Monday, 9 June 2025
Crimes

ตม.ศรีสะเกษ ร่วมกับ กก.สส.บก.ตม.4 และจัดหางานจังหวัด บุกรวบกัมพูชา ลักลอบทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี  เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ ผบก.ตม.4 , พ.ต.อ.เอกกมนต์ พรชูเกียรติ รอง ผบก.ตม.4 ,พ.ต.อ.วีรยศ การุณยธร รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.ปรีชา กองแก้ว รอง ผบก.ตม.4และ พ.ต.อ.อาทิตย์ ซึมดอน ผกก.ตม.จว.ศรีสะเกษ ร่วมแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหา

กก.สส.บก.ตม.4 ร่วมกับ ตม.จว.ศรีสะเกษ จับกุมบุคคลต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา จำนวน  5 ราย กระทำผิดฐาน “เป็นคนต่างด้าว ทำงานโดยไม่มีในอนุญาตทำงาน หรือนอกเหนือจากสิทธิที่จำทำได้ ตาม พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ.2561 โดยในจำนวนนั้น มีคนต่างด้าวจำนวน 4 ราย กระทำผิดฐาน “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (OVERSTAY)” โดยจับกุมได้บริเวณ ริมถนนสาธารณะหน้าโรงเรียนเทศบาล 6 (โรงเรียนโนนสำนัก) ต.หนองหญ้าปล้อง อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้มีคำสั่งจัดตั้งชุดปฏิบัติการ ลงพื้นที่ตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าวในพื้นที่รับผิดชอบ ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสืบทราบว่ามีคนต่างด้าวมาเร่ขายไอศกรีมในพื้นที่ อ.เมืองศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้บูรณาการร่วมกับจัดหางานจังหวัดศรีสะเกษ และหน่วยงานข้างเคียง วางแผนเข้าตรวจสอบและจับกุม

ต่อมาพบรถจักรยานยนต์พ่วงข้าง เป็นรถขายไอศกรีมมีลักษะตรงตามที่ได้สืบทราบมา จึงเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลดังกล่าว จนทราบว่า มีการรวมตัวกันบริเวณใกล้โรงเรียนเทศบาล 6 (โรงเรียนโนนสำนัก) ต.หนองหญ้าปล้อง อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งขณะนั้นพบรถขายไอศกรีมอีกรวม 5 คัน โดยมีบุคคล ไม่ทราบสัญชาติกำลังจัดไอศกรีมและอุปกรณ์เตรียมออกไปเร่ขาย จึงได้แสดงตัวเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ พบเป็นบุคคลต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา จำนวน 5 คน ทราบชื่อคือ MRS.OEM อายุ 29 ปี, MRS.CHOEURN อายุ 25 ปี,MR.THORN อายุ 34 ปี,MR.KAO อายุ 27 ปี และMR.BORA อายุ 29 ปี จากการตรวจสอบโดยใช้ระบบสารสนเทศตรวจคนเข้าเมือง (Biometrics) พบว่า

 1. MR.KAO อายุ 27 ปี หนังสือเดินทางเลขที่ T040xxxx Over Stay จำนวน 532 วัน

 2. MRS.CHOEURN อายุ 25 ปี หนังสือเดินทางเลขที่ T040 xxxx Over Stay จำนวน 532 วัน

 3. MR.THORN อายุ 34 ปี หนังสือเดินทางเลขที่ N0124 xxxx Over Stay จำนวน 335 วัน

 4. MRS.OEM อายุ 29 ปี หนังสือเดินทางเลขที่ T008 xxxx Over Stay จำนวน 335 วัน

 5. MR.BORA อายุ 29 ปี หนังสือเดินทางเลขที่ N0109 xxxx

อธิบดี DSI “กรวัชร์” ลงพื้นที่แจ้งผลการสอบสวนคดีพิเศษ และให้กำลังใจ “นางมึนอ” ผู้เสียหายในคดีการหายตัวไปของ “นายพอละจี” หรือบิลลี่ รักจงเจริญ

