Monday, 9 June 2025
Crimes

ผบช.ปส ตรวจยึดกัญชา 20 กิโลกรัม ส่งทางพัสดุ!! พร้อมของกลางรวมกว่า 1 ล้านบ้าน ที่โกดังบริษัทพัสดุแห่งหนึ่ง ในจว.พระนครศรีอยุธยา

วันที่ 19 ก.ย. 64 พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผบช.ปส., พล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.นพดล ศรสำราญ รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.บรรพต มุ่งขอบกลาง ผบก.ปส.3 พร้อมด้วยชุดจับกุม นปส.เพลินจิต กก.1 บก.ปส.3 ร่วมกับ ปป.7 สปป.ป.ป.ส., ฝขว.ศปก.ทบ. ได้ทำการสืบสวนกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดทางโซเชียล ส่งทางพัสดุไปรษณีย์โดยขยายผลจากเมื่อวันที่  18 ก.ย.64 ชุดจับกุม ได้ทำการตรวจยึดกัญชา น้ำหนักประมาณ 20 กิโลกรัม ที่โกดังบริษัทพัสดุแห่งหนึ่ง จว.พระนครศรีอยุธยา   

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการแก้ไขปัญหายาเสพติด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการขับเคลื่อนตามนโยบายดังกล่าวภายใต้การอำนวยการ ของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.,พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผช.ผบ.ตร.

ตำรวจเตือน! บุคคลนำคลิปหรือภาพลามกของตน ไปเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์เพื่อแลกเงิน เสี่ยงถูกดำเนินคดี

วันที่ 20 ก.ย.2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่มีบุคคลที่เรียกตัวเองว่า เซ็กซ์ครีเอเตอร์(Sex Creator) หรือพอร์นฮับเบอร์(Porn hubber)นำภาพหรือคลิปของตนเองในลักษณะลามกอนาจาร เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ผ่าน เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น OnlyFans หรือเว็บไซต์อื่นที่มีลักษณะเดียวกัน รวมถึงกลุ่มลับต่าง ๆ ที่เปิดรับสมาชิกและมีการเรียกเก็บค่าเข้ากลุ่ม เพื่อรับชมคลิปหรือภาพลามกอนาจาร โดยผู้ที่ปรากฏในคลิป ผู้ผลิต หรือ ผู้นำคลิปไปเผยแพร่ ได้รับประโยชน์ใด ๆ จากผู้อื่นเป็นค่าตอบแทนจากการกระทำดังกล่าวนั้น ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการปราบปรามจับกุมผู้กระทำผิดในลักษณะดังกล่าวมาโดยตลอด

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ฯ กล่าวว่าแม้พฤติการณ์ดังกล่าวในหลายประเทศอาจถือว่าไม่เป็นความผิด แต่สำหรับประเทศไทย กฎหมายได้บัญญัติไว้เป็นความผิดอย่างชัดเจน จึงขอให้เข้าใจการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการบังคับใช้กฎหมายด้วย และขอเรียนชี้แจ้งข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีความรู้ความเข้าใจ ดังนี้

กรณีผู้ที่ปรากฏในสื่อลามกเป็นผู้ใหญ่ (อายุตั้งแต่ 18 ปี ขึ้นไป)

- เพื่อประสงค์แห่งการค้าฯ นำเข้า ผลิต  เผยแพร่สื่อลามกอนาจารฯ  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม ป.อาญา มาตรา 287(1)

- นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(4) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

- “ครอบครอง” สื่อลามกที่บุคคลในสื่อลามกอายุ 18 ปีขึ้นไปไม่ถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมาย ยกเว้น ครอบครองสื่อลามกเด็ก หรือ Child Pornography (บุคคลในสื่อลามกอายุต่ำกว่า18ปี)ฯ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม ป.อาญา มาตรา 287/1

ฝากถึงพี่น้องประชาชน เซกซ์ครีเอเตอร์ และพอร์นฮับเบอร์ หรือผู้ที่คิดอยากทำเนื้อหาที่มีลักษณะลามก(Sex content)ที่จะนำไปเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ขอให้ตระหนักถึงผลกระทบด้านอื่น นอกเหนือจากในแง่ของกฎหมาย เนื่องจากเนื้อหาที่ถูกเผยแพร่ดังกล่าว ไม่สามารถถูกทำให้หายไปได้ แต่จะยังคงวนเวียนอยู่ในโลกออนไลน์ วันหนึ่งท่านต้องมีครอบครัว วันหนึ่งท่านต้องออกจากวงการไปมีวิถีชีวิต หรือมีหน้าที่การงานอย่างอื่นที่อยู่นอกวงการนี้ ท่านและคนรอบตัวของท่าน คือคนที่จะได้รับผลกระทบจากสิ่งนี้โดยตรง ขออย่าให้เห็นแก่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า เพราะค่าตอบแทนเม็ดงามในวันนี้เป็นเพียงยาพิษเคลือบน้ำตาล ที่จะตามส่งผลร้ายแรงในอนาคตต่อไป

