Sunday, 8 June 2025
ไทย

'บีโอไอ' เผยผลสำเร็จไทยเยือนซาอุฯ ยอดเจรจาธุรกิจ 100 คู่ จ่อลงทุนไทย ขนเงินลุย 'แลนด์บริดจ์-เกษตร-อาหารแปรรูป-การแพทย์-พลังงานสะอาด'

(15 ก.ค.67) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการจัดคณะหน่วยงานภาครัฐและเอกชนไทย นำโดยนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางเยือนประเทศซาอุดีอาระเบีย ระหว่างวันที่ 13 – 15 กรกฎาคม 2567 พร้อมเป็นประธานเปิดสำนักงานบีโอไอ ณ กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย อย่างเป็นทางการในวันที่ 14 กรกฎาคม 2567 ว่า...

การจัดงานประชุมภาคธุรกิจ 'Thai – Saudi Investment Forumอ และการเจรจาจับคู่ธุรกิจ ณ กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบียในครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างดี ได้รับความสนใจจากนักธุรกิจไทยและซาอุดีอาระเบีย รวมถึงนักธุรกิจจากประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง เข้าร่วมงานอย่างคับคั่งกว่า 300 คน จากกว่า 200 บริษัท/หน่วยงาน และเกิดการเจรจาธุรกิจกว่า 100 คู่ 

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านความร่วมมือทางธุรกิจรวม 11 ฉบับ ในหลากหลายสาขา เช่น อุตสาหกรรมการเกษตร, อาหาร, ชิ้นส่วนยานยนต์, วัสดุก่อสร้าง, การจัดอีเวนต์และเทศกาล, เกมและอีสปอร์ต, การผลิตน้ำหอม และธุรกิจที่ปรึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

สำหรับบริษัทเอกชนของไทยที่เข้าร่วมกิจกรรม Investment Forum และการเจรจาธุรกิจในครั้งนี้ ถือเป็นบริษัทชั้นนำในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ (โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล้วยน้ำไท สมิติเวช และพระราม 9) อุตสาหกรรมพลังงาน (บริษัท ปตท. บ้านปู และกัลฟ์ เอ็นเนอร์จี) อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร (กลุ่มซีพี บริษัท เบทาโกร และสหฟาร์ม) อุตสาหกรรมบริการสนับสนุนการท่องเที่ยว (ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล) สถาบันการเงิน (ธนาคาร EXIM และธนาคารอิสลาม) เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีผู้บริหารจากหอการค้าไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยร่วมคณะด้วย 

โดยจากการเจรจาธุรกิจกว่า 100 คู่ พบว่า นักลงทุนซาอุดีฯ หลายรายให้ความสนใจลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย ทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารแปรรูป สุขภาพและการแพทย์ พลังงานสะอาด ชิ้นส่วนยานยนต์ และธุรกิจบริการ 

คณะฯ ยังได้เข้าพบกับบริษัทชั้นนำของซาอุดีอาระเบีย เพื่อหารือแผนการลงทุนในประเทศไทยและการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น บริษัท Saudi Agricultural and Livestock Investment Company (SALIC) ผู้นำด้านการเกษตรและปศุสัตว์ ได้หารือแผนการลงทุนในไทยในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ เช่น การเกษตร ปศุสัตว์ การประมง และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ บริษัท CEER Motors ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกองทุน Public Investment Fund (PIF) ของซาอุดีฯ Foxconn จากไต้หวัน และ BMW จากเยอรมนี โดยฝ่ายไทยได้เชิญชวนให้บริษัทพิจารณาการลงทุนในประเทศไทยและร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของห่วงโซ่การผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของทั้งสองประเทศ รวมทั้งหารือถึงโอกาสที่ผู้ประกอบการชิ้นส่วนรถยนต์ของไทยจะไปลงทุนที่ซาอุดีอาระเบียเพื่อป้อนชิ้นส่วนยานยนต์ให้ตลาดตะวันออกกลางในอนาคต

นอกจากนี้ ในการประชุมทวิภาคีระหว่าง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ H.E. Mr. Khalid Abdulaziz Al-Falih รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุนแห่งซาอุดีอาระเบีย ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบที่จะผลักดันความร่วมมือไทย - ซาอุดีอาระเบียใน 4 ด้าน ได้แก่...

1) ความมั่นคงทางอาหารและเกษตร 2) ความมั่นคงทางพลังงาน รวมถึงพลังงานสะอาด 3) ความมั่นคงทางมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาอุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ และ 4) การเสริมสร้างความเข้มแข็งของห่วงโซ่การผลิตของโลก (Global Supply Chain) 

ทั้งนี้ ทางรัฐบาลไทยและซาอุดีอาระเบียต่างเห็นพ้องที่จะช่วยอำนวยความสะดวกเพื่อให้ภาคเอกชนเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านธุรกิจและการลงทุน โดยซาอุดีอาระเบียนับเป็นประเทศที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ในขณะที่ไทยเป็นประตูสู่ทวีปเอเชีย มีที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์สามารถเชื่อมโยงตะวันออกกลางให้เข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ในอาเซียน เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกที่มีประชากรรวมกว่า 4,000 ล้านคน โดยอาศัยจุดแข็งของทั้งสองประเทศ 

ทั้งนี้ รัฐบาลไทยและซาอุดีอาระเบียอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดทำความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน (Bilateral Investment Treaty: BIT) เพื่อสนับสนุนความสัมพันธ์ด้านการลงทุนระหว่างกัน นอกจากนี้ ไทยและซาอุดีอาระเบียยังมีกำหนดจัดการประชุมสภาความร่วมมือซาอุดี - ไทย ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 โดยการประชุมดังกล่าวจะเป็นเวทีหารือในประเด็นความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมระหว่างกันในทุกมิติต่อไป

ความสำเร็จในการเยือนซาอุดีฯ ครั้งนี้ สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างสองประเทศ รวมถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจในการเร่งผลักดันความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการลงทุนระหว่างกัน เพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น และถือเป็นโอกาสของไทยในการเข้าไปมีส่วนร่วมในแผนส่งเสริมการลงทุนครั้งสำคัญของซาอุดีฯ เพื่อสร้างระบบห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ลดการพึ่งพารายได้จากการส่งออกน้ำมัน รวมถึงการพัฒนาสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ตามวิสัยทัศน์ซาอุดีอาระเบีย 2030 (Saudi Vision 2030) ซึ่งสอดรับกับวิสัยทัศน์ Ignite Thailand ของรัฐบาลไทย