วันพุธที่ 29 กันยายน 2564 พันตำรวจโท กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เดินทางลงพื้นที่แก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี พบนางพิณนภา พฤกษาพรรณ หรือ มึนอ ภรรยาของ บิลลี่ พอละจี แกนนำประชาชนชาวกระเหรี่ยง บ้านโป่งลึก บางกลอย เพื่อแจ้งความคืบหน้าการดำเนินการในคดีพิเศษที่ 13/2562 กรณี การหายตัวไปของนายพอละจี หรือ บิลลี่ รักจงเจริญ โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้สอบสวนเสร็จสิ้นและสรุปสำนวนเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา รวม 4 คน ส่งพนักงานอัยการ ต่อมาพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาบางคนในบางข้อหา ซึ่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษได้มีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องดังกล่าวไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการตามกฎหมายแล้ว

ล่าสุด เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2564 อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับหนังสือจากสำนักงานอัยการสูงสุด ให้พนักงานสอบสวน ดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติม ใน 4 ประเด็น ก่อนชี้ขาดความเห็นซึ่งพันตำรวจโท กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้กองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค ดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมตามหนังสือสำนักงานอัยการสูงสุดดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

 

ตม.จว.ตาก , ตม.จว.เชียงใหม่ และ กก.สส.บก.ตม.5 สืบสวน และติดตามจับกุมแก๊งลักรถ ทำอุบายเช่ารถยนต์ป้ายแดงจาก กทม. ส่งออกขายเมียนมา

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์  ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม 5 , พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5 , พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.5 , พ.ต.อ.สัมพันธ์ เหลืองสัจจกุล ผกก.ตม.จว.ตาก และ พ.ต.ท.สุชาติ เพ็ญภู่ รอง ผกก.ตม.จว.ตาก ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

พล.ต.ท.สมพงษ์ ขิงดวง ผบช.สตม. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ ตม.จว.ตาก ทำการสืบสวนพฤติการณ์ของกลุ่มคนซึ่งลักษณะโจรกรรมนำรถยนต์ออกนอกราชอาณาจักรซึ่งเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ โดยให้ประสานกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทองหล่อ จึงทราบข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 16 ก.ค.64 นายอภิวัฒน์ฯ และ น.ส.ณัฏฐณิชาฯ ได้เช่ารถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นรีโว สีขาวมุก ป้ายแดงหมายเลข ส36xx กรุงเทพฯ มูลค่า 1,249,000 บาท จากบริษัท  ไทย วีพี คอร์ปอร์เรชัน จำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรถเช่า โดยทำสัญญาเช่าระยะยาว  ต่อมาบริษัทฯ ติดตามระบบจีพีเอสซึ่งติดไว้กับรถยนต์พบว่า รถยนต์คันดังกล่าวจอดอยู่ตรงข้าม อ.แม่สอด จว.ตาก ซึ่งเป็นบริเวณรอยต่อพรมแดนไทยกับประเทศเมียนมา เมื่อติดต่อกับผู้เช่าทั้งสองก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมนำรถมาคืน เจ้าหน้าที่ ตม.จว.ตาก จึงได้ทำการสืบสวน และทำรายงานการสืบสวนพร้อมส่งพยานหลักฐานส่งให้ สน.ทองหล่อ จนนำไปสู่การออกหมายจับผู้ต้องหา จำนวน 5 ราย  ได้แก่

1. นายอภิวัฒน์ฯ ที่อยู่ อ.สันทราย จว.เชียงใหม่

2. น.ส.ณัฏฐณิชาฯ ที่อยู่ อ.สันทราย จว.เชียงใหม่

3. นายเสถียรพงษ์ฯ ที่อยู่ อ.ดอยสะเก็ด จว.เชียงใหม่

4. นายอรุณรัตน์ฯ ที่อยู่ อ.พระพุทธบาท จว.สระบุรี

5. นายวสันต์ฯ ที่อยู่ อ.เมืองลำพูน จว.ลำพูน

ในความผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์โดยร่วมกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป”

