Sunday, 8 June 2025
Columnist

Sahm Rule คืออะไร? ทำไมทุกคนถึงกลัว? จนต้องหันมามองการลดดอกเบี้ยอย่างจริงจัง

ช่วงสัปดาห์นี้ เราจะได้ยินข่าวที่น่าเป็นกังวลสำหรับนักลงทุนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสู่ช่วงเศรษฐกิจถดถอย การว่างงานที่สูงขึ้น และตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ออกมาแย่ จนทำให้มีการกดดันให้ธนาคารกลางหรือ FED ปรับลดดอกเบี้ยเร็วขึ้นกว่ากำหนดการที่ตอนแรกจะเป็นในเดือนกันยายนค่ะ 

โดยมีอยู่คำหนึ่งที่จะเริ่มได้ยินจากบรรดานักวิเคราะห์พูดซ้ำ ๆ มากขึ้น นั่นก็คือคำว่า Sahm Rule ซึ่งคำนี้มีที่มาจากการตั้งตามชื่อของ Claudia Sahm อดีตนักเศรษฐศาสตร์ประจำธนาคารกลางสหรัฐ โดยกฎนี้จะนำเอา 'อัตราการว่างงานรายเดือน' มาเปรียบเทียบส่วนต่างระหว่างอัตราการว่างงานเฉลี่ยย้อนหลังสามเดือนกับอัตราการว่างงานที่ต่ำที่สุดในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา และถ้าส่วนต่างอันนี้สูงกว่า 0.50% ก็จะหมายถึงว่าเศรษฐกิจนั้นอยู่ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยไปเรียบร้อยแล้วค่ะ 

(เศรษฐกิจถดถอย Economic Recession คือ ภาวะการลดลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้างอย่างมีนัยสำคัญ และกินเวลาหลายเดือน และยังต้องมีตัวชี้วัดหลายตัวร่วมด้วย ได้แก่ 1. รายได้ของบุคคลหักด้วยรายจ่าย 2.ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร 3.ตัวเลขการจ้างงานของครัวเรือน 4.รายจ่ายเพื่อการบริโภค 5.ยอดขายสินค้า และ 6.การผลิตในภาคอุตสาหกรรม ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย)

ก่อนหน้านี้ได้มีการนำเอากฎ Sahm Rule มาใช้และก็สามารถคาดการณ์วิกฤตได้อย่างแม่นยำในการเกิดวิกฤตถดถอยทั้ง 11 ครั้งนับตั้งแต่ปี 1950 เป็นต้นมาค่ะ และคนก็มักเอามาใช้เพื่อให้บรรดาผู้ที่มีอำนาจในการกำหนดนโยบายสามารถเตรียมรับมือได้ทันท่วงทีค่ะ 

และที่ทุกคนต่างพากันกลัว ก็เป็นเพราะทุกครั้งที่ตัวเลขนี้มากกว่า 0.50% ก็มักจะเกิดขึ้นหลังจากที่เศรษฐกิจเข้าสู่ช่วงถดถอยไปแล้วอย่างน้อย 2-5 เดือน แต่ก็มีบางครั้งที่ตัวเลขนี้เกิดขึ้นช้ากว่าการเข้าสู่เศรษฐกิจถดถอยถึง 8 เดือนอย่างในปี 1974 และจะเกิดก่อนที่หน่วยงานสำนักวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติหรือ NBER จะประกาศภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างเป็นทางการ 

โดยรอบนี้ตัวเลขการว่างงานของสหรัฐฯ ที่มีการรายงานไปเมื่อวันศุกร์ที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมามีการรายงานตัวเลขอัตราการว่างงานเดือนกรกฎาคมที่สูงขึ้นจาก 4.1% ไปแตะที่ระดับ 4.3% ซึ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี ทำให้อัตราเฉลี่ยสามเดือนสูงกว่าผลเฉลี่ย 3.6% ของปีที่แล้ว และส่งผลให้ตัวเลข Sahm Rule มาที่ระดับใกล้ 0.50% ค่ะ

เราต้องรอดูกันค่ะว่าถ้า Sahm Rule เกิดขึ้นจริงในรอบนี้ก็อาจจะทำให้ FED ต้องหันมาพิจารณาเรื่องการลดดอกเบี้ยอย่างจริงจังค่ะ

'หม่อมไกรสร' ไพรีผู้พินาศ ประมาทเพราะอำนาจ กำเริบน้อยไปถึงมาก พาชีวิตพลาดจนตัวตาย

หากจะพูดถึงเจ้านายที่ชีวิตขึ้นสุด ลงสุดคือ มีอำนาจวาสนาถึงสูงสุด มียศศักดิ์ได้ทรงกรมถึง 'กรมหลวง' ร่วงลงต่ำสุด จนถูกถอดยศเหลือแค่ 'หม่อม' ก่อนถูกประหารชีวิตด้วยท่อนจันทน์ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์คงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก 'พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไกรสร กรมหลวงรักษ์รณเรศ' ซึ่งทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเจ้าจอมมารดาน้อยแก้ว 

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไกรสร นั้นถือได้ว่าเป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจบารมีมาก ในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ซึ่งเป็นช่วงที่บ้านเมืองเริ่มเข้ารูปเข้ารอย และเจ้านายเริ่มเข้ามามีบทบาทในการกำกับกิจการบ้านเมือง 

พระองค์เจ้าไกรสรเป็นเจ้านายพระองค์หนึ่งที่ได้เข้ามามีส่วนในการจัดระเบียบพระสงฆ์ ส่งเสริมกิจการของพระพุทธศาสนา ได้กำกับ 'กรมสังฆการี' ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับการศึกษาและพระราชศรัทธาของพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นเจ้านายเพียงไม่กี่พระองค์ที่ได้สถาปนาให้ทรงกรม โดยแรกได้ทรงกรมที่ 'กรมหมื่นรักษ์รณเรศ' เคียงคู่กับพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ของรัชกาลที่ ๒ คือ 'กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์' ซึ่งกาลต่อมาก็คือ 'พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว' รัชกาลที่ ๓ เรียกได้ว่าทรงงานคู่กันมาตลอดรัชกาล แม้จะมีศักดิ์เป็น 'พระปิตุลา' หรือ อา ของรัชกาลที่ ๓ แต่ว่าทั้งสองพระองค์มีพระชันษารุ่นราวคราวเดียวกัน ร่วมงานกันมาอย่างยาวนานต่อเนื่องเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนยากของ ร.๓ เลยก็ว่าได้ 

พระองค์เจ้าไกรสร เป็นกำลังสำคัญในการก้าวขึ้นสู่พระราชอำนาชของรัชกาลที่ ๓ เมื่อครั้งที่รัชกาลที่ ๒ ทรงสวรรคต เพราะนอกเหนือจากบุญญาบารมีทางการเมืองของในหลวงรัชกาลที่ ๓ แล้ว พระองค์เจ้าไกรสรทรงเป็นโต้โผหลักร่วมกับเจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่ อาทิ กรมหมื่นสุรินทรรักษ์, กรมหมื่นศักดิพลเสพ, เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค), พระยาศรีพิพัฒน์ (ทัต บุนนาค) ในการสนับสนุนให้ 'กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์' เป็นพระเจ้าแผ่นดิน และพยายามกำจัดคู่แข่งทางการเมือง โดยเฉพาะ 'วชิรญาณภิกขุ' หรือ 'เจ้าฟ้ามงกุฎ' ซึ่งกาลต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ให้ต้องพลาดจากราชบัลลังก์ ทั้งยังตั้งตัวเป็นศัตรูมาอย่างต่อเนื่องอย่างที่เรียกว่า 'จองเวร' ก็ว่าได้ 

เริ่มต้นความเป็น 'ไพรี' หรือ 'ศัตรู' ของพระองค์เจ้าไกรสรที่มีต่อ 'เจ้าฟ้ามงกุฎ' นั้นสืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งเมื่อรัชกาลที่ ๒ ทรงสวรรคต เพราะพระองค์เป็นหนึ่งในโต้โผตามที่กล่าว ทั้งยังแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจน โดยเริ่มต้นจากการ 'หน่วงเหนี่ยว กักขัง' 'วชิรญาณภิกขุ' ซึ่งผนวชมาก่อนสวรรคตราว ๒ สัปดาห์ 

เมื่อรัชกาลที่ ๒ สวรรคต ก็ได้ลวงว่ามีพระบรมราชโองการให้เข้าเผ้า ฯ แต่เมื่อมาถึงพระราชวังหลวงกลับถูก 'กักบริเวณ' เพื่อจัดการเรื่องผู้สืบราชสมบัติเสร็จสิ้นเสียก่อน ณ พระอุโบสถวัดพระแก้ว แล้วแจ้งความจริงแก่พระองค์ (ดีที่พระองค์ทรงเตรียมใจด้วยทรงปรึกษาเรื่องการขึ้นครองราชย์มาก่อนแล้ว โดยเจ้านายผู้ใหญ่ที่นับถือทรงบอกกล่าวแล้วว่ายังมิควร เรื่องนี้จึงช่วยได้เยอะ) 

จากนั้นเมื่อทรงทราบทุกเรื่องแจ้งตลอดแล้วจึงได้เข้าถวายบังคมพระบรมศพ แต่ก็ทรงโดนพระองค์เจ้าไกรสรเข้าประกบพร้อมทรง 'ข่มขู่' จาก 'บันทึกความทรงจำ' พระยาสาปกิจโกศล (โหมด อมาตยกุล) ระบุไว้ว่า “พระจอมเกล้าฯ เสด็จเข้าไป พอเห็นสวรรคตแล้วก็ทรงพระกรรแสงโฮขึ้น หม่อมไกรสรก็เข้าไปกอดไว้แล้วคลําดู ดูที่จีวรกลัวจะซ่อนพระแสงเข้าไป พระจอมเกล้าฯ ก็ตกพระทัยรับสั่งว่าขอชีวิตไว้อย่าฆ่าเสียเลย พระนั่งเกล้าฯ รับสั่งว่าท่านอย่ากลัว ไม่มีใครทําอะไรหรอกอย่าตกพระทัย พี่น้องกันทั้งนั้น ทําอย่างไรได้เวลานั้นโดยท่านตกพระทัย พระบังคลไหลออกมาเปียกสบงเป็นครึ่งผืน” 

นี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชอย่างยาวนานกว่า ๒๗ พรรษา

ครั้นมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว 'พระองค์เจ้าไกรสร' ได้รับการสถาปนาให้เป็น 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' ทรงกำกับกรมวัง มีหน้าที่ตัดสินคดีความ คุมเบี้ยหวัดของพระราชวงศ์และขุนนาง ทรงคุม 'กรมสังฆการี' อยู่ในกำมือ เรียกว่ามีอำนาจอิทธิพลมาก นั่นทำให้พระราชวงศ์หลายพระองค์ต้องทรงมีอาการหมางเมินต่อพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ ด้วยความกริ่งเกรง 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' นั่นเอง 

แต่ถึงจะครองเพศบรรพชิตก็ใช่ว่าจะแกล้งไม่ได้ 'พระวชิรญาณภิกขุ' ขึ้นชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา มีภูมิรู้ทางภาษาบาลีอย่างเอกอุ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบในด้านนี้ของพระองค์ วันหนึ่งจึงทรงอาราธนาพระองค์เข้าสอบความรู้พระปริยัติธรรมสนามหลวงโดยมีรัชกาลที่ ๓ ทรงเสด็จฯ ออกทรงฟังการสอบความรู้พระปริยัติธรรมด้วยทุกวัน ซึ่งปรากฏว่า 'พระวชิรญาณภิกขุ' แปลบาลีได้อย่างไม่ติดขัดจนถึงประโยคที่ ๕ เมื่อผ่านพ้นการแปลในประโยคนี้รวม ๓ วัน ก่อนจะขึ้นในวันใหม่ 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' ก็ได้เข้ามาทรงทักท้วงกับ พระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม) วัดโมลีโลกยาราม กลางที่ประชุมกรรมการแปลโดยเสียงที่ได้ยินกันทั่วว่า...