การเปิดสำนักงานบีโอไอ ณ กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นสำนักงานในต่างประเทศแห่งที่ 17 ของ  บีโอไอ และเป็นแห่งแรกในภูมิภาคตะวันออกกลาง จะเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงการลงทุนระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบีย รวมทั้งประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง เช่น คูเวต กาตาร์ บาห์เรน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และตุรกี ซึ่งซาอุดีฯ ให้ความสนใจในการใช้ประเทศไทยเป็นฐานการลงทุนและเป็นฮับแห่งใหม่ของซาอุดีฯ ในภูมิภาคนี้ โดยบีโอไอพร้อมใช้เครื่องมือสิทธิประโยชน์และบริการด้านต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาตั้งฐานการผลิต การจัดตั้งสำนักงานภูมิภาค หรือการร่วมกับธุรกิจไทย

‘ไทย-มาเลเซีย’ เตรียมกระชับความสัมพันธ์ด้านการค้า-การลงทุน มุ่งการเติบโตระดับภูมิภาค ผ่านการประชุมสุดยอดมาเลเซีย-จีน 67

(18 ก.ค. 67) การประชุมสุดยอดมาเลเซีย-จีน ปี 2567 (Malaysia-China Summit (MCS) 2024) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ จะเป็นเวทีที่นำเสนอโอกาสครั้งสำคัญให้ผู้ประกอบธุรกิจไทยได้ส่งเสริมการค้าและการลงทุน ไม่ใช่แค่เพียงกับมาเลเซียเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศจีนด้วย

ดาโต๊ะ ดร. ตัน ยู ชอง (Dato’ Dr. Tan Yew Chong) กรรมาธิการจัดงาน MCS 2024 กล่าวว่า อุตสาหกรรมต่าง ๆ ของไทยจะได้รับประโยชน์จากการพบปะพูดคุยกับผู้จัดแสดงสินค้ามากกว่า 500 ราย และผู้แทนการค้า 10,000 รายจากมาเลเซีย จีน และอาเซียน ในการประชุมสุดยอดครั้งนี้

“ทุกท่านไม่ควรพลาดโอกาสในการเข้าร่วมการจับคู่ทางธุรกิจ การประชุมอุตสาหกรรม การเสวนา การพบปะพูดคุยและสานสัมพันธ์ รวมถึงการแบ่งปันความรู้ในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมความร่วมมือและการทำงานร่วมกันในภูมิภาค” เขากล่าวในงาน MCS 2024: Networking Engagement Series ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ในวันนี้ (17 ก.ค.)

สำหรับการประชุมสุดยอดมาเลเซีย-จีน ปี 2567 จะจัดขึ้นในหัวข้อ ‘Prosperity Beyond 50’ ภายในงานประกอบด้วยมหกรรมการค้าและการลงทุนนานาชาติระยะเวลา 3 วัน และการประชุมผู้นำระยะเวลา 2 วัน ซึ่งให้ความสำคัญกับ 5 หัวข้อหลัก ได้แก่ เทคโนโลยีแห่งอนาคต (Future Tech), ความรู้และประสบการณ์แห่งอนาคต (Future Knowledge and Experience), การเดินทางและการเชื่อมต่อแห่งอนาคต (Future Mobility & Connectivity), การเติบโตในอนาคต (Future Growth) และโอกาสในอนาคต (Future Opportunity) โดยมุ่งเน้นไปที่ภาคส่วนหลักมากกว่า 20 ภาคส่วนที่มีความสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาค

อุตสาหกรรมต่าง ๆ ของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ พลังงานหมุนเวียน ยานยนต์ไฟฟ้า สินค้าโภคภัณฑ์ บริการระดับโลก การท่องเที่ยว การศึกษา โครงสร้างพื้นฐานการเชื่อมต่อระดับภูมิภาค อิเล็กทรอนิกส์ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการแพทย์ การผลิตขั้นสูง อาหารและเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมฮาลาล แฟรนไชส์ และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม จะได้รับโอกาสมากมายในการสร้างความร่วมมือและการเติบโตในการประชุมสุดยอดครั้งนี้

การประชุมสุดยอดมาเลเซีย-จีน ปี 2567 จัดขึ้นโดยบริษัท คิวบ์ อินทิเกรตเต็ด มาเลเซีย (Qube Integrated Malaysia) ร่วมกับบรรษัทพัฒนาการค้าต่างประเทศมาเลเซีย (MATRADE) เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างมาเลเซียกับจีน ขณะเดียวกันก็เป็นการส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคและแสดงจุดแข็งร่วมกันของอาเซียน เนื่องในโอกาสที่มาเลเซียจะได้ดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในปี 2568 

ทั้งนี้ การประชุมสุดยอดจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-19 ธันวาคม 2567 ณ ศูนย์นิทรรศการและการค้าระหว่างประเทศของมาเลเซีย (MITEC) ในกรุงกัวลาลัมเปอร์

นายโมฮาเหม็ด ฮาฟิซ มูฮัมหมัด ชาริฟฟ์ (Mr. Mohamed Hafiz Md Shariff) กรรมาธิการการค้าประจำกรุงเทพฯ ของ MATRADE กล่าวว่า “MCS 2024 มอบโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ ในการมีส่วนร่วม การทำงานร่วมกัน และการสำรวจเส้นทางการเติบโตใหม่ ๆ ร่วมกับคู่ค้าจากมาเลเซีย จีน และอาเซียน”

“เนื่องจากมีผู้จัดแสดงสินค้าและผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมากจากหลากหลายภาคส่วน ส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจไทยสามารถขยายขอบเขตการเข้าถึงตลาด สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ ตลอดจนรับทราบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มและเทคโนโลยีใหม่ ๆ” เขากล่าว

พร้อมกันนี้ เขาได้ชี้ให้เห็นว่า การประชุมสุดยอดครั้งนี้มุ่งมั่นสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนคิดเป็นมูลค่าอย่างน้อย 2 พันล้านริงกิต ตลอดจนมอบโอกาสมากมายให้แก่อุตสาหกรรมไทยในการสร้างสรรค์นวัตกรรม สร้างความหลากหลายให้กับธุรกิจ รวมทั้งคว้าประโยชน์จากการประสานความร่วมมือระหว่างตลาดมาเลเซียกับตลาดจีน

ในการกล่าวสุนทรพจน์หลัก ดาตุ๊ก โจจี แซมูเอล (Datuk Jojie Samuel) เอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำราชอาณาจักรไทย ได้เชิญชวนอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในประเทศไทยมาร่วมกันเสริมสร้างการค้าทวิภาคีกับมาเลเซีย เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันของทั้งสองประเทศ นั่นคือ การสร้างการค้ามูลค่ารวม 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2570