ทั้งนี้ขอความร่วมมือมายังพี่น้องประชาชน หากพบเห็นการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าว กรุณาแจ้งเบาะแสไปยังสายด่วน 191 และสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สืบสวน ตม.1 จับหนุ่มแดนมังกร ใช้รอยตราประทับเข้าเมืองปลอม เบื้องหลังเกี่ยวข้องขบวนการลักลอบนำเข้าชุดตรวจ ATK COVID-19 ผิดกฎหมาย

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.ยศเอก รักษาสุวรรณ รอง ผบก.ตม.1 และ พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1 พร้อมชุดสืบสวนฯ ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

สืบเนื่องจาก กองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 ร่วมกับ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ ได้ร่วมกันทำการสืบสวนและทราบข้อมูลจากสายลับว่า มีชายชาวจีนซึ่งมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบนำเข้าชุดตรวจ ATK COVID-19 ผิดกฎหมายจากประเทศจีนเข้ามาในประเทศไทย และอยู่ในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย หลบซ่อนตัวอยู่แถวบริเวณ เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่จึงได้จัดกำลังสืบสวนติดตามตัวบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีนดังกล่าว

เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้เดินทางไปเฝ้าสังเกตการณ์บริเวณที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งสืบสวนหาข่าวเกี่ยวกับขบวนการลักลอบนำเข้า ATK COVID-19 ผิดกฎหมาย จนกระทั่งพบคนต่างด้าวสัญชาติจีนลักษณะตรงตามที่สายลับได้แจ้ง ทราบชื่อภายหลังคือ นายไห่หนิง อายุ 31 ปี สัญชาติจีน เมื่อคนต่างด้าวเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็แสดงอาการตระหนกตกใจและรีบจะขึ้นรถยนต์ส่วนตัวขับออกไป เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้แสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เพื่อทำการขอตรวจสอบเอกสารประจำตัวหรือหนังสือเดินทาง และทำการตรวจสอบสิ่งของในรถยนต์คันดังกล่าว กลับไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายแต่อย่างใด แต่เมื่อนายไห่หนิง นำหนังสือเดินทางมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมเพื่อให้ตรวจสอบ เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบดูโดยละเอียดก็พบว่าในหน้า 24 ของหนังสือเดินทางดังกล่าว พบพิรุธของรอยตราประทับการเข้าเมืองและประเภทวีซ่าหลายประการ เช่น เดินทางเข้าในราชอาณาจักร

โดยได้รับวีซ่าประเภทท่องเที่ยวและขออนุญาตอยู่ต่อ แต่กลับพบรอยตราประทับขาเข้าอีกครั้ง โดยที่ไม่พบรอยตราประทับการออกนอกราชอาณาจักร ปรากฏในหน้าหนังสือเดินทางของนายไห่หนิงแต่ประการใด อีกทั้งในรอยตราประทับดังกล่าวยังพบอีกว่าประเภทวีซ่าที่ระบุในตราประทับขาเข้าเป็น “STN” ซึ่งไม่มีในสารบบประเภทวีซ่าของประเทศไทย และสิ่งผิดปกติอื่น ๆ อีกหลายประการ จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้นำตัวนายไห่หนิง มาตรวจสอบข้อมูลการเดินทางเข้า-ออกด้วยระบบ BIOMETRICS ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองอีกครั้ง

ปรากฏว่าพบข้อมูลเพียงว่านายไห่หนิงเดินทางเข้ามาและได้ขออนุญาตอยู่ต่อในราชอาณาจักรจนวันอนุญาตสิ้นสุด และไม่ได้ขออนุญาตอยู่ต่อในราชอาณาจักรอีกแต่ประการใด นอกจากนี้นายไห่หนิง ยังเกี่ยวข้องขบวนการลักลอบนำเข้า ATK COVID-19 ผิดกฎหมายอีกด้วย

 

รวบหนุ่มตะวันออกกลาง! อดีตพ่อค้ายาเสพติดหัวหมอ แปลงโฉมตนเอง เปลี่ยนสัญชาติ - ชื่อสกุล - วันเดือนปีเกิด หวังตบตา สุดท้ายไม่รอด สืบสวน ตม.1 ตะครุบทันควัน!!