"นี่จะปล่อยกันไปถึงไหน" คืออารมณ์ว่าจะปล่อยให้แปลไปสบาย ๆ แบบนี้ได้ยังไง จน 'พระวชิรญาณภิกขุ' ต้องทูลฯ รัชกาลที่ ๓ ขอหยุดแปล ซึ่งรัชกาลที่ ๓ ทรงทราบก็ไม่ทรงขัดศรัทธา อีกทั้งยังทรงพระราชทานพัดยศเปรียญธรรม ๙ ประโยค อันเป็นสัญลักษณ์ของผู้สำเร็จการศึกษาพระปริยัติชั้นสูงสุดแห่งคณะสงฆ์ไทยให้ทรงถือ ก็แสดงให้เห็นชัดว่า ร.๓ ท่านไม่ได้ทรงขุ่นข้องหมองใจใด ๆ ยกเว้นเพียง พระองค์เจ้าไกรสรที่ยังทรงคิดรังควานต่อไป 

เมื่อเล่นงานตรง ๆ ไม่ได้เพราะ ร.๓ ไม่ทรงเล่นด้วย พระองค์เจ้าไกรสร ก็หันมาปล่อยข่าวปลอม สืบเนื่องจากความเป็นปราชญ์ในด้านบาลีของพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ อีกทั้งยังทรงเป็นนักศึกษา นักค้นคว้า ทำให้มีผู้คนไปนมัสการพระองค์ ณ วัดราชาธิวาส (วัดสมอราย) ซึ่งพระองค์จำพรรษาอยู่เป็นจำนวนมาก จึงมีการปล่อยข่าวว่า 'พระวชิรญาณภิกขุ' ซ่องสุมผู้คนเพื่อหวังผลทางการเมือง ครั้นเมื่อรัชกาลที่ ๓ ทรงทราบเข้าจึงให้ย้ายพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ มาเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ในปี พ.ศ ๒๓๗๙ เพื่อให้พ้นข้อครหา

ปล่อยข่าวปลอมไม่สำเร็จงั้นก็แกล้งอย่างอื่นต่อ หลังจากที่ 'พระวชิรญาณภิกขุ' มาเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ได้ทรงสถาปนาธรรมยุติกนิกายขึ้น โดยยึดพระวินัยอย่างเคร่งครัด ทั้งการนุ่งห่มก็เรียบร้อย พระภิกษุต้องสำรวมขึ้นอย่างมาก ซึ่งเป็นจุดที่ 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' นำมากลั่นแกล้งได้อีก โดยคราวนี้พระองค์ให้คนในสังกัดไปดักรอใส่บาตรพระธรรมยุติ โดยสิ่งที่ใส่ในบาตรคือ 'ข้าวต้ม' ร้อน ๆ คือ ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าในสมัยก่อนยังไม่มี 'ถลกบาตร' หรือ 'สลกบาตร' ซึ่งเสมือนถุงที่ใส่บาตรให้พระได้ถือกันร้อน มีแต่เชิงบาตรไว้ตั้งเมื่อรับบาตรเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อโยมในสังกัดของ 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' ตักบาตรข้าวต้มร้อนๆ แก่พระธรรมยุติ พระท่านก็ปฏิเสธไม่ได้ แถมยังต้องสำรวม ในการรับบาตรนี้พระทั้งหลายก็มือพอง แขนพอง กลับวัดกันไป นี่ก็อีกหนึ่งวิบากที่ร่ำลือกันถึงความ 'จองเวร' จาก 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' 

แต่มีอำนาจก็เสื่อมอำนาจได้ หากมิมีคุณธรรมควบคุมตนกรณีของ พระองค์เจ้าไกรสรก็เช่นกัน พระองค์ทรงมีความหวังว่าพระองค์จะได้เป็นวังหน้าในครั้งที่กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ ทรงทิวงคต อีกทั้งยังทรงกระทำการด้วยอำนาจบาตรใหญ่หลายเรื่อง เช่น การตัดสินคดีความอย่างลำเอียงด้วยเห็นแก่สินบน ซ่องสุมผู้คนอย่างมิเหมาะควร กระทำตนเยี่ยงพระมหากษัตริย์ในงานลอยประทีป ณ กรุงเก่า และเมืองเขื่อนขันธ์ ซึ่งมีผู้คนเห็นกันอย่างถ้วนทั่ว หรือแม้กระทั่งเรื่องส่วนพระองค์ที่ทรงมิได้ร่วมหลับนอนกับพระชายาหรือหม่อมห้ามในวัง แต่กลับไปคลุกอยู่กับคนโขนละครซึ่งเป็นชายแต่โปรดฯ ให้แต่งกายเป็นหญิง ซึ่งนับว่าออกลูกมั่นใจว่าไม่มีใครกล้าเป็น 'ศัตรู' กับพระองค์มากไปสักหน่อย 

จากเหตุดังกล่าวในปี พ.ศ. ๒๓๙๑ 'ไพรี' ของพระองค์ จึงเริ่มขึ้นในรูปใบฏีกาที่ยื่นร้องทุกข์การปฏิบัติราชการและพฤติกรรมของพระองค์เป็นจำนวนมาก มากจนเกิดเป็นการจับกุมและต้องตั้งศาลเพื่อตัดสินคดีความของพระองค์ขึ้น ไล่จากเบาคือ เรื่องไม่บรรทมกับพระชายาหรือหม่อมห้าม ซึ่งเป็นเรื่องส่วนพระองค์โดยพระองค์ให้การว่า "ใช้มือกำคุยหฐาน (อวัยวะเพศ) ของกันและกันจนสุกกะ (น้ำกาม) เคลื่อนเท่านั้น" อีกทั้ง "การไม่อยู่กับลูกเมียนั้น ไม่เกี่ยวข้องแก่การแผ่นดิน" เรื่องทำตนเทียมกษัตริย์นั้น ในงานลอยประทีปนั้นก็มีมูลเพียงรับไว้บางส่วน 

แต่ก็ยังไม่ร้ายแรงที่สุด มาหนักตรงเรื่อง 'กินสินบาทคาดสินบน' ซึ่งมีการพิสูจน์ได้หลายเรื่อง โดยเรื่องที่บันทึกไว้ก็มีเรื่องของ 'พระยาธนูจักรรามัญ' ซึ่งถวายฎีกาฟ้องพระองค์ว่าตัดสินคดีไม่ชอบ เมื่อตุลาการชำระความก็ปรากฏว่าผิดจริง นำไปสู่การรื้อการพิจารณาอีกหลายคดี ส่วนเรื่องใหญ่ที่สุดก็คือการซ่องสุมผู้คน ซึ่งว่ากันว่าขุนนางคนไหนที่มีไพร่พล หากยอมสวามิภักดิ์พระองค์ก็จะนับว่าเป็นพวก แต่ถ้าใครไม่ยอมก็จะจองเวรหาเรื่องเอาผิดอยู่เนือง ๆ ซึ่งเรื่องการซ่องสุมผู้คน พระองค์ทรงให้การว่า...

“พระองค์มิได้ทรงจะก่อการกบฏ แต่เป็นการเตรียมไว้หากจะมีการผลัดแผ่นดิน ก็จะไม่ยอมเป็นข้าใคร" คือถ้ารัชกาลที่ ๓ สวรรคต ใครจะครองราชย์ต่อไม่ได้หากไม่ใช่พระองค์เอง ทั้งยังให้การกับตุลาการว่าหากได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินจะตั้ง 'กรมขุนพิพิธโภคภูเบนทร์' เป็นวังหน้า ซึ่งคำให้การทั้งปวง ทำให้ตุลาการผู้ชำระความที่เป็นทั้งพระราชวงศ์และขุนนางผู้ใหญ่ต้องประชุมกันอย่างเคร่งเครียด

ไล่ ๆ กับที่ 'พระองค์เจ้าไกรสร' กำลังเริ่มโดนไต่สวน มีเกร็ดเล่าว่ามีผู้มาถวายพระพุทธรูปองค์หนึ่งแด่ 'วชิรญาณภิกขุ' หรือ ครั้นเมื่อได้มาแล้วบรรดาศัตรูผู้คิดปองร้ายแก่พระองค์ล้วนแล้วแต่แพ้ภัยตนเอง พ่ายลงไปเสียสิ้น พระองค์จึงถวายนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า 'พระไพรีพินาศ' อันหมายถึงการสิ้นศัตรูในคราวแรก ทั้งยังทรงตั้งนามเจดีย์ศิลาเล็ก ๆ องค์หนึ่งว่า 'พระไพรีพินาศเจดีย์' อีกด้วย โดยเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๗ ได้มีค้นพบว่าในพระเจดีย์มีกระดาษแผ่นหนึ่งประทับตราสีแดงและปรากฏข้อความว่า "พระสถูปเจดีย์ศิลาบัลลังก์องค์ จงมีนามว่าพระไพรีพินาศ ตตเทอญ" และอีกด้านเขียนว่า "เพราะตั้งแต่ทำมาแล้ว คนไพรีก็วุ่นวายยับเยินไปโดยลำดับ" ซึ่งหากนับแล้วไม่เพียงแต่ พระองค์เจ้าไกรสร แต่ยังมีคณะบุคคลอีกจำนวนหนึ่งที่ต้องพินาศไป ซึ่งจะนำมาเสนอในบทความต่อ ๆ ไป 

กลับมาที่พระองค์เจ้าไกรสร เมื่อตุลาการพิจารณาเป็นความสัตย์ ในหลวงรัชกาลที่ ๓ จึงทรงให้ถอด 'พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไกรสร กรมหลวงรักษ์รณเรศ' ให้เหลือแต่เพียง 'หม่อมไกรสร' และตัดสินให้ประหารชีวิตด้วยท่อนจันทน์ ซึ่งส่วนหนึ่งของคำพิพากษาระบุไว้อย่างน่าสนใจว่า "…การที่ตัวได้ดีมียศศักดิ์ขึ้นกว่าแต่ก่อนก็ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี้ยิ่งกว่าเจ้านายทุกๆ พระองค์ จึงได้คิดกำเริบใจขึ้น แต่ก่อนนั้นยังกำเริบน้อยๆ เดี๋ยวนี้มากขึ้นๆ จนกระทั่งทุกวันนี้ได้ ๒๕ ปีแล้ว บัดนี้ก็ถึงปรารถนาจะเป็นเจ้าแผ่นดิน ให้ตัวรำลึกถึงความหลังดู ... ความชั่วของตัวมันฟุ้งเฟื่องเลื่องฦๅไปทั่วนานาประเทศทั้งปวง หาควรไม่เลย ต่างคนต่างมีใจโกรธแค้นยิ่งนัก แล้วยังมาคิดมักใหญ่ใฝ่สูง จะเป็นวังหน้าบ้าง เป็นเจ้าแผ่นดินบ้าง อย่าว่าแต่คนเขาจะยอมให้เป็นเลย แต่สัตว์เดียรัจฉานมันก็ไม่ยอมให้ตัวเป็นเจ้าแผ่นดิน…"

แต่เรื่องความ 'จองเวร' ของ 'หม่อมไกรสร' ก็จัดว่าไม่ธรรมดา แม้จะถูกตัดสินความผิดถึงประหาร จนในวาระสุดท้าย ที่ 'วชิรญาณภิกขุ' จะขอขมาเพื่อจะทรงยกโทษกรรมเวรที่ทรงกระทำต่อกันมาด้วยดอกไม้ธูปเทียน นอกจากหม่อมไกรสรจะไม่รับแล้ว ยังกลับไปกำทรายแล้วตอบกลับว่า "จะขอผูกเวรไปทุกชาติเท่าเม็ดกรวดเม็ดทราย!!" ซึ่งเรื่องนี้ หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ได้ทรงประทานเล่าไว้ในคราหนึ่ง 