ทั้งสองประเทศต่างให้คำมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ซึ่งตอกย้ำถึงเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจไทยต้องเข้าร่วมงาน MCS 2024 “เป้าหมายอันยิ่งใหญ่นี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเราในการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสำรวจโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ระหว่างทั้งสองประเทศ” เอกอัครราชทูตมาเลเซียกล่าว

นอกจากนี้ เขาได้เน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ทางการค้าทวิภาคีที่แน่นแฟ้นระหว่างมาเลเซียกับไทย โดยกล่าวว่าไทยเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 4 ของมาเลเซียในระดับโลก และเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 2 ในอาเซียน ขณะที่มาเลเซียเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทยในอาเซียน

การพึ่งพาซึ่งกันและกันเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่มีนัยสำคัญ ตลอดจนโอกาสในการสร้างความร่วมมือที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

“ในช่วงปี 2560-2566 มาเลเซียและไทยยังคงรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าทวิภาคีที่แข็งแกร่ง ด้วยมูลค่าการค้าเฉลี่ย 2.473 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี แม้ว่าจะลดลงเล็กน้อยในปี 2566 อันเนื่องมาจากการค้าโลกชะลอตัว แต่มาเลเซียยังคงเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทยในอาเซียน” เขากล่าวเสริม

“สำหรับในช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 การค้าระหว่างมาเลเซียกับไทยมีมูลค่ารวม 9.76 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (4.616 หมื่นล้านริงกิต) โดยมีมูลค่าการส่งออก 5.02 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.374 หมื่นล้านริงกิต) และมูลค่าการนำเข้า 4.74 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.242 หมื่นล้านริงกิต)” เอกอัครราชทูตมาเลเซียกล่าว

นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตมาเลเซียยังเน้นย้ำถึงจุดแข็งของมาเลเซียในการส่งออกสินค้าจำเป็นให้กับประเทศไทย เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้า สินค้าเพื่อสุขภาพ และผลิตภัณฑ์ฮาลาล เพื่อรองรับชาวมุสลิมจำนวนมากในไทย

“การประชุมสุดยอดครั้งนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเราที่อยากเห็นภูมิภาคอาเซียนที่เจริญรุ่งเรืองและเชื่อมโยงกันด้วยการค้าและการลงทุนที่แข็งแกร่ง โดยงานนี้จะเป็นเวทีอันทรงพลังที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้กับผู้ประกอบธุรกิจทั่วทั้งภูมิภาค” เขาเน้นย้ำ

นอกจากนี้ เขายังตอกย้ำถึงบทบาทที่สำคัญของประเทศไทยในการผลักดันความร่วมมือระดับภูมิภาคและการเติบโตทางเศรษฐกิจ “ในฐานะสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งอาเซียน มาเลเซียและไทยได้ร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ การบูรณาการ และเสถียรภาพของภูมิภาค เมื่อร่วมมือกัน เราสามารถต่อยอดความสำเร็จของอาเซียน ด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจที่มีความยืดหยุ่น ธุรกิจที่มีความสามารถในการแข่งขัน และภูมิภาคที่มีความเป็นเอกภาพ”

สำหรับกิจกรรม MCS 2024: Networking Engagement Series ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ มีผู้เข้าร่วมงานทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนรวม 200 คน โดยมีนายเย็บ ซู ชวน (Mr. Yeap Swee Chuan) ประธานกิตติมศักดิ์ของสภาหอการค้ามาเลเซีย-ไทย และแอร์เอเชีย (AirAsia) มาร่วมเป็นวิทยากรภายในงาน

ทั้งนี้ แอร์เอเชียเป็นพันธมิตรสายการบินอย่างเป็นทางการของงาน MCS 2024 ส่วนพันธมิตรเชิงกลยุทธ์รายอื่น ๆ ได้แก่ การท่องเที่ยวมาเลเซีย, สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการมาเลเซีย, สภาธุรกิจมาเลเซีย-จีน, สภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติมาเลเซีย, สภาหอการค้ามาเลเซีย-จีน, สภาหอการค้าวิสาหกิจจีนในมาเลเซีย, MAYCHAM China, สภาหอการค้าและอุตสาหกรรมอาเซียน และ Persatuan Muafakat One Belt One Road ในขณะที่พันธมิตรสื่อประกอบด้วย เบอร์นามา (Bernama), เดอะสตาร์ (The Star) และ ซินจิวเดลี (Sin Chew Daily)

เปิดการฝึกผสม 'MULTILATERAL CARAT 2024' ไทย-สหรัฐฯ-สิงคโปร์ สร้างความมั่นคงทางทะเล

กองทัพเรือ โดยกองเรือยุทธการ จัดพิธีเปิดการฝึกผสม MULTILATERAL CARAT 2024 ไทย-สหรัฐฯ-สิงคโปร์ 
   
เมื่อวานนี้ (18 ก.ค.67) พลเรือเอก ชาติชาย ทองสะอาด ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ มอบหมายให้พลเรือตรี กรวิทย์ ฉายะรถี รองเสนาธิการกองเรือยุทธการ เป็นผู้แทนเป็นประธานฝ่ายไทย พลเรือตรี โจอาควีน มาติเนส รองผู้บัญชาการกองเรือที่ 7 กองทัพเรือสหรัฐฯ เป็นประธานฝ่ายสหรัฐฯ และพันเอก โฮ จี คีน รองผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ กองทัพเรือสิงคโปร์ เป็นประธานฝ่ายสิงคโปร์ ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดการฝึก MULTILATERAL CARAT 2024 อย่างเป็นทางการ ณ ท่าเรือแหลมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมีกำลังพลฝ่ายไทย สหรัฐฯ และสิงคโปร์ เข้าร่วมการฝึกในครั้งนี้ รวม 1,100 นาย

การฝึกผสม CARAT เป็นการฝึกพหุภาคี ระหว่างกองทัพเรือไทยกับกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2538 จนถึงปัจจุบัน โดยในปีนี้กองทัพเรือสิงคโปร์ ได้ส่งกำลังพลและยุทโธปกรณ์เข้าร่วมการฝึกด้วย เป็นการฝึกผสมรวม 3 ประเทศ  เรียกรหัสการฝึกว่า "MULTILATERAL CARAT 2024" ทั้งนี้กองทัพเรือ ได้มอบหมายให้กองเรือฟริเกตที่ 2 กองเรือยุทธการ เป็นหน่วยรับผิดชอบการฝึก โดยมี พลเรือตรี ณัฐพงศ์ ปานโสภณ ผู้บัญชาการกองเรือฟริเกตที่ 2 กองเรือยุทธการ เป็นผู้อำนวยการกองอำนวยการฝึกผสม MULTILATERAL CARAT 2024

