Sunday, 20 April 2025
เชียงใหม่

เชียงใหม่-แฟชั่นโชว์การกุศลคอลเลคชั่นพิเศษ Charity Fashion Show 2025 

(16 ก.พ. 68) นิ่มซิตี้ ร่วมกับ BELIVE PREMIUM จัดแฟชั่นโชว์การกุศลสไตล์โมเดิร์นลักชัวรี่บน Promenade Runway ยาวที่สุดในภาคเหนือ คอลแลบ ผู้บริหาร นักธุรกิจ เซเลบเชียงใหม่ เดินแบบกว่า 40 ชีวิต ท่องเที่ยวและกีฬาหนุน Soft Power จังหวัดเชียงใหม่
 
“นิ่มซิตี้ คอมมูนิตี้ มอลล์” ศูนย์รวมไลฟ์ สไตล์ของชาวเชียงใหม่ โดย ดร.ปราณี สุวิทย์ศักดานนท์ จับมือร่วมกับ “บีลีฟ พรีเมี่ยม” แบรนด์เสื้อผ้าสไตล์โมเดิร์นลักชัวรี่ ที่เรียบหรู ทันสมัย โดยคุณพิมอัครา พิชญ หนึ่งในแบรนด์ดีไซเนอร์ไทยที่รับการคัดเลือกให้ไปแสดงผลงานใน International Fashion Week ระดับนานาชาติ จัดแฟชั่นโชว์ชุดเสื้อผ้าคอลเลคชั่นพิเศษ Charity Fashion Show 2025 พร้อมเปิดแสดง กระเป๋าถือ Premium Handbags ที่ผลิตจากผ้าไหมสั่งทอพิเศษตรานกยูงพระราชทาน ซึ่งได้รับการส่งเสริมของกรมหม่อนไหม บนPromenade Runway ยาวกว่า 130 เมตร โดยได้รับเกียรติจากผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมทั้งรองประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงใหม่และรองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงใหม่มาเป็นประธานจัดงานในครั้งนี้
 
นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติในงานว่า “เมืองเชียงใหม่เมืองแห่งวัฒนธรรมและ Soft Power ชั้นนำของไทย งานนี้เป็นอีกเวทีที่แสดงถึงความสร้างสรรค์ของแฟชั่นไทย ที่ผสมผสานเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมกับความทันสมัยได้อย่างลงตัว ผมเชื่อว่าแฟชั่นคือเครื่องมือสื่อสารที่ทรงพลัง และเป็นการเชื่อมโยงวัฒนธรรมที่แข็งแรง ในค่ำคืนนี้คือท่านจะได้พบกับการนำเสนอ Soft Power ของไทยสู่สายตาชาวโลก ผ่านผลงานของนักออกแบบที่มีความสามารถภายใต้แบรนด์ไทยสู่สากล พร้อมกับการนำเสนอเสื้อผ้าจากนางแบบกิตติมศักดิ์กว่า 40 ท่าน”
 
นางวารีญา แสนศรี ธมิกานนท์ รองประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงใหม่ และรองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะประธานจัดงาน Charity Fashion Show 2025 กล่าวว่า “เชียงใหม่เป็นเมืองแห่งศิลปวัฒนธรรมที่หลากหลายแขนงและผู้สร้างผลงานจากเชียงใหม่หลายแบรนด์ก็มีความคิดสร้างสรรค์ที่ดีมาก มีฝีมือในการออกแบบ มีการผลิต ที่ประณีตงดงาม อีกทั้งยังมีความเป็นมาตรฐานและความเป็นสากลที่สามารถส่งออกไปแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้ ในด้านแฟชั่นเช่นกัน เชียงใหม่มีผู้สร้างสรรค์ผลงาน ที่สามารถเติบโตไปสู่ตลาดระดับสากลได้ และในวันนี้ แบรนด์ Belive Premium ก็เป็นหนึ่งตัวอย่างที่ดี เป็นแบรนด์ดีไซเนอร์เชียงใหม่ ซึ่งตัดเย็บโดยช่างฝีมือระดับสูงที่เชียงใหม่ อีกทั้งยังสนับสนุนชุมชนทอไหมทั้งในเชียงใหม่และภูมิภาคต่างๆ เป็นการช่วยเหลือเศรษฐกิจชุมชน ตั้งแต่ ต้นน้ำไปยังปลายน้ำ อีกทั้งยังโปรโมทให้นักท่องเที่ยวทั้งใน และต่างประเทศได้สัมผัส ในเชิง Soft Power ของจังหวัดเป็นอย่างดี”
 
นางสาว พิมอัครา พิชญ CEO & Executive Designer แบรนด์ Belive Premium เปิดเผยว่า “บีลีฟ พรีเมี่ยม เป็นแบรนด์เชียงใหม่ ที่เน้นการเลือกใช้ผ้าไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งผ้าไหมไทยสั่งทอมือ ตามสเป็คพิเศษตามมาตรฐาน “ตรานกยูงพระราชทาน” ที่ส่งเสริมโดยกรมหม่อนไหมเป็นการสนับสนุนชุมชนทอไหมในภูมิภาคโดยสั่งผ้าไหมจากทั้งเขต 1, 2 และ 3 รวมไปถึงผ้าไหมสั่งทอพิเศษที่ผลิตจากทัณฑสถานหญิงอีกด้วย”
 
“เราทราบดีว่าภาพจำของคนทั่วไป จะคิดว่าผ้าไหมจะดูแก่ ดูโบราญ ดูล้าสมัย หรือออกไปทางสินค้า OTOP เราจึงออกแบบ ตัดเย็บ และผลิตงานออกมาให้ทันสมัย โมเดิร์น หรูหรา และเป็นสากล ใครที่ได้สัมผัสงานของ บีลีฟ พรีเมี่ยม จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สวยงาม และเนี๊ยบมาก เป็นการลบภาพจำที่ว่านั้นไปเลย ในระยะเวลา 2-3 ปีตั้งแต่เปิดตัวแบรนด์ บีลีฟ พรีเมี่ยม มาก็นับได้ว่าได้รับการตอบรับอย่างดีมากจากลูกค้า VIP ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งอัตราการเติบโตของแบรนด์อยู่ที่ 400-600% ต่อปี นอกจากแบรนด์ Belive Premium ที่ผลิตจากผ้าไหมตรานกยูงพระราชทาน แล้ว เรายังมีแบรนด์ Prelim ที่เน้นผ้าฝ้าย ผ้าใยกัญชง ฯลฯ อีกด้วย” 
 
นางพัศลินทร์ เศวตรัตน์ ผอ. ททท.สำนักงานเชียงใหม่ กล่าวว่า“Fashion เป็น 1 ในยุทธศาสตร์ 5F ของรัฐบาล นโยบายแผนผลักดันวัฒนธรรมที่มีศักยภาพเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศไทยหรือ Soft Power ประกอบไปด้วย Film, Food, Fashion, Fightingและ Festival ซึ่ง ททท. เชียงใหม่ ได้มุ่งเน้นปลุกกระแสยกระดับผ้าไทยให้มีความร่วมสมัย สร้างสรรค์ให้เกิดเป็นสินค้ามูลค่าสูงระดับพรีเมียมสากล สามารถสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนในพื้นที่ ในขณะเดียวกันยังเป็นการต่อยอดและเผยแพร่วัฒนธรรม หัตถศิลป์หัตถกรรม อันทรงคุณค่าอย่างของคนในท้องถิ่นให้เกิดการรับรู้แก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น”
 
ดร.ปราณี สุวิทย์ศักดานนท์ ผู้บริหารโครงการนิ่มซิตี้ กล่าวเพิ่มเติมว่า “นิ่มซิตี้ เป็นโครงการที่เป็นศูนย์รวมชีวิตประจำวันของชาวเมืองไม่ว่าจร้านอาหาร เครื่องดื่ม ของว่าง และซุปเปอร์มาร์เก็ตมาเป็นเวลานาน ในปีนี้ทางนิ่มซิตี้ก็ได้เสริมกิจกรรมด้วยการเป็นศูนย์กลางด้านแฟชั่นและไลฟ์ สไตล์ ในการจัดงานครั้งนี้จะเป็นการตอบแทนลูกค้าภายใน คือ ร้านค้าต่างๆ และลูกค้าภายนอก ที่มาทานอาหารและใช้บริการร้านค้าต่างๆในโครงการ โดยงานครั้งนี้มีความตั้งใจที่จะให้ลูกค้าได้รับชมแฟชั่นโชว์ดีๆ จากบีลีฟ พรีเมี่ยม ที่มีสำนักงานใหญ่และFlagship Store อยู่ในโครงการระหว่างรับประทานอาหาร”
 
