Saturday, 7 June 2025
อินเดีย

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้ไทยเป็นทางผ่าน หลอกคนอินเดียทำงานสแกมเมอร์ในลาว

สถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจำกรุงเวียงจันทน์ของลาว เปิดเผยเมื่อ (27 ม.ค. 68) ว่าได้ให้การช่วยเหลือคนอินเดีย 67 คนที่ถูกหลอกให้ทำงานในศูนย์คอลเซ็นเตอร์ผิดกฎหมายในลาวได้สำเร็จ พร้อมออกคำเตือนถึงหนุ่มสาวชาวอินเดียให้ระมัดระวังการถูกหลอก โดยเฉพาะหากได้รับข้อเสนองานในประเทศไทย  

สถานทูตอินเดียในลาวระบุว่า เหยื่อส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวที่ถูกกลุ่มอาชญากรในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ (GTSEZ) แขวงบ่อแก้ว ประเทศลาว หลอกลวงให้มาทำงาน ก่อนจะถูกข่มขู่และทำร้ายร่างกาย

เมื่อสถานทูตได้รับแจ้งเหตุ เจ้าหน้าที่ได้ส่งทีมลงพื้นที่และประสานงานกับตำรวจลาวเพื่อช่วยเหลือเหยื่อ โดยหลังจากจัดการเอกสารเรียบร้อยแล้ว ผู้เสียหายทั้งหมดถูกพาตัวจากแขวงบ่อแก้วมายังกรุงเวียงจันทน์ และได้รับการดูแลด้านที่พัก อาหาร และสิ่งจำเป็นอื่น ๆ อย่างครบถ้วน  

เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศลาว ได้เข้าพบผู้เสียหายเพื่อให้กำลังใจ รับฟังเรื่องราว และให้คำแนะนำเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินคดีต่อกลุ่มนายหน้าค้ามนุษย์ โดยยืนยันว่าจะเร่งดำเนินการส่งผู้เสียหายกลับบ้านอย่างปลอดภัยโดยเร็วที่สุด  

สถานทูตอินเดียขอบคุณเจ้าหน้าที่ลาวที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และเรียกร้องให้ดำเนินการกับแก๊งอาชญากรในเขตสามเหลี่ยมทองคำอย่างจริงจัง โดยเรื่องนี้ได้ถูกนำเสนอต่อผู้บริหารระดับสูงของทางการลาวแล้ว โดยที่ผ่านมา สถานทูตอินเดียประจำกรุงเวียงจันทน์ได้ให้ความช่วยเหลือคนอินเดียรวม 924 คนในช่วงที่ผ่านมา โดย 857 คนได้เดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย  

สถานทูตฯ ยังได้เตือนว่า หากชาวอินเดียได้รับข้อเสนองานในประเทศไทย แต่เมื่อเดินทางถึงไทยแล้วกลับถูกพาไปเชียงรายที่ติดชายแดนไทย-ลาว นั่นอาจเป็นสัญญาณของการถูกหลอกลวงและนำตัวไปยังเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำในลาว ซึ่งเมื่อไปถึง เหยื่อมักจะถูกยึดหนังสือเดินทางและบังคับให้เซ็นสัญญาที่เขียนเป็นภาษาต่างประเทศ ทำให้ตกเป็นเหยื่อได้ง่าย  

สถานทูตฯ แนะนำให้ผู้ที่สนใจทำงานต่างประเทศตรวจสอบข้อมูลจากเว็บไซต์สถานทูตหรือสอบถามข้อมูลโดยตรงก่อนรับข้อเสนอใด ๆ และหากสงสัยว่าอาจตกเป็นเหยื่อ ให้รีบติดต่อสถานทูตทันที เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกหลอกและตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์

ทรัมป์ฟาดหนัก! ขู่ BRICS เจอภาษี 100% แน่ หากกล้าแทนที่ดอลลาร์สหรัฐฯ

(31 ม.ค.68) อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกคำเตือนผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ถึงกลุ่มประเทศ BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้) โดยขู่ว่าจะขึ้นภาษี 100% หากกลุ่มประเทศเหล่านี้พยายามแทนที่ดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยสกุลเงินใหม่หรือสนับสนุนสกุลเงินอื่นในการค้าระหว่างประเทศ