ไทม์ไลน์การเช่ารถ จากการสืบสวนจนนำไปสู่การจับกุม มีดังนี้

1. วันที่ 16 ก.ค.64 นายอภิวัฒน์ฯ, น.ส.ณัฎฐณิชาฯ, นายเสถียรพงษ์ฯ ไปเช่ารถ

2.วันที่ 16 ก.ค.64 ช่วงบ่าย รถอยู่กับนายอรุณรัตน์ฯ ที่ จว.สระบุรี

3.วันที่ 18 ก.ค.64 ช่วงบ่าย รถอยู่กับนายอรุณรัตน์ฯ ที่ จว.ตาก

4.วันที่ 18 ก.ค.64 เวลา 20.00 น. นายวัสนต์ฯ เข้าพักโรงแรมในอำเภอแม่สอด

5.วันที่ 18 ก.ค.64 เวลา 21.00 น. นายอรุณรัตน์ฯ ขับรถยนต์เข้าพักห้องเดียวกับนายวสันต์ฯ

6.วันที่ 19 ก.ค.64 GPS รถยนต์ขึ้นอยู่เขตเมียนมา

7.วันที่ 21 ก.ค.64 ติดต่อผู้เช่ารถยนต์แต่บ่ายเบี่ยง

8.วันที่ 23 ก.ค.64 ติดต่อผู้เช่ารถยนต์ไม่ได้

9.วันที่ 9 ก.ย.64 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ออกหมายจับ นายอภิวัฒน์ฯ, น.ส.ณัฎฐณิชาฯ, นายเสถียรพงษ์ฯ , นายอรุณรัตน์ฯ และนายวสันต์ฯ

 

ตม.สุราษฎร์ฯ จับสาวใหญ่ฮังกาเรียน โอเวอร์สเตย์ซุกเกาะสมุยนาน 10 ปี พบอยู่ไทยเกินเวลา 4,165 วัน

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้

สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6 ,พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์  จิตติ์ประยูรตี รอง ผบก.ตม.6, และ พ.ต.อ.ศุภฤกษ์ พันธ์โกศล ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี ร่วมแถลงข่าวจับกุมคดีคนต่างชาติกระทำความผิดรายสำคัญ และคดีที่น่าสนใจ ดังนี้

สืบเนื่องมาจากเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมได้รับการประสานข้อมูลจากพลเมืองดี ว่ามีคนต่างชาติสัญชาติฮังกาเรียนพำนักในราชอาณาจักรในพื้นที่เกาะสมุย จว.สุราษฎร์ธานีและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุดจำนวนหลายปี เมื่อเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สุราษฎร์ธานี ได้ทราบข้อมูลบุคคลของคนต่างชาติดังกล่าวเบื้องต้น จึงได้นำข้อมูลทำการตรวจค้นจากระบบการสืบค้นฟังชั่นอยู่เกินกำหนดและฟังชั่นการขออยู่ต่อในราชอาณาจักรของระบบสารสนเทศสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือระบบไบโอเมตริก พบว่าบุคคลต่างชาติรายดังกล่าวชื่อนางแองเจลล่า สัญชาติฮังกาเรียน มีข้อมูลอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุดจริง

จึงได้ออกทำการสืบสวนติดตามตัวจนทราบว่าได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง ต.บ่อผุด อ.เกาะสมุย จว.สุราษฎร์ธานี ต่อมา จึงได้เข้าทำการตรวจสอบจนพบตัวนางแองเจลล่า และได้แสดงตัวเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เพื่อขอทำการตรวจสอบเอกสารประจำตัวและการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ต่อมานางแองเจลล่า ได้นำหนังสือเดินทางมาแสดงแก่เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมตรวจสอบปรากฏว่านางแองเจลล่า ถือหนังสือเดินทางประเทศฮังการี่ หมายเลข BB27xxxx และเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2552 ด้วยประเภทนักท่องเที่ยว ได้รับอนุญาตให้อยู่ถึงวันที่ 28 ม.ค. 2553 และได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อในราชอาณาจักรถึงวันที่ 27 ก.พ. 2553 จากนั้นไม่เคยมาขออยู่ต่อในราชอาณาจักรแต่อย่างใดและไม่เดินทางออกนอกราชอาณาจักรตามที่กฎหมายกำหนด หลบหลีกการจับกุมมานาน 10 ปี โดยกบดานตามบ้านเช่าในพื้นที่เกาะสมุย ในที่สุดจนมุมเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ตม.จว.สุราษฎร์ธานี จึงได้จับกุมตัวและแจ้งข้อกล่าวหาว่าเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด จำนวน 4165 วัน พร้อมแจ้งสิทธิในชั้นจับกุมให้ทราบและนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ่อผุด ภ.จว.สุราษฎร์ธานี ดำเนินคดีต่อไป