ดร.ปราณี กล่าวเสริมด้วยว่า “ทางโครงการสนใจที่สนับสนุนส่งเสริมกิจกรรมที่เป็นการผลักดัน Soft Power และได้มีการหารือกับ ททท. เชียงใหม่CEA เชียงใหม่ ว่าจะให้ความร่วมมือในกิจกรรมต่างๆ ของทุกๆหน่วยงาน และมีความสนใจที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Chiang Mai Design Week ในปีนี้ เพื่อให้นิ่มซิตี้ เป็นศูนย์กลางด้านแฟชั่นและไลฟ์ สไตล์อีกแห่งหนึ่งของเมืองเชียงใหม่”

นางสาวพิมอัครา กล่าวปิดท้ายว่า “งานแฟชั่นโชว์ในวันนี้ถือว่าเป็นงานใหญ่ของปีและได้รับความร่วมมือด้วยดีจาก โครงการนิ่มซิตี้ ซึ่งเป็นศูนย์การค้าแบบคอมมูนิตี้มอลล์ที่ครบวงจร และมีกลุ่มลูกค้าใกล้เคียงกัน การนำเสนอแฟชั่นโชว์ร่วมกันในครั้งนี้ถือว่าเป็นกิจกรรมใหญ่ที่จะรวมแขกวีไอพีหลากหลายมารวมกัน 

อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากหลากหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น กรมหม่อนไหม, ททท. เชียงใหม่,สมาคมแม่บ้านมหาดไทยเชียงใหม่, YEC เชียงใหม่ ,YEC ลำพูน รวมทั้งกองประกวดนางสาวเชียงใหม่ และร่วมสนับสนุนโดย CEA เชียงใหม่,สมาคมไทยสปาล้านนา ,สมาคมโรงแรมภาคเหนือ(ตอนบน ), อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมทั้งภาคเอกชน บริษัท ห้างร้าน จำนวนมาก มีนางแบบกิตติมศักดิ์มาร่วมเดินแบบทั้งสิ้นกว่า 40 คน ดูแลการเดินทางโดยสายการบินเวียตเจ็ทไทยแลนด์ 

ความพิเศษสุดของงานจะอยู่ที่การเปิดโอกาสให้แขกผู้มีเกียรติที่สนใจได้ร่วมประมูล หรือจองสินค้า เพื่อร่วมสมทบทุนด้วยกันไปกับโครงการ และสินค้าบางชิ้นจะเป็นสินค้าพิเศษ Limited Edition ที่ผลิตขึ้นเพียงชิ้นเดียวเพื่อเป็นที่ระลึกพิเศษจากงานนี้เท่านั้น”

งาน Charity Fashion Show 2025 นี้จัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 15 กพ. 2568 ณ โครงการนิ่มซิตี้ เวลา 18:00 เป็นต้นไป โดยทางโครงการมีความตั้งใจ เนรมิต Runway ยาวกว่า 130 เมตรนี้ทอดยาวตลอดด้านหน้าของโครงการโซนซิตี้ไลฟ์ โดยจัดแบบ Exclusive Private VIP Charity สำหรับแขก VIP รับเชิญพิเศษจำนวน 150 ท่าน พร้อมด้วยสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ซึ่งในงานจะรับรองแขกด้วยซุ้มอาหารว่างและเครื่องดื่มที่หลากหลายจากการสนับสนุนของร้านค้าในโครงการ ซึ่งในส่วนลูกค้าของร้านอาหารต่างๆภายในโครงการสามารถใช้บริการแต่ละร้านได้ตามปกติ อีกทั้งยังสามารถรับชมแฟชั่นโชว์ดังกล่าวได้จากโต๊ะของแต่ละร้านอาหารในระยะใกล้ด้วยเช่นกัน

เชียงใหม่-เปิดกิจกรรม “ADVOCATE 2025”และมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ 14 ตำบลต้นแบบ

วันที่ (16 ก.พ. 68) เวลา 16.00 น. วิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดกิจกรรม “ADVOCATE 2025” โดยได้รับเกียรติจากนายกู้เกียรติ นิ่มเนียม หัวหน้าผู้ตรวจราชการ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นประธานเปิดกิจกรรม และมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ 14 ตำบลต้นแบบ โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.นพ.พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวต้อนรับผู้ร่วมงาน และคุณศิรินทร์พร เดียวตระกูล ผู้อำนวยการกองบริหารทรัพยากรการวิจัยและนวัตกรรม สำนักงานการวิจัยเเห่งชาติ ร่วมกล่าวแสดงความยินดีต่อผลสำเร็จการดำเนินงาน  ณ ลานประตูท่าแพ

กิจกรรม “ADVOCATE 2025”  มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงผลสำเร็จจากการดำเนินโครงการการยกระดับศักยภาพผู้นำชุมชนต้นแบบ ADVOCATE และนวัตกรรมการเรียนรู้มีดี เพื่อสร้างกลไกการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงวัยในชุมชนแบบมีส่วนร่วม โดยสร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 14 แห่งในภาคเหนือตอนบน สู่การพัฒนาทักษะด้าน Soft Skills และ Management Skills แก่บุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่นำร่อง พร้อมฝึกปฏิบัติเสริมทักษะการทำงานและบริหารโครงการของบุคลากรผู้เข้าร่วมโครงการ ผ่านกิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้สูงวัยในชุมชน และระบบหนุนเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการตลาดของสินค้าชุมชน

นายกู้เกียรติ นิ่มเนียม  หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กล่าวว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และสังคมระดับฐานราก โดยบุคลากรท้องถิ่นเป็นผู้ขับเคลื่อนหลักร่วมกับภาคีเครือข่าย ความสำเร็จของโครงการจะช่วยเสริมความเข้มแข็งให้ท้องถิ่นไทย พร้อมส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชนทุกวัย เพื่อพัฒนาทักษะการใช้ชีวิตในยุคใหม่ ต่อสู้กับความยากจน และขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจของประเทศต่อไป

ศาสตราจารย์ ดร.นพ.พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มุ่งมั่นผลักดันวิสัยทัศน์การเป็น "มหาวิทยาลัยชั้นนำที่รับผิดชอบต่อสังคม เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยนวัตกรรม" โดยวิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิตเป็นหน่วยงานสำคัญในการริเริ่มและเปิดโอกาสทางการศึกษา "โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เน้นการส่งมอบองค์ความรู้และพัฒนาทักษะให้แก่คนทุกช่วงวัย ผ่านความร่วมมือแบบบูรณาการระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม" 

ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.นัทธี สุรีย์ รองผู้อำนวยการวิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และหัวหน้าโครงการฯ กล่าวว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความสำคัญยิ่งในการพัฒนาและดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนในท้องถิ่น โดยเฉพาะการสนับสนุนและส่งเสริมการดูแลผู้สูงอายุ ทางวิทยาลัยจึงสร้างความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือ อปท. ในการพัฒนาทักษะด้าน Soft Skills และ Management Skills แก่บุคลากรและผู้นำชุมชนของ อปท. จำนวน 140 คน ใน 14 พื้นที่นำร่อง จาก 8 จังหวัด ภาคเหนือตอนบน ด้วยกระบวนการฝึกปฏิบัติเสริมทักษะการทำงาน และการบริหารโครงการที่ส่งเสริมธุรกิจและผลิตภัณฑ์จากผู้สูงวัยในชุมชน เพื่อสร้างรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในชุมชนอย่างยั่งยืน
    