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.ยศเอก รักษาสุวรรณ รอง ผบก.ตม.1 และ พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1 พร้อมชุดสืบสวนฯ ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

คดีนี้สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.1 ได้สืบสวนติดตามขบวนการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองของกลุ่มชาวตะวันออกกลาง อันเนื่องมาจากสถานการณ์ความไม่สงบในภูมิภาคดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีผลการจับกุมมาแล้วนับสิบราย จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ได้สืบทราบว่า มีกลุ่มชาวตะวันออกกลางที่มีประวัติถูกจับกุมดำเนินคดีและผลักดันออกนอกราชอาณาจักร พร้อมกับมีการบันทึกข้อมูลในบัญชีบุคคลต้องห้าม (Blacklist) และดำเนินการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางเป็นที่เรียบร้อย มีการลักลอบกลับเข้ามาในประเทศอีกครั้ง โดยมีพฤติการณ์หลบซ่อนตัวอยู่ในย่านสุขุมวิทเพื่อจะได้ไม่เป็นที่ผิดสังเกต เนื่องจากย่านดังกล่าว มีชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวตะวันออกกลางพักอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก

เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับตำหนิรูปพรรณของกลุ่มดังกล่าว พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1 จึงได้ มีประชุมสั่งการ ให้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่หาข่าวและตรวจสอบในพื้นที่ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบกับบุคคลต่างด้าวรายหนึ่งเดินเตร็ดเตร่อยู่ริมถนน เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองคนต่างด้าวก็แสดงท่าทีมีพิรุธ เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจึงแสดงตัวและขอตรวจสอบเอกสารประจำตัวหรือหนังสือเดินทาง ผลการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่าบุคคลต่างด้าวคนดังกล่าวคือนาย โมฮัมเมด ถือหนังสือเดินทางสัญชาติ อียิปต์ และจากการสอบถามพบว่าคนต่างด้าวรายนี้เดินทางเข้ามา ในราชอาณาจักรและพำนักอยู่ในราชอาณาจักร

โดยการอนุญาตสิ้นสุดมาเป็นเวลากว่า 1 ปี เจ้าหน้าที่จึงเชิญตัวมาสอบปากคำเพิ่มเติม ที่ กก.สส.บก.ตม.1 จนได้ข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางของนายโมฮัมเมดว่า นายโมฮัมเมดเคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจับกุม เมื่อปี 2561 ในพฤติกรรมเป็นมาเฟียอาหรับ ลักลอบจำหน่ายยาเสพติดในบริเวณซอยนานาให้กับนักท่องราตรีชาวต่างชาติ

 

สืบสวน ตม.1 จับหนุ่มแดนโสม Overstay ‘หนีคดีแฝงตัวหลอกสาวไทย กว่า 20 ราย’ มูลค่าความเสียหายนับล้านบาท

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.ยศเอก รักษาสุวรรณ รอง ผบก.ตม.1 และ พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1 พร้อมชุดสืบสวนฯ ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ กก.สส.บก.ตม.1 ได้รับเรื่องร้องเรียนจากหญิงสาวผู้เสียหายชาวไทย ว่าได้ถูกชายชาวเกาหลีใต้รายหนึ่ง หลอกลวงเอาทรัพย์สินแล้วหลบหนีหายไป โดยคาดว่าน่าจะได้หลบหนีมาพักอาศัยอยู่ภายในกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงเอาทรัพย์สินในลักษณะเช่นเดียวกัน กว่า 20 ราย มูลค่าความเสียหายนับล้านบาท เจ้าหน้าที่ กก.สส.บก.ตม.1 จึงได้ทำการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้เสียหายและสืบสวนจนทราบว่า ชายคนดังกล่าวคือนายคิม อายุ 30 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ มีพฤติกรรมหลอกลวงผู้เสียหายโดยเฉพาะหญิงชาวไทย ผ่านทางแอพพลิเคชั่นหาคู่ออนไลน์ โดยจะทำการตีสนิทจนเหยื่อตายใจและหลงเชื่อ และจะให้เหยื่อโอนเงินให้โดยผ่านบัญชีคนไทย ซึ่งทำกับเหยื่อซึ่งเป็นหญิงชาวไทยจำนวนกว่า 20 ราย นอกจากนี้

 