รวบหนุ่มรัสเซีย เครือข่ายปาร์ตี้ยาเสพติดข้ามชาติ เอเย่นค้าค้ายาไอซ์-กัญชา กลางเมืองพัทยา

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6 ,พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์  จิตติ์ประยูรตี รอง ผบก.ตม.6, และ พ.ต.อ.ศุภฤกษ์ พันธ์โกศล ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี ร่วมแถลงข่าวจับกุมคดีคนต่างชาติกระทำความผิดรายสำคัญ และคดีที่น่าสนใจ ดังนี้

สืบเนื่องมาจากเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมได้รับแจ้งจากสายลับ (ขออนุญาตปิดนาม) ว่าที่บ้านหลังหนึ่งใน ต.บ่อผุด อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี มี Mr.Konstantin สัญชาติ รัสเซีย มีพฤติการณ์มั่วสุมเสพยาเสพติดและจำหน่ายยาเสพติดให้กับชาวต่างชาติและวัยรุ่นชาวต่างชาติในพื้นที่และมีการจัดปาร์ตี้ที่บ้านหลังดังกล่าวอยู่บ่อยครั้ง  เมื่อทราบแล้วเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ทำการตรวจสอบข้อมูลบุคคลจากระบบสารสนเทศสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองหรือระบบไบโอเมตริก พบมีการแจ้งเตือนว่าบุคคลดังกล่าวมีหมายจับตำรวจสากลหรือหมายแดง เกี่ยวกับความผิดยาเสพติด ซึ่งเป็นที่ต้องการตัวของประเทศรัสเซีย เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ประสานกองการต่างประเทศ ตร.เพื่อยืนยันหมายจับตำรวจสากลและสืบสวนติดตามตัวบุคคลดังกล่าว จนทราบว่าได้เช่าที่พักอยู่ที่สถานที่จับกุมหมู่บ้านแห่งหนึ่งใน ต.บ่อผุด อ.เกาะ สมุย จว.สุราษฎร์ธานี จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ

เมื่อไปถึงวิลล่าหลังดังกล่าว พบ Mr.Konstantin ยืนอยู่หน้าบ้าน ซึ่งมีรูปพรรณตรงตามที่สายลับได้แจ้งไว้และตรงตามเอกสารข้อมูลบุคคลจากระบบไบโอเมตริก เมื่อ Mr.Konstantin เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้แสดงอาการมีพิรุธโดยตกใจอย่างชัดเจนและพยายามวิ่งไปปิดประตูห้อง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แสดงตัวเป็นเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมแสดงบัตรพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อขอทำการตรวจสอบเอกสารประจำตัว และเรียกให้บุคคลต่างด้าวรายดังกล่าวหยุดเพื่อทำการตรวจสอบ โดยเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมเชื่อแน่ว่าการที่บุคคลดังกล่าวมีอาการพิรุธ และจะวิ่งเข้าไปในห้องพักดังกล่าวน่าจะมีสิ่งผิดกฎหมาย หรือยาเสพติดซุกซ่อนอยู่ในบ้านหากชักช้าเนิ่นนานไป ยาเสพติดหรือสิ่งผิดกฎหมายอาจถูกยักย้าย ซุกซ่อน ทำลาย หรือทำให้เสื่อมสภาพไป จึงได้แสดงบัตรเป็นเจ้าพนักงาน ป.ป.ส.เลขที่ 583449 เพื่อขอทำการตรวจค้น  โดย Mr.Konstantin ได้ยินยอมและสมัครใจนำเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าทำการตรวจค้น ก่อนการทำการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้แสดงความบริสุทธิ์ใจจนเป็นที่พอใจแก่ Mr.Konstantin และทำการตรวจค้น 