การทำงานร่วมกันนี้ ก่อให้เกิดการหนุนเสริมกันและกันระหว่างบุคลากร อปท. กับผู้สูงวัยในการทำกิจกรรมร่วมกันผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน  อาทิ ในจังหวัดเชียงใหม่ เทศบาลตำบลป่าป้องพัฒนาข้าวแต๋นและข้าวเกรียบ เทศบาลตำบลเชิงดอยพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสมุนไพรชาสามสหาย ขิงผง และหัวปลีผง ส่วนเทศบาลตำบลท่าวังตาลเน้นผลิตภัณฑ์กล้วยหนึบและโคมล้านนา
ในจังหวัดเชียงราย เทศบาลตำบลแม่คำพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพร ทั้งถุงหอม ลูกประคบ และยาดมสมุนไพร เทศบาลตำบลโยนกพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผ้าไหม และเทศบาลตำบลเวียงเน้นการพัฒนากระเป๋าและผลิตภัณฑ์จากผ้าที่หลากหลาย จังหวัดลำพูนโดดเด่นด้านผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมดินจากเทศบาลตำบลป่าไผ่ และผลิตภัณฑ์ถ่านรักษ์โลกจากเทศบาลตำบลวังดิน เทศบาลตำบลวังผางพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพร ทั้งถุงหอม ลูกประคบ และยาดมสมุนไพร 

นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นอื่น ๆ ได้แก่ ผ้าปักลายอัตลักษณ์จากเทศบาลนครลำปาง ผลิตภัณฑ์จักสานและน้ำพริกจากเทศบาลตำบลป่าแมต จังหวัดแพร่ ผลิตภัณฑ์จากทางมะพร้าวจากเทศบาลตำบลบ้านใหม่ จังหวัดพะเยา ด้านจังหวัดแม่ฮ่องสอน เทศบาลตำบลแม่ลาน้อยได้พัฒนาผลิตภัณฑ์จากไม้กวาดและกุ๊บไต ส่วนองค์การบริหารส่วนตำบลฝายแก้ว จังหวัดน่าน ต่อยอดผลิตภัณฑ์ผ้าพิมพ์ลายสีธรรมชาติสู่ของฝากอัตลักษณ์ท้องถิ่น 

ผลจากการร่วมโครงการนี้ มีผู้สูงอายุเข้าร่วมโครงการมากกว่าสองพันคน พัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนรวม 69 ชิ้น สามารถสร้างรายได้รวมให้กับชุมชนทั้งหมดมากกว่า 2 ล้านบาท  การจัดกิจกรรมยังมี “ตลาดนัดสินค้าผู้สูงวัย” หรือ “MEDEE MARKET” ที่บริเวณลานประตูท่าแพ 

ภายในงานมีร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของผู้สูงวัยจำนวนมากกว่า 60 รายการจากพื้นที่ที่เข้าร่วมและหน่วยงานความร่วมมือของโครงการฯ กิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ (WORKSHOP) ระบายสีพวงกุญแจกุ๊บไตจากแม่ลาน้อย การสานดอกไม้จากไผ่ตอกบ้านป่าบง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ และกิจกรรมแต่งหน้าข้าวแต๋น จาก ต.ป่าป้อง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ให้ผู้เข้าร่วมงานได้ร่วมกิจกรรมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมชมการแสดงร่วมสมัยจากศิลปินค่ายคนเมืองเรคคอร์ด และการแข่งขันประกวดร้องเพลงไทยลูกทุ่งพร้อมหางเครื่องจากนักเรียนในจังหวัดเชียงใหม่ 

นอกจากนี้ในช่วงเช้าของวันเดียวกัน ณ โรงแรมอโมรา ท่าแพ จ.เชียงใหม่ วิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ยังได้จัดเวทีแบ่งปันประสบการณ์และผลการนำความรู้ไปใช้ในพื้นที่ของผู้นำ ADVOCATE ทั้ง 140 คนจาก 14 ตำบล ใน 8 จังหวัดภาคเหนือ พร้อมนำเสนอโครงการเพื่อเสริมสร้างทักษะและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของผู้สูงวัยในชุมชน และมอบประกาศนียบัตรสำหรับผู้ผ่านหลักสูตรนี้ 

ปัจจุบัน “โครงการการยกระดับศักยภาพผู้นำชุมชนต้นแบบ ADVOCATE และนวัตกรรมการเรียนรู้มีดี เพื่อสร้างกลไกการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงวัยในชุมชนแบบมีส่วนร่วม” ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)  เพื่อสร้างความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการพัฒนาทักษะแก่บุคลากร เพื่อการพัฒนากิจกรรมพัฒนาธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากผู้สูงวัยในชุมชนแบบมีส่วนร่วม สร้างรายได้หรือเกิดการสนับสนุนรายได้ให้กับกลุ่มวัยก่อนสูงอายุ (Pre-aging) และผู้สูงอายุ อันนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัยในชุมชนอย่างยั่งยืน

สำหรับผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่เข้าร่วมโครงการฯ สามารถติดต่อได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ Advocate CMU (www.facebook.com/AdvocateCMU) หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ร่วมโครงการฯ

เชียงใหม่- คณะแพทยศาสตร์ มช. จัดเสวนา แนวทางป้องกันฝุ่น PM2.5 ในสถานที่ทำงาน 

(24 ก.พ. 68 ณ ห้องประชุม ชั้น 2 อาคารเรียนรวม คณะแพทยศาสตร์ มช. รศ.นพ.นเรนทร์ โชติรสนิรมิต คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มช. เป็นประธานเปิดการเสวนา แนวทางป้องกันฝุ่น PM2.5 เพื่อให้ความรู้และเป็นแนวทางป้องกันฝุ่น PM2.5 ในสถานที่ทำงาน 

รศ.นพ.นเรนทร์ โชติรสนิรมิต คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดเผยว่า "ปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็น ปัญหาวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นปี และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทุกปี ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพ ประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและจังหวัดเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มช. ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหานี้ และเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับ PM2.5 จึงได้จัดกิจกรรมเสวนา "แนวทางป้องกันฝุ่น PM2.5 ในสถานที่ทำงาน" เพื่อให้ความรู้แก่บุคลากรและประชาชนเกี่ยวกับการป้องกันฝุ่น PM2. ซึ่งปัญหา มลพิษทางอากาศที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง การป้องกันและลดผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 จำเป็นเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งการให้ความรู้ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการลดมลพิษเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนทุกคน"

ซึ่งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ตระหนักถึงปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยที่ผ่านมาได้จัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้ผลกระทบต่อสุขภาพ และในครั้งนี้ได้จัดกิจกรรมเสวนาแนวทางป้องกันฝุ่นPM2.5 ในเชิงการจัดการทางกายภาพ และแนวทางการปฏิบัติเชิงพฤติกรรม ที่สามารถนำไปประยุกต์ และปฏิบัติได้ทั้งในสถานที่ทำงานและที่อยู่อาศัย เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือ และลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากฝุ่น PM2.5 

โดยมีหลักที่สำคัญ 2 ส่วนคือ
1. ด้านกายภาพ (กั้น กรอง ดัน) กั้น : ปิดประตูหน้าต่างที่สนิท ชื่อตามขอบหน้าต่าง หรือรูรั่วอื่น ๆ ให้ชิด และเปิดระบาย อากาศบ้าง ช่วงที่ฝุ่นภายนอกน้อย กรอง : ปิดประตูหน้าต่างให้สนิท เปิดเครื่องพ่อกอากาศ และปิดพัดลมดูดอากาศ(ถ้ามี) ดัน : ติดตั้งเครื่องเติมอากาศสะอาด สร้างแรงดันอากาศภายในห้องให้มากว่าภายนอก เพื่อ
ดันฝุ่นไม่ให้เข้ามาในห้อง