วัตถุประสงค์การฝึก เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพเรือไทย กองทัพเรือสหรัฐฯ และกองทัพเรือสิงคโปร์ ในการร่วมกันพัฒนาความสามารถของกำลังพลทั้ง 3 ประเทศ ในการปฏิบัติภารกิจทางทะเลร่วมกันในทุกระดับ และเสริมสร้างองค์ความรู้และความเข้าใจอันดีในการปฏิบัติการ ตลอดจนยกระดับขีดความสามารถภาพสถานการณ์ทางทะเลให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกในปัจจุบัน  

กิจกรรมในการฝึก แบ่งเป็น 3 ห้วงการฝึก ได้แก่ การฝึกในท่า การฝึกในทะเล และการสรุปผลการฝึก ระหว่างวันที่ 14 กรกฎาคม 2567 - 3 สิงหาคม 2567 รวม 21 วัน  

มีการฝึกในทะเลที่สำคัญ ประกอบด้วย การค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล การปฏิบัติการทางเรือสาขาต่าง ๆ การฝึกประลองยุทธ์ การฝึกยิงอาวุธประจำเรือ และการฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถี พื้น-สู่อากาศ แบบ ESSM โดยมีกำลังเข้าร่วมการฝึกของกองทัพเรือไทย ประกอบด้วย เรือหลวงตากสิน และเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช  อากาศยานและ อากาศยานไร้คนขับ ในส่วนกองทัพเรือสหรัฐฯ จัดกำลังเข้าร่วมการฝึก ประกอบด้วย เรือรบ USS แกเบรียล จิฟฟอร์ด 1 ลำ และอากาศยาน ในส่วนกองทัพเรือสิงคโปร์ จัดกำลังเข้าร่วมการฝึกเรือรบ 1 ลำ คือ เรือ RSS เวเลียนท์

โดยห้วงการฝึก ระหว่างวันที่ 18 – 25 กรกฎาคม 2567 ทำการฝึกในท่าเรือพื้นที่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี และการฝึกในทะเลบริเวณอ่าวไทยตอนบน ทั้งนี้ สามารถติดตามการฝึกผสม MULTILATERAL CARAT 2024 ในท่าเรือและการฝึกในทะเล ได้ในโอกาสต่อไป

(สุรินทร์) “ไทย -กัมพูชา” ฝึกร่วมบรรเทาภัย ปฐมพยาบาล และอบรมขยายผลโครงการเกษตร (ทหารพันธุ์ดี) สู่หมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดน

วันที่ 24 กรกฏาคม 2567 ที่ศูนย์ประสานงานพื้นที่ชายแดนช่องจอม พันเอก จิรัฏฐ์ ช่วงฉ่ำ รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ประธานไทย พร้อมด้วย พลตรี ลัวะ ลัญ ผู้บัญชาการยุทธบริเวณ พื้นที่ 3 ส่วนหน้า ประธานฝ่ายกัมพูชา ร่วมเป็นประธานเปิดการฝึกร่วมในครั้งนี้  ทั้งนี้ กองกำลังสุรนารี ร่วมกับ ภูมิภาคทหารที่ 3 ฝ่ายกัมพูชา หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 26 โรงพยาบาลกาบเชิง ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง สถานีตำรวจภูธรอำเภอกาบเชิง ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง องค์การบริหารส่วนตำบลด่าน และ หัวหน้าส่วนราชการ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดอุดรมีชัย และประชาชนทั้งสองฝ่ายเข้าร่วมในพิธี โดยในการฝึกร่วม ในครั้งนี้ ได้จัดให้ความรู้ ในเรื่องการบรรเทาสารณภัย, การปฐมพยาบาลช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน การส่งต่อผู้ป่วย ทางบก และทางอากาศ พร้อมกันนี้ พันเอก จิรัฏฐ์ ช่วงฉ่ำ รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ได้มอบสิ่งของ เป็น เมล็ดพันธุ์พืช จากโครงการทหารพันธุ์ดี หน่วยเฉพาะกิจที่ 2 สู่หมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดนไทย -กัมพูชา โดยได้มอบให้แก่ตัวแทน ผู้นำชุมชน ชาวกัมพูชา พร้อมทั้งจัดวิทยากรอบรมให้ความรู้ การขยายเมล็ดพันธุ์พืชเพื่อต่อยอดแก่ชุมชนรอบข้าง การสาธิตการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และ การฝึกอบรม การป้องกันตนเองจากช้างป่า ตามนโยบายกองทัพภาคที่ 2 และกองกำลังสุรนารี เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ ซึ่งจะนำมาถึงความร่วมมือในด้านต่างๆ รวมถึงการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมซึ่งกันและกัน ตลอดจนนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการปฏิบัติงาน การขยายผลไปสู่กำลังพล และประชาชนของทั้งสองประเทศ

ปุรุศักดิ์  แสนกล้า  ข่าว/ภาพ

ความสัมพันธ์ 'ไทย-ซาอุดีอาระเบีย' กลับคืนปกติ-แน่นแฟ้นกว่าเก่า เพราะประเทศไทยเรา มีผู้นำชื่อ 'ลุงตู่' ที่ส่งไม้ต่อไปสู่ 'พีระพันธุ์'

ในอดีตไทยและซาอุดีอาระเบียเคยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การเมือง สังคม และวัฒนธรรม 

อย่างไรก็ตามภายหลังเหตุการณ์ความขัดแย้งอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับซาอุดีอาระเบีย ในปี 2532 และต่อเนื่องถึงปี 2533 ซึ่งเกิดขึ้นในไทย จากกรณีฆาตกรรมนักการทูตซาอุดีอาระเบีย ลักลอบขโมยเพชรของสมาชิกราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียโดยคนงานชาวไทย และคดีอุ้มฆ่าอัล-รูไวลี่ หนึ่งในสมาชิกของราชวงศ์อัล-สะอุดแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียนั้น ได้นำมาซึ่งการระงับความสัมพันธ์ปกติเป็นเวลายาวนานกว่า 30 ปี 

ผลลัพธ์บังเกิด!! ทำให้เศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างกันต้องหยุดชะงักลงตั้งแต่นั้นเรื่อยมา เพียงแต่ในช่วงดังกล่าว ไทยและซาอุดีอาระเบีย ก็ยังคงมีการติดต่อสัมพันธ์ทางการค้า และการลงทุนทางอ้อมผ่านประเทศที่สามบ้าง ทำให้ไทยยังคงมีความน่าเชื่อถือพอเหลืออยู่ในหมู่ชาวซาอุดีอาระเบียบางพวกบางกลุ่ม