ทรัมป์ระบุว่า “แนวคิดที่ว่ากลุ่ม BRICS จะหันหลังให้กับดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่เรายืนดูอยู่นั้นต้องจบลงแล้ว” พร้อมย้ำว่าสหรัฐฯ จะเรียกร้องให้ประเทศเหล่านี้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่สร้างสกุลเงินใหม่ของ BRICS หรือสนับสนุนสกุลเงินอื่นเพื่อแทนที่ดอลลาร์สหรัฐฯ 

“หากพวกเขาไม่ปฏิบัติตาม พวกเขาจะต้องเผชิญกับภาษี 100% และควรเตรียมตัวโบกมืออำลาการค้ากับเศรษฐกิจอันยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯ” ทรัมป์กล่าว พร้อมเสริมว่า “พวกเขาสามารถไปหาประเทศอื่นที่ยอมจำนนได้ แต่ไม่มีทางที่ BRICS จะเข้ามาแทนที่ดอลลาร์สหรัฐฯ ในการค้าระหว่างประเทศหรือที่ใดก็ตาม”

คำเตือนของทรัมป์เกิดขึ้นในบริบทที่กลุ่ม BRICS ได้แสดงความสนใจในการลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐฯ และมีการหารือเกี่ยวกับการสร้างระบบการชำระเงินหรือสกุลเงินใหม่เพื่อลดอิทธิพลของสหรัฐฯ ในระบบการเงินโลก อย่างไรก็ตาม การขู่ว่าจะขึ้นภาษี 100% ของทรัมป์อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และกลุ่ม BRICS ในอนาคต

ลี ยัต-หลง ดาราฮ่องกงโกนหัวบวชที่อินเดีย เลือกเดินทางสู่ทางธรรมหลังเลิกรากับแฟน

(14 ก.พ.68) สื่อฮ่องกงรายงานว่า ลี ยัต-หลง Don Li Yat-long (ดอนหลี่) อดีตแฟนหนุ่มของมิสฮ่องกง วัย 43 ปี ตัดสินใจโกนศีรษะและบวชเป็นพระที่อินเดีย หลังจากผิดหวังในความรัก  

ก่อนหน้านี้ ลี ยัต-หลง ได้เดินทางไปอินเดียพร้อมกลุ่มเพื่อนเพื่อพักผ่อน แต่ล่าสุด เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2025 ภาพของเขาในชุดจีวรพระภิกษุได้ปรากฏบนสื่อออนไลน์ สร้างความประหลาดใจให้กับแฟน ๆ และผู้ที่ติดตามข่าวของเขา  

แหล่งข่าวระบุว่า การบวชครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากพระผู้ใหญ่จากไต้หวันและไทย ซึ่งเป็นประธานในพิธีบรรพชาให้กับเขา  

ลี ยัต-หลง เคยมีชื่อเสียงจากความสัมพันธ์กับอดีตมิสฮ่องกง แต่หลังจากเลิกรากัน เขายังไม่พบความสัมพันธ์ใหม่ และอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจหันหน้าเข้าสู่ทางธรรม  

ทั้งนี้ ไม่มีรายงานว่าเขาจะบวชตลอดชีวิตหรือเป็นเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยแฟนๆ ยังคงติดตามความเคลื่อนไหวของเขาอย่างใกล้ชิด

อินเดียรื้อสอบบริษัทโยง ‘จอร์จ โซรอส’ เอี่ยวรับทุนอเมริกา (USAID) กว่า 80 ล้านรูปี

(4 เม.ย. 68) คณะกรรมการบังคับใช้กฎหมายของอินเดีย (Enforcement Directorate – ED) อยู่ระหว่างการสอบสวนเชิงลึกเกี่ยวกับเส้นทางการเงินของบริษัทแห่งหนึ่งที่มีความเชื่อมโยงกับมหาเศรษฐีนักลงทุนชื่อดังระดับโลก “จอร์จ โซรอส” หลังพบว่าบริษัทดังกล่าวได้รับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) เป็นจำนวนกว่า 80 ล้านรูปี หรือราว 32 ล้านบาทไทย ในช่วงปีงบประมาณ 2022-2023