2.พฤติกรรม (3ส 1 ล)
ส.สะสาง คัดแยกสิ่งของที่ไม่จำเป็นหรือไม่ใช้แล้วออกไปเพราะจะเป็นแหล่งสะสมฝุ่น ส.สะอาด ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ และเช็ดถูทำความสะอาดพื้นและตามซอกมุมต่าง ๆ เพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่น รวมทั้งล้างอุปกรณ์เครื่องใช้ เช่น
พัดลม เครื่องปรับอากาศ แผ่นกรองอากาศและมุ้งลวด
สร้าง สร้างสุขนิสัย ในการดูแลและทำความสะอาดบ้านอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะมีฝุ่นละอองสูง อาจจะต้องเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดมากขึ้น รวมถึงสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี โดยปลูกต้นไม้ที่มีลักษณะใบหนา หยาบ มีขน เพื่อช่วยดักฝุ่น ลดหรือเลี่ยง กิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่นละองเพิ่ม เช่น การจุดธูป-เทียน การเผาขยะ การจุดเตาถ่าน และการสูบบุหรี่

ผศ.นพ.ธวัชชัย มั่นอ่ำ รองคณบดีด้านกายภาพและสิ่งแวดล้อม คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดเผยว่า"จากข้อมูลที่ผ่านมา พบว่าคนเชียงใหม่ต้องเผชิญกับฝุ่น PM2.5 เป็นระยะเวลานานเกือบครึ่งปี (ประมาณ กุมภาพันธ์ - พฤษภาคม) ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ นอกจากนี้ สถิติยังบ่งชี้ว่าจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น การป้องกันฝุ่นจึงไม่ควรจำกัดเพียงแค่การสวมใส่หน้ากากหรือหลีกเลี่ยงพื้นที่โล่งแจ้ง แต่ควรรวมถึงการจัดการฝันในสถานที่ทำงานด้วย ซึ่งการป้องกันฝุ่น PM2.5 ในสถานที่ทำงานเป็นสิ่งสำคัญในการลดผลกระทบต่อสุขภาพของบุคลากร การติดตามคุณภาพอากาศ ปรับปรุงระบบระบายอากาศสวมหน้ากากที่เหมาะสม และดูแลสุขภาพของพนักงาน เป็นมาตรการที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้

กิจกรรมในครั้งนี้มีการบรรยายใน 6 หัวข้อหลัก ได้แก่ สถิติคุณภาพอากาศตัวเมืองเชียงใหม่ ป้องกันฝุ่น PM2.5 ในสถานที่ทำงานอย่างไร การเลือกขนาดเครื่องฟอกอากาศ การเฝ้าระวังและติดตาม การปรับปรุงด้าน PM2.5 คณะแพทยศาสตร์ การติดตั้งแผ่นกรองฝุ่น เครื่องปรับอากาศ และพัดลม โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ คือ รศ.ดร.ยศธนา คุณาทร อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มช. , ผู้แทนพิเศษ สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มช. , ผศ.นพ.ธวัชชัย มั่นอ่ำ รองคณบดีด้านกายภาพและสิ่งแวดล้อม คณะแพทยศาสตร์ มช. , คุณวิชชากร จามีกร หัวหน้าศูนย์บริหารจัดการระบบสนับสนุนคณะแพทยศาสตร์ มช. และคุณณัฐพล ไชยแก้ว วิศวกร สังกัดงานอาคารสถานที่ บรรยายใน 6 หัวข้อในการเตรียมความพร้อมและเสริมความรู้แก่บุคลากร ให้ทราบถึงแนวทางในการป้องกันฝุ่น PM 2.5 ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ใช้ในหน่วยงานช่วงที่เกิดภาวะฝุ่น PM2.5 เพื่อลดดผลกระทบด้านสุขภาพของบุคลากรและผู้ที่มารับบริการของคณะแพทยศาสตร์ มช.

เชียงใหม่-ผบช.ภ.5 แถลงการณ์จับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญยึดยาบ้า 3.1 ล้านเม็ด 

(24 ก.พ. 68) เวลา 11.00 น. พล.ต.ท. กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 เป็นประธานการแถลงข่าวจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ ยึดยาบ้า 3.1 ล้านเม็ด ผู้ต้องหา 6 ราย ณ ลานแถลงข่าว อาคารกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 5 อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่

ตามนโยบายรัฐบาล สั่งการให้หน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด บูรณาการแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยการอำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร, พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง,พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์, พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ
เลขาธิการ ป.ป.ส. และ พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ มทภ.3 ได้รับบัญชาและข้อสั่งการนำไปสู่การปฏิบัติ

ตำรวจภูธรภาค 5 โดย พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน, พล.ต.ต.นพดล กรึงไกร,พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง, พล.ต.ต.ธนะรัชต์ ชุ่มสวัสดิ์, พล.ต.ต.พิชญา บุญขจร, พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย รอง ผบช.ภ.5,พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5, พล.ต.ต.ยุทธนา แก่นจันทร์ ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ และ พล.ต.ต.ภูมิปัญญ์ญา นวตระกูล พิสุทธิ์ผบก.ภ.จว.ลำปาง ฝ่ายทหาร นบ.ยส.35 โดย พล.ท.กิตติพงศ์ ชื่นใจชน มทน.3/ผบ.นบ.ยส.35 ฝ่ายปกครอง โดย นายนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผวจ.เชียงใหม่ นายชุติเดช มีจันทร์ ผวจ.ลำปาง สำนักงาน ปปส.ภาค 5 โดย นายธันวา ผุดผ่อง ผอ.ปปส.ภาค 5 แถลงผลการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ จำนวน 2 คดี

1. กรณี สภ.สบปราบ จ.ลำปาง จับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 3,176,046 เม็ด
2. กรณี สภ.ช้างเผือก ร่วมกับ สภ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ จับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 201,000 เม็ด รวมของกลางยาบ้าจำนวน 3,377,046 เม็ด

คดีที่ 1 สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม สืบทราบว่าจะมีกลุ่มขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติด จากพื้นที่แนวชายแดน เข้าสู่พื้นที่ตอนใน โดยผ่านพื้นที่ อ.สบปราบ จ.ลำปาง โดยใช้รถยนต์กระบะจำนวน  2คัน ใช้ป้ายทะเบียน จ.เชียงราย ทั้ง 2 คัน จึงได้เพิ่มความเข้มในการตั้งด่านตรวจตามแผนการสกัดกั้นการลักลอบลำเลียง ยาเสพติดตามยุทธศาสตร์ ตำรวจภูธรภาค 5

จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ไล่ติดตามไป จนสามารถควบคุมตัวไว้ได้จำนวน  2 คน ทราบชื่อ คือนายนวพลฯ และนายปรีชาฯ จึงได้ควบคุมตัวพร้อมทั้งนำรถยนต์มาตรวจสอบที่ด่านตรวจยาเสพติด พบเป็นยาบ้าจำนวน  13กระสอบ ประมาณ 3,176,046 เม็ด จึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหา ทั้ง 6 คน พร้อมทั้ง ตรวจยึดของกลางทั้งหมด นำส่งพงส.สภ.สบปราบ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป และหาตัวผู้กระทำผิดต่อไป

คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 เวลาประมาณ 23.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ช้างเผือก จ.เชียงใหม่ ได้สืบสวนขยายผลจนพบผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ในเขตพื้นที่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ จนสามารถจับกุม นายราชันย์ อายุ 42 ปี พบของกลางยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 1,000 เม็ด จากการซักถามขยายผล พบว่านายราชันย์ฯยังมียาเสพติดซุกซ่อนอยู่อีกเป็นจำนวนมาก จึงได้ทำการสืบสวนสวนขยายผลเพิ่มเติม และสามารถตรวจยึดของกลาง เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) อีกจำนวน 200,000 เม็ด

จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการสืบสวนขยายผล ต่อเนื่อง จากกลุ่มผู้ลำเลียงยาเสพติดในเขตพื้นที่ จว.เชียงใหม่, พื้นที่ จว.ลำพูน และกลุ่มลูกค้าที่จะนำยาเสพติดไปจำหน่าย ในพื้นที่ จว.ลำพูน โดยสามารถจับกุมตัวผู้ร่วมขบวนการได้รวมทั้งหมด 6 คน พร้อมของกลางทั้งหมด เป็นยาเสพติด ให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 201,000 เม็ด พร้อมยึดทรัพย์ในการกระทำผิดเป็น รถยนต์จำนวน 3 คัน รถจักรยานยนต์จำนวน 1 คัน โทรศัพท์จำนวน 6 เครื่อง รวมมูลค่าประมาณ 1,700,000 บาท นำส่ง พงส.สภ.แม่แตง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป และหาตัวผู้กระทำผิดต่อไป