ผลการตรวจค้นพบของกลางซึ่งเป็นยาเสพติดหลายชนิดทั้งแบ่งถุงแยกไว้จำหน่ายและที่ยังไม่แบ่งถุง ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในตู้เชฟ และซุกซ่อนอยู่ในโต๊ะทำงาน ภายในห้องนอนในบ้านหลังดังกล่าวที่ผู้ถูกจับรายนี้พักอาศัยอยู่ พร้อมบัญชีเงินฝากและธนบัตรต่างประเทศจำนวนหนึ่ง จึงได้ตรวจยึดทั้งหมดไว้เป็นของกลาง สอบถามผู้ถูกจับรับว่ายาเสพติดที่เจ้าหน้าที่ตรวจค้นเจอนั้นเป็นของตนเองจริง โดยรับว่าตนได้ซื้อมาจาก Mr.ramis สัญชาติ รัสเซีย โดยจัดส่งยาเสพติดมาทางไปรษณีย์ ในราคา 55,000 บาท เมื่อประมาณ 15 วันก่อนที่จะถูกจับกุม เพื่อที่จะนำมาจำหน่ายให้กับเพื่อนชาวต่างชาติและกลุ่มวัยรุ่นชาวต่างชาติภายในพื้นที่อำเภอเกาะสมุย และอำเภอเกาะพะงันและตามปาร์ตี้ต่าง ๆ ที่แอบจัดโดยไม่ได้รับอนุญาต

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับจึงได้ ตรวจยึดของกลางทั้งหมดไว้เป็นของกลางในคดี แจ้งให้ผู้ถูกจับทราบว่าต้องถูกจับ และแจ้งข้อกล่าวหาว่ามียาเสพติดให้โทษประเภท 1 และ 2 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และสิทธิตามกฎหมายให้ทราบ ต่อมาได้ควบคุมตัวผู้ถูกจับมายัง สภ.บ่อผุด และได้ทำการตรวจทดสอบยาเสพติดจากชุดตรวจยาเสพติด ONCB แล้ว จากนั้นจึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ่อผุด ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

 

ตร. PCT จับหนุ่มอ้างเป็นเสี่ย "สวนทุเรียน" ลวงเหยื่อโอนเงินสูญกว่าล้านบาท

วันนี้ (30 ก.ย.64) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปราม อาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ PCT., พล.ต.ท.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ฯ, พล.ต.ต.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รอง ผบช.ภ.6/หัวหน้าชุดปฏิบัติการ PCT ชุดที่ 4 นำกำลังตำรวจ PCT เข้าทลายเครือข่าย "หลอกขายทุเรียน ผู้เสียหาย 11 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 1,000,000 บาท

ตำรวจ PCT ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่าถูกเฟซบุ๊คชื่อ “คนทำสวนทุเรียน จันทบุรีทุเรียนอร่อย” หลอกขายทุเรียน โดยเฟซบุ๊คดังกล่าวได้มีการโฆษณาชวนเชื่อว่าตนทำสวนทุเรียนและเปิดคิวรับจองทุเรียนก่อนวันเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งได้โพสทั้งในเฟซบุ๊คส่วนตัวและกลุ่มซื้อขายทุเรียนทั่วไปเพื่อหลอกลวงเหยื่อ และสร้างความน่าเชื่อถือ เมื่อมีเหยื่อสนใจเจ้าของเพจจะทักไปหาเหยื่อและใช้นามแฝงว่าชื่อ ป็อบ เป็นเจ้าของสวนทุเรียนอัมรินทร์ ตั้งอยู่ที่ อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี และแจ้งว่าต้องสั่งจองเป็นจำนวนมาก ๆ ถึงจะส่งให้ จากนั้นจึงให้ผู้เสียหายโอนเงินค่ามัดจำไปก่อนเพื่อเป็นการจองคิว ทำให้ผู้เสียหายจำนวนมากโอนเงินไปมัดจำ โดยให้โอนเงินเข้าทั้งบัญชีตนเองและของบุคคลอื่นหลายบัญชี และเมื่อถึงเวลาส่งของก็ไม่มีการส่งทุเรียนไปให้ผู้เสียหายตามที่ได้ส่งเงินมัดจำไว้ หลังจากนั้นจะบล็อคเฟซบุ๊คของผู้เสียหาย ทำให้ไม่สามารถติดต่อได้ และทำการหลอกลวงเหยื่อรายใหม่ไปเรื่อย ๆ ในหลายพื้นที่ ตรวจสอบพบมีผู้เสียหายแจ้งความกว่า 15 ราย ความเสียหายกว่า 1 ล้านบาท

