลทำให้ช่วยลดค่าไฟฟ้าในประเทศได้ เนื่องจากการรับซื้อไฟแต่เดิมจาก สปป.ลาว จะต้องผ่านโบรกเกอร์ หรือคนกลางก่อนที่จะมาถึงการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จึงทำให้ราคารับซื้อสูง”

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวต่ออีกว่า นายพีระพันธุ์พอจะรับทราบปัญหาดังกล่าวในการรับซื้อไฟที่ผ่านคนกลาง ซึ่งมีผลทำให้ราคารับซื้อสูง จึงพยายามหาทางเจรจาให้ค่าไฟให้ถูกลง

อย่างไรก็ดี หากถามว่าจะสามารถซื้อไฟฟ้าจาก สปป. ลาวได้มากน้อยแค่ไหน คงต้องขึ้นอยู่กับการเจรจาที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยไทยมีความพร้อม และไม่มีปัญหาเรื่องการซื้อไฟจำนวนมากหากสามารถทำได้ โดยมองว่าอะไรที่ถูก ไทยจะไม่ผลิตเอง

‘พีระพันธุ์’ เยือนลาวหารือลงทุนไฟฟ้าระหว่างรัฐ ปัดหนีหมายเรียก ป.ป.ช. - พบหมายเรียกส่งโดยมิชอบ

‘พีระพันธุ์’ เยือนลาวเจรจาแนวทางลงทุนพลังงานไฟฟ้าระหว่างภาครัฐ ตัดทอนตัวกลางภาคเอกชน ช่วยลดต้นทุนพลังงานสะอาด จับโป๊ะ ป.ป.ช. ส่งหมายเรียกผิด

(15 พ.ค. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามคำเชิญของนายโพไซ ไซยะสอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและบ่อแร่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว  ระหว่างวันที่ 14-16 พฤษภาคม 2568 เพื่อหารือเรื่องพลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของไทยและ สปป.ลาว ทั้งนี้เพื่อให้ได้ราคาพลังงานที่เป็นธรรมและเป็นประโยชน์ของสองประเทศ โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง และจะมีการพบปะกับ นายสะเหลิมไซ กมมะสิด รองนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ด้วย

ในการนี้ นายพีระพันธุ์ได้พบหารือกับ นายโพไซ ไซยะสอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและบ่อแร่ และคณะ เพื่อติดตามความคืบหน้าของข้อตกลงที่ทำไว้ระหว่างไทยและ สปป.ลาว รวมทั้งร่วมหารือเกี่ยวกับแนวทางในการลงทุนของบริษัท EGATi  หรือ บริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจและเป็นบริษัทในกลุ่มการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่จะเน้นลงทุนใน สปป.ลาว จากเดิมที่ลงทุนหลากหลายประเทศและหลายธุรกิจ เนื่องจากประเทศไทยรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว อยู่แล้ว ซึ่งหากมีการลงทุนร่วมกันระหว่าง กฟผ. และ สปป.ลาวโดยตรง แทนที่จะซื้อจากเอกชนก็จะทำให้เกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย และทำให้ประเทศไทยได้ไฟฟ้าสะอาดและราคาต้นทุนที่ถูกลงเพราะเป็นการลงทุนของรัฐวิสาหกิจของไทยเองและเหมือนซื้อไฟฟ้าจากตัวเอง

อย่างไรก็ตาม การเยือน สปป.ลาว ของนายพีระพันธุ์ในครั้งนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเรียกไปรับข้อกล่าวหาของคณะกรรมการไต่สวน ป.ป.ช. ตามที่สื่อหลายสำนักได้นำเสนอแต่อย่างใด  โดยจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า หมายเรียกของ ป.ป.ช. แท้ที่จริงแล้วไม่เป็นไปตามระเบียบและกฎหมาย ซึ่งถือเป็นการส่งหมายโดยไม่ชอบ  และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.เองก็ยอมรับว่ามีความผิดพลาดในการส่งหมายเรียกไปยังนายพีระพันธุ์ จึงต้องถือว่ายังไม่มีหมายเรียก

‘เอกนัฏ’ สั่งลุยล้างบาง 3 โรงงานรีไซเคิล นอมินี จ.ชลบุรี อายัดวัตถุอันตรายกว่า 550 ตัน พร้อมฟันโทษอาญาอ่วม