ตำรวจภูธรภาค 5 ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายตำรวจ ฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครอง สำนักงาน ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ได้นำบัญชาและข้อสั่งการของรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดไม่ให้เข้าไปสู่พื้นที่ตอนในอย่างเข้มข้นและจริงจัง และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

สรุปผลการจับกุมยาเสพติด ของ ตำรวจภูธรภาค 5 ห้วงตั้งแต่ 1 ต.ค.67 – 23 ก.พ.68 จับกุมคดียาเสพติด จำนวน 9,065 คดี คดียาเสพติดรายสำคัญ 44 คดี
- ยาบ้า 33 ล้านเม็ดเศษ - ไอซ์ 1,863 กิโลกรัมเศษ
ตรวจยึดของกลางยาเสพติด
- เฮโรอีน 143 กิโลกรัมเศษ - เคตามีน 802 กิโลกรัมเศษ
- ฝิ่น 8.9 กิโลกรัมเศษ

ตรวจยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับยาเสพติด

- มูลค่าทรัพย์สินประมาณ 289 ล้านบาทเศษ
 

เชียงใหม่-รมช.เกษตรฯเปิด 'งานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี ปอยข้าวสาลีล้านนา ครั้งที่ 5'

 

เมื่อวานนี้ (5 มี.ค.68) ณ ศูนย์วิจัยข้าวสะเมิง อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี ปอยข้าวสาลีล้านนา ครั้งที่ 5 ซึ่งกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย ศูนย์วิจัยข้าวสะเมิง และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันจัดขึ้น เพื่อประชาสัมพันธ์การผลิตข้าวสาลีและธัญพืชเมืองหนาวในประเทศประเทศไทย  และเป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิตและการแปรรูปผลิตภัณฑ์ต้นแบบจากธัญพืชเมืองหนาว โดยมี โดยมี นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว พร้อมด้วย นายศิริพงษ์ นำภา นายอำเภอสะเมิง ส่วนราชการ ผู้ประกอบการ ตลอดจนประชาชนและเกษตรกรชาวอำเภอสะเมิง เข้าร่วมงาน

นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ปัจจุบันไทยมีการนำเข้าข้าวสาลีจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก อีกทั้งเมื่อปี 2021 ที่ผ่านมา รัสเซียและยูเครน ส่งออกข้าวสาลี วัตถุดิบสำคัญในการผลิตขนมปังเป็นสัดส่วนสูงถึง 30% ของตลาดโลกโดยมีมากกว่า 50 ประเทศที่ต้องพึ่งพาการส่งออกจากทั้งสองประเทศนี้ อีกทั้งอินเดียเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวสาลีรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ได้ประกาศห้ามส่งออกข้าวสาลีเนื่องจากเกิดภาวะภัยแล้ง ส่งผลกระทบทำให้เกิดความขาดแคลนข้าวสาลีทั่วโลก 

โดยในปีนี้กรมการข้าวและศูนย์วิจัยข้าวสะเมิงได้มีการเปิดตัวข้าวบาร์เลย์ ที่ได้มีการพัฒนาสายพันธุ์เป็นรุ่นที่ 2 จนมีความเหมาะสมกับประเทศไทย มีความแข็งแรง ทนต่อโรค และให้ผลผลิตต่อไร่ที่ดี  ซึ่งในพื้นที่ภาคเหนือของไทยยังมีพื้นที่อีกมากสำหรับรองรับการส่งเสริมการปลูกพืชเมืองหนาว  ดังนั้น กรมการข้าวจึงได้นำนโยบายของกระทรวงเกษตรสหกรณ์ในการขยายผลการปลูกพืชเมืองหนาวทดแทนการปลูกข้าวในช่วงฤดูหนาว ไม่ว่าจะเป็นข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต และมอลต์ เพราะได้ราคาที่สูงกว่า และปัจจุบันกำลังเป็นที่ต้องการของตลาด ทั้งในส่วนที่เป็นเมล็ดพันธุ์และผลิตภัณฑ์แปรรูป โดยหากเกษตรกรสนใจก็สามารถมาซื้อเมล็ดพันธุ์ได้ที่กรมการข้าว หรือหากมีการรวมกลุ่มกันเป็นศูนย์ข้าวชุมชน หรือเกษตรกรแปลงใหญ่ กรมการข้าวก็จะสนับสนุนเมล็ดพันธุ์มาให้ในราคาที่ถูกลง หรือไม่มีค่าใช้จ่ายตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่

นายอัครา กล่าวอีกว่า คาดว่าในอนาคตจะมีความต้องการธัญพืชเมืองหนาวเป็นจำนวนมาก เนื่องจากขณะนี้ พ.ร.บ.สุราชุมชน ได้ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาจากสมาชิกวุฒิสภา ทั้งนี้ เมื่อกฎหมาย พ.ร.บ.สุราชุมชน ได้รับการอนุมัติแล้ว  กรมการข้าวจะช่วยส่งเสริมในการนำเมล็ดธัญพืชจากศูนย์ข้าวชุมชนและเกษตรกรแปลงใหญ่มาแปรรูปเป็นสุราชุมชน และยังมีการประกันราคาให้อีกด้วย  

ในวันนี้ต้องขอขอบคุณหน่วยงานกรมการข้าวที่ได้เห็นความสำคัญของการพัฒนางานวิจัยทางด้านข้าวสาลีและธัญพืชเมืองหนาว รวมทั้งสนับสนุนงบประมาณให้ดำเนินการวิจัยเรื่อง การพัฒนาศักยภาพการผลิตธัญพืชเมืองหนาวสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง ซึ่งมีศูนย์วิจัยข้าวสะเมิง กองวิจัยและพัฒนาข้าว เป็นศูนย์หลักในการดำเนินการ และหน่วยงานราชการในพื้นที่ทุกภาคส่วนทึ่เกี่ยวข้อง

ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพการผลิตธัญพืชเมืองหนาวสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูงได้ในอนาคต

นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีหน้าที่ส่งเสริม ส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่มีประสิทธิภาพ เสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารและพลังงานอย่างเหมาะสมและยั่งยืน สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มสอดคล้องกับความต้องการของตลาด และมีมาตรฐานปลอดภัยต่อผู้บริโภคทั้งภายในและต่างประเทศ รวมทั้งส่งเสริมให้มีการวิจัย พัฒนา และถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการเกษตรที่เหมาะสม นั้น

กรมการข้าว เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ สำหรับการวิจัยในโครงการ “การพัฒนาศักยภาพการผลิตธัญพืชเมืองหนาวสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง” โดยศูนย์วิจัยข้าวสะเมิงเป็นศูนย์หลักในการวิจัยและพัฒนาธัญพืชเมืองหนาวไทย ร่วมกับศูนย์วิจัยข้าวเชียงใหม่ ศูนย์วิจัยข้าวแม่ฮ่องสอน ศูนย์วิจัยข้าวแพร่ ศูนย์วิจัยข้าวเชียงราย ศูนย์วิจัยข้าวพิษณุโลก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา 

โดยทางโครงการ ฯได้จัดงาน“งานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี ปอยข้าวสาลีล้านนา ครั้งที่ 5” ในวันที่ 5 มีนาคม 2568 ณ ศูนย์วิจัยข้าวสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ มีผู้เข้างานทั้งหมด 1,300 ราย  ภายในงานมีกิจกรรม นิทรรศการด้านพันธุ์ และเทคโนโลยีการผลิต การสาธิตและการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากธัญพืชเมืองหนาว การประกวดภาพถ่าย และการแข่งขันประกอบอาหารจากธัญพืช เมืองหนาว การสาธิตอาหารแนวใหม่สไตล์ฟิวชั่นล้านนา (Fusion Food Lanna) กิจกรรมกาดมั่ว ตลาดนัดล้านนา กิจกรรมชุมชนพบปะกันระหว่างนักวิจัย ผู้ผลิต และผู้ประกอบการ ที่ใช้ประโยชน์ธัญพืชเมืองหนาว

ทั้งนี้เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์การผลิตข้าวสาลีในประเทศไทยและเป็นการจัดแสดงเชื้อพันธุกรรมข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และโอ๊ตมากกว่า 700 พันธุ์ให้แก่ผู้ประกอบการและผู้ที่สนใจ รวมทั้งเป็นการเปิดตัวข้าวบาร์เลย์สายพันธุ์ดีเด่น FNBL#140 เพื่อการทำมอลต์ ที่จะเตรียมรับรองพันธุ์ในปีงบประมาณ 2569 เนื่องจากไทยไม่มีพันธุ์รับรองข้าวบาร์เลย์ ตั้งแต่ปี 2528 นานมากกว่า 40 ปี โดยสายพันธุ์นี้ต้านทานโรคใบจุด รวมทั้งมีศักยภาพการให้ผลผลิตสูงสุด 339 กก./ไร่ ซึ่งให้ผลผลิตมากกว่าพันธุ์เดิมร้อยละ 20 ที่รับรองพันธุ์ไว้ เมื่อปี 2528 และที่สำคัญมีคุณภาพเพื่อการทำมอลต์ตามมาตรฐานสากล

นายศิริพงษ์ นำภา นายอำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่าอำเภอสะเมิง เป็นอำเภอหนึ่งใน 25 อำเภอ ของจังหวัดเชียงใหม่ มีสถานที่ท่องเที่ยวทั้งธรรมชาติ ประเพณี ศิลปะ วัฒนธรรมพื้นถิ่น และเลื่องลือไกล จะเป็นเรื่อง บรรยากาศราวกับอยู่ในสวิสเซอร์แลนด์ จนเป็นที่มาของคำขวัญอำเภอคือ “สตรอเบอรี่รสเยี่ยม ภูเขาสูงเทียมฟ้า ดอกไม้นานาพันธุ์ บรรยากาศสวิส ฯ เศรษฐกิจพอเพียง” 

อำเภอสะเมิงมีพืชเศรษฐกิจ ที่สำคัญ ได้แก่ สตรอเบอรี่ กระเทียม กล้วยน้ำว้า ส้ม ดอกไม้เมืองหนาว ดอกเก็กฮวย หญ้าหวาน รวมถึงพืชผักปลอดสารพิษ นักท่องเที่ยวมักจะนิยมมาเที่ยวสัมผัส ไร่สตรอเบอรี่ ทุ่งดอกเก็กฮวย ช่วงตั้งแต่เดือน พ.ย.ไปจนถึง ก.พ.ของทุกปี รวมถึง ทุ่งข้าวสาลี ณ ศูนย์วิจัยข้าวสะเมิงแห่งนี้ ซึ่งแต่เดิมเรารู้จักในชื่อ โครงการในพระราชประสงค์ที่ 7 ตามพระราชประสงค์ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการวิจัยข้าวสาลีและธัญพืชเมืองหนาวอื่น ๆ

จึงเป็นการดี ที่ในการจัดงานครั้งนี้ อำเภอสะเมิงจะได้มีโอกาส เผยแพร่ผลงานด้านการเกษตร ที่เกี่ยวกับธัญพืชเมืองหนาว อีกทางหนึ่ง อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจสืบต่อไป

เชียงใหม่-วิทยุการบินฯ เดินหน้าร่วมแก้ปัญหาหมอกควันไฟป่ามอบเครื่องเป่าลมทำแนวป้องกันไฟ ให้หมู่บ้านพื้นที่ภาคเหนือ

มนพร ห่วงประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากปัญหาไฟป่าและหมอกควัน สั่งการวิทยุการบินฯ ร่วมกับ ทุกภาคส่วนมุ่งหาแนวทางแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน เพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่น PM 2.5 อย่างต่อเนื่องสนับสนุนเครื่องเป่าลมทำแนวกันไฟ ให้กับหมู่บ้านในจังหวัดเชียงใหม่พร้อมสร้างแนวร่วมภาคประชาชนในการงดเว้นการจุดไฟบริเวณ แนวป่า ลดปัญหาหมอกควันไฟป่า สร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมให้ประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน ของทุกปี หลายพื้นที่ของประเทศมักประสบปัญหาไฟป่าและหมอกควันและปัญหา ฝุ่น PM 2.5 โดยเฉพาะพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน  รัฐบาลจึงมีนโยบายให้ทุกหน่วยงานร่วมมือกันขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง พร้อมเร่งขับเคลื่อนการดำเนินงานของทุกหน่วยงานให้เห็นผลเป็นรูปธรรม 

โดย บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) ได้ดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 ร่วมกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สนับสนุนกระบวนการขนย้ายเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ออกจากแปลง นำร่องพื้นที่ประมาณ 200 ไร่ ตำบลจางเหนือ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง 

และโครงการหมู่บ้านปลอดการเผาครั้งที่ 3 ร่วมกับ บริษัท เชียงใหม่วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด สนับสนุนรางวัลหมู่บ้านปลอดการเผาให้กับหมู่บ้านที่เข้าร่วมโครงการในขนาดพื้นที่ 2,000 ไร่ และส่งมอบเครื่องเป่าลมทำแนวกันไฟเพื่อป้องกันไฟป่า ให้กับผู้แทนหมู่บ้านในจังหวัดเชียงใหม่ นอกจากนี้ยังได้สนับสนุนการปฏิบัติการบินแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ร่วมกับกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อีกด้วย

นายณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ เปิดเผยว่า ในโอกาสครบรอบการดำเนินงานปีที่ 77 ของวิทยุการบินฯ จึงได้สนับสนุนเครื่องเป่าลม จำนวน 25 เครื่อง งบประมาณ 270,000 บาท ให้กับบริษัท เชียงใหม่วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด เพื่อมอบให้กับหมู่บ้านในจังหวัดเชียงใหม่ นำไปต่อสู้กับไฟป่า 

ซึ่งเครื่องเป่าลมเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้างแนวกันไฟในพื้นที่ที่ไม่สามารถใช้อุปกรณ์ขนาดใหญ่ที่เข้าถึงได้ สามารถใช้เครื่องเป่าใบไม้ ออกจากหุบเขาแคบๆ ทางลาดชัน และพื้นที่อื่นๆ ที่เข้าถึงยาก เป็นการลดผลกระทบปัญหาหมอกควันไฟป่าที่ส่งผลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน 

ทั้งนี้ วิทยุการบิน ขอร่วมเป็นอีกองค์กรหนึ่งในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษด้าน ฝุ่นควัน พร้อมขับเคลื่อนร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อส่งเสริมแนวทางการป้องกันและลดปัญหาฝุ่นควันอย่างยั่งยืน

'เชียงราย' ไทย-ลาว จับมือแน่น! ขับเคลื่อนแผน 'SEAL STOP SAFE' สกัดยาเสพติดทะลักชายแดน

ภายใต้แผนปฏิบัติการ 'SEAL STOP SAFE' ตามนโยบายรัฐบาลไทย พล.ท.กิตติพงศ์ ชื่นใจชน แม่ทัพน้อยที่ 3/ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ (ผบ นบ.ยส.35) พร้อมคณะทำงานจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 5 (ปปส.ภาค 5) ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ระหว่างวันที่ 12-13 มีนาคม พ.ศ. 2568 เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด

**วันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมาคณะฯ ได้เดินทางไปยังแขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว โดยเริ่มจากการตรวจเยี่ยมและประสานการปฏิบัติงาน ณ ด่านสกัดกั้นยาเสพติดร่วมน้ำเกิ๋ง เมืองต้นผึ้ง ซึ่งมี พ.ท.วิไลสัก กิดติมานุรัก รองหัวหน้าด่านน้ำเกิ๋ง ให้การต้อนรับ จากนั้น คณะฯ ได้เข้าพบปะหารือและประสานงานด้านยาเสพติด ณ กองบัญชาการป้องกันความสงบ แขวงบ่อแก้ว โดยมี พล.จ.จันพอนเพ็ด คำสี หัวหน้ากองบัญชาการป้องกันความสงบแขวงบ่อแก้ว ให้การต้อนรับ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงแนวทางความร่วมมือในการสกัดกั้นยาเสพติด รวมถึงการประสานงานเพื่อจับกุมผู้ต้องหาในคดียาเสพติดที่อาจหลบหนีเข้ามาใน สปป.ลาว นอกจากนี้ ฝ่ายไทยยังได้มอบยุทโธปกรณ์เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ลาวในการสกัดกั้นยาเสพติดในพื้นที่แขวงบ่อแก้ว

**วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมาคณะฯ ได้เข้าพบปะหารือและประสานงานความร่วมมือด้านยาเสพติดกับ ดร.คำผะหยา พมปันยา รองเจ้าแขวงบ่อแก้ว ณ ห้องว่าการแขวงบ่อแก้ว เมืองห้วยทราย โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ของทั้งสองฝ่ายเข้าร่วมการหารือ อาทิ นบ.ยส.35, อัครราชทูตที่ปรึกษาด้านควบคุมยาเสพติดประจำสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ เวียงจันทน์, ปปส.ภาค 5, รอง ผอ.รมน.จว.ช.ร., ฝ่ายปกครองอำเภอพื้นที่ติดแนวชายแดน สปป.ลาว, กองบัญชาการป้องกันความสงบแขวง (ตำรวจ), กองบัญชาการทหารแขวงฯ และแผนกการต่างประเทศแขวง การหารือในครั้งนี้เป็นการแนะนำตัวเพื่อสร้างความสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และหารือถึงแนวทางความร่วมมือในการแก้ไขปัญหายาเสพติดร่วมกัน

การเดินทางเยือน สปป.ลาว ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยการเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ

การประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นการกระชับความสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และกำหนดแนวทางความร่วมมือในการต่อต้านยาเสพติดร่วมกัน โดยทั้งสองฝ่ายได้แสดงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ในการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ส่งผลกระทบต่อทั้งสองประเทศ

พล.ท.กิตติพงศ์ ชื่นใจชน กล่าวว่า "ความร่วมมือระหว่างไทยและลาวในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจัง เราจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อปกป้องประชาชนจากภัยร้ายนี้"

ด้าน ดร.คำผะหยา พมปันยา กล่าวว่า "รัฐบาลลาวให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหายาเสพติด และพร้อมที่จะร่วมมือกับประเทศไทยอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนทั้งสองประเทศ"

การหารือครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองประเทศในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง และเป็นสัญญาณที่ดีของความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้านในการต่อสู้กับภัยร้ายนี้

เชียงใหม่-คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิด Innovation for a new life ห้องคลอดสวนดอกโฉมใหม่ มาตรฐานสากล พร้อมศูนย์วินิจฉัยทารกในครรภ์ระดับสูง ครบวงจร

(27 มี.ค. 68) คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดตัวห้องคลอดแห่งใหม่ ยกระดับมาตรฐานการดูแลแม่และทารกที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ความสะดวกสบายให้กับคุณแม่และทารกแรกเกิด โดยเน้นเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมาตรฐานการดูแลระดับสูง เพื่อให้ประสบการณ์การคลอดเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยที่สุด ณ ชั้น 3 อาคารผ่าตัด สูติกรรม คณะแพทยศาสตร์ มช. ในวันอังคารที่ 25 มีนาคม 2568 ระหว่างเวลา 09.30-11.00 น. ณ ชั้น 15 อาคารเฉลิมพระบารมีคณะแพทยศาสตร์ มช.

รศ.นพ.นเรนทร์ โชติรสนิรมิต คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดเผยว่า “ เนื่องมาจากห้องคลอดของหน่วยคลอดและหน่วยผ่าตัดสูตินรีเวชโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ได้เปิดให้บริการแก่สตรีตั้งครรภ์และผู้ป่วยทางนรีเวชมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 60 ปี จึงถึงเวลาต้องปรับปรุงทางกายภาย เพื่อให้รับบริการได้ประโยชน์สูงสุด 

โดยห้องคลอดปรับปรุงใหม่นี้ ถูกออกแบบตามแนวคิด “ระบบทางเดียว” โดยแยกของสะอาดและของสกปรกออกจากกัน ลดความเสี่ยงต่อการปนเปื้อน พร้อมทั้งใช้วัสดุตกแต่ง เช่น ผนังและฝ้าเพดานที่มีพื้นผิวเรียบ รอยต่อน้อย เพื่อลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และแรงดันอากาศ รวมถึงระบบไหลเวียนและกรองอากาศ เพื่อให้บริเวณเตียงคลอดมีอากาศสะอาดปราศจากเชื้อโรค
 
นอกจากนี้ ห้องคลอดใหม่ยังมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ทันสมัย รองรับการคลอดทุกรูปแบบ รวมถึงภาวะฉุกเฉิน ห้องพักสำหรับคลอดที่เป็นส่วนตัว ออกแบบให้เหมาะกับการผ่อนคลายของคุณแม่ โดยมีทีมแพทย์ และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญ ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมระบบดูแลทารกแรกเกิดแบบครบวงจร ป้องกันภาวะแทรกซ้อนและส่งเสริมพัฒนาการตั้งแต่แรกเกิด ภายในห้องคลอดยังติดตั้งอุปกรณ์ที่ทันสมัย ทั้งระบบไฟฟ้า หัวจ่ายแก๊ส และเครื่องมือทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานระดับสากล ซึ่งไม่เพียงช่วยเสริมความปลอดภัยในการรักษาของผู้เข้ารับบริการเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนการสอนทางการแพทย์ ให้ผู้เรียนและผู้ปฏิบัติงานสามารถฝึกปฏิบัติในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและทันสมัย การเปิดตัวห้องคลอดนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของคณะแพทยศาสตร์ มช. ในการยกระดับมาตรฐานการให้บริการทางการแพทย์และการศึกษาด้านสูติศาสตร์ เพื่อความปลอดภัยและคุณภาพสูงสุดแก่ทั้งบุคลากรและผู้รับบริการ”

 รศ.นพ.กิตติภัต เจริญขวัญ หัวหน้าภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดเผยว่า “หน่วยคลอดของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ มีความพร้อมในการให้บริการสตรีตั้งครรภ์ทุกรายที่มาคลอด ทั้งรายที่มีความเสี่ยงต่ำและความเสี่ยงสูง ทั้งการคลอดแบบธรรมชาติ การคลอดโดยใช้อุปกรณ์พิเศษช่วย และการผ่าตัดคลอด ทั้งนี้ภาวะตั้งครรภ์เสี่ยงสูงหรือภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย 10 อันดับแรกในสตรีตั้งครรภ์ที่มาคลอดในปี พ.ศ. 2567 ได้แก่โรคเบาหวาน ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ความดันโลหิตสูง (ครรภ์เป็นพิษ) ทารกโตช้าในครรภ์ ทารกท่าก้น น้ำเดินก่อนกำหนด ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เนื้องอกมดลูก คอพอกเป็นพิษ และรกเกาะต่ำ  

บ่อยครั้งที่ภาวะเหล่านี้ ส่งผลให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 18  ของการคลอดทั้งหมดในปี พ.ศ.2567 รวมถึงเพิ่มความจำเป็นในการผ่าตัดคลอดอีกด้วย  ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมส่งมอบการดูแลที่ปลอดภัยให้กับมารดาและทารก รวมถึงผู้ป่วยทางนรีเวช ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า โดยทีมแพทย์และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสูง”

ด้านรศ.พญ.เฟื่องลดา ทองประเสริฐ อาจารย์ประจำหน่วยเวชศาสตร์มารดาและทารก ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยาณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดเผยว่า “ศูนย์วินิจฉัยทารกในครรภ์ (Fetal Diagnostic Center หรือ Fetal Center) เป็นศูนย์ที่ให้บริการตรวจคัดกรอง วินิจฉัย และดูแลรักษาทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนถึงช่วงแรกหลังคลอดครอบคลุมทั้งขั้นพื้นฐานและขั้นสูง พร้อมทั้งเป็นศูนย์กลางด้านวิชาการและการฝึกอบรม เพื่อพัฒนาผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ทารกในครรภ์ และส่งเสริมการวิจัยอย่างต่อเนื่อง 

จุดเด่นของศูนย์ คือสามารถตรวจคัดกรองความผิดปกติของทารกตั้งแต่ไตรมาสแรก ตรวจโรคทางพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย กลุ่มอาการดาวน์ และโรคหายากอื่น ๆ โดยการเจาะชิ้นเนื้อรก ทั้งนี้ศูนย์วินิจฉัยทารกในครรภ์ คณะแพทยศาสตร์ มช. เป็นศูนย์ที่ให้บริการตรวจชิ้นเนื้อรกมากที่สุดในประเทศ 

ศูนย์ฯ ยังมีความเชี่ยวชาญด้านหัตถการเฉพาะทาง  เช่นการเจาะเลือดสายสะดือของทารกในครรภ์ เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคที่ซับซ้อน โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยระดับนานาชาติ นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์เดียวในภาคเหนือที่สามารถรักษาทารกในครรภ์โดยการเติมเลือด หรือ การส่องกล้องรักษาครรภ์แฝดที่มีภาวะแทรกซ้อน ทั้งนี้เพื่อให้มารดาที่ตั้งครรภ์ ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด และดำเนินการคลอดอย่างปลอดภัยที่สุด

‘จิรายุ’ ชวนเที่ยว!! เชียงใหม่ งานสงกรานต์ปี๋ใหม่เมือง ยัน!! ปลอดภัย ไร้ผลกระทบ จากเหตุแผ่นดินไหว

(7 เม.ย. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า วันนี้ตนได้ลงพื้นที่พร้อมกับ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และนายณัชฐเดช มุลาลี นายอำเภอเมืองเชียงใหม่ เข้าตรวจสอบอาคารที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว พบว่าจังหวัดเชียงใหม่มีเพียง 3 อาคาร ที่ได้รับผลกระทบที่แตกต่างกันไป โดยอาคารที่ 1 เป็นอาคารเก่า ‘ดวงกมลคอนโดมิเนียม’ ก่อสร้างมานานมากกว่า 30 ปีเป็นอาคารสูง 8 ชั้น มีจำนวน 102 ห้อง อยู่ที่ตำบล ช้างคลานอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ขณะนี้ จังหวัดเชียงใหม่ได้ประกาศปิดห้ามใช้อาคารทั้งหมดและได้ใช้เหล็กค้ำยันที่ชั้น 1 มากกว่า 10 จุด เพื่อป้องกันไม่ให้อาคารทรุดเนื่องจากโครงสร้างด้านล่างชั้น 1 บิดงอและมีรอยแตกร้าว โดยฝ่ายโยธาก็จะประสานงานเพื่อดำเนินการให้เจ้าของตึกแก้ไขปรับปรุงต่อไป ส่วนอาคารหลังที่ 2 และ 3 นั้น เป็นอาคารคอนโดมิเนียมสูง 22 ชั้น ซึ่งไม่มีผลกระทบทางโครงสร้าง เป็นเพียงอุปกรณ์ตกแต่งและปูนที่ฉาบแตกร้าว ขณะนี้ จังหวัดได้ให้นิติบุคคลเร่งแก้ไขเนื่องจากผู้อยู่อาศัยทั้งหมดได้ย้ายออกมาอยู่ข้างนอกชั่วคราว

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า ผลกระทบด้านอื่นๆของจังหวัดเชียงใหม่มีน้อยมาก และกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากว่า 5 วันแล้ว สำหรับบรรยากาศต่างๆโดยเฉพาะการท่องเที่ยวของเมืองเชียงใหม่ ทั้งถนนนิมมานฯ ถนนคนเดิน และร้านอาหาร บริเวณรอบคูเมือง ยังคึกคัก นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติยังคงเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้เร่งประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยเฉพาะช่วง เทศกาลสงกรานต์ที่จะเริ่มต้นขึ้นในปลายสัปดาห์นี้

“ยืนยันจังหวัดเชียงใหม่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์เชียงใหม่ หรือ ประเพณีปี๋ใหม่เมือง ด้วยความวัฒนธรรมและประเพณีที่งดงาม” นายจิรายุ กล่าวทิ้งท้าย

‘นายกฯอิ๊งค์’ เตรียมลงพื้นที่ ‘เชียงใหม่’ ตรวจความปลอดภัย ดูแลนักท่องเที่ยว ชู!! สงกรานต์ ‘ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง’ ซอฟต์พาวเวอร์ของไทย วัฒนธรรมอันดีงาม

(12 เม.ย. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันพรุ่งนี้อาทิตย์ที่ 13 เมษายน 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเดินทางไปตรวจราชการที่  จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อตรวจการดูแลการรักษาความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว และการอำนวยความสะดวกในการเดินทางในแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ของภาคเหนือ อาทิ การอำนวยความสะดวกของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และฝ่ายปกครอง รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กองทัพ หน่วยแพทย์ต่างๆ ในทุกจังหวัดตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ที่ให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ ในเรื่องการดูแลช่วงเทศกาลสงกรานต์ เมื่อวันอังคารที่ 8 เมษายน ที่ผ่านมา 

ส่วนการสนับสนุนและการสร้างความมั่นใจให้กับการท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคเหนือ และจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากนั้น นายกรัฐมนตรีจะไปเป็นประธาน เปิดงานเทศกาลสงกรานต์ระดับนานาชาติ และร่วมสืบสานประเพณี 'ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง' จังหวัดเชียงใหม่ โดยวันอาทิตย์ ที่ 13 เมษายน ช่วงเวลาประมาณ 16.30 น. ที่ 'ช่วงประตูท่าแพ' (ฝั่งถนนชัยภูมิ) อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ โดยนายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานเปิดงาน  “Amazing Songkran Chiangmai x Boryeong Mud Festival 2025” ซึ่งเป็นความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับประเทศเกาหลีใต้ 

ภายในงานนี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานเปิดงาน 'อุโมงค์น้ำ Maha Songkran Chiang Mai Amazing Water Splash' และปล่อยขบวน 'ตุ๊ก ตุ๊ก ไทยแลนด์ มหาม่วน มหามันส์' และร่วมกิจกรรมต่างๆ กับนักท่องเที่ยว จากนั้นนายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปยังวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อทำพิธีสรงน้ำพระพุทธสิหิงค์ ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดเชียงใหม่ ก่อนเดินทางต่อไปยัง ลานเมญ่าสแควร์ ศูนย์การค้าเมญ่า อำเภอเมืองเชียงใหม่  เพื่อร่วมกิจกรรม 'SF My Water World Songkran Festival 2025'

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า ในวันจันทร์ที่ 14 เมษายน 2568 นายกรัฐมนตรีจะร่วมงาน “ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมืองสันกำแพง” ณ ชุมชนโหล่งฮิมคาว อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่  ภายในงาน จะรับชมการแสดงต้อนรับจากชาวชุมชนโหล่งฮิมคาว และร่วมสรงน้ำพระพุทธรูปและรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุอำเภอสันกำแพง ตลอดจนเดินชม 'เทศกาลตามรอยหัตถกรรม ความทรงจำสันกำแพง' ในกิจกรรม '10 โหม้งโหล่งผะญ๋า' และสินค้าของดี OTOP ของอำเภอสันกำแพง

“การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรี ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงนโยบายสำคัญของรัฐบาล ทั้งเรื่องการส่งเสริม วัฒนธรรมประเพณีของประเทศไทย รวมทั้งการสนับสนุนการท่องเที่ยว และนโยบาย 'ซอฟต์พาวเวอร์' ของไทยที่ได้แปรเปลี่ยนมาเป็น สินค้าอันสำคัญของไทย และเป็นการแสดงเจตนารมณ์สำคัญของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากผ่านกิจกรรมวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน” นายจิรายุ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top