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการที่ 4 PCT สืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ขอศาลอนุมัติหมายจับนายพลากร สงวนนามสกุล อายุ 32 ปี ผู้ต้องหา ได้ที่ บ้านเลขที่ 7/1 หมู่2 ต.ไร่อ้อย อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ ยึดของกลาง ดังนี้

 

รองผบ.ตร. ผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในห้วงวันที่ 23 - 30 ก.ย. 64 จับกุมเป้าหมาย 334 คดี ผู้ต้องหา 355 คน

ตามนโยบายของรัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้กวดขันจับกุมปราบปรามการกระทำความผิดทางออนไลน์ โดยใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการหลอกลวงประชาชน โดยมอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) กำกับดูแลนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ จึงได้มีคำสั่ง ตร.ที่ 366/2564 ลง 23 ก.ค.2564 เรื่อง ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และมอบหมายให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.ทำหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ฯ

โดยวันนี้ (30 ก.ย. 64) เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. แถลงผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในห้วงวันที่ 23-30 ก.ย. 64 ทั่วประเทศโดยมีรายละเอียดดังนี้

​ศปอส.ตร. และ ศปอส.บช.น./ภ.1 – 9 สามารถจับกุมเป้าหมายได้ทั้งสิ้น 334 คดี​ ผู้ต้องหา 355 คน แบ่งเป็น​คดีหลอกลวงออนไลน์ทางด้านการเงิน 19 คดี

- ​คดีหลอกลวงจำหน่ายสินค้าออนไลน์และสินค้าผิดกฎหมาย 90 คดี
- ​คดีเผยแพร่ข่าวปลอมและคดีความผิดตามพรบคอมพิวเตอร์ 130 คดี
- ​คดีล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กหรือสตรีทางอินเตอร์เน็ตและค้ามนุษย์ 20 คดี
- ​คดีพนันออนไลน์และอาชญากรรมข้ามชาติและอื่น ๆ 75 คดี


​โดยมีคดีที่น่าสนใจ เช่น จับกุมผู้ต้องหานำภาพของผู้เสียหายไปใช้ในแอพพลิเคชั่น และหลอกลวงให้ผู้อื่นโอนเงินไปให้ ,จับกุมแก๊งค์หลอกขายโทรศัพท์ ผ่านช่องทางไลน์ , จับกุมผู้ต้องหาอ้างเป็นพนักงานไปรษณีย์ไทย หลอกคนพิการโอนเงินซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า, จับกุมพริตตี้สาว ถูกใช้ให้โพสต์ชักชวนคนมาเล่นพนันออนไล์ มีผู้ติดตามกว่า 2 หมื่นคน เป็นต้น

 

นรข.บึงกาฬ ยึดกัญชาเกรดพรีเมียม 540 กิโล พบทิ้งริมน้ำโขงบึงกาฬ รวมมูลค่ากว่า 16 ล้านบาท

เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 4 ต.ค.ที่หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง หรือสถานีเรือ นรข.บึงกาฬ อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ พล.ร.ต.สมบัติ จูถนอม ผบ.นรข.นายนายธาตรี บุญมาก รอง ผวจ.บึงกาฬ พล.ต.ต.ธรรมจักร คงมงคล ผบก.ภ.จว.บึงกาฬ และน.อ.ราฆพ เทวะประทีป ผบ.นรข.เขตหนองคาย พ.อ.ศิวดล ยาคล้าย รอง ผบ.ควบคุมที่ 2 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี พ.อ.อำนาจ กระโทกนอก ตัวแทนรอง.ผอ.รมน.พ.ต.ท.พลสันติ์ คมขาว ผบ.ร้อย 244 นายสมบัติ ฆ้อนทอง รักษาการนายด่านศุลกากรบึงกาฬ นายชัยณรงค์ สุระดะนัย ป้องกันจังหวัดบึงกาฬ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันแถลงข่าวผลการตรวจยึดรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่น อินโนวา สีขาว ทะเบียน ฆล 7982 กรุงเทพมหานคร บรรทุกกัญชาแห้งอัดแท่งจำนวน 540 แท่งน้ำหนักประมาณ 540 กิโลกรัมมูลค่ากว่า 16 ล้านบาท ห่อหุ้มด้วยกระดาษฟอยล์สีทองแดง ระดับเกรดพรีเมี่ยม ติดโลโก้รูปใบกัญชาในวงกลมสีเขียว พร้อมตัวหนังสือภาษอังกฤษ MADE IN LAO และสัญลักษณ์รูปคล้ายธงชาติ ของ สปป.ลาว