อย่างไรก็ตาม จากการออกแบบและจัดการโครงการวิสัยทัศน์ซาอุดีฯ 2030 (Saudi Vision 2030) ของรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากการขายน้ำมันอย่างเดียวของประเทศ และเป็นการเพิ่มช่องทางการหารายได้ทางเศรษฐกิจให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น จึงทำให้ซาอุดีอาระเบียต้องเปิดประเทศมากขึ้น และแสวงหาโอกาสในการลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพ ทั้งต้องสร้างพันธมิตรใหม่และผูกมิตรกับประเทศต่าง ๆ มากกว่าเดิม

แน่นอนว่า ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ซาอุดีอาระเบียมองว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพ แต่กระนั้น กว่า 30 ปี ของการระงับความสัมพันธ์ปกติระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบียนั้น ก็ถือเป็นหนึ่งในอุปสรรคดังกล่าว แม้รัฐบาลไทยทุกชุดทุกสมัยตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นจะพยายามหาทางรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียให้กลับคืนมาเป็นปกติ แต่ก็ไม่ประสบผล

ฉะนั้น การเกิดโครงการวิสัยทัศน์ซาอุดีฯ 2030 ขึ้น และซาอุดีอาระเบียก็ต้องการหาความร่วมมือกับประเทศใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพเพื่อรองรับโครงการดังกล่าว แสงแห่งการสานสัมพันธ์อย่างแท้จริงของสองประเทศจึงเกิดขึ้นแบบจริงจัง ภายใต้ 'รัฐบาลลุงตู่'

วันแห่งประวัติศาสตร์!! เมื่อวันที่ 25-26 มกราคม 2565 ‘ลุงตู่’ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และคณะผู้แทนระดับสูง ได้เดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถือเป็นการเริ่มต้นเปิดศักราชความสัมพันธ์ปกติระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบียอีกครั้งหนึ่ง 

‘ลุงตู่’ ได้เข้าเฝ้าฯ และพบหารือกับองค์มกุฎราชกุมาร โดยผู้นำทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบร่วมกันให้ปรับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียให้กลับสู่ระดับปกติอย่างสมบูรณ์ อันเป็นผลสืบเนื่องจากความพยายามในหลายระดับของทั้งสองฝ่ายที่มีมาอย่างยาวนาน 

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับการดำเนินการภายหลังการฟื้นฟูความสัมพันธ์ในระยะแรก และการจัดตั้งกลไกการหารือทวิภาคี รวมถึงได้หารือการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี เพื่อรื้อฟื้นความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ รวมทั้งแสวงหาความร่วมมือในสาขาใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ อีกทั้งมีการยืนยันความร่วมมือและการสนับสนุนซึ่งกันและกันในกรอบต่าง ๆ ตลอดจนการประกาศการสนับสนุนการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน World Expo 2030 ของซาอุดีอาระเบีย

และในปีเดียวกันนั้นเอง ระหว่างวันที่ 17-19 พฤศจิกายน เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ก็ยังได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาล ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของ ‘ลุงตู่’ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น โดยถือเป็นการเสด็จฯ เยือนไทยครั้งแรกในระดับราชวงศ์และระดับผู้นำของซาอุดีอาระเบีย ภายหลังการเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของ ‘ลุงตู่’ และการปรับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียให้กลับสู่ระดับปกติอย่างสมบูรณ์ 

โดยในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท อีกด้วย ซึ่งการเข้าเฝ้าฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ ด้วยเป็นการพบกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกระหว่างพระบรมวงศานุวงศ์ของทั้งสองประเทศ

หากได้สังเกตโดยละเอียดแล้วจะพบว่า ผู้นำของซาอุดีอาระเบียได้แสดงออกถึงความชื่นชมและประทับใจในการวางตัวของ ‘ลุงตู่’ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทยในขณะนั้น ซึ่งมีบุคลิกท่าทางที่สุภาพและอ่อนน้อมถ่อมตน ตลอดจนการแสดงออกถึงความยกย่องนับถือผู้นำของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งทรงเป็นทั้งนายกรัฐมนตรีและสมาชิกสำคัญของราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียด้วย กอปรกับราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่มีการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือราชาธิปไตยเต็มรูปแบบ 

ดังนั้นสมาชิกของรัฐบาลส่วนใหญ่ จึงเป็นสมาชิกของราชวงศ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้มีบทบาทนำทั้งในรัฐบาลและราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียชุดปัจจุบัน เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรี

ความชื่นชมและประทับใจดังกล่าวได้ส่งผลถึงความสัมพันธ์และมิตรภาพอันดียิ่ง และถูกส่งต่อมายัง ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ผู้เคยเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีของ ‘ลุงตู่’ โดย ‘พีระพันธุ์’ ได้นำคณะข้าราชการและผู้เกี่ยวข้องกับกิจการพลังงานของไทยไปเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ระหว่างวันที่ 15-17 กรกฎาคมที่ผ่านมา 

โดยฝ่ายซาอุดีอาระเบีย ซึ่งนำโดยเจ้าชาย Abdulaziz bin Salman Al Saud รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ให้การต้อนรับคณะของ ‘พีระพันธุ์’ เป็นอย่างดียิ่ง ทั้งได้จัดเครื่องบินพิเศษให้ ‘พีระพันธุ์’ และคณะได้ไปเยี่ยมชมการทำงานของ ‘Saudi Aramco’ บริษัทพลังงาน (มหาชน) อันดับหนึ่งของโลก ณ สำนักงานใหญ่ของบริษัทฯ เมือง Dhahran จังหวัดตะวันออก (Eastern Province) 

ว่ากันว่า...สัมพันธ์อันดีของสองประเทศที่เกิดขึ้นได้นี้ ส่วนสำคัญมาจากการแสดงออกถึงความเป็นไทยของ ทั้ง 'ลุงตู่' และ 'ลุงพี' อันประกอบด้วย รอยยิ้ม ความสุภาพ ความอ่อนน้อมถ่อมตน การแสดงออกถึงความยกย่องนับถือ ให้เกียรติ และจริงใจ ซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษ อันเป็นทั้งเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของคนไทยที่สร้างความชื่นชมและประทับใจให้กับชาวต่างชาติมากมาย 

สิ่งเหล่านี้ถือเป็น Soft Power ของประชาชนคนไทยโดยธรรมชาติ และเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งที่สังคมไทยต้องสืบทอดและรักษาไว้ให้อยู่คู่บ้านเมืองตลอดไป

ส่อง 5 ประเทศผู้นำในการส่งออกข้าวของโลก ประจำปี 2024

จากข้อมูลของ USDA Foreign Agricultural Service ได้เก็บข้อมูลการส่งออกข้าวจากประเทศต่าง ๆของปี 2024 และมีการคาดว่าประเทศผู้ส่งออกข้าวจะสามารถส่งออกข้าวได้เยอะกว่าปีที่แล้ว คือจาก 53.29 ล้านตันในปี 2023 ขยับมาเป็น 55.13 ล้านตันในปี 2024 โดย 5 ประเทศผู้นำที่ส่งออกข้าวมากที่สุดสามารถเรียงตามลำดับได้ดังนี้...