สืบ ตม.2 รวบ ‘หนุ่มโมร็อกโก Overstay กว่า 300 วัน’ จับกุมส่ง พงส.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี  เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.วีรพล เจริญศิริ ผบก.ตม.2, พ.ต.อ.รุ่งศักดิ์ แสงเสียงฟ้า รอง ผบก.ตม.2 และ พ.ต.อ.ชัยธนันท์ จิรปิยเศรษฐ์ ผกก.สส.ปป.บก.ตม.2 ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

ผู้ถูกจับกุมเป็นชาย สัญชาติโมร็อคโค อายุประมาณ 23 ปี ได้รอที่โถงผู้โดยสารเพื่อรอการเช็คอินและเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไทยไปยังประเทศรัสเซีย โดยสายการบินกาตาร์แอร์ไลน์ เที่ยวบิน QR833 ขณะที่เจ้าหน้าที่ชุดตรวจได้เดินตรวจตราความสงบเรียบร้อย จึงได้ขอสุ่มตรวจเอกสารและหนังสือเดินทางของผู้โดยสาร และส่งข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ กก.สส.ปป.บก.ตม.2 ตรวจข้อมูลเพิ่มเติมจากระบบสารนิเทศสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (BIOMETRIC) และ APPS พบข้อมูลการเข้ามาในราชอาณาจักรของชายสัญชาติโมร็อคโค โดยสารการบินสายมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH786 ซึ่งอยู่ในราชอาณาจักรเกินกำหนดอนุญาต จำนวน 300 วัน ตรงกับข้อมูลในหนังสือเดินทาง และชายสัญชาติโมร็อกโก ไม่มีเงินเพียงพอในการจ่ายค่าปรับ จึงได้ดำเนินการจับกุมส่ง พงส.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

 

สตม. ย้ำ! ระบบการป้องกันข้อมูลยังมีความปลอดภัย แม้เคยมีผู้พยายามเจาะ – เข้าถึงข้อมูลของสตม. แต่ทำไม่ได้! ขอประชาชนมั่นใจปลอดภัยแน่นอน

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

ตามที่ปรากฏข่าวทางสื่อสังคมออนไลน์ มีข้อมูลนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 106 ล้านคน ที่เคยเดินทางมาไทย รั่วไหล อาทิ ชื่อ-สกุล หมายเลขพาสปอร์ต วันที่เดินทางเข้าไทย และอื่น ๆ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เคยมีผู้พยายามเจาะและเข้าถึงข้อมูลของ สตม. แต่ไม่สามารถกระทำได้

สตม. มีมาตรการในการป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งระบบแจ้งเตือนการบุกรุก อุปกรณ์ etda, การจำกัดการเข้้าถึง ฯลฯ นอกจากนี้ สตม. ยังได้มีความร่วมมือกับ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) ที่จะปรับปรุงระบบให้มีความมั่นคงปลอดภัยสูงสุดเพื่อป้องข้อมูลรั่วไหล จากการตรวจสอบปัจจุบันพบว่า ยังไม่ปรากฏข้อมูลรั่วไหลจาก สตม. แต่อย่างใด ขอให้พี่น้องประชาชนและผู้ที่จะเดินทางมาประเทศไทยมั่นใจว่าระบบตรวจคนเข้าเมืองของไทยยังมีระบบการรักษาข้อมูลที่ปลอดภัยอย่างแน่นอน 

 

 

เชียงรายไม่รอด!! ทหารปะทะเดือด แก๊งขนยาเสพติด พบผู้เสียชีวิตจำนวน 2 ศพ พร้อมยาไอซ์ 200 ห่อ รวมจำนวนประมาณ 221 กิโลกรัม

เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา พลตรี นฤทธิ์ ถาวรวงษ์ ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมืองได้สั่งการให้หน่วยปฎิบัติการตามมาตรการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด ตามนโยบายของผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด โดยต่อเนื่องโดยในห้วงที่ผ่านมา ได้มีการบูรณาการด้านการข่าวระหว่างหน่วยงานป้องกันชายแดนและปราบปรามยาเสพติดภาค 5 และตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย พบว่ากลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดมีความพยาบาลที่จะลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้าน เข้ามายังประเทศไทยในพื้นที่อำเภอแม่ฟ้าหลวงอำเภอแม่สายและอำเภอแม่จันจังหวัดเชียงรายเพื่อลำเลียงไปยังพื้นที่ตอนในของประเทศต่อไป