ทั้งนี้สืบเนื่องจาก น.อ.ราฆพ เทวะประทีป ผบ.นรข.เขตหนองคาย สืบทราบว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดข้ามน้ำโขงมาส่งมอบให้กับกลุ่มผู้ชาวไทย บริเวณพื้นที่บ้านสะง้อ หมู่ที่ 2 ต.หอคำ อ.เมืองบึงกาฬ จึงได้สั่งการให้ น.ต.การันต์ มินวงษ์ หน.สน.เรือบึงกาฬ ร.ท.อุดม บัวสุข ผู้ควบคุมเรือ 111 ว่าที่ ร.ท.ไขยา เนียมแสง ผู้ควบคุมเรือลาดตระเวน 179 พร้อมชุดสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดร่วมกับ พ.ต.ท.ปิยะณัฐ ปะโสทะกัง สว ตร.น้ำบึงกาฬ พ.ต.ท.ธนพล โพธิดา สว.ตม.บึงกาฬ ร.ต.อ.สมพงษ์ พบวันดี รอง ผบ.ร้อย ตชด.244 หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ร่วมบูรณาการวางแผนในการสกัดกั้นและจับกุม

โดยวางกำลังตามพื้นที่บริเวณใกล้เคียงจนกระทั่งเวลาประมาณ 02.00 น. ชุดชุ่มเฝ้าตรวจบริเวณจุดชมวิว บ้านสะง้อ ต.หอคำ ได้ตรวจพบรถยนต์ต้องสงสัย จำนวน 1 คันขับเข้ามาจอดบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง ในขณะเดียวกันได้มีเรือติดเครื่องยนต์ 1 ลำแล่นเข้ามาจอดเทียบบันไดทางขึ้น-ลงแม่น้ำโขง บริเวณจุดที่รถยนต์ต้องสงสัยคันดังกล่าวจอดอยู่

ตำรวจเตือน! พ่อ - แม่ และผู้ปกครอง ปล่อยปละละเลยให้เด็กเล่นการพนัน อาจถูกดำเนินคดีด้วย

วันที่ 6 ต.ค. 2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้มี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

ในปัจจุบัน พบว่ามีเด็กและเยาวชนตกเป็นเหยื่อของภัยทางอินเตอร์เน็ตมากขึ้น โดยเฉพาะการชักจูงและล่อลวงให้เข้าเล่นพนันออนไลน์ ทำให้สูญเสียทรัพย์สินไปกับการพนัน จนนำไปสู่การก่ออาชญากรรมประเภทอื่น เช่นกรณีเมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2564 ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุ เด็กอายุเพียง 16 ปี ก่อเหตุบุกรุกเข้าไปภายในบ้าน และได้ใช้อาวุธมีดทำร้ายร่างกายเจ้าของบ้านและผู้พักอาศัยได้รับบาดเจ็บสาหัส ในพื้นที่รับผิดชอบของ สภ.โพธาราม จว.ราชบุรี โดยผู้กระทำผิดอ้างว่าจะเข้าไปลักเอาทรัพย์สินภายในบ้านไปจ่ายหนี้จากการเล่นพนันออนไลน์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้สืบสวนเพื่อจับกุมผู้จัดให้มีการเล่นพนันออนไลน์ดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงความร่วมมือ บิดา มารดา หรือผู้ปกครอง ให้ต้องสอดส่องดูแลเอาใจใส่บุตรหลานไม่ให้ประพฤติตนไม่เหมาะสม หรือไปยุ่งเกี่ยวกับการกระทำผิดกฎหมายทุกรูปแบบ และหากพบว่าบุคคลใดมีพฤติกรรมชักจูง ส่งเสริม หรือยินยอม ให้เด็กและเยาวชน ประพฤติตนไม่สมควร หรือน่าจะทำให้เด็กมีความประพฤติเสี่ยงต่อการกระทำผิด หรือเล่นการพนัน บุคคลดังกล่าวจะมีความผิดตาม มาตรา 26 ประกอบมาตรา 78 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