'หม่อมไกรสร' ถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ ณ วัดปทุมคงคา เมื่อวันพุธ เดือนอ้าย แรม ๓ ค่ำ ปีวอก สัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๒๑๐ ตรงกับวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๗๑ ขณะนั้นหม่อมไกรสรมีพระชันษาได้ ๕๖ ปี และนับเป็นพระราชวงศ์องค์สุดท้ายที่ถูกสำเร็จโทษด้วยวิธีนี้

'วันจันทร์ทมิฬ' ฝันร้ายของนักลงทุนทั่วโลก ความผันผวนที่แม้จะหยุดซื้อขายก็ยังเอาไม่อยู่

ข่าวร้ายเกี่ยวกับตัวเลขทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะ GDP ที่ไม่โต, สงครามที่ยืดเยื้อ รวมไปถึงสถานการณ์การเมืองในหลายประเทศ ล้วนแต่ส่งผลในนักลงทุนหลายคนเริ่มบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า ปีนี้คือ อีกหนึ่งปีที่ยากสำหรับการลงทุนจริงๆ ค่ะ 

นี่ยังไม่นับรวมความโกลาหลจากการร่วงลงอย่างหนักของตลาดหุ้นญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยแค่วันนั้นวันเดียว ตลาดหุ้นของญี่ปุ่นทั้งดัชนี TOPIX และ NIKKEI 225 ที่มีช่วงที่ร่วงลงต่ำกว่าตอนที่เกิดเหตุการณ์ Black Monday 1987 และไปทำราคาปิดที่ -12.40% ซึ่งในวันนั้นมีการใช้ Circuit Breaker เพื่อหยุดความผันผวนชั่วคราว แต่ก็ไม่ได้ผลค่ะ 

ในวันนั้นตลาดปิดไปด้วยมูลค่าตลาดที่ลดลงเหลือเพียงแค่ 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ และถึงแม้ว่าตลาดจะเด้งกลับในวันต่อมา แต่ทุกคนก็พากันขนานนามเหตุการณ์ว่า Black Monday 2024 ซึ่งเป็นการร่วงลงของตลาดหุ้นที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เหตุการณ์ Black Monday ปี 1987 เลยทีเดียวค่ะ 

วันนี้เลยอยากพาทุกคน ย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ Black Monday 1987 หรือวันจันทร์ทมิฬ กันค่ะ เพื่อที่เราจะได้ศึกษาเรื่องราวในวันนั้นและเก็บเอาไว้เป็นบทเรียนสำหรับการลงทุนในอนาคตค่ะ 

ย้อนกลับไปในวันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 1987 หรือเมื่อ 37 ปีที่แล้ว วันนั้นเป็นเหมือนฝันร้ายของนักลงทุนทั่วทั้งสหรัฐอเมริกาและลามไปทั่วทั้งโลกค่ะ เพราะเพียงแค่วันเดียวดัชนีดาวโจนส์ปิดร่วงลงไปถึง 22.61% หรือร่วงลงกว่า 500 จุด และดัชนี S&P 500 ร่วงลงถึง 30% ซึ่งนั่นทำให้ความมั่งคั่งของชาวสหรัฐหายไปถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ค่ะ ซึ่งนับเป็นการร่วงลงที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ Great Depression หรือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ซึ่งเหตุการณ์ในวันนั้นตลาดหุ้น NIKKEI ร่วงลงไป 14.9% 

และแม้ว่าจนถึงวันนี้จะยังไม่มีใครสรุปสาเหตุของวันนั้นได้ว่าเกิดจากอะไร แต่หนึ่งในสาเหตุของวันนั้นคือ Algorithm Trading ค่ะ ซึ่ง Algorithm Trading นี้เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่เหล่ากองทุนใช้เพื่อการซื้อขายหุ้น และในวันนั้นมี Algorithm อยู่ตัวหนึ่งที่ทำงานผิดพลาดค่ะ โดยได้มีการส่งคำสั่งขายหุ้นออกมาจำนวนมาก ทำให้ราคาหุ้นร่วงลงอย่างรวดเร็วค่ะ ซึ่งการเทขายแบบนั้นมันได้ไปส่งสัญญาณใน alogorithm ตัวอื่นเทขายหุ้นของตัวเองออกมาบ้างค่ะ หุ้นที่ร่วงอยู่แล้วก็ยิ่งลงเร็วและแรงกว่าเดิมค่ะ 

พอนักลงทุนที่เข้ามาเห็นราคาหุ้นที่ร่วงลงอย่างรุนแรง ก็พากันแตกตื่นและรีบขายหุ้นตัวเองออกมา เราเรียกเหตุการณ์นี้ว่า Panic Sell หรือเป็นการขายหุ้นแบบหนีตายค่ะ ทุกคนจะแย่งกันขายหุ้นตัวเองออกมา จนทำให้เมื่อจบวันดัชนีดาวโจนส์ลดลงไปอย่างมากสุดเป็นประวัติการณ์ค่ะ 

เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้มีการคิดค้นระบบที่เรียกว่า Circuit Breaker ขึ้นมาค่ะ อย่างที่บอกไปตอนต้นนะคะว่า มันคือการหยุดซื้อขายชั่วคราว และการหยุดนี้ ก็เพื่อให้นักลงทุนได้มีเวลาคิดไตร่ตรอง หาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนที่จะลงมือทำอะไรค่ะ 

นอกจากประเด็นเรื่องของ Algorithm Trading แล้ว บางคนก็บอกว่าเหตุการณ์ในวันนั้นเป็นเพราะว่าเงินเฟ้อของสหรัฐเอง ก็มาถึงจุดสูงสุดแล้ว นั่นคือปรับตัวขึ้นมาถึง 4% ประกอบกับดัชนีดาวโจนส์ก็ขึ้นมาอย่างร้อนแรงตลอดทางจากระดับ 2,000 จุดไปที่ระดับ 2,747 จุด ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 3 เดือน จนทำให้เกิดฟองสบู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ บ้างก็บอกว่าเป็นเพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แย่จากการขาดดุลทางการค้าและการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ค่ะ

โดยหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ดัชนีดาวโจนส์ต้องใช้เวลายาวนานถึง 14 เดือน เพื่อที่จะกลับไปจุดเดียวกันกับก่อนที่ร่วงลงมาได้ และมีนักลงทุนจำนวนมากที่ต้องออกจากตลาดเพราะความสูญเสียจากเหตุการณ์นั้นค่ะ 

ส่วนตลาดหุ้นไทยเองก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์วันนั้นเช่นเดียวกันค่ะ โดย SET ของเราร่วงลงภายในเวลา 2 เดือนหลังจากเหตุการณ์วันนั้น จากจุดสูงสุดที่ 472.86 จุดตอนเดือนตุลาคม 1987 มาอยู่ที่จุดต่ำสุดที่ 243.97 จุดในเดือนธันวาคมปีเดียวกันค่ะ 

'เศรษฐกิจนอกระบบ' ตัวการทำประเทศสูญเสียรายได้ เพราะขาดการกำกับดูแล-ไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น

ช่วงหลัง ๆ มานี้เรามักจะได้ยินหลายหน่วยงานของรัฐบาลได้ออกมาพูดถึงปัญหาด้านการเติบโตของประเทศไทยที่เติบโตได้ต่ำกว่าศักยภาพที่มี และไม่สามารถเติบโตได้เท่าเทียมกับประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ หรือ Emerging Market นี่นอกจากจะทำให้ประเทศเรามีเศรษฐกิจที่รั้งท้ายประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกันเอง และยังมีการคาดการณ์ว่า GDP ไทยตลอดทั้งปี 2567 นี้ก็จะอยู่ที่เพียงแค่ 2.2-2.7% เท่านั้น

โดยสาเหตุการเติบโตที่ต่ำนี้มาจากหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างสังคมไทยที่ขาดแคลนแรงงานเพราะเรากำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ประเด็นทางการเมือง การไหลเข้ามาของสินค้าจีนที่ราคาถูกกว่า แต่หนึ่งในสาเหตุที่ทางธนาคารโลกมองว่าเป็นสาเหตุที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ บ้านเรามี ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ หรือ ‘Shadow Economy’ ในระดับที่สูงมาก โดยถือเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของ GDP ของประเทศหรือประมาณ 30 ล้านล้านบาท ซึ่งนับว่าอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลกและอาเซียนค่ะ 

‘Shadow Economy’ เป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจหรือรายได้ที่เกิดจากธุรกิจทั้งขนาดกลางไปจนถึงขนาดเล็กหรือธุรกิจส่วนตัวที่ไม่ได้ถูกนับรวมอยู่ในระบบเศรษฐกิจ หรือว่าไม่ถูกนับรวมอยู่ใน GDP ของประเทศค่ะ ซึ่งธุรกิจเหล่านี้อาจจะมีทั้งถูกและไม่ถูกกฎหมายอย่างเช่น การขายสินค้าลอกเลียนแบบสินค้าลิขสิทธิ์ หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมก็ได้ค่ะ 

ธุรกิจเหล่านี้ก็ไม่ได้มีการจ่ายภาษีให้กับทางภาครัฐและไม่ได้ถูกบันทึกอยู่ในระบบ ทำให้ทางการไม่สามารถนำตัวเลขจากธุรกิจเหล่านี้ไปสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศได้ โดยสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจนอกระบบของไทยมีมูลค่าสูงขนาดนี้ ก็เพราะการขาดการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ การไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ปัญหาความยากจนของคนในประเทศ รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจที่ต่างพากันไม่ความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจที่เป็นทางการของภาครัฐ 

แม้จะมีมุมมองด้านบวกคือ แรงงานที่เข้าถึงงานมากขึ้น เพราะเศรษฐกิจนอกระบบนี้จะเป็นการสร้างงานและรายได้ให้กับผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจและงานที่อยู่ในระบบได้แล้ว แต่ด้านลบก็คือ เศรษฐกิจนอกระบบนี้ทำให้รัฐเองสูญเสียรายได้จากการเก็บภาษี ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของรัฐบาล และยังส่งผลในเกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันทางธุรกิจจากธุรกิจนอกระบบที่อาจจะมีต้นทุนในการดำเนินกิจการที่ต่ำกว่าธุรกิจที่อยู่ในระบบ

โดยขนาดเศรษฐกิจนอกระบบนี้เมื่อคิดเทียบกับ GDP ทั่วโลกจะอยู่ที่ราว ๆ 20-25% ของ GDP ทั้งหมด ซึ่งเศรษฐกิจนอกระบบนี้สามารถพบเจอได้ในทุกประเทศ แม้แต่ในประเทศที่พัฒนาแล้วก็มีเศรษฐกิจนอกระบบเช่นเดียวกัน แต่จะเป็นสัดส่วนที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนา อย่างในสหรัฐฯ หรือเยอรมนีเอง ตัวเลขขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบนี้จะอยู่ที่ประมาณ 7-8% และ 10-12% ตามลำดับ ส่วนในประเทศกำลังพัฒนา สัดส่วนของเศรษฐกิจนอกระบบนี้สูงได้ถึง 30-40% ของ GDP หรืออาจจะมากกว่านั้น 

การแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจนอกระบบเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีผลกระทบหลายด้าน โดยการที่จะแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพนี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายส่วนทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจรวมไปถึงภาคประชาชน เพื่อนำไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรม โปร่งใส และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นค่ะ

Fort Knox คลังเก็บทองคำสำรองของสหรัฐฯ สถานที่ซึ่งยากจะเข้าถึงที่สุดในโลก

ถ้าจะถามว่าในโลกใบนี้ สถานที่ใด? ยากที่จะเข้าถึงมากที่สุด น่าจะมีชื่อ Fort Knox คลังเก็บทองคำสำรองของสหรัฐอเมริกา ผุดขึ้นมาให้คิดถึง...