ทางด้าน พันเอก สัมฤทธิ์ ฉัตรวัฒนากุล ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 ได้สั่งการให้กำลังป้องกันชายแดนในพื้นที่รับผิดชอบ ตรึงกำลังตลอดแนวชายแดนเพื่อป้องกันไม่ให้มีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดได้ และสั่งการให้ทำการลาดตระเวนเฝ้าตรวจและทำการตั้งจุดตรวจจุดสกัดทั้งพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ตอนใน รวมทั้งจัดกำลังร่วมกับศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัดเชียงราย และปราบปรามยาเสพติดภาค 5 ในการสกัดกั้นยาเสพติด

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2564 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 32 ได้ทำการลาดตระเวนเฝ้าตรวจบริเวณบ้านมูเซอร์แม่ข้าวต้ม ตำบลท่าสุด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ได้ตรวจพบกลุ่มบุคคลต้องสงสัยประมาณ 15 คน แบกเป้สัมภาระ พร้อมอาวุธปืนเดินมาตามเส้นทางในภูมิประเทศ เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเพื่อขอทำการตรวจค้นแต่กลุ่มบุคคลดังกล่าว ได้ใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิด และขนาดยิงใส่ฝ่ายเจ้าหน้าที่จึงเกิดการปะทะกันนานประมาณ 10 นาที

ตม.สุราษฎร์ธานี จับต่อเนื่อง! บุกรวบนักพนันเมียนมากลางสวนยาง ลักลอบเล่นพนันชนไก่ ไม่สนโควิด

27 ก.ย. 2564 เวลา 10.00 น. พ.ต.อ.ศุภฤกษ์ พันธ์โกศล ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานีแถลงการจับกุมบุคคลต่างด้าวที่กระทำผิดกฎหมาย ลักลอบเล่นการพนัน (ชนไก่)  นำโดย ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี, พ.ต.ท.ชาตรี ชูแก้ว รอง ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี พร้อม เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สุราษฎร์ธานี สนธิกำลังร่วมกับ สภ.เคียนซา และ กก.สส.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี ทั้งนี้เมื่อวันที่ 26  ก.ย.64 ที่ผ่านมา ได้ร่วมกันจับกุมตัวบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมา  จำนวนทั้งสิ้น 7 รายดังนี้

1.Mr.Si Thura

2.Mr.Aung Win Thein

3.Mr.Tun Lin Oo

4.Mr.Myo Min

5.Mr.Min Aung

6.Mr.Win Kyaw Oo

7.Mr.Win Htein

โดยจับกุมได้  ที่บริเวณภายในสวนยาง ริมถนนเคียนซา201(เจริญราษฎร์) ม.2  ต.เคียนซา อ.เคียนซา จว.สุราษฎร์ธานี พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาทั้ง 7 คนว่า "ร่วมกับพวกที่หลบหนีลักลอบเล่นการพนัน (ชนไก่) พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต"

สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนฯ ได้สืบทราบว่ามีบุคคลต่างด้าวรวมกลุ่มกันลักลอบเล่นการพนันไก่ชนอยู่ที่บริเวณภายในสวนยางริมถนนเคียนซา 201 (เจริญราษฎร์) หมู่ 2 ต. ปลายริก อ. เคียนซา จว. สุราษฎร์ธานี จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและสนธิกำลังร่วมกับสภ. เคียนซาวางแผนจับกุมจนกระทั่งวันนี้ (26 ก.ย. 64) เวลาประมาณ 14.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจสอบบริเวณจุดที่มีการลักลอบเล่นการพนันไก่ชนดังกล่าวพบบุคคลลักษณะเป็นบุคคลต่างด้าวจำนวนประมาณ 20 คนกำลังล้อมวงรอบสังเวียนชนไก่โดยมีไก่ชนกำลังชนอยู่จำนวน 1 คู่และลักลอบเล่นการพนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อบุคคลลักษณะเป็นบุคคลต่างด้าวดังกล่าวเห็นเจ้าหน้าที่ได้วิ่งหนีไปคนละทิศคนละทางโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมสามารถจับกุมตัวนักพนันเมียนมา ได้จำนวน 7 คน 