1.อินเดีย เป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลก โดยส่งออกสัดส่วนมากถึง 37% ของโลก และคาดการณ์ว่าปีนี้จะส่งออกได้ 17 ล้านตัน ซึ่งน้อยลงกว่าปีที่แล้วที่ส่งออกได้ถึง 17.73 ล้านตัน

2.ไทย ประเทศไทยครองสัดส่วน 16% ของโลก โดยไทยส่งออกข้าว 8.5 ล้านตันโดยลดลงจากปีที่แล้วที่ 8.74 ล้านตัน

3.เวียดนาม มีการเติบโตแบบมีนัยสำคัญจนพลิกมาเป็นอันดับ 2 ตอนปี 2023 โดยมีลูกค้าเป็น ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย และหลายประเทศในแอฟริกา จะสามารถส่งออกข้าวเพิ่มได้จาก 8.23 ล้านตันเป็น 8.3 ล้านตัน

4.ปากีสถาน ส่งออกข้าวประมาณ 4.53 ล้านตันในปีที่แล้ว และจะขยับขึ้นมาเป็น 6.10 ล้านตันในปี 2024 คิดเป็น 7% ของโลก

5.สหรัฐอเมริกา ที่ปีที่แล้วอยู่อันดับ 6 แต่ในปีนี้สามารถแซงหน้ากัมพูชาขึ้นมาได้ โดยมีตัวเลขส่งออกข้าวที่เพิ่มขึ้นจาก 2.40 ล้านตันไปเป็น 3.13 ล้านตัน ในปีนี้

'ชามตราไก่ลำปาง' วิกฤต!! จีนทำขายเหมือนเป๊ะ ใบละ 5 บาท แถมส่งถึงที่ ด้านโรงงานเซรามิกในลำปางโอด เจอจีนตีด้วยออนไลน์ วูบร่วม 200 รง.

(13 ส.ค.67) จากกรณีมีสินค้าหลากหลายรูปแบบ ส่งตรงมาจากจีน เข้ามาตีตลาดสินค้าเกือบทุกชนิด ส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการที่เป็นชาวไทยโดยตรง และหนีไม่พ้นผู้ประกอบการเซรามิกลำปางที่โดนผลกระทบอย่างหนัก ทำให้ผู้ประกอบการเซรามิกขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีกว่า 300 โรงงาน ต้องหยุดไปแล้วกว่า 200 โรงงาน เพื่อรอดูท่าที และรอความหวังว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น

ล่าสุดวันนี้ นายปรีชา ศรีมาลา นายกสมาคมเครื่องปั้นดินเผาจังหวัดลำปาง เปิดใจว่า สถานการณ์ของผู้ประกอบการเซรามิกย่ำแย่ที่สุด อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้จะผ่านวิกฤตช่วงโควิด19 รวมไปถึงค่าแรง ค่าขนส่ง ค่าวัสดุอุปกรณ์ ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นมาได้บ้าง ซึ่งที่ผ่านมาทางจังหวัด ท่านผู้ว่าฯ นายกอบจ.ลำปาง และภาคส่วนต่าง ๆ ต่างยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือประคับประคองกันมาได้

จนกระทั่ง 2-3 เดือนมานี้ พบว่าการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์จากประเทศจีนส่งถึงมือลูกค้าในราคาที่ถูกมาก เกิดจากจีนไม่สามารถขายสินค้าทางยุโรปได้ จึงเบนเข็มเข้ามาสู่ตลาดอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทยด้วย เป็นสินค้าที่นำมาระบาย เรียกว่าการ Dumping ราคา ส่งผลให้ผู้ประกอบการโรงงานเซรามิกขนาดกลางและขนาดเล็กได้รับผลกระทบโดยตรง และเริ่มชะลอตัวหยุดการผลิตไปก่อนเพราะทำไปก็ยิ่งขาดทุน รายจ่ายเพิ่มขึ้นแต่รายรับไม่มี

“ก่อนโควิดเรามีเซรามิก 328 โรงงาน จากการลงพื้นที่สำรวจช่วงปลายปี 66 ที่ผ่านมา พบผู้ประกอบการที่เหลือประกอบการจริงเพียง 89 โรงงาน ในส่วนที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯ สาเหตุที่หายไป เพราะหยุดดำเนินกิจการไปบ้าง และหยุดเพื่อดูสถานการณ์ของตลาดว่าเมื่อไรจะดีขึ้น ทุกวันนี้ยังรอความหวังจากนโยบายของรัฐบาลว่าจะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจฟื้นฟูขึ้น”

นายกสมาคมเครื่องปั้นฯ กล่าวว่า ดังนั้นผู้ประกอบการเซรามิกลำปางที่อ่อนแอมาตั้งแต่ช่วงโควิดแล้วจึงไปไม่ไหว ทั้งที่หน่วยราชการในจังหวัดให้การช่วยเหลือกันเต็มที่ แต่ยังไม่เพียงพอ ฉะนั้นรัฐบาลควรต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อปกป้องหัตถอุตสาหกรรมพื้นฐานของท้องถิ่น โดยเฉพาะเซรามิกลำปาง ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีแหล่งแร่ดินขาวผลิตเซรามิกชั้นดีที่บ้านปางค่า อ.แจ้ห่ม ไม่เช่นนั้นเซรามิกลำปางถึงขั้นสูญพันธุ์แน่นอน

“ตอนนี้เราโดนซ้ำเติมจากสินค้าภายนอก โดยเฉพาะสินค้าจีนที่เข้ามาตีตลาดไทย ถ้วยตราไก่ เป็นสินค้า GI ของ จ.ลำปาง ใช้แหล่งดินที่ จ.ลำปาง มีสัญลักษณ์รูปไก่ ต้นกล้วย ดอกโบตั๋น บ่งบอกถึงการเป็นอัตลักษณ์ของ จ.ลำปาง ต้นทุนผลิตอยู่ที่ 20 บาท บางรายก็ขายราคาทุน หรืออาจจะเพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่สินค้าจีนที่เป็นถ้วยชามคล้ายกันเข้ามาขายในออนไลน์ เพียง 5 บาท ไม่พอยังส่งถึงที่ด้วย และยังมีสินค้าหัตถอุตสาหกรรมหลายประเภทที่เป็นอัตลักษณ์ของจังหวัดที่โดนกระทบเหมือนกันหมด เหตุเพราะรัฐบาลปล่อยให้จีนเข้ามาโดยไม่มีการควบคุม อยากวิงวอนให้รัฐบาล เร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วนไม่เช่นนั้นจะส่งผลกระทบเป็นแบบลูกโซ่ไปทั่ว”