สำหรับชื่อเสียงของ Fort Knox นั้นมีมาอย่างยาวนานในสถานะคลังเก็บทองคำสำรองที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ โดยหากพิจารณาจากปี 2021 ปริมาณสำรองทองคำของสหรัฐฯ ที่มีจำนวนทั้งสิ้น 8,134 เมตริกตัน จะพบว่า ตัวเลขประมาณการทองคำกว่าราว 4,580 เมตริกตันหรือคิดเป็น 56.35% ของทองคำสำรองของสหรัฐฯ ได้ถูกเก็บไว้ที่นี่

คำว่า 'ปลอดภัยเหมือน Fort Knox' เป็นคำที่แสดงถึงความมั่นคงปลอดภัยของสถานที่แห่งนี้ และกลายเป็นคำรับรองถึงความปลอดภัยสูงสุดในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ธนาคาร, ตู้นิรภัย, บริการรับฝากสินค้าฯลฯ

เดิม Fort Knox เป็นที่ตั้งหน่วยรถถังของกองทัพบกสหรัฐฯ ในมลรัฐ Kentucky ทางใต้ของเมือง Louisville และทางเหนือของเมือง Elizabethtown โดยการตั้งชื่อ Fort Knox ขึ้นมานั้น ก็เพื่อเป็นเกียรติแก่พลตรี Henry Knox ผู้บัญชาการหน่วยปืนใหญ่ในสงครามประกาศอิสรภาพอเมริกา และรัฐมนตรีกระทรวงสงครามคนแรกของสหรัฐฯ ในช่วงสงครามกลางเมือง Fort Knox ที่มีค่ายทหารเล็ก ๆ อยู่ไม่กี่แห่ง 

ต่อมาในปี 1936 คลังเก็บทองคำสำรองของสหรัฐฯ ก็ได้ถูกสร้างขึ้นโดยกระทรวงการคลังบนที่ดินที่รับโอนมาจากกองทัพบกสหรัฐฯ ซึ่งในช่วงแรก Fort Knox ได้เก็บรักษาทองคำจำนวนเกือบ 13,000 เมตริกตัน และทุกการขนย้ายทองคำ จะได้รับการคุ้มกันโดยรถถังของกรมทหารม้าที่ 1 กองทัพบกสหรัฐฯ ไปยังโรงรับฝาก 

ทั้งนี้ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง Fort Knox ยังเคยถูกใช้ในการเก็บรักษาสิ่งของล้ำค่ามากมาย อาทิ ต้นฉบับของทั้งรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา, คำประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา, ข้อบังคับของสมาพันธรัฐ, คำปราศรัยในการรับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นครั้งที่สองของ Abraham Lincoln และร่างคำปราศรัย Gettysburg ของ Abraham Lincoln อีกด้วย

สำหรับเหตุผลสำคัญที่ทำให้ Fort Knox กลายเป็นคลังทองคำสำรองของสหรัฐฯ นั้น ต้องย้อนไปในเดือนมิถุนายน 1935 ที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ประกาศความตั้งใจจะสร้างคลังทองคำสำรองในบริเวณ Fort Knox มลรัฐ Kentucky อย่างรวดเร็ว จุดประสงค์เพื่อเก็บทองคำสำรองซึ่งเดิมเก็บไว้ในสำนักงานทดสอบ ในนคร New York และโรงกษาปณ์ Philadelphia 

ความตั้งใจนี้สอดคล้องกับนโยบายที่ประกาศไว้ก่อนหน้าว่า จะย้ายทองคำสำรองออกจากเมืองชายฝั่งไปยังพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการโจมตีโดยกองกำลังต่างชาติน้อยกว่า ซึ่งนโยบายนี้ได้นำไปสู่การขนส่งทองคำเกือบ 85.7 ล้านทรอยออนซ์ (2,666 เมตริกตัน) จากโรงกษาปณ์ San Francisco ไปยังโรงกษาปณ์ Denver ก่อนขนย้ายมายัง Fort Knox ที่สร้างเสร็จในเดือนธันวาคมของปี 1936 ด้วยราคา 560,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ซึ่งเทียบเท่ากับ 9,700,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2023) 

ในปี 1988 อาคาร Fort Knox ได้รับการขึ้นทะเบียนในทะเบียนโบราณสถานแห่งชาติในปี เนื่องด้วยสถานะเป็น 'สถานที่สำคัญที่รู้จักกันดีซึ่งมักถูกอ้างถึงบ่อยครั้งในบริบทที่เป็นข้อเท็จจริงและสมมติ' และมี 'ความสำคัญเป็นพิเศษทางประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศ'

อ่านถึงตรงนี้ หลายท่านคงจะพอจะนึกตามได้แล้วว่า ทำไม Fort Know จึงเป็นสถานที่ที่ยากจะเข้าถึงมากที่สุดในโลก นั่นก็เพราะข้อได้เปรียบทางทหารหลายประการที่เอื้อต่อ Fort Knox 

- กองกำลังต่างชาติที่โจมตีจากชายฝั่งทะเลตะวันออกของสหรัฐฯ จะต้องสู้รบผ่านเทือกเขา Appalachian ซึ่งถือเป็นอุปสรรคที่สำคัญต่อการเคลื่อนกำลังทหารในยุคนั้น 
- นอกจากนี้ ยังแยกออกจากทางรถไฟและทางหลวง ซึ่งเป็นการขัดขวางอำนาจการโจมตีอีกด้วย 
- แม้แต่การเดินทางทางอากาศไปยัง Fort Knox ก็ต้องบินข้ามภูเขา ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อนักบินที่ไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ดังกล่าวในยุคนั้นเช่นกัน 
- และที่สุด หน่วยทหารม้ารถถังเพียงหน่วยเดียวของกองทัพบกสหรัฐฯ ในขณะนั้น ก็ยังประจำการอยู่ในค่ายที่อยู่ติดกัน ซึ่งพร้อมที่จะนำไปใช้เพื่อปกป้อง Fort Knox คลังเก็บทองคำสำรองของสหรัฐฯ โดยทันที

ไม่เพียงเท่านี้ Fort Knox ยังล้อมรอบไปด้วยหอคอยยาม ซึ่งมีพลซุ่มยิงที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี หากคุณโชคดีพอที่จะผ่านพ้นการลาดตระเวนของเฮลิคอปเตอร์, รถถัง และรถลาดตระเวนมาได้ และต่อให้คุณผ่านพ้นพื้นที่ของพลซุ่มยิง, รั้วลวดหนาม, กำแพงคอนกรีตหนา และกำแพงเหล็กได้ การจะเข้าไปในห้องนิรภัยได้ ก็ต้องทราบรหัสประตูห้องนิรภัยที่มีน้ำหนัก 24 ตัน ซึ่งสามารถเปิดได้ด้วยการถอดรหัส รหัสประตูห้องนิรภัย 10 ชุดที่แตกต่างกัน และต้องป้อนตามลำดับที่ถูกต้องด้วยเท่านั้น

แล้วก็อย่าลืมว่า ภายใน Fort Knox ยังเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ทั่วทุกที่ ทันทีที่มีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาจะส่งสัญญาณวิทยุไปยังหัวหน้าของพวกเขา และหากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหายไป หัวหน้าก็จะส่งสัญญาณเตือนภัย และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดอาวุธหลายร้อยนายพร้อมรถหุ้มเกราะจะปิดล้อมรอบ Fort Knox ทันที

โดยสรุป หากคิดที่จะปล้นทองคำจาก Fort Knox คุณต้องทะลวงผ่านด่านนอก อาทิ การลาดตระเวนของเฮลิคอปเตอร์, รั้วลวดหนาม, การลาดตระเวนของรถลาดตระเวนและรถหุ้มเกราะ, รั้วไฟฟ้าสูง 10 ฟุต, พลซุ่มยิงที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี, กำแพงหินแกรนิตและคอนกรีตหนา 4 ฟุต, เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำนวนมากอยู่ภายใน, ผนังคอนกรีตเสริมเหล็กหนา 24 นิ้วที่สร้างขึ้นเพื่อทนต่ออาวุธนิวเคลียร์, กล้องวงจรปิดแบบหลายจุด, กระจกกันไฟและกันกระสุน, อุโมงค์น้ำท่วม เพื่อสังหารผู้บุกรุก, ทุ่นระเบิด และดาวเทียมพร้อมการเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง 

จากนั้นด่านใน คุณต้องเข้าไปยังห้องนิรภัย โดยใช้รหัสเข้าใช้ลับที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ปลดล็อกได้ไปพร้อม ๆ กับการหลบเลี่ยงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหมดได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม หากคุณทำสำเร็จ จะสามารถรวบรวมทองคำแท่ง ซึ่งมีมูลค่ากว่า 240,000 ล้านดอลลาร์ตามการประมาณการโดยอิงจากมูลค่าทองคำล่าสุดไปครอง 

แต่ก็ยังมีคำถามอีกว่า คุณจะขนทองคำทั้งหมด ที่มีน้ำหนักประมาณ 4 ล้านกิโลกรัมหรือ 4,000 ตัน แล้วหลบหนีออกไปจากสหรัฐฯ อย่างเงียบๆ ได้อย่างไร?

และนี่ จึงทำให้ Fort Knox กลายเป็นสถานที่ซึ่งยากแก่การเข้าถึงมากที่สุดในโลกนั่นเอง...

เรื่อง: ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล

10 ข้อควรรู้เกี่ยวกับ Nvidia บริษัทที่มีมูลค่า 6 เท่าของ GDP ไทย

สัปดาห์นี้มีการประกาศงบของ 1 ในบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก ที่แค่ประกาศงบออกมา ก็สามารถส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นทั่วโลกได้อย่างมีนัยสำคัญ 

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น คงจะหนีไม่พ้นการที่บริษัทนี้เป็นผู้นำในตลาดเทคโนโลยีที่ผลิตและพัฒนาชิปประมวลผลกราฟฟิก หรือ GPU และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่ตอนนี้แทบจะแฝงอยู่ในทุก ๆ อย่างในชีวิตประจำวันของเราแล้วค่ะ 

บริษัทคือ Nvidia ค่ะ โดยปัจจุบันมีมูลค่าตลาดสูงถึง 3.09 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือเท่ากับ 108.15 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 6 เท่าของ GDP ของประเทศไทยเลยทีเดียว

วันนี้เลยอยากจะพาทุกท่านไปรู้จัก Nvidia มากขึ้นผ่าน 10 ข้อควรรู้เกี่ยวกับบริษัทนี้กันค่ะ...