นอกจากนี้ได้พบไก่ชนจำนวน 5 ตัวพร้อมสังเวียน ,ถังแก๊สและแผ่นเหล็กสำหรับลูบน้ำไก่ , เงินสดรวมทั้งสิ้น 21,290 บาท สอบถามผู้ถูกจับที่ 1-7 รับว่าได้มีนายยาวไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง สัญชาติเมียนมาเป็นผู้จัดสังเวียนขนไก่และชักชวนผู้ถูกจับกับพวกนำไก่ชนมาชนพนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานแต่อย่างใดโดยจัดไก่ชนจำนวน 3 ยก พนันเอาทรัพย์สินคู่ละ 5,000 บาทโดยจะนำเงินสดของแต่ละคนมารวมกันเป็นการวางเดิมพัน จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม  ส่วนพวกที่หลบหนีได้ทิ้งรถจักรยานยนต์ของกลางไว้ในที่เกิดเหตุแล้วหลบหนีไป เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ยึดอุปกรณ์ชนไก่พร้อมไก่ชนเงินสดและรถจักรยานยนต์ไว้เป็นของกลาง  นำตัวผู้ถูกจับพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ. เคียนซา ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พ.ต.อ.ศุภฤกษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การจับกุมดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายและมาตรการในการป้องกันปราบปรามของ พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส รอง ผบก.ตม.6 เนื่องจากสถานการณ์ในช่วงนี้มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดที่เพิ่มสูงขึ้น การรวมกลุ่มทำกิจกรรม หรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใด ๆ อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด หรืออาจเกิดคลัสเตอร์ในการแพร่ของเชื้อโรคได้

 

บก.สส.สตม.ทจับกุมชาวเมียนมา อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่สถานทูต จัดหางานให้นายจ้างไทย

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิดนั้น

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สมพงษ์  ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน  ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ  นุชนารถ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.อาภากร โกมลสุทธิ รอง ผบก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.ปฏิญญา จีรชนาสิน ผกก.๒ บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวจับกุม โดยมีรายละเอียด ดังนี้

จับกุม นายแสน วิ มอญ อายุ 36 ปี สัญชาติเมียนมา ตามหมายจับ  ศาลอาญา ที่ 614/2564 ลง 30 มี.ค.2564 ในข้อหา จัดหาให้คนทำงานในประเทศ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน,เป็นคนต่างด้าวทำงานไม่มีใบอนุญาตทำงาน,โฆษณาจัดหางานไม่เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด,นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าจะทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และฉ้อโกงประชาชน”

สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สส.สตม. สืบสวนถึงกลุ่มขบวนการ ลักลอบขนคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ในขั้นตอนรองรับผู้หลบหนีเข้าเมืองโดย การจัดส่งให้กับนายหน้าในพื้นที่เพื่อกระจายแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเข้าสู่ระบบแรงงาน  ได้รับแจ้งจากมีผู้เสียหายทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ร้องเรียนถึงพฤติกรรมฉ้อโกง ทำเอกสารปลอมและใช้เอกสารปลอม ของชายชาวเมียนมา โดยถูกหลอกลวงจากประกาศทาง FACEBOOK ของนาย SAN โดยอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากสถานทูตพม่า ว่าสามารถจัดส่งแรงงานเมียนมาให้กับผู้ประกอบการที่ต้องการได้ หรือหากผู้ใดที่มีแรงงานอยู่แล้วแต่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย นาย SAN ก็จะรับจัดการดูแลเรื่องเอกสารให้กับผู้ประกอบการ โดยจะเรียกเก็บเงินจากผู้ประกอบการในการทำเอกสารคนต่างด้าว รายละ 15,000 บาท จากนั้นก็จะออกเอกสารที่ไม่ถูกต้องให้กับแรงงานต่างด้าว ไปใช้เพื่อแสดงกับเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ

ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ทำการจับกุมผู้ประกอบการจึงได้รับความเดือดร้อน ถูกดำเนินคดีในข้อหารับคนต่างด้าวไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน จึงทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ประกอบการและคนต่างด้าว เป็นอย่างมาก จึงมีหนังสือร้องเรียนมายัง กก.2 บก.สส.สตม. ต่อมาได้สืบสวนและติดตามพฤติกรรมของนาย SAN จนสืบทราบว่า บุคคลดังกล่าวมีพฤติกรรมตามร้องเรียนจริง อยู่ในพื้นที่ จว.สมุทรสาคร โดยเปิดบ้านที่เป็นอาคารพาณิชย์ 3 ชั้นเป็นสำนักงานรับจัดหางานให้กับแรงงานต่างด้าว เจ้าหน้าที่ฯ จึงได้เข้าทำการตรวจสอบสำนักงาน พบนาย SAN อายุ 36 ปี สัญชาติเมียนมา และถูกจับกุมในข้อหา “เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานนอกเหนือสิทธิที่ทำได้” ส่ง พงส.สภ.กระทุ่มแบน

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top