สืบสวน ตม.1จับหนุ่มผิวสีหลบหนีเข้าเมือง เผยพฤติกรรมสุดแสบ! ลักลอบค้ายาเสพติดให้ชาวต่างชาติ ตม. รู้ทันดักรวบได้พร้อมของกลาง

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้

สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. สั่งการให้ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.ยศเอก รักษาสุวรรณ รอง ผบก.ตม.1, และ พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1 พร้อมชุดปฏิบัติการสืบสวนฯ ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคนร้าย ดังนี้ 

สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.1 ได้ทราบข้อมูลจากสายลับว่าในพื้นที่กรุงเทพมหานครชั้นใน ซึ่งเป็นย่านที่มีคนต่างชาติพักอาศัยและประกอบธุรกิจอยู่เป็นจำนวนมาก มีชาวต่างชาติผิวสีชื่อนายจอร์จ มีพฤติกรรมลักลอบจำหน่ายยาเสพติดให้กับคนต่างชาติด้วยกัน โดยใช้ช่องทางการติดต่อผ่านแอพลิเคชั่น WhatsApp ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มชาวต่างชาติที่มาจากทวีปยุโรป อเมริกา และแอฟริกา เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้วางแผนโดยให้สายลับติดต่อนัดหมายเพื่อจะทำการซื้อขายและส่งมอบยาเสพติด โดยได้ตกลงส่งมอบยาเสพติดกันในช่วงหัวค่ำของวันที่ 5 ตุลาคม 2564 ที่บริเวณห้องน้ำชาย ของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งริมถนนสีลม ย่านบางรัก จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้นำกำลังแฝงตัวอยู่ตามจุดต่าง ๆ รอบบริเวณห้างสรรพสินค้า รวมถึงสถานีรถไฟฟ้าที่เชื่อว่าชาวต่างชาติรายนี้จะใช้เดินทางมายังจุดนัดพบ

จนกระทั่งเวลาประมาณ 21.00 น. มีชาวต่างชาติผิวสี ลักษณะท่าทางมีพิรุธน่าสงสัย ลักษณะรูปพรรณตรงตามที่สายลับได้ให้ข้อมูลไว้ เดินลงบันไดสถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง มุ่งหน้ามาทางห้างสรรพสินค้าที่นัดหมาย และเดินเข้าไปที่ห้องน้ำของห้างสรรพสินค้าดังกล่าว เมื่อเป้าหมายเดินเข้าไปในห้องน้ำ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงติดตามเข้าไปแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองขอตรวจค้นตัวและตรวจสอบเอกสารประจำตัว แต่เมื่อคนร้ายเห็นเจ้าหน้าที่ชุดจับ ก็ได้พยายามทิ้งยาเสพติดให้ลงท่อระบายน้ำของห้องน้ำ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมสามารถตามเก็บรวบรวมไว้ได้จำนวน 3 ห่อ

มีลักษณะเป็นยาเสพติดบรรจุในถุงซิปล็อคขนาดเล็ก และพันด้วยเทปพันสายไฟจนแน่นเป็นก้อนกลม แล้วห่อด้วยเศษถุงพลาสติกอีกชั้นหนึ่ง ภายในประกอบด้วยยาไอซ์น้ำหนักประมาณ 2 กรัมเศษ และโคเคอีนอีกประมาณ 1.8 กรัม จากการสอบถามคำให้การในชั้นจับกุม ผู้ถูกจับรับว่าซื้อยาเสพติดดังกล่าวมาจากหญิงไทยในย่านรามคำแหง โดยนำมาจำหน่ายต่อเพื่อหวังกำไรจากส่วนต่างราคา เนื่องจากมีกลุ่มลูกค้าที่ไว้วางใจเป็นชาวต่างชาติในย่านธุรกิจ (CBD) ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเลือกที่จะทำการติดต่อซื้อขายยาเสพติดกับชาวต่างชาติด้วยกัน โดยยอมให้ราคาสูงกว่าราคาตลาด นอกจากนี้จากการตรวจสอบเอกสารประจำตัวพบหนังสือเดินทางของผู้ถูกจับ

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top