ข้อควรรู้ที่ 1: CEO ผู้ก่อตั้งบริษัทคือ คุณเจนเซ่น ฮวง (Jensen Huang) เป็นชาวไต้หวัน แต่ไปเติบโตที่สหรัฐฯ และครั้งหนึ่งคุณเจนเซ่นเองก็เคยลี้ภัยมาอยู่ประเทศไทยก่อนย้ายไปอยู่ที่สหรัฐฯ

ข้อควรรู้ที่ 2: Jensen Huang และเพื่อนอีก 2 คนคือ Chris Malachowsky และ Curtis Priem ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Nvidia ขึ้นมาในปี 1993 ในตอนนั้นเป็นการพูดคุยกันในร้านอาหารชื่อ Denny’s ซึ่งเป็นร้านที่คุณ Jensen เคยไปทำงานพาร์ตไทม์สมัยมัธยมปลาย

ข้อควรรู้ที่ 3: ในเริ่มแรกบริษัทเองก็ล้มลุกคลุกคลาน แต่ในปี 1999 หลังจากเปิดบริษัทมาได้ 6 ปีก็สามารถนำเอาบริษัทเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq ได้ โดยราคา IPO ตอนนั้นอยู่ที่ 12 เหรียญต่อหุ้น

ข้อควรรู้ที่ 4: หลังจาก IPO ได้ 24 ปีบริษัทก็มีมูลค่าตลาดทะลุล้านล้านเหรียญและยังนับเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก

ข้อควรรู้ที่ 5: รายได้ของ Nvidia แบ่งใช้ใน Data Center 52%, เกม 42%, การวิเคราะห์ข้อมูลและประมวลผล 4%, รถยนต์ไร้คนขับ 2% และอื่น ๆ อีก 1%

ข้อควรรู้ที่ 6: Nvidia มีการจับมือร่วมกับหลายบริษัทไม่ว่าจะเป็น Tesla, Amazon และ Microsoft ในการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ

ข้อควรรู้ที่ 7: คู่แข่งของ Nvidia มีหลายบริษัททั้ง AMD, Intel, Qualcomm, Google ที่พากันเข้ามาลงเล่นในตลาดชิป รวมไปถึงบริษัท Startup อย่าง Celebras system ด้วยค่ะ 

ข้อควรรู้ที่ 8: Nvidia มีการตั้งชื่อชิปให้เหมือนกับชื่อบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์เพื่อบ่งบอกถึงความล้ำสมัยและพลังของชิปของบริษัท เช่น ชิปที่ชื่อ Turing ที่มาจาก Alan Turing (นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษที่คิดค้น Turing Machine ที่เป็นพื้นฐานทฤษฎีการคำนวณ) และ Ampere ที่มาจาก Andre-Marie Ampere (นักฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ที่ศึกษากระแสไฟที่มาของหน่วยวัดกระแสไฟฟ้า Ampere) 

ข้อควรรู้ที่ 9: ปัจจุบันคุณเจนเซ่นเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 11 ของโลกโดยมีความมั่งคั่งสุทธิอยู่ที่ 119 พันล้านเหรียญจากการจัดอันดับของนิตยสารฟอบส์

ข้อควรรู้ที่ 10: งบล่าสุดของไตรมาส 2 ปี 2024 ยังคงโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 30 พันล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาสก่อนหน้าและเพิ่มขึ้น 122% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าค่ะ 

ความเชื่อเรื่องเคราะห์ร้ายและอัปมงคล เหตุจากคนหรือจากเคราะห์กรรม

'303' กลัว กล้า อาฆาต ภาพยนตร์สยองขวัญเรื่องหนึ่งในช่วงยุค 90 (ปี 2541) ใครที่เกิดไม่ทันคงจะงง งง เพราะนี่คือชื่อภาพยนตร์ไทยที่รวบรวมดาราวัยรุ่นในยุคนั้นมาเล่นหนังสยองขวัญ ซึ่งนักแสดงที่ยังคงมีงานแสดงอยู่ในวงการและคนยุคนี้พอจะรู้จักก็มี อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม และ ชาย ชาตโยดม 

ส่วนหนังสยองขวัญในยุค 2000 (ปี 2545) อีกเรื่องหนึ่งที่ชื่อแปลก ๆ ก็คือ '999-9999' ต่อติดตาย นำแสดงโดย ฮิวโก้ จุลจักร และ ศรีริตา เจนเซ่น คือชื่อเรื่องเอามาจากเบอร์โทรศัพท์ในยุคที่เรายังไม่มี Smart Phone เหมือนทุกวันนี้ 

ทั้งหมดทั้งมวลที่เกริ่นมาไม่มีอะไรเกี่ยวกับภาพยนตร์ครับ แต่ความน่าสนใจมันอยู่ที่ตัวเลขที่เขานำมาผูกกับชื่อเรื่องต่างหาก ซึ่งผมจะชวนทุกท่านมาอ่านเรื่องราวของตัวเลขที่ผู้คนในประเทศไทยและในต่างประเทศยึดถือ ด้วยความเชื่อว่ามันเป็นเลขอาถรรพ์ที่มีอิทธิพลต่อชีวิต 

ทั้งนี้ทั้งนั้นผมเรียบเรียงขึ้นมาอย่างสังเขปเพื่อให้ได้อ่านกันเพลิน ๆ ส่วนใครจะเชื่ออย่างไรนั้นแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคลครับ

ตัวเลขอย่าง 303 หรือ 999-9999 เป็นตัวเลขสมมติที่ยังไม่ได้มีความเชื่ออะไรไปจับต้องมากนัก อาจจะมีเลข 9 ที่ ถือว่าเป็นเลขดีของไทยเรา 

แต่เลขที่มีความเชื่อว่าจะให้โทษ เป็นเลขร้าย ๆ มันมีอะไรบ้าง ซึ่งก่อนจะไปติดตามกันผมต้องบอกก่อนว่า 'จริงหรือไม่จริงทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวคุณเอง'

เริ่มต้นด้วย '305' มีคนเขานำไปวิเคราะห์ด้วยหลักฮวงจุ้ยของจีน เลขนี้แปลว่า 'ไม่ - เกิด' ซึ่งก็เท่า 'ตาย' บางท่านเขาก็ว่า เลขนี้เป็นเลขผีเหมือนเลข 13 ของฝรั่ง เป็นเลขของช่วงเวลาที่ผีจะออกมามากที่สุดคือ 3.05 อีกทั้งยังมีเหตุการณ์พบศพคนตายอยู่ในห้อง 305 อยู่เนือง ๆ สุดท้าย ก็เลยกลายเป็นที่มาของความเชื่อที่ว่า 305 คือเลขร้าย แล้วคุณว่ามันร้ายจริงไหม? 

เลข '4' ตามความเชื่อของคนจีนถือเป็นเลขไม่เป็นมงคล คนจีนไม่ชอบเลข 4 เพราะออกเสียงคล้ายกับคำว่า 'ตาย' (ซี้) ซึ่งอันนี้ผมว่าเราก็น่าจะทราบกันอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่เฉพาะแค่คนจีน เพราะเลข '4' ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่น ถือเป็นเลขไม่เป็นมงคลเช่นกัน เนื่องจากในภาษาญี่ปุ่น 4 ออกเสียงเป็น 'ชิ' ซึ่งคำว่า 'ความตาย' ในภาษาญี่ปุ่นก็ออกเสียง 'ชิ' เช่นเดียวกัน (อันนี้มันคล้ายกันจริงไหม ผู้รู้มาตอบที) 

ต่อมาคือเลข 6 หรือ 666 ฝรั่งเขาว่ามันคือ เลขของซาตาน เป็นเลขอาถรรพ์ เป็นความวิตถาร และอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะมันโยงไปถึงความเจ็บป่วย (Sick) ที่มีเสียงพ้องกันกับเลข 6 (Six) แค่ต่างกันตรงท้ายเสียง (เออ!! ก็โยงไปได้) ส่วนพี่ไทยเขาก็ถือว่าเลข 6 นั้นไม่ค่อยดี เนื่องจากเวลาออกเสียงคำออกมา มันไปพ้องกับความไม่เป็นมงคลคือ หก ตก ล้ม หล่น อะไรแบบนั้น ผิดกับชาวจีนที่เลข 6 คือเลขแห่งความราบรื่น 

เลข 7 ตามความเชื่อของคนไทยถือว่าไม่เป็นมงคล ด้วยความเชื่อทางโหราศาสตร์ที่ว่า 'โทษทุกข์ ทายเสาร์' เลข 7 จึงเป็นเลขแห่งความทุกข์ทั้งหลาย (อันนี้ผมเคยได้ยินคนทำนายทายทักอยู่) ที่สำคัญเลข 7 มีความเกี่ยวข้องกับทฤษฎี The seven year itch โดยเขาระบุว่าหากคู่ใดก็ตามที่เป็นแฟนกันมาแล้ว 7 ปี หากยังไม่แต่งงานใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน จะต้องมีเหตุให้เลิกรา (อันนี้ถูกนำไปโยงหลายเรื่องอยู่) แต่กลับกันถ้าคุณเป็นนักพนัน เลข 7 คือเลขนำโชคของคุณ 

เลข 8 ตัวเลขที่ใคร ๆ เขาก็ว่าดี แต่เมื่อเบิ้ลตัวเลขกลายเป็น '88' ฝรั่งเขาถือว่าเป็นตัวเลขของ 'พรรคนาซี' ผู้ก่อสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยสมาชิกพรรคจะตะโกนคำว่า Heil Hitler เพื่อแสดงความสดุดีต่อท่านผู้นำ ทีนี้เมื่อมีคนคิดเยอะนำเอามาเขียนเป็นตัวย่อในภาษาอังกฤษจะได้เป็น 'HH' ซึ่งดูคล้ายเลข '88' ทั้งตัวอักษร H เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษในลำดับที่ 8 เหล่า 'นีโอนาซี' จึงประยุกต์นำเอาตัวเลข 88 มาใช้เพื่อสื่อถึงความภักดีต่อ 'นาซี'

เลข 9 คนไทย คนจีน เขาว่าดี แต่เลข 9 ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่น กลับไม่เป็นมงคล เนื่องจากเลข 9 ในภาษาญี่ปุ่นอ่านออกเสียงว่า 'คุ' ซึ่งพ้องเสียงกับคำที่หมายถึง 'ความยากลำบาก' ในภาษาญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นจึงถือว่าเลข 9 เป็นเลขที่ไม่ดี 

เลข 11 เป็นเลขแห่งจุดจบ ซึ่งโยงมาจากเหตุก่อการร้ายเมื่อวันที่ 11 เดือน 9 ปี 2001 (พ.ศ.2544) เครื่องบินสองลำพุ่งชนตึกแฝดตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ที่มีลักษณะคล้ายเลข 11 ในเที่ยวบินที่ 11 และยังมีอีกหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับเลข 11 จึงทำให้เชื่อว่าเป็นเลขที่ไม่ดี โดยเฉพาะเมื่อต้องมารำลึกถึงการสูญเสียในเหตุการณ์ 9/11 ดังกล่าว 

13 เลขแห่งความโชคร้ายที่สุดของฝรั่ง ยิ่งถ้าเป็นวันศุกร์ 13 นี่ยิ่งอัปมงคลสุด ๆ ด้วยชาวคริสต์มีความเชื่อว่าเลขนี้เกี่ยวเนื่องกับอาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูคริสต์ที่เรียกกันว่า 'เดอะ ลาสต์ ซัปเปอร์' (The Last Supper) ที่มีสาวกร่วมโต๊ะกับพระเยซูคริสต์รวม 13 คน พ่วงด้วยความเชื่อว่าวันศุกร์เป็นวันโชคร้ายเพราะเป็นวันที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงกางเขน ผนวกกับมันเป็นวันที่ 'อดัมกับอีฟ' กัดแอปเปิ้ลต้องห้ามของพระผู้เป็นเจ้าในสวนเอเดนจนต้องถูกขับไล่ออกมา ทั้งยังเชื่อว่าเป็นวันที่ 'อดัมกับอีฟ' ตายจากโลกอีกด้วย ฉะนั้นพอเลข 13 รวมกับวันศุกร์ จึงเป็นวันที่เลวร้ายมากสำหรับฝรั่งเขา 

แต่เรื่องเลข 13 นี้เป็นความเชื่อที่ลามไปทั้งโลก เช่น อาคารต่าง ๆ เกือบทั่วโลกจะไม่มีชั้น 13 นักเดินเรือจะไม่ยอมออกเดินเรือในวันที่ 13 จนหนักขนาดที่มีกลุ่มคนที่กลัวเลข 13 จนกลายเป็นโรคทางจิตที่เรียกว่า 'ไตรสไกเดกา โฟเบีย' (Triskaideka Phobia) ไม่มงคลไม่เท่าไหร่ แต่กลัวจนเป็นโรคอันนี้ก็เกินไป 

เลข 17 ตัวเลขที่ชาวอิตาลีเชื่อว่า อัปมงคลพอ ๆ กับเลข 13 เพราะเมื่อเขียนเลข 17 ในแบบโรมันจะได้ 'XVII' พอสลับตัวอักษรจะได้ 'VIXI' ซึ่งพ้องกับคำว่า 'VISSI' ซึ่งมีความหมายว่า 'ฉันเคยมีชีวิตอยู่' แปลตรง ๆ ก็คือ “ฉันได้ตายไปแล้ว” ซึ่งมักปรากฏอยู่ป้ายหลุมศพของชาวโรมัน ซึ่งอาคารต่าง ๆ ในอิตาลีนั้นมักจะไม่มีชั้น 17 สายการบินหลายสายของอิตาลีจะไม่มีที่นั่งหมายเลข 17 โรงแรมหลายแห่งไม่มีห้องหมายเลข 17 อันนี้เขาเล่ากันว่าลามไปถึงรุ่นของรถยนต์ เช่น รถฝรั่งเศสยี่ห้อเรโนลต์ รุ่น R17 พอไปขายในอิตาลีต้องเปลี่ยนชื่อรุ่นเป็น R177 ฯลฯ 

อายุ 25 'เบญจเพส' ตามคติพราหมณ์คัมภีร์พฤติกรรมศาสตร์เขาว่า “บุรุษใดต้องเบญจเพส หมายถึง การเข้าสู่โชคและเคราะห์ที่รุนแรงไม่ทางบวกก็เป็นลบต่อชีวิต” แต่จะดีหรือไม่ดีมันก็คงแล้วแต่จังหวะของชีวิตล่ะครับ ต้องมีสติ ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม (25 หรือ เบญจเพส นี้ 'ไม่เกี่ยวข้องกับสตรี' นะครับ ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าไม่เกี่ยวกับสาว ๆ) 

วันที่ 26 'วันแห่งแผ่นดินไหว' ที่มีคนโยงไปเชื่อมโยงกับสถิติการเกิดแผ่นดินไหวทั่วโลก โดยเฉพาะเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ทำให้เกิด 'คลื่นยักษ์สึนามิ' ในภาคใต้ฝั่งอันดามันของบ้านเราเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และต้องใช้ระยะเวลานาน กว่าที่แผลในจิตใจของคนทั้งโลกจะกลับมาหายดี 

จากตัวเลขไม่ดีทั้งหมดที่เล่ามา คุณจะเห็นได้ว่าบางตัวเลข บางประเทศถือว่าเป็นเลขที่ดี บางตัวเลขไม่มีผลหรือเกี่ยวข้องกับเขาเลย บางตัวเลขเป็นเลขของเหตุการณ์ที่เป็นแผลในใจมากกว่าจะเป็นเลขอัปมงคล แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นด้วยความเชื่อด้านตัวเลขมันก็ย่อมต้องมีอิทธิพลต่อคนเราไม่มากก็น้อย ทั้งนี้แล้วแต่ความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเขียนเล่ามาถึงตรงนี้ก็คือ

ตัวเลขไม่ว่าจะดีหรือร้ายแค่ไหน กรรมหรือการกระทำต่างหากคือเครื่องกำหนดชีวิตของเรา

8 วิธีการลงโทษสตรีที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ การกดขี่จากบุรุษเพศ ที่ ‘สตรีต้องนิ่งเฉยและเชื่อฟัง’

ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่ผ่านมา 'สตรี' มักเป็นฝ่ายที่ถูกลงโทษอย่างรุนแรงและน่าสยดสยอง ซึ่งสะท้อนถึงความเหยียดเพศและเกลียดชังที่หยั่งรากลึกในวัฒนธรรมต่าง ๆ 

ที่สำคัญการลงโทษสุดโหดร้ายเหล่านี้ ถูกวางให้เป็นเครื่องมือในการรักษาและจัดระเบียบทางสังคมโดยมีบุรุษเป็นใหญ่ เพื่อใช้ในการควบคุม ป้องปราม และเข้มงวดต่อพฤติกรรมของสตรี 

บทความนี้จะเจาะลึกประวัติศาสตร์อันมืดมนของการลงโทษเหล่านี้ โดยตรวจสอบต้นกำเนิด วิธีการ และทัศนคติของสังคมที่สนับสนุนความโหดร้ายที่รุนแรงดังกล่าว ที่กลายมาเป็นมรดกอันมืดมนตลอดห้วงประวัติศาสตร์ ภายใต้บรรทัดฐานทางสังคม ที่มักจะมีอคติต่อสตรีมาเป็นตัวตัดสินอย่างชัดเจน 

ทั้งนี้ วิธีการลงโทษที่ใช้กับสตรี มักถูกออกแบบมาเพื่อมุ่งเป้าไปยัง ร่างกาย พฤติกรรม และบทบาทของพวกเธอในสังคม โดยการลงโทษเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงการแก้แค้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการรักษาโครงสร้างสังคมที่บุรุษเป็นใหญ่ ซึ่งสตรีถูกคาดหวังให้ต้องยอมจำนนและเงียบเฉย ตั้งแต่ยุโรปในยุคกลาง ไปจนถึงการล่าแม่มดในโลกยุคใหม่ 

แล้วการลงโทษที่เลวร้ายที่สุดบางส่วนที่สตรีต้องเผชิญ มีอะไรบ้าง?

1. ‘บังเหียนสำหรับหญิงปากมาก’ (The Scold’s Bridle) : อุปกรณ์ที่ทำให้สตรีที่พูดตรงไปตรงมาเงียบเสียง อังกฤษและสกอตแลนด์ในศตวรรษที่ 16 และ 17 สตรีที่ถูกมองว่า พูดตรงไปตรงมาหรือชอบแสดงความคิดเห็น มักจะถูกลงโทษด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า 'หน้ากากโลหะ' หรือเรียกอีกอย่างว่า ‘Branks’ ออกแบบมาเพื่อทำให้ผู้ถูกสวมใส่เงียบเสียงโดยการล็อกศีรษะและใส่ที่ปิดปากที่มีหนามแหลมคมเข้าไปในปาก ซึ่งสามารถเจาะลิ้นได้หากสตรีผู้นั้นพยายามที่จะพูด ซึ่งไม่เพียงแต่เจ็บปวดเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้สวมใส่ได้รับความอับอายอีกด้วย เนื่องจากสตรีเหล่านั้นมักจะถูกพาเดินไปตามท้องถนนพร้อมกับสวมมัน 

สำหรับการลงโทษนี้ เป็นความพยายามที่ชัดเจนในการบังคับใช้บรรทัดฐานทางสังคมที่กำหนดว่าสตรีควรได้รับการมองเห็น แต่ไม่ควรได้รับการได้ยิน เป็นเครื่องมือที่ทั้งในการสร้างความเจ็บปวดทางร่างกายและการควบคุมทางสังคม ช่วยให้สตรีที่พูดจาไม่สมควรได้รับความอับอายต่อหน้าธารกำนัล ผลกระทบของการลงโทษนี้ขยายออกไปไกลเกินกว่าความเจ็บปวดทางร่างกาย เนื่องจากตอกย้ำความเชื่อของสังคมในยุคนั้นที่ว่า ‘สตรีต้องนิ่งเฉยและเชื่อฟัง’

2. ‘ไวโอลินของหญิงปากร้าย’ (The Shrew’s Fiddle) : เครื่องมือสำหรับควบคุมสตรีที่ 'ดื้อรั้น' เช่นเดียวกับ ‘บังเหียนสำหรับหญิงพูดมาก’ โดย ‘ไวโอลินของหญิงปากร้าย’ เป็นอุปกรณ์อีกชนิดหนึ่งที่ใช้ลงโทษสตรีที่ถูกมองว่าดื้อรั้นหรือเป็นอิสระเกินไป ซึ่งอุปกรณ์นี้จะล็อกศีรษะและมือของสตรีไว้ในโครงสร้างไม้เพียงอันเดียว ทำให้เธอเคลื่อนไหวไม่ได้และถูกบังคับให้ต้องทนกับการล้อเลียนในที่สาธารณะ 

ทั้งนี้ คำว่า 'Shrew' มักใช้เพื่ออธิบายถึงสตรีที่ไม่ปฏิบัติตามบทบาทที่ต้องยอมจำนนตามที่สังคมคาดหวัง Shrew's Fiddle เป็นการลงโทษทั่วไปในบางส่วนของยุโรป โดยเฉพาะในเยอรมนีและออสเตรีย ซึ่งใช้เพื่อบังคับให้สตรีต้องยอมจำนน เป็นการเน้นย้ำถึงความพยายามที่สังคมในยุคนั้นจะดำเนินการเพื่อรักษาการกดขี่และบังคับควบคุมสตรี

3. ‘การล่าแม่มดและการเผา’ (Witch Hunts and Burnings) : การข่มเหงทางเพศขั้นสุดยอด บทหนึ่งในประวัติศาสตร์การลงโทษสตรีที่โหดที่สุดคือ การล่าแม่มดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ถึงศตวรรษที่ 18 สตรีที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด มักถูกทรมานอย่างโหดร้าย เพื่อให้รับสารภาพก่อนจะถูกประหารชีวิต โดยปกติแล้วจะถูกเผาโดยผูกไว้กับเสา 

ทั้งนี้การล่าแม่มด ยังเป็นการแสดงออกถึงการเกลียดชังสตรีที่หยั่งรากลึก โดยสตรีที่เบี่ยงเบนจากบรรทัดฐานทางสังคมหรือผู้ที่เปราะบาง (เช่น แม่ม่ายหรือหมอแผนโบราณ) จะถูกมองว่าเป็นพวกแม่มด ความกลัวและความเกลียดชังสตรีที่ถูกมองว่ามีอำนาจเหนือโครงสร้างสังคมที่บุรุษครอบงำ ทำให้มีผู้เสียชีวิตด้วยสาเหตุนี้หลายหมื่นคนทั่วทั้งยุโรปและอเมริกาในยุคอาณานิคม 

โดยวิธีการที่ใช้ในการทรมานสตรีที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดนั้นหลากหลายและน่าสยดสยอง ด้วยเทคนิคต่าง ๆ ได้แก่ การยืดแขนขาของเหยื่อให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ และการแช่น้ำ โดยให้สตรีแช่น้ำเย็นเพื่อตัดสินความผิดของตนเอง และผู้ที่ลอยน้ำถือเป็นแม่มด ส่วนผู้ที่จมน้ำถือเป็นผู้บริสุทธิ์ ขณะที่การพิจารณาคดีก็ใช้วิธีพิสดารและป่าเถื่อน โดยมักมีการบังคับให้สารภาพภายใต้การบังคับทารุณอย่างหนัก จนผู้ถูกทรมานต้องรับสารภาพและไม่สามารถหลีกเลี่ยงการประหารชีวิตได้

4. ‘เก้าอี้คุกเข่าและเก้าอี้ก้มตัว’ (The Cucking and Ducking Stools) : จากความอับอายสู่ความตาย ‘เก้าอี้คุกเข่า’ (The Cucking Stools) เป็นเก้าอี้ไม้ที่ใช้สำหรับมัดสตรีที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด เช่น ดุด่า ล่วงประเวณี หรือทำผิดกฎหมาย ต้องอับอายต่อหน้าธารกำนัล สตรีผู้นั้นจะถูกมัดกับเก้าอี้และต้องเดินไปตามถนน โดยถูกล้อเลียนและข่มเหงจากประชาชน ซึ่ง ‘เก้าอี้ค้อมตัว’ (The Ducking Stools) เป็นรูปแบบที่โหดร้ายมาก โดยสตรีผู้นั้นจะผูกติดกับเก้าอี้ซึ่งผูกติดกับคันโยกยาว และถูกจุ่มลงไปในแม่น้ำหรือบ่อน้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งเก้าอี้ก้มตัวนั้น ถือเป็นการทรมานที่อันตรายอย่างยิ่ง เนื่องจากหากทำซ้ำ ๆ อาจทำให้สตรีผู้นั้นจมน้ำจนเสียชีวิตได้ 

ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงจาก ‘เก้าอี้คุกเข่า’ เป็น ‘เก้าอี้ค้อมตัว’ แสดงถึงความรุนแรงของการลงโทษสตรีที่เพิ่มมากขึ้น แม้ว่า แต่เดิม ‘เก้าอี้คุกเข่า’ จะเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับการทำให้ขายหน้าในที่สาธารณะเป็นหลัก แต่ ‘เก้าอี้ค้อมตัว’ ยังเพิ่มองค์ประกอบของความรุนแรงทางกายภาพอีกด้วย วิธีนี้มักใช้กับสตรีที่ถูกกล่าวหาว่าทำพิธีกรรมเวทมนตร์หรือก่ออาชญากรรม 'ทางศีลธรรม' อื่น ๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเต็มใจของสังคมที่จะทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงเพื่อบังคับให้ปฏิบัติตามบรรทัดฐานทางสังคมในยุคนั้น

5. การทำร้ายร่างกายและการตีตรา (Mutilation and Branding) : ตราบาปตลอดชีวิต ในบางวัฒนธรรม สตรีที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดี เช่น ล่วงประเวณีหรือค้าประเวณี จะถูกทำร้ายร่างกายเพื่อเป็นการลงโทษ ที่อาจรวมถึงการตัดจมูกหรือหู ซึ่งเป็นการกระทำที่ตั้งใจจะทำเครื่องหมายให้สตรีผู้นั้นเป็นคนนอกสังคมอย่างถาวร โดยในยุคกลาง ตัวอย่างเช่น ในฝรั่งเศส สตรีที่ถูกกล่าวหาว่าล่วงประเวณีอาจถูกตัดจมูก ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ดำเนินมาในรูปแบบต่าง ๆ จนกระทั่งถึงยุคสมัยใหม่ตอนต้น โสเภณีมักถูกตีตราด้วยเหล็กเผา มักจะตีที่ใบหน้าหรือไหล่ เพื่อให้พวกเธอได้รับการตราหน้าว่าทำผิดตลอดชีวิต หรือนายทาสมักจะตีตราเครื่องหมายบนตัวทาส

ทั้งนี้ การทำร้ายร่างกายมีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ เป็นการลงโทษที่สร้างความเจ็บปวดในทันที ซึ่งจะส่งผลตามมาในระยะยาว และยังเป็นการเตือนใจถึงการกระทำผิดของสตรีผู้นั้นด้วย ที่สำคัญการตีตราโสเภณี ไม่เพียงแต่เป็นการลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นการควบคุมอีกด้วย โดยการตีตราสตรีเหล่านี้ เป็นการสร้างสถานะที่ถูกละเลยของพวกเธอของสังคมในสมัยนั้น และรับรองว่าพวกเธอจะไม่สามารถกลับคืนสู่สังคมได้อย่างสมบูรณ์

6. วงล้อทำลายล้างและความน่ากลัวอื่น ๆ ในยุคกลาง (The Breaking Wheel and Other Medieval Terrors) หรือที่เรียกอีกอย่างว่า 'วงล้อแคทเธอรีน' เป็นอุปกรณ์ที่น่ากลัวซึ่งใช้ในยุโรปยุคกลางเป็นหลัก โดยการมัดเหยื่อไว้กับวงล้อไม้ขนาดใหญ่ จากนั้นหักแขนขาของเหยื่อด้วยค้อนหรือแท่งเหล็ก 

สำหรับวิธีการทรมานนี้ บางครั้งใช้กับสตรี โดยเฉพาะผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมร้ายแรง เช่น เป็นพวกนอกรีต หรือฆ่าเด็ก ซึ่งตัววงล้อทำลายล้างไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อฆ่าคนอย่างรวดเร็ว แต่กลับทำให้ต้องทนทุกข์ทรมานนานขึ้น โดยเหยื่อบางคนอาจถูกปล่อยให้ตายอย่างช้าๆ เป็นเวลาหลายวัน เพื่อเป็นการเตือนสติผู้อื่น และแม้ว่าสตรีจะถูกกระทำในลักษณะนี้น้อยกว่าบุรุษ แต่ก็ไม่ได้พ้นจากความโหดร้ายนี้ ดังนั้นวงล้อจึงถือเป็นสัญลักษณ์ของมาตรการสุดโต่งที่สังคมจะใช้ลงโทษผู้ที่ละเมิดขอบเขตอันเข้มงวดที่กำหนดโดยศาสนาและบรรทัดฐานทางสังคมในสมัยนั้น

7. การถลกหนังทั้งเป็น (Flaying Alive) : ชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย เป็นรูปแบบการลงโทษแบบโบราณที่ยังคงใช้มาจนถึงยุคกลาง แม้ว่าจะนิยมใช้กับบุรุษมากกว่า แต่ก็มีกรณีของการลงโทษอันน่าสยดสยองนี้ที่สตรีต้องเผชิญ โดยเฉพาะผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมร้ายแรง เช่น กบฏหรือทำเวทมนตร์ 

ทั้งนี้ การถลกหนังมีจุดประสงค์เพื่อให้เจ็บปวดและอับอายมากที่สุด โดยบางครั้งเหยื่อจะถูกปล่อยให้มีชีวิตอยู่ระหว่างการถลกหนังสัตว์ เพื่อยืดเวลาการทนทุกข์ทรมาน การถลกหนังมีรากฐานมาจากวัฒนธรรมอัสซีเรียโบราณ แต่ยังคงใช้กันมาจนถึงยุคกลางในยุโรปและตะวันออกกลาง ซึ่งบันทึกทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่ากระบวนการทรมานนี้จะดำเนินไปอย่างช้ามาก เพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อให้เจ็บปวดมากที่สุด และส่วนใหญ่เหยื่อมักจะเสียชีวิตจากอาการช็อกหรือเสียเลือด แต่ไม่ใช่ก่อนที่จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างที่ไม่สามารถจินตนาการได้ ... สำหรับสตรี การลงโทษนี้ไม่ใช่แค่การล้างแค้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการลิดรอนความเป็นมนุษย์ในความหมายที่แท้จริงที่สุดอีกด้วย

8. เสื้อคลุมคนเมา (The Drunkard’s Cloak) : เป็นการทำให้ผู้ถูกลงโทษขายหน้าต่อสาธารณะและถูกล้อเลียน เป็นการลงโทษที่แปลกประหลาดและน่าอับอาย ซึ่งใช้กันในอังกฤษในศตวรรษที่ 17 เป็นส่วนใหญ่ และบางครั้งก็ใช้ในส่วนอื่น ๆ ของยุโรป การลงโทษนี้มักสงวนไว้สำหรับบุคคลทั้งสตรีและบุรุษที่ถือว่าเป็นคนขี้เมาเป็นประจำ โดยผู้กระทำความผิดจะถูกบังคับให้เข้าไปในถังไม้ขนาดใหญ่ที่เจาะรูไว้สำหรับหัว แขน และขา ทำให้ดูเหมือนเป็นถังไม้ขนาดเท่าคน เมื่อถูกขังแล้ว ผู้กระทำความผิดจะถูกพาเดินไปทั่วถนน ทำให้ชาวเมืองที่พบเห็นพากันล้อเลียนและหัวเราะ เพื่อทำให้ผู้กระทำความผิดอับอายต่อสาธารณะสำหรับนิสัยการดื่มสุราที่มากเกินไป ด้วยใช้การล้อเลียนเป็นเครื่องป้องกัน 

สำหรับการลงโทษนี้ ไม่เพียงแต่สร้างความอึดอัดทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีของชุมชนนั้น ๆ อีกด้วย ถือเป็นการตอกย้ำมาตรฐานทางศีลธรรมของชุมชนที่แสดงออกผ่านความอับอายของผู้ถูกลงโทษ

โดยสรุปแล้ว การที่สตรีต้องเผชิญกับการลงโทษที่รุนแรงเช่นนี้ในประวัติศาสตร์ เพราะสังคมส่วนใหญ่มักเป็นสังคมที่บุรุษเป็นใหญ่ ดังนั้นการลงโทษเหล่านี้จึงใช้เป็นเครื่องมือในการบังคับใช้บรรทัดฐานทางสังคม ปราบปรามความเห็นต่าง และควบคุมพฤติกรรมของสตรี การเบี่ยงเบนจากบทบาทที่คาดหวัง เช่น การพูดจาตรงไปตรงมา การสำส่อน หรือความเป็นอิสระ มักจะได้รับการปฏิบัติที่รุนแรงเพื่อสร้างความกลัวและรักษาสถานะเดิมเอาไว้ 

ในขณะที่การลงโทษบางอย่าง ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับสตรี การลงโทษอื่น ๆ เช่น การหักล้อหรือการถลกหนัง ใช้กับทั้งบุรุษและสตรี อย่างไรก็ตาม เมื่อใช้กับสตรี การลงโทษเหล่านี้มักจะมาพร้อมกับองค์ประกอบเพิ่มเติมของการดูหมิ่นหรือเหยียดหยามทางเพศ ซึ่งสะท้อนถึงอคติทางเพศในสมัยนั้น 

ทว่า การลงโทษที่รุนแรงส่วนใหญ่ที่กล่าวถึงนั้นถูกยกเลิกไปในศตวรรษที่ 18 และ 19 เมื่อบรรทัดฐานทางสังคมพัฒนาขึ้นและมีการปฏิรูปกฎหมาย 

อย่างไรก็ตาม การทำให้ขายหน้าต่อสาธารณะและความรุนแรงทางเพศในรูปแบบต่าง ๆ ยังคงเกิดขึ้นอยู่ทั่วโลก แม้ว่าจะไม่ใช่รูปแบบที่รุนแรงเหมือนในอดีตก็ตาม หรือสตรีบางคนก็เลือกต่อต้านการลงโทษเหล่านี้ด้วยการหลบหนี ท้าทาย หรือใช้ความสัมพันธ์ทางสังคมและการเมืองเพื่อหลีกเลี่ยงการลงโทษ เพียงแต่การต่อต้าน ก็ถือเป็นเรื่องยากและมักประสบกับผลกระทบที่รุนแรงกว่า ทำให้เกิดขึ้นได้ยากและอันตราย และสังคมในยุคสมัยนั้นให้เหตุผลสำหรับการลงโทษเหล่านี้ผ่านกรอบทางศาสนา กฎหมาย และศีลธรรม เพื่อแสดงให้เห็นว่า สตรีเป็นคนบาปโดยกำเนิด อ่อนแอ หรือเป็นอันตราย จนสังคมในยุคสมัยนั้นมองว่า สตรีเป็นภัยคุกคามต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงมีเหตุผลในการใช้มาตรการที่รุนแรงเพื่อควบคุมและแก้ไขพวกเธอ

การลงโทษสตรีอย่างเหี้ยมโหดในประวัติศาสตร์ เป็นเครื่องเตือนใจที่น่าหดหู่ใจถึงความพยายามของสังคมในการควบคุมและกดขี่ประชากรครึ่งหนึ่ง วิธีการอันโหดร้ายต่าง ๆ เหล่านี้ มิใช่เพียงการกระทำอันโหดร้ายเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือกดขี่ที่จงใจใช้เพื่อรักษาลำดับชั้นทางสังคมที่เข้มงวด ซึ่งให้สตรีอยู่อันดับล่างสุด และถึงแม้ว่าการปฏิบัติเหล่านี้หลายอย่างจะถูกละทิ้งไปนานแล้ว แต่มรดกของการปฏิบัติเหล่านี้ยังคงหลงเหลืออยู่ จึงยังคงมีการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางเพศและการต่อต้านความรุนแรงทางเพศ

ดังนั้น การทำความเข้าใจในบริบทที่มืดมนจากประวัติศาสตร์เหล่านี้ จึงถือเป็นความสำคัญที่ไม่เพียงแต่เพื่อรับรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการยอมรับอคติที่หยั่งรากลึก ซึ่งยังคงมีอิทธิพลต่อทัศนคติของสังคมที่มีต่อสตรีในปัจจุบัน ภายใต้การหันมาร่วมพินิจไตร่ตรองถึงความอยุติธรรมในอดีต ที่จะช่วยส่งต่อให้ผู้คนในยุคสมัยใหม่ลุกขึ้นมาท้าทายและรื้อระบบที่ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันทางเพศอย่างต่อเนื่องอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น 

เรื่อง: ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล

September Effect เดือนแห่งการขายสินทรัพย์เสี่ยง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งจากสถิติในรอบ 10 ปี

(6 ก.ย. 67) หนึ่งในเดือนที่บรรดานักลงทุนจะต้องจับตามองถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์เสี่ยงอย่างมาก ไม่ว่าจะในวงการเทรดหุ้น ทองคำหรือคริปโตเคอร์เรนซี คงหนีไม่พ้นเดือนกันยายนของทุกปี 

เพราะในเดือนกันยายนของแทบจะทุกปี มักจะเกิดปรากฏการณ์หนึ่งขึ้นมา และปรากฏการณ์ที่นักลงทุนมักจะพูดถึงนั้นก็คือ 'September Effect' หรือปรากฏการณ์การขายสินทรัพย์เสี่ยงในเดือนกันยายน

ถ้าเราย้อนกลับไปดูสถิติในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จะเห็นตัวเลขค่าเฉลี่ยผลตอบแทนของสินทรัพย์เสี่ยงส่วนใหญ่ทั่วโลกปรับตัวลงในเดือนนี้เสมอค่ะ ตัวอย่างเช่น ตลาดหุ้น S&P ของสหรัฐอเมริกาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีแค่เดือนกันยายนที่ติดลบ หรือตลาด Nasdaq ที่ผลตอบแทนเฉลี่ย 8 ปีใน 10 ปีที่ให้ผลตอบแทนติดลบในเดือนกันยายน หรือจะตลาดหุ้นบ้านเราอย่าง SET ที่ให้ผลตอบแทนติดลบในเดือนนี้ถึง 7 ปีใน 10 ปี โดยในเดือนกันยายนปี 2023 ตลาดหุ้นไทยติดลบเฉลี่ยไปถึง -94 จุด และติดลบเฉลี่ย -49 จุดในเดือนกันยายนปี 2022 ค่ะ

ข้ามมาทางตลาดทองคำที่ให้ผลตอบแทนเป็นลบในเดือนนี้ถึง 9 ปีใน 10 ปีที่มีการเก็บสถิติโดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบอยู่ที่ 2.95% และหลายปีก็ให้ผลตอบแทนที่เป็นลบเยอะค่ะ ส่วน Bitcoin ให้ผลตอบแทนเป็นลบถึง 7 ปีใน 10 ปี ผลตอบแทนติดลบอยู่ที่ 5.9%

หลายคนอาจสงสัยว่าปรากฏการณ์นี้คืออะไร?

ถึงแม้จะไม่มีเหตุผลยืนยันที่แน่ชัด แต่มีหลายทฤษฎีที่พยายามอธิบายปรากฏการณ์นี้ 

>> หนึ่งในทฤษฎีที่ได้รับความนิยมคือ ทฤษฎีทางด้านจิตวิทยาของนักลงทุนค่ะ 

นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าช่วงเดือนกันยายนเป็นเวลาที่นักลงทุนมักจะปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง หรือเตรียมเงินสดสำหรับใช้จ่ายในช่วงปลายปี และการปรับพอร์ต หรือการขายหุ้นในจำนวนมาก ก็อาจจะส่งผลให้ราคาหุ้นในตลาดลดลง 

>> อีกหนึ่งทฤษฎีคือ การปรับตัวตามฤดูกาลของบริษัทและนักลงทุน โดยช่วงเดือนกันยายน จะเป็นเวลาที่บริษัทต่าง ๆ เริ่มเตรียมรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนเริ่มทบทวนการลงทุนของตนและอาจทำการขายหุ้นที่คาดว่าอาจจะมีผลประกอบการไม่ดีค่ะ

พอความเชื่อเรื่อง September Effect เป็นที่แพร่หลาย ก็อาจจะส่งผลให้เกิดการขายหุ้นเป็นจำนวนมากในเดือนนี้ ซึ่งเราจะเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น 'Self-fulfilling prophecy' หรือคำทำนายที่เกิดขึ้นจริงเพราะคนเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนอาจเตรียมขายหุ้นในเดือนกันยายนเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนตามแนวโน้มในอดีต ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นเกิดการเทขายและราคาหุ้นลดลงตามมาค่ะ

แต่ในทางกลับกัน ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนบางคนค่ะ ที่จะใช้เวลานี้เป็นโอกาสในการสะสมสินทรัพย์เสี่ยง เพื่อถือครองระยะยาวและรอไปขายทำกำไรในช่วงไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นช่วง High Season ของการลงทุนค่ะ 

ถึงแม้ว่าจากตัวเลขทางสถิติจะดูเหมือนว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ในฐานะนักลงทุน เราก็ไม่ควรนำมาเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจลงทุน การลงทุนควรพิจารณาจากข้อมูลพื้นฐานของบริษัทที่เราลงทุนและการวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดในภาพรวม และแม้ว่า September Effect จะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในอดีต แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นทุกปี ดังนั้นนักลงทุนควรใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและพิจารณาปัจจัยหลาย ๆ ด้านก่อนตัดสินใจลงทุนค่ะ 

ยิ่งปีนี้ในไทยเองจะมีการใช้นโยบายหลายอย่างในการกระตุ้นเศรษฐกิจและพยุงตลาดหุ้นอย่างเช่น การใช้กองทุนวายุภักษ์เข้ามาช่วย ก็อาจจะทำให้ปีนี้เป็นอีกปีที่ไม่ติดลบก็ได้ค่ะ

‘รอยยิ้มกังฉิน’ สิ้นชื่อ!! เมื่อชาวเน็ตจีนลุกฮือล้วงอดีตฉาว สะท้อน!! คอร์รัปชันเหนือความดี แม้กฎหมายจะแรง...แต่กล้าเสี่ยง

เหตุการณ์นี้เริ่มต้นขึ้นในปี 2012 ที่มณฑลซานซี ประเทศจีน เมื่อมีการเผยแพร่ภาพถ่ายของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ยืน ‘ยิ้ม’ ท่ามกลางสาธารณชนอยู่ในบริเวณที่เกิดอุบัติเหตุรถชนครั้งใหญ่ ด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุดังกล่าวมากถึง 36 ราย ใบหน้ายิ้มแย้มของเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวจึงทำให้ชาวเน็ตชาวจีนที่มี ‘อารมณ์อ่อนไหว’ ได้พากันเร่งรีบตรวจสอบประวัติส่วนตัวของเจ้าหน้าที่รายนี้

ในเวลาไม่ถึง 5 วัน ชาวเน็ตชาวจีนได้รวบรวมนาฬิกายี่ห้อต่าง ๆ ที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคนนี้สวมใส่ในที่สาธารณะ รวมทั้งหมด 11 ยี่ห้อ โดยมีราคาตั้งแต่ 10,000 หยวนถึง 500,000 หยวน ซึ่งเป็นราคาที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนทั่วไปไม่น่าที่จะซื้อหามาครอบครองได้

2 วันต่อมา นักศึกษาวิทยาลัยในท้องถิ่นได้ยื่นคำร้องขอการเปิดเผยข้อมูลของรัฐบาลต่อกรมการคลังของจังหวัด โดยขอรายการเงินเดือนประจำปี 2011 และการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินของ ‘เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นผู้ยิ้มแย้ม’ จากอุบัติเหตุรถชนครั้งใหญ่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้ยิ้มแย้มได้ปฏิเสธ โดยอ้างว่านาฬิกาทั้งหมดของเขาซื้อโดยใช้รายได้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย (นั่นคือตอนที่รัฐบาลกลางเข้ามาเกี่ยวข้อง)

หลังจากที่ ‘เจ้าหน้าที่ผู้ที่มีใบหน้ายิ้มแย้ม’ ถูกตัดสินจำคุก 14 ปี ผู้คนจึงได้ตระหนักว่าเขามีใบหน้าที่ยิ้มแย้มโดยธรรมชาติ รอยยิ้มของเขาเป็นการแสดงออกบนใบหน้าตามปกติธรรมชาติของเขาอยู่แล้ว ชายคนนี้เป็นที่รู้จักในประเทศจีนในนามของ ‘ไอ้หนุ่มนาฬิกา’

ภาพนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่คิดว่าเป็นภาพถ่ายที่ดีที่สุดของการทุจริตของรัฐบาล เมื่อ ‘หลี่เค่อเฉียง’ นายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐประชาชนจีนเดินทางไปตรวจเยี่ยมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว โดยมีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในพื้นที่ร่วมเดินทางไปด้วย การแสดงออกของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นผู้นี้เป็นการบอกว่า "ไม่ ผมไม่ได้ใส่นาฬิการาคาแพง" ซึ่งทำให้ชาวเน็ตจีนก็พากันขุดเอาภาพเก่า ๆ ของเขาขึ้นมา และพบว่าเขามีนาฬิการาคาแพงจริง ๆ หลายเรือน ต่อมาชายคนนี้ก็ถูกจับกุมและถูกดำเนินคดีเช่นกัน ซึ่งเขาเป็นที่รู้จักในประเทศจีนในนามของ ‘ไอ้หนุ่มไม่มีนาฬิกา’

หากแบ่งแบบคร่าว ๆ แล้ว การทุจริตคอร์รัปชันที่พบได้ทั่วไปในประเทศจีน มีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ การทุจริต / การแสวงหาผลประโยชน์ และ การยักยอกเอาทรัพย์สินของชาติ (หาผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่)

>> การทุจริตเป็นพฤติกรรมที่พบบ่อยที่สุด ประกอบไปด้วย การติดสินบน คือ การให้สินบนที่ผิดกฎหมาย / การยักยอกทรัพย์และการขโมยเงินของรัฐ / การทุจริตเกี่ยวข้องกับสิ่งของมีค่าที่มอบให้และยอมรับโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อจุดประสงค์ที่ไม่ซื่อสัตย์หรือผิดกฎหมาย ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ใช้จ่ายเงินของรัฐอย่างฉ้อฉลหรือใช้เงินของรัฐเพื่อประโยชน์ของตนเอง

>> ส่วนการแสวงหาผลประโยชน์ หมายถึง พฤติกรรมทุจริตทุกรูปแบบ โดยบุคคลที่มีอำนาจผูกขาด-เจ้าหน้าที่ของรัฐจะได้รับ ‘ส่วย’ ซึ่งเป็นรายได้เพิ่มเติมอันเป็นผลจากตลาดที่ถูกจำกัด ด้วยการให้ใบอนุญาตหรือการผูกขาดแก่ลูกค้า และการแสวงหาผลประโยชน์จะเกิดขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่มอบค่าเช่าให้กับผู้ที่สนับสนุนพวกเขา ซึ่งกรณีนี้จะคล้ายกับการคอร์รัปชันของจีน ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นทั้งผู้หาผลประโยชน์และผู้แสวงหาผลประโยชน์ โดยทั้งคู่จะมีลักษณะของการสร้างโอกาสในการหาผลประโยชน์ให้กับผู้อื่น และแสวงหาโอกาสดังกล่าวเพื่อประโยชน์ของตนเอง ซึ่งอาจรวมถึงการแสวงหากำไรโดยเจ้าหน้าที่หรือบริษัทของเจ้าหน้าที่ การกรรโชกในรูปแบบของการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ผิดกฎหมาย

>> การหาผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่ หมายถึง เมื่อผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะได้รับสิทธิพิเศษและ

ผลประโยชน์ผ่านตำแหน่งนั้น ด้วยตำแหน่งหน้าที่ทำให้ผู้ดำรงตำแหน่งมีสิทธิได้รับค่าเช่าหรือการชำระเงินสำหรับกิจกรรมจริงหรือปลอม และองค์กรต่าง ๆ จะถูกเปลี่ยนจากสถานที่ทำงานเป็น ‘ธนาคารทรัพยากร’ ซึ่งบุคคลและกลุ่มต่าง ๆ แสวงหาผลประโยชน์ของตนเอง คอร์รัปชันนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางการเงิน แต่รวมถึงการแย่งชิงสิทธิพิเศษของทางการ การทำข้อตกลงลับ การอุปถัมภ์ การเล่นพรรคเล่นพวก การใช้เส้นสาย

ต้องขอบคุณอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียที่ทำให้ชาวเน็ตจีนยังคงเฝ้าติดตามการทุจริตต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top