(15 พ.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หัวหน้าชุดปฏิบัติการตรวจสุดซอยของกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ “ทีมสุดซอย” พร้อมด้วย กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ลงพื้นที่ บริษัท เจี๋ยเซ่ง พลาสติก จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 88/2 หมู่ที่ 5 ต.หนองรี อ.เมือง จ.ชลบุรี ประกอบกิจการผลิตเม็ดพลาสติก บด ย่อย พลาสติก ทำผลิตภัณฑ์จากพลาสติก อัดเศษโลหะ อัดกระดาษ ทำยางแผ่น และบริษัท ติงซิ่ง (ไทย-จีน) เมทัล จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ประกอบกิจการ บด ล้าง ร่อน จำพวกเศษพลาสติก เศษโลหะ และติดตั้งเครื่องจักร โดยพบว่ามีการประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต 

นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบโรงงานทั้งสองแห่งเป็นโรงงานของนายทุนจีนถือหุ้นร่วมกับคนไทย โดยพบว่าบริษัท เจี๋ยเซ่งฯ มีใบอนุญาตประกอบกิจการ แต่ประกอบกิจการไม่ถูกต้องตามที่ได้รับอนุญาต และตรวจสอบพบวัตถุต้องสงสัย จำนวน 300 ตัน ซึ่งคาดว่าจะเป็นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้แล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้ยึดอายัดไว้  รวมทั้งเครื่องจักรที่ใช้ในการบดย่อยโลหะ ส่วนบริษัท ติงซิ่งฯ พบว่าเป็นโรงงานที่ไม่มีใบอนุญาต และพบการลักลอบประกอบกิจการ มีการครอบครองวัตถุอันตรายที่เป็นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ใช้แล้ว รวมกับเศษสิ่งของไม่สามารถระบุชนิดกว่า 250 ตัน และยังพบร่องรอยการนำเศษพลาสติกที่บดย่อยมาถมดินข้างบ่อน้ำภายในโรงงาน ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการปนเปื้อนของสารโลหะหนักในดินและแหล่งน้ำ อาจเป็นอันตรายกับชาวบ้านและชุมชนใกล้เคียงได้ ทางเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี จึงแจ้งความดำเนินคดีกับทั้งสองบริษัท ใน 3 ข้อหาที่ สภ.เมืองชลบุรี ได้แก่ 1. ตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต โทษจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับ 2.ประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต โทษจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับ 3.ครอบครองวัตถุอันตราย โทษจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับ เนื่องจากวัตถุอันตรายที่พบมีมากกว่า 250 ตัน  ซึ่ง 2 บริษัท มีน้ำหนักรวมกว่า 550 ตัน จึงส่งเรื่องให้ DSI เพื่อดำเนินคดีและขยายผลการลักลอบนำเข้าและเครือข่ายนอมินีต่อไป พร้อมเก็บตัวอย่างส่งไปยังศูนย์วิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงานภาคตะวันออก กรอ. เพื่อทำการตรวจพิสูจน์หาส่วนประกอบและสิ่งปนเปื้อนต่อไป 

นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวต่ออีกว่า “ทีมสุดซอย” ได้ลงพื้นที่ต่อไปยัง บริษัท ชัยเมธี จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 69 ม.6 ต.หนองหงษ์ อ.พานทอง จ.ชลบุรี ประกอบกิจการคัดแยกสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่เป็นอันตราย และทำเม็ดพลาสติก พบว่ามีการลักลอบประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต และนำกากตะกรันจากเตาหลอมโลหะ มาบดย่อยและร่อนแยกทองแดงจากกากตะกรัน เพื่อนำทองแดงที่ได้ไปจำหน่ายต่อ ส่วนกากที่เหลือส่งให้บริษัทอื่นไปบดย่อย โดยภายในพื้นที่โรงงานพบกองวัตถุดิบและสิ่งปฏิกูลจากวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว จึงได้เก็บตัวอย่างเพื่อทำการตรวจสอบ 

“รัฐมนตรีฯ เอกนัฏ ได้มีนโยบายให้เร่งรัดจัดการกับโรงงานรีไซเคิลเถื่อนที่ลักลอบประกอบกิจการอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการครอบครองวัตถุอันตรายที่เป็นโลหะหนัก สามารถปนเปื้อนในแหล่งน้ำและดิน ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดอันตรายกับประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ยังพบการเชื่อมโยงไปยังเครือข่ายโรงงานที่มีความผิดและได้ดำเนินการเอาผิดไปแล้ว จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมกันติดตามและขยายผลไปยังบริษัทหรือโรงงานที่คาดว่าจะมีความเกี่ยวพันกัน เพื่อกวาดล้างเอาผิดถึงต้นตอต่อไป” นางสาวฐิติภัสร์ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top