'ประธานกิตติมศักดิ์สภาอุตฯ ลำปาง' เปิด 7 ข้อเท็จจริง 'ชามตราไก่ลำปาง' ยัน!! ด่ากราดจีน ผ่านปมชามละ 5 บาท เป็นเรื่องเอาแพะกับแกะมาผสมกัน

(14 ส.ค.67) จากกรณีการพบชามตราไก่ นำเข้าจากจีน ขายในประเทศไทย และพบผลกระทบอย่างหนัก ทำให้ผู้ประกอบการเซรามิกขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีกว่า 300 โรงงาน ต้องหยุดไปแล้วกว่า 200 โรงงาน เพื่อรอดูท่าที และรอความหวังว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น

ด้าน นายอธิภูมิ กำธรวรรินทร์ ประธานกิตติมศักดิ์สภาอุตสาหกรรมจังหวัดลำปาง โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า วันสองวันนี้มีประเด็นเรื่อง เซรามิกลำปาง ย่ำแย่ผลมาจากการทุ่มตลาดของจีนทำชามไก่เหมือนลำปางขายใบละ 5 บาท ผมคิดว่ารายละเอียดมีความคลาดเคลื่อนค่อนข้างมากทีเดียว ขอให้รายละเอียดเกี่ยวกับเซรามิกลำปางโดยเฉพาะชามไก่ลำปาง และปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ดังนี้

1. ลายไก่ลำปางเดิมไม่ใช่ของลำปาง แต่มีที่มาจากประเทศจีน ซึ่งชาวจีนที่มาตั้งรกรากในลำปางได้นำลายไก่จากจีนมาผลิตที่ลำปางด้วย เพราะลำปางมีแหล่งดินขาวที่สามารถผลิตเป็นเซรามิกได้ใกล้เคียงกับจีน

2. ไม่ว่าชามไก่ของจีนในสมัยก่อน หรือชามไก่ของลำปางในสมัยก่อน จะเขียนลายด้วยมือ แต่ในปัจจุบันการผลิตชามไก่ของจีนจะใช้รูปลอกเซรามิกแทนการเขียนลาย จึงมีความเหมือนของลวดลายไก่ทุกใบ แต่ชามไก่ของลำปางในปัจจุบันยังนิยมเขียนลายด้วยมือเหมือนเดิม ที่ทุกใบมีความแตกต่างกัน

3. ชามไก่จีนใบละ 5 บาท ผมคิดว่า เป็นเรื่องเอาแพะกับแกะมาผสมกัน แล้วมองว่าเหมือนกัน แต่ในข้อเท็จจริง ชามใบละ 5 บาทเป็นสินค้าที่มีตำหนิมาก เน้นขายถูกและไม่มีลวดลายอะไร หากมีตำหนิน้อยจะขายแพงขึ้นและการโฆษณาว่าเซรามิกใบละ 5 บาท เพื่อผลในการดึงดูดลูกค้าเข้าร้านมากกว่าจะขายใบละ 5 บาทอย่างจริงจัง

4. ผมอยู่กับเซรามิกลำปางมาเกือบ 30 ปี เห็นความเปลี่ยนแปลงมาตลอด และเห็นปัญหาของเซรามิกลำปางมาตลอด ความเป็นจริงของเซรามิกลำปางคือยิ่งขายยิ่งถูก ยิ่งผลิตคุณภาพยิ่งต่ำ ด้วยสองเหตุผลหลักคือ 4.1 วัตถุดิบต้นน้ำและต้นทุนผลิตเราสู้จีนไม่ได้ 4.2 ผู้ผลิตในลำปางแข่งขันกันเองทั้งแข่งขันด้านราคาและแข่งขัน ในการลดต้นทุนการผลิต ทั้งที่ต้นทุนการผลิตของไทยสูงมากอยู่แล้ว

5. อาจจะมีบางส่วนที่สินค้าจีนไม่ได้คุณภาพในเรื่องของสารพิษที่มีจากรูปลอกบนเคลือบอุณหภูมิต่ำ แต่ไม่ได้มีสารพิษทุกชิ้น ซึ่งเรื่องนี้ต้องตรวจสอบผลิตภัณฑ์

6. ตั้งแต่มกราคม - พฤษภาคม 2567 มีการนำเข้าเซรามิกจากจีนมากกว่า 3,000 ตันในราคาเฉลี่ย 8.96 บาทต่อกิโลกรัม (ดูตารางประกอบ) ปล.ราคาที่แจ้ง 8.96 บาทต่อกิโลกรัม เป็นราคาสำแดงขณะนำเข้า ซึ่งข้อเท็จจริงราคาต้องสูงกว่านี้

7. สิ่งที่มาตามถนนหรือจะสู้สิ่งที่ข้ามเขาลงห้วยมาจากป่า นั่นหมายความว่าข้อเท็จจริงมีการนำเข้าจากจีนมากกว่าที่แสดง แต่ไม่มีการลงบันทึกตามพิธีการศุลกากร ประเมินนำเข้ามามากกว่านี้ 2-3 เท่าของที่สำแดงตามตาราง นั่นแปลว่าเซรามิกจากจีนเข้ามาท่วมตลาดและเข้ามาแข่งขันกับผู้ประกอบการในประเทศอย่างหนัก

ทั้ง 7 ข้อเป็นข้อเท็จจริงในเบื้องต้นที่ทำให้เซรามิกที่ผลิตในประเทศสู้จีนไม่ได้ ไว้จะมาเพิ่มเติมรายละเอียดเจาะลึกให้อีกครั้งครับ

‘ไทย-จีน’ เตรียมเปิดฉากซ้อมรบร่วมทางอากาศ ‘Falcon Strike 2024’ หวังเพิ่มพูนทักษะต่อสู้ พร้อมกระชับแลกเปลี่ยนความร่วมมือเชิงปฏิบัติ

(14 ส.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงกลาโหมของจีนประกาศว่า จีนและไทยจะจัดการซ้อมรบร่วมทางอากาศ ‘ฟอลคอน สไตรค์ 2024’ (Falcon Strike-2024) ในเดือนสิงหาคมนี้ โดยการซ้อมรบเป็นไปตามแผนความร่วมมือประจำปีระหว่างกองทัพของทั้งสองประเทศ

ทั้งนี้ กระทรวงฯ ระบุว่า การซ้อมรบจะจัดขึ้นที่ฐานทัพอากาศของไทย และจีนจะจัดส่งเครื่องบินหลายประเภทและกองกำลังพิเศษเข้าร่วมการซ้อมรบ โดยเป้าหมายของการซ้อมรบร่วมครั้งนี้คือเพิ่มพูนทักษะการต่อสู้ของกองกำลังที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกระชับการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือเชิงปฏิบัติ

'หัวเว่ย' ส่งสัญญาณโอเปอเรเตอร์ไทย ขานรับ '5.5G' หนุนเทคโนโลยีใหม่ๆ 'ทรู-เอไอเอส' จ่อแจม หลัง 60 โอเปอเรเตอร์ทั่วโลกเปิดตัวในเชิงพาณิชย์แล้ว

(15 ส.ค. 67) นายอาเบล เติ้ง ประธานกรรมการ ฝ่ายขายกลุ่มธุรกิจเครือข่ายโทรคมนาคม ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ของ Huawei กล่าวในงาน Asia-Pacific ICT Summit 2024 ถึงศักยภาพของเทคโนโลยี 5.5G และบทบาทในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ว่าในขณะที่ 4G เคยสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่และโอกาสในการทำงานของหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ 5G จะยิ่งเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในอุตสาหกรรมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก คาดว่าการเพิ่มขึ้นของการใช้งาน 5G ทุก ๆ 10% จะทำให้ GDP เติบโต 1% ถึง 1.8% และ 5G สามารถเพิ่มผลผลิตให้อุตสาหกรรมดั้งเดิมได้ 10% ถึง 20% สถิติเหล่านี้จึงสะท้อนทิศทางที่สดใสของตลาด 5.5G ในภูมิภาค

"เทอร์มินัลมากกว่า 30 ประเภทรองรับ 5.5G และผู้ให้บริการมากกว่า 60 รายได้เปิดตัว 5.5G ในเชิงพาณิชย์แล้ว โดยโอเปอเรเตอร์บางรายได้นำ 5.5G มาใช้ในเครือข่ายขนาดใหญ่ จึงชัดเจนว่าการผสมผสานระหว่าง AI และ 5.5G จะขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย ซึ่งในการจัดส่งสมาร์ทโฟน AI ทั่วโลกที่จะสูงถึง 170 ล้านเครื่องในปี 2024 ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอาจคิดเป็น 40-50% ของการจัดส่งเหล่านี้"

อาเบลย้ำว่าวันนี้มีโครงการ 5G B2B มากกว่า 13,000 โครงการทั่วโลก ทำให้บริการด้าน 5G รูปแบบใหม่กำลังเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด โอเปอเรเตอร์จึงเริ่มสร้างรายได้จากการมอบประสบการณ์ที่หลากหลายให้ผู้ใช้ ที่จะได้ใช้งานดิจิทัลแบบลื่นไหลบนความสามารถของ 5.5G ตั้งแต่การปรับปรุงความเร็วแบนด์วิดท์ การรองรับความหนาแน่นของการเชื่อมต่อได้มากขึ้น ความแม่นยำในการระบุตำแหน่งที่ทำให้เล่นเกมได้ดีขึ้น และประสิทธิภาพด้านพลังงานที่ประหยัดกว่าเมื่อเทียบกับ 5G

5.5G ของ Huawei จะรองรับแอปพลิเคชันใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี XR (extended reality) เสมือนจริง การส่งสัญญาณระบบภาพความละเอียดสูงพิเศษ และการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ IoT ที่ทุกสิ่งล้วนต้องออนไลน์ ทั้งหมดนี้เป็นผลจากความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุด 10 กิกะบิตต่อวินาที (เร็วกว่า 5G ถึง 10 เท่า) ความหน่วงต่ำกว่า 1 มิลลิวินาทีจนผู้ให้บริการสามารถรับประกันคุณภาพหรือ SLA ได้แบบกำหนดเอง ที่สำคัญคือรองรับ AI และเครือข่ายอัตโนมัติดีกว่าเพราะประสิทธิภาพและการจัดการเครือข่ายที่ดีขึ้น

ในขณะที่ย้ำว่าเทคโนโลยี 5.5G ช่วยให้โอเปอเรเตอร์สามารถให้บริการแนวใหม่ เช่น Massive IoT ประสบการณ์ 3D/MR/XR การสื่อสาร V2X และแอปพลิเคชัน AI ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ Huawei ได้ส่งสัญญาณกำลังร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษาเพื่อสร้างระบบนิเวศ 5.5G ที่แข็งแกร่งในประเทศไทย ทั้งเอไอเอสและทรูที่เข้าร่วมแสดงวิสัยทัศน์บนเวทีงานประชุมเมื่อวันที่ 14-15 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นงานที่จัดแสดงการใช้งานเทคโนโลยี 5G และ 5.5G ในรูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่โรงงานอัจฉริยะ รถแท็กซี่ไร้คนขับ และการชอปปิ้งด้วย AI

มาร์ก ชง ชิน กก (Mark Chong Chin Kok) รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส กล่าวว่าเครือข่าย 5G ของ AIS นั้นครอบคลุมพื้นที่ 95% ของไทย ทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีพื้นที่เครือข่าย 5G ครอบคลุมมากที่สุด และบริษัทจะยังคงขยายการลงทุนเพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในศักยภาพของเครือข่าย ขณะที่ นายฮาว ริ เร็น (How Lih Ren) หัวหน้าสายงานการพาณิชย์ พันธมิตรเชิงกลยุทธ์และเทเลคอม-เทค บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทใช้ AI ในการพัฒนาบริการลูกค้าทั้งดีแทคและทรูอย่างเป็นเนื้อเดียว และในปี 2024 คนไทยจะได้เห็นบริการแชตบอตของบริษัทในรูปผู้ช่วยส่วนตัวชื่อมะลิ ซึ่งแม้ทั้งคู่จะไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดการลงทุน แต่ก็ถือเป็นสัญญาณการเปิดทางให้บริการและโอกาสทางธุรกิจใหม่ในไทยในช่วง 5 ปีที่ 6G จะยังไม่เกิด

สำหรับงาน Asia-Pacific ICT Summit 2024 นั้นเป็นงานแสดงโมเดลอัจฉริยะหลากหลายสำหรับชีวิตดิจิทัล ทั้งด้านการทำงาน การแพทย์ รวมถึงบ้านอัจฉริยะ Wi-Fi 7 และนวัตกรรมระดับอุตสาหกรรม ซึ่งส่วนใหญ่เปิดให้งานในหลายเมืองใหญ่ของจีนเรียบร้อย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top