แหล่งข่าวจาก ED เปิดเผยว่าบริษัทดังกล่าวอธิบายว่า มีการคืนเงิน 80 รูปี สำหรับบริการที่ให้แก่กลุ่มงานวิจัยในเดลีที่มีชื่อว่า Council on Energy Environment and Water (CEEW) อย่างไรก็ตาม ในแถลงการณ์ต่อ HT.com CEEW ปฏิเสธว่าไม่มีการเชื่อมโยงไปยัง George Soros หรือ Open Society Foundations

“CEEW ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจอร์จ โซรอส หรือมูลนิธิโอเพ่นโซไซตี้ ASAR Social Impact Advisors ได้รับการว่าจ้างจาก CEEW เพื่อให้บริการเฉพาะสำหรับโครงการ USAID ที่เกี่ยวข้องกับอากาศที่สะอาดขึ้น โครงการนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว CEEW ไม่มีความสัมพันธ์กับ ASAR ในขณะนี้ CEEW ไม่ได้รับคำถามใดๆ จากหน่วยงานรัฐบาลใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ASAR เราไม่มีเหตุผลและไม่มีพื้นฐานใดๆ ที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการสืบสวนที่กำลังดำเนินอยู่” CEEW กล่าว

เจ้าหน้าที่ ED ระบุว่า การสอบสวนครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อตรวจสอบว่าเงินทุนดังกล่าวถูกนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่ประกาศไว้หรือไม่ และมีการละเมิดกฎหมายว่าด้วยเงินทุนต่างประเทศ (FCRA) หรือไม่ โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่อาจมีนัยทางการเมือง หรืออิทธิพลต่อความมั่นคงของประเทศ

สำหรับ จอร์จ โซรอส นักธุรกิจชาวอเมริกันเชื้อสายฮังการี เป็นนักวิเคราะห์ค่าเงิน นักลงทุนหุ้น ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานบริษัท Soros Fund Management และสถาบัน Open Society Institute ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้สนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคมและการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยทั่วโลก เคยตกเป็นเป้าการวิพากษ์วิจารณ์จากรัฐบาลอินเดียในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทอยู่เบื้องหลังความเคลื่อนไหวที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล

แม้ในเบื้องต้นยังไม่มีข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการต่อบริษัทดังกล่าว แต่การสอบสวนของ ED ได้รับความสนใจจากสาธารณชนและสื่ออินเดียอย่างกว้างขวาง โดยมีการจับตาว่าเรื่องนี้อาจลุกลามไปสู่การทบทวนนโยบายเกี่ยวกับการรับเงินทุนจากต่างประเทศในวงกว้าง

โฆษกของ USAID ยังไม่ออกมาแสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ ขณะที่ตัวแทนของบริษัทที่อยู่ระหว่างการสอบสวนได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า ยินดีให้ความร่วมมือกับทางการอินเดียอย่างเต็มที่ และยืนยันว่าเงินทุนทั้งหมดถูกนำไปใช้เพื่อ “โครงการด้านการพัฒนาและสาธารณประโยชน์” อย่างโปร่งใสและถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ

ทั้งนี้ การสอบสวนยังคงดำเนินอยู่ โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

อินเดียปิดประตูใส่ BYD หวั่นโดนทุ่มตลาดจากจีน แต่เปิดช่องเจรจา Tesla ตั้งโรงงาน ดึงดูดทุนสหรัฐฯ

(9 เม.ย. 68) รัฐบาลอินเดียได้ตัดสินใจ จำกัดการเข้าถึงตลาด สำหรับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่จากจีนอย่าง BYD Co. ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำด้าน EV ของโลก ท่ามกลางความพยายามของอินเดียในการดึงดูดการลงทุนจากบริษัทคู่แข่งสัญชาติอเมริกันอย่าง Tesla Inc.

