Saturday, 7 June 2025
โควิด19

23 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 ‘ในหลวง ร.10’ พระราชทานทรัพย์กว่า 2,800 ล้านบาท สมทบทุน-จัดหาอุปกรณ์การแพทย์ รับมือวิกฤตโควิด-19

เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เพจโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เผยแพร่ข้อความระบุว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีความห่วงใยประชาชน และบุคลากรการแพทย์ในภาวะวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นอย่างยิ่ง

การนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชทรัพย์เพื่อสมทบทุนและจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ให้กับโรงพยาบาลและสถานที่ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาด ได้แก่…

1. พระราชทานพระราชทรัพย์ จำนวน 100,000,000 บาท สมทบทุนสร้างอาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา โรงพยาบาลศิริราช

2. พระราชทานพระราชทรัพย์ จำนวน 2,407,144,487.59 บาท แก่โรงพยาบาล วิทยาลัยแพทย์ และสถานพยาบาล 29 แห่ง เพื่อจัดซื้อเครื่องมือ ครุภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์

3. พระราชทานพระราชทรัพย์ จำนวน 345,000,000 บาท แก่เรือนจำ ทัณฑสถาน และโรงพยาบาลแม่ข่ายของเรือนจำ 44 แห่ง เพื่อจัดซื้อเครื่องมือ ครุภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์

'WHO' ชี้!! การระบาด 'ฝีดาษลิง' ไม่รุนแรงแบบ 'โควิด-19' เหตุ!! เจ้าหน้าที่รู้วิธีการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค

(21 ส.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ฮานส์ คลูก ผู้อำนวยการภาคพื้นยุโรปขององค์การอนามัยโลก (WHO) ออกแถลงการณ์ด่วนยืนยันว่า 'ไวรัสฝีดาษลิง' หรือ 'Mpox' นั้น ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ใหม่หรือเก่า ไม่ได้รุนแรงเหมือนกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ เนื่องจากเจ้าหน้าที่รู้วิธีการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค

องค์การอนามัยโลก กล่าวต่ออีกว่า ทุกฝ่ายจะเลือกวางระบบเพื่อควบคุมและกำจัดโรคฝีดาษลิงทั่วโลก หรือโลกจะเข้าสู่วัฏจักรแห่งความตื่นตระหนกอีกครั้ง วิธีการตอบสนองในปัจจุบันและอนาคตจะเป็นบททดสอบที่สำคัญสำหรับยุโรปและทั้งโลก

โรคฝีดาษวานรเป็นการติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดแผลเป็นหนอง และมีอาการเหมือนไข้หวัดใหญ่ มักมีอาการไม่รุนแรง แต่สามารถเสียชีวิตได้ การระบาดของไวรัสฝีดาษลิง สายพันธุ์ เคลด1บี ทำให้เกิดความกังวลทั่วโลก เนื่องจากแพร่ระบาดได้ง่ายมากผ่านการสัมผัสใกล้ชิดตามปกติ ซึ่งผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้ ได้รับการยืนยันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วในสวีเดน และเชื่อมโยงกับการระบาดที่เพิ่มมากขึ้นในแอฟริกา ซึ่งเป็นสัญญาณแรกของการระบาดนอกทวีปแอฟริกา

โรคฝีดาษลิงติดต่อกันผ่านการสัมผัสทางกายภาพใกล้ชิด รวมทั้งการมีเพศสัมพันธ์ แต่ต่างจากโรคระบาดทั่วโลกครั้งก่อน ๆ อย่างเช่นโควิด-19 ที่ไม่มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าฝีดาษลิงสามารถแพร่กระจายทางอากาศได้ง่าย

ขณะนี้มีรายงานว่า มีผู้ป่วยฝีดาษลิงสายพันธุ์ เคลด 2 รายใหม่ประมาณ 100 รายในยุโรปเป็นประจำทุกเดือน และชี้ว่า การมุ่งเน้นไปที่สายพันธุ์ใหม่ เคลด 1 จะช่วยในการต่อสู้กับสายพันธุ์ เคลด 2 ที่มีความรุนแรงน้อยกว่า ซึ่งแพร่ระบาดไปทั่วโลกตั้งแต่ปี 2565

โดยเมื่อไม่นานนี้ องค์การอนามัยโลกประกาศให้โรคฝีดาษวานรเป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 2 ปี เนื่องจากโรคฝีดาษลิงสายพันธุ์ใหม่ เคลด 1บี ระบาดอย่างรวดเร็วในแอฟริกา ทำให้มีผู้ติดเชื้อแล้วประมาณ 27,000 ราย และเสียชีวิตมากกว่า 1,100 ราย ส่วนใหญ่เป็นเด็กในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกก่อนจะลุกลามระบาดเข้าอีกหลายประเทศ

‘หมอยง’ โพสต์เฟซ!! ย้อนดู 5 ปี โควิด 19 ความสับสนของข้อมูล ในสื่อสังคมออนไลน์

(7 ธ.ค. 67) ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ยง ภู่วรวรรณ แพทย์อาวุโส นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ และหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความ เกี่ยวกับโควิด 19 โดยมีใจความว่า ...

ย้อนดู 5 ปี โควิด 19 ความสับสนของข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์

ความสับสนของสื่อข้อมูลออนไลน์ ที่เกี่ยวกับโรคระบาด โควิด 19 เป็นบทเรียนที่สำคัญ ถึงแม้ทุกวันนี้ ก็ยังมีปัญหาอยู่ตลอด

การปล่อยข่าวร้าย ของโควิด 19 เช่นพบสายพันธุ์ใหม่ที่น่ากลัว หรือความรุนแรงของโรคต่าง ๆ นานา ทั้งที่เป็นข่าวที่ไม่จริง และแหล่งที่ออกมา จากผู้ที่หวังดีและหวังร้าย บางคนออกข่าวทุกวัน บางคนไม่ได้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้เลย ทำให้เกิดความตระหนก ทั้งที่ไม่เป็นความจริงเช่นนั้น

ในทุกวันนี้ ยังมีคนโทรมาปรึกษา และส่งมาให้ดู เช่น ใน Line หรือสื่อออนไลน์ ว่าโควิด 19 สายพันธุ์ใหม่ สายพันธุ์ B.1.1.7 ซึ่งมีอาการรุนแรง และให้ระวังช่วงปีใหม่ ผมอ่านดูแล้วก็อดขำไม่ได้ เพราะสายพันธุ์ของไวรัส จะเรียงจากอักษร A B C D และต่อมาก็ใช้อักษร 2 ตัว ซึ่งสายพันธุ์ปัจจุบันนี้เป็นสายพันธุ์ L และ K แล้ว เมื่อเห็นสายพันธุ์ B ก็แสดงว่าเป็นสายพันธุ์เมื่อ 2564 หรือสายพันธุ์อังกฤษ หรือเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เอาข่าวเมื่อ 3 ปีที่แล้ว มาวน มาปล่อย ใหม่ ซึ่งเป็นคนละกาลเวลากัน และมีการส่งต่อกันอย่างรวดเร็ว 

ดังนั้นจะเห็นได้เลยว่า การให้ข่าวหรืออะไรก็ตามแต่ จะต้องมีวันที่กำกับด้วย ผมเองยึดมั่นในเหตุการณ์และวันที่กำกับเสมอ เพราะความถูกต้องของวันนี้ อาจจะไม่ถูกต้องในปีต่อไป เช่นบอกว่าอัตราตายสูง 1% เป็นตัวเลขของเมื่อ 3-4 ปีก่อน ปัจจุบันอัตราการเสียชีวิตน่าจะเป็น หนึ่งในหมื่นของผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อ และเป็น กลุ่ม 708 หรือมากกว่า จึงเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย

เช่นเดียวกัน บุคคลที่ไม่ได้อยู่ในศาสตร์หรือสาขาเชี่ยวชาญในโรคดังกล่าว หรือเป็นเพียงอ่านหนังสือได้ ก็ให้ข้อมูลทางสื่อออนไลน์แทนที่จะใช้ความจริง แต่ใช้ความเห็น ทำให้มีความปั่นป่วน โดยเฉพาะข่าวเกี่ยวกับวัคซีนในยุคแรก เมื่อเวลาผ่านไปก็เห็นได้ชัด การรับสื่อต่างๆในขณะนี้ ก็ต้องตระหนักด้วย และการส่งต่อก็มีความสำคัญ

ยง ภู่วรวรรณ
ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์
ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬา
6 ธันวาคม 2567

หมอธีระเตือน! โควิด-19 ระบาดหนักหลังหยุดยาว กรุงเทพฯ พบผู้ป่วยสูงกว่าไข้หวัดใหญ่ 6.7 เท่า เสี่ยงลามรับเปิดเทอม

(8 พ.ค. 68) รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เปิดเผยสถานการณ์โควิด-19 ผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า หลังเทศกาลและช่วงหยุดยาว พบผู้ป่วยโควิด-19 ในกรุงเทพฯ สูงกว่าไข้หวัดใหญ่หลายเท่า โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา (27 เม.ย.–3 พ.ค.) มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาใน รพ. มากถึง 8,446 ราย ซึ่งยังไม่รวมผู้ติดเชื้อที่ไม่ได้เข้ารักษา

จากข้อมูลล่าสุดในสัปดาห์ที่ 19 ปี 2568 พบว่า ผู้ป่วยโควิด-19 มากกว่าไข้หวัดใหญ่ถึง 6.7 เท่า และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงาน และเด็กเล็กอายุ 0–4 ปี ที่พบว่าป่วยเพิ่มมากขึ้นอย่างน่ากังวล ในขณะที่ช่วง 3 วันที่ผ่านมา อัตราป่วยโควิดสูงกว่าไข้หวัดใหญ่ถึง 2 เท่า และมีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย

รศ.นพ.ธีระ ย้ำว่า โควิด-19 ยังคงต้องระวัง เพราะติดเชื้อได้ก่อนมีอาการ 2–3 วัน และตรวจหาเชื้อช่วงแรกอาจให้ผลลบ ต้องแยกตัวอย่างน้อย 5–10 วัน และควรใส่หน้ากากเมื่อต้องอยู่ใกล้ผู้อื่น โดยเฉพาะในสถานที่ปิดหรือระบายอากาศไม่ดี เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อในวงกว้าง

ทั้งนี้ ฝากถึงผู้ปกครองและสถานศึกษาที่กำลังจะเปิดเทอมให้ดูแลเด็ก ๆ อย่างใกล้ชิด และขอให้สถานที่ทำงานให้ความสำคัญกับการประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบ อย่าเร่งให้ผู้ติดเชื้อกลับมาทำงานโดยไม่ป้องกันอย่างเหมาะสม เพราะอาจนำไปสู่การแพร่ระบาดซ้ำอีกระลอก

‘หมอยง’ ไม่แนะนำ!! ให้ฉีดวัคซีนโควิด-19 มองไม่คุ้มกับประโยชน์ที่ได้ ชี้!! โรคลดความรุนแรงลงแล้ว และมียาที่มีประสิทธิภาพ สามารถรักษาได้

(10 พ.ค. 68) ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ยง ภู่วรวรรณ แพทย์อาวุโส นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ และหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ‘โควิด-19’ โดยมีใจความว่า ...

โรคทุกโรคที่ป้องกันได้ควรจะได้รับการป้องกัน แต่การป้องกันมีหลายวิธี ตั้งแต่ล้างมือทำความสะอาด ลดการแพร่กระจายของโรค ด้วยการใส่หน้ากากอนามัย และหลีกเลี่ยงการเข้าชุมชนคนหมู่มาก วัคซีนเป็นอีกตัวเลือกหนึ่ง

โรคโควิด 19 ในระยะแรก ปีแรกๆ รุนแรงมากมีอัตราเสียชีวิตถึงร้อยละ 1 และมีอัตราการลงปอดเป็นปอดบวมสูงมากโอกาสต้องนอนโรงพยาบาลสูงมาก ๆ แต่ในปัจจุบันประชากรส่วนใหญ่มีภูมิต้านทานแล้ว จากการติดเชื้อ และฉีดวัคซีน และไวรัสโควิดก็ลดความรุนแรงของโรคลงมา ทำให้มีอัตราการเสียชีวิตต่ำ เปรียบเทียบได้กับไข้หวัดใหญ่ ผู้ติดเชื้อโควิด 19 จำนวนมาก ไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย เพราะเคยเป็นมาแล้ว ยกเว้นมีร่างกายอ่อนแอ หรือมีโรคประจำตัว ก็เป็นเช่นเดียวกันกับโรคทางเดินหายใจอื่น ๆ ที่อาจจะรุนแรงขึ้น 

ทำไมเรายังต้องให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ทั้งที่ความรุนแรงของไข้หวัดใหญ่กับโควิด ไม่ต่างกันมากแล้ว วัคซีนไข้หวัดใหญ่ป้องกันการติดเชื้อได้ประมาณ 40 ถึง 60 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น หวังป้องกันความรุนแรงของโรค แต่เรายังแนะนำให้ฉีดโดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง ทั้งนี้เพราะวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ใช้กันมานานมากแล้วร่วม 50 ปี มีราคาถูก และอาการข้างเคียงต่ำ เมื่อมาเปรียบเทียบกับวัคซีนโควิดในปัจจุบัน โควิดไวรัสมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อย่างรวดเร็ว ทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อน้อยมาก วัคซีนมีราคาแพงมาก มากกว่าไข้หวัดใหญ่เกือบ 10 เท่า และมีอาการข้างเคียงมากกว่า 

ดังนั้นในปัจจุบันจึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มเสี่ยง โดยทางภาครัฐสนับสนุน ให้ได้ฉีดฟรี ส่วนวัคซีนโควิด เมื่อคิดถึงความคุ้มทุน และประโยชน์ที่ได้ เมื่อโรคลดความรุนแรงลง โดยส่วนตัวจึงไม่แนะนำ และถ้าป่วยให้รีบให้การรักษา เพราะมียาที่มีประสิทธิภาพ

วุฒิสภาแฉ ‘สหรัฐฯ’ รู้ความเสี่ยงวัคซีนโควิด mRNA แต่เลือกเงียบ..ชะลอเตือนเรื่องกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

(22 พ.ค. 68) รายงานจากวุฒิสมาชิก รอน จอห์นสัน เผยว่า เจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับสูงในรัฐบาลสมัยโจ ไบเดน ซึ่งทราบถึงรายงานปัญหาทางหัวใจ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myocarditis) หลังรับวัคซีน mRNA ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2021 แต่กลับรอถึงปลายเดือนมิถุนายนกว่าจะปรับคำเตือนในฉลากวัคซีน

ในช่วงที่ภาครัฐยังไม่แจ้งเตือน กลับมีการจำกัดเสรีภาพของแพทย์ที่ออกมาเตือนเรื่องผลข้างเคียง โดยบางรายถูกลบโพสต์หรือระงับบัญชี โฆษกรายงานชี้ว่า จนถึงกลางปี 2021 มีรายงานอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบกว่า 158 เคสในระบบ VAERS

กระทรวงสาธารณสุขอิสราเอลติดต่อ CDC และ FDA ตั้งแต่ปลายกุมภาพันธ์ 2021 ถึงเคสกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในกลุ่มวัยรุ่นจากวัคซีนไฟเซอร์ แต่เจ้าหน้าที่ FDA กลับชี้ว่าข้อมูลยังไม่เพียงพอ และไม่ต้องการ “สร้างความตื่นตระหนก”

แม้ในเดือนพฤษภาคม 2021 มีการหารือกันภายใน CDC ว่าควรส่ง “ประกาศเตือนภัยด้านสุขภาพแห่งชาติ (HAN)” เกี่ยวกับผลข้างเคียงจากวัคซีน แต่ผู้นำหน่วยงานหลายคน รวมถึงอดีตกรรมาธิการ FDA ไม่เห็นด้วย โดยเลือกเพียงเผยแพร่ประกาศทั่วไปในเว็บไซต์

จนถึงวันที่ 25 มิถุนายน 2021 FDA จึงปรับฉลากวัคซีน Pfizer และ Moderna ให้มีคำเตือนเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ รายงานชี้ว่าช่วงเวลาดังกล่าว มีรายงานเคสในระบบพุ่งถึง 752 เคส ขณะที่ทำเนียบขาวยังคงเผยแพร่ข้อความว่า “อาการเหล่านี้พบได้ยาก”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top