September Effect เดือนแห่งการขายสินทรัพย์เสี่ยง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งจากสถิติในรอบ 10 ปี

(6 ก.ย. 67) หนึ่งในเดือนที่บรรดานักลงทุนจะต้องจับตามองถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์เสี่ยงอย่างมาก ไม่ว่าจะในวงการเทรดหุ้น ทองคำหรือคริปโตเคอร์เรนซี คงหนีไม่พ้นเดือนกันยายนของทุกปี 

เพราะในเดือนกันยายนของแทบจะทุกปี มักจะเกิดปรากฏการณ์หนึ่งขึ้นมา และปรากฏการณ์ที่นักลงทุนมักจะพูดถึงนั้นก็คือ 'September Effect' หรือปรากฏการณ์การขายสินทรัพย์เสี่ยงในเดือนกันยายน

ถ้าเราย้อนกลับไปดูสถิติในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จะเห็นตัวเลขค่าเฉลี่ยผลตอบแทนของสินทรัพย์เสี่ยงส่วนใหญ่ทั่วโลกปรับตัวลงในเดือนนี้เสมอค่ะ ตัวอย่างเช่น ตลาดหุ้น S&P ของสหรัฐอเมริกาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีแค่เดือนกันยายนที่ติดลบ หรือตลาด Nasdaq ที่ผลตอบแทนเฉลี่ย 8 ปีใน 10 ปีที่ให้ผลตอบแทนติดลบในเดือนกันยายน หรือจะตลาดหุ้นบ้านเราอย่าง SET ที่ให้ผลตอบแทนติดลบในเดือนนี้ถึง 7 ปีใน 10 ปี โดยในเดือนกันยายนปี 2023 ตลาดหุ้นไทยติดลบเฉลี่ยไปถึง -94 จุด และติดลบเฉลี่ย -49 จุดในเดือนกันยายนปี 2022 ค่ะ

ข้ามมาทางตลาดทองคำที่ให้ผลตอบแทนเป็นลบในเดือนนี้ถึง 9 ปีใน 10 ปีที่มีการเก็บสถิติโดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบอยู่ที่ 2.95% และหลายปีก็ให้ผลตอบแทนที่เป็นลบเยอะค่ะ ส่วน Bitcoin ให้ผลตอบแทนเป็นลบถึง 7 ปีใน 10 ปี ผลตอบแทนติดลบอยู่ที่ 5.9%

หลายคนอาจสงสัยว่าปรากฏการณ์นี้คืออะไร?

ถึงแม้จะไม่มีเหตุผลยืนยันที่แน่ชัด แต่มีหลายทฤษฎีที่พยายามอธิบายปรากฏการณ์นี้ 

>> หนึ่งในทฤษฎีที่ได้รับความนิยมคือ ทฤษฎีทางด้านจิตวิทยาของนักลงทุนค่ะ 

นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าช่วงเดือนกันยายนเป็นเวลาที่นักลงทุนมักจะปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง หรือเตรียมเงินสดสำหรับใช้จ่ายในช่วงปลายปี และการปรับพอร์ต หรือการขายหุ้นในจำนวนมาก ก็อาจจะส่งผลให้ราคาหุ้นในตลาดลดลง 

>> อีกหนึ่งทฤษฎีคือ การปรับตัวตามฤดูกาลของบริษัทและนักลงทุน โดยช่วงเดือนกันยายน จะเป็นเวลาที่บริษัทต่าง ๆ เริ่มเตรียมรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนเริ่มทบทวนการลงทุนของตนและอาจทำการขายหุ้นที่คาดว่าอาจจะมีผลประกอบการไม่ดีค่ะ

พอความเชื่อเรื่อง September Effect เป็นที่แพร่หลาย ก็อาจจะส่งผลให้เกิดการขายหุ้นเป็นจำนวนมากในเดือนนี้ ซึ่งเราจะเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น 'Self-fulfilling prophecy' หรือคำทำนายที่เกิดขึ้นจริงเพราะคนเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนอาจเตรียมขายหุ้นในเดือนกันยายนเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนตามแนวโน้มในอดีต ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นเกิดการเทขายและราคาหุ้นลดลงตามมาค่ะ

แต่ในทางกลับกัน ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนบางคนค่ะ ที่จะใช้เวลานี้เป็นโอกาสในการสะสมสินทรัพย์เสี่ยง เพื่อถือครองระยะยาวและรอไปขายทำกำไรในช่วงไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นช่วง High Season ของการลงทุนค่ะ 

ถึงแม้ว่าจากตัวเลขทางสถิติจะดูเหมือนว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ในฐานะนักลงทุน เราก็ไม่ควรนำมาเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจลงทุน การลงทุนควรพิจารณาจากข้อมูลพื้นฐานของบริษัทที่เราลงทุนและการวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดในภาพรวม และแม้ว่า September Effect จะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในอดีต แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นทุกปี ดังนั้นนักลงทุนควรใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและพิจารณาปัจจัยหลาย ๆ ด้านก่อนตัดสินใจลงทุนค่ะ 

ยิ่งปีนี้ในไทยเองจะมีการใช้นโยบายหลายอย่างในการกระตุ้นเศรษฐกิจและพยุงตลาดหุ้นอย่างเช่น การใช้กองทุนวายุภักษ์เข้ามาช่วย ก็อาจจะทำให้ปีนี้เป็นอีกปีที่ไม่ติดลบก็ได้ค่ะ


เรื่อง: อรวดี ศิริผดุงธรรม, IP