แหล่งข่าวจากภาครัฐระบุว่า การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นในช่วงเวลาที่ Tesla กำลังพิจารณาการตั้งฐานการผลิตในอินเดีย ซึ่งทางรัฐบาลได้แสดงความตั้งใจอย่างชัดเจนในการอำนวยความสะดวกและเสนอสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้กับบริษัทของอีลอน มัสก์ ในขณะที่บริษัทจีนอย่าง BYD กลับถูก 'ควบคุมและจำกัด' มากขึ้นในด้านการเข้าถึงตลาดและการขยายกิจการ

การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลด้านความมั่นคงระดับชาติของอินเดียที่ยังคงมีต่อจีน แม้ในช่วงหลังความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศจะมีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น โดยเฉพาะในเวทีการทูตระดับภูมิภาค

“รัฐบาลอินเดียยังคงระมัดระวังอย่างมากกับการลงทุนจากจีน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเชิงกลยุทธ์อย่างยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีองค์ประกอบด้านเทคโนโลยีและข้อมูลเป็นหัวใจสำคัญ” พียูช โกยาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าว

ท่าทีดังกล่าว สะท้อนแนวทางปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศที่แข็งแกร่งมากขึ้น โดยอินเดียได้กำหนด ภาษีนำเข้ารถยนต์ที่ประกอบสำเร็จรูป (CBU) ไว้สูงถึง 100% ซึ่งถือเป็นหนึ่งในอัตราภาษีนำเข้าที่ 'สูงที่สุด' ในบรรดาเศรษฐกิจขนาดใหญ่ทั่วโลก

“นโยบายนี้เป็นเครื่องมือในการปกป้องผู้ผลิตรถยนต์ภายในประเทศ พร้อมทั้งผลักดันให้นักลงทุนต่างชาติสร้างฐานการผลิตภายในอินเดีย แทนการนำเข้าสินค้าสำเร็จรูป” นักวิเคราะห์จากมุมไบให้ความเห็น

อย่างไรก็ดี อินเดียถือเป็นหนึ่งในตลาด EV ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก และกำลังกลายเป็นจุดหมายสำคัญของผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ระดับโลก ท่ามกลางนโยบายส่งเสริมพลังงานสะอาดของนายกฯ อินเดีย นเรนทรา โมดีแต่การจัดการสมดุลระหว่างความมั่นคงและการลงทุนต่างชาติยังคงเป็นโจทย์ท้าทาย

ทั้งนี้ การตัดสินใจเรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในปีที่แล้วนิวเดลีได้ปฏิเสธข้อเสนอการลงทุนมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ (ราว 36,000 ล้านบาท) จาก BYD ที่ร่วมมือกับบริษัทท้องถิ่น 

นอกจากนี้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์จากจีนรายอื่นอย่าง Great Wall Motor Co. ขอถอนตัวออกจากอินเดียหลังจากไม่สามารถขอรับการอนุมัติที่จําเป็นจากหน่วยงานกํากับดูแลได้ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่บริษัทจีนต้องเผชิญในการพยายามเข้าสู่หรือขยายธุรกิจในตลาดอินเดีย

ในขณะที่อินเดียยังคงรักษาจุดยืนที่ระมัดระวังต่อการลงทุนจากจีน และกําลังแสวงหาความร่วมมือที่อาจเกิดขึ้นกับบริษัทอเมริกันอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Tesla Inc อย่างไรก็ตามรายละเอียดของข้อตกลงที่เกิดขึ้นระหว่างอินเดียและ Tesla ยังไม่ได้รับการเปิดเผย

ขณะที่บรรดาผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอินเดียอย่าง Tata Motors และ Mahindra & Mahindra สามารถเติบโตได้ดี โดยก่อนหน้านี้พวกเขาต่างคัดค้านการผ่อนปรนภาษีนำเข้า เนื่องจากเกรงว่าจะเปิดทางให้ผู้เล่นต่างชาติเข้ามาทำตลาดในราคาที่แข่งขันได้ยากสำหรับผู้ผลิตท้องถิ่น

‘กลุ่มก่อการร้าย’ กราดยิงนักท่องเที่ยวในรัฐจัมมูและแคชเมียร์ ดับสลด 26 ศพ เจ็บอีก 17 ราย ‘ทรัมป์’ โพสต์ประณามพร้อมหนุนอินเดีย

(23 เม.ย. 68) เกิดเหตุกราดยิงใส่กลุ่มนักท่องเที่ยวในเมืองปาฮาลกัม รัฐจัมมูและแคชเมียร์ ประเทศอินเดีย โดยกลุ่มมือปืนประมาณ 3-4 คน ใช้อาวุธปืนกราดยิงใส่นักท่องเที่ยวที่กำลังเดินทางอยู่ในพื้นที่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 26 คน และบาดเจ็บอีก 17 คน ถือเป็นเหตุโจมตีรุนแรงที่สุดในอินเดียในรอบหลายปี

ตามรายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย 25 คน และชาวเนปาล 1 คน การโจมตีเกิดขึ้นในทุ่งหญ้านอกถนน ก่อนที่กลุ่มมือปืนจะหลบหนีไป โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 22 เมษายน ตามเวลาท้องถิ่น

อย่างไรก็ตาม กลุ่ม 'กองกำลังต่อต้านแคชเมียร์' ได้ออกมารับผิดชอบการโจมตีนี้ผ่านทางโซเชียลมีเดีย โดยกล่าวถึงความไม่พอใจที่มีผู้คนจากภายนอกเข้ามาตั้งถิ่นฐานในแคชเมียร์

นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ซึ่งอยู่ระหว่างการเยือนซาอุดีอาระเบีย ได้ตัดสินใจกลับกรุงเดลีเพื่อดูแลสถานการณ์ ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์ประณามเหตุการณ์ดังกล่าว และแสดงการสนับสนุนอินเดียในการต่อสู้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย

นายกอินเดียลั่น ‘ตามล่าถึงขอบโลก’ ผู้ก่อเหตุชาวปากีฯ กราดยิงในแคชเมียร์ พร้อมตัดสนธิสัญญาแม่น้ำสินธุ-ขับเจ้าหน้าที่ปากีสถานพ้นประเทศ

(25 เม.ย. 68) นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี (Narendra Modi) ของอินเดีย ประกาศจุดยืนอย่างแข็งกร้าวว่าจะ “ไล่ล่าผู้ก่อการร้ายและผู้สนับสนุนไปจนสุดขอบโลก” เพื่อตอบโต้เหตุกราดยิงนักท่องเที่ยวในแคชเมียร์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่าผู้ก่อเหตุ 2 ใน 3 รายเป็นชาวปากีสถาน โดยไม่เอ่ยชื่อปากีสถานโดยตรง แต่ท่าทีแข็งกร้าวของผู้นำอินเดียสะท้อนถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน

อินเดียตอบโต้ทางการทูตโดยระงับสนธิสัญญาแบ่งปันแม่น้ำสินธุที่มีมายาวนานกว่า 60 ปี และปิดด่านพรมแดนทางบกเพียงแห่งเดียวกับปากีสถาน นอกจากนี้ ยังเรียกตัวที่ปรึกษาด้านกลาโหมกลับประเทศ พร้อมลดจำนวนเจ้าหน้าที่สถานทูตในอิสลามาบัดจาก 55 คน เหลือ 30 คน และประกาศให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันของสถานทูตปากีสถานเป็น “บุคคลไม่พึงปรารถนา”

ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจในแคชเมียร์ได้เผยชื่อผู้ต้องสงสัยทั้ง 3 ราย พร้อมเสนอเงินรางวัลนำจับ โดยระบุว่ามือปืน 2 คนเป็นชาวปากีสถาน และคาดว่าเชื่อมโยงกับกลุ่มติดอาวุธข้ามพรมแดน ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศอินเดียแถลงว่าคณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติได้รับข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงดังกล่าวแล้ว แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด

เหตุโจมตีนี้นับเป็นการโจมตีพลเรือนครั้งรุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 20 ปีของอินเดีย สื่อท้องถิ่นรายงานว่า นายกฯ โมดีเรียกประชุมทุกพรรคการเมืองเพื่อหารือแนวทางตอบโต้และสร้างความเป็นเอกภาพ ขณะที่ปากีสถานออกมาตอบโต้ว่า อินเดียระงับสนธิสัญญาแม่น้ำอย่างบุ่มบ่าม และถือเป็นการ 'ก่อสงครามน้ำ' อย่างผิดกฎหมายอีกด้วย

‘อ.ปิติ’ ย้อนรอยความขัดแย้ง “อินเดีย–ปากีสถาน” จากข้อพิพาทเส้นแบ่งแดนสู่สงครามต่อต้านก่อการร้าย

(7 พ.ค. 68) รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว กรณีสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอินเดีย – ปากีสถาน ว่าด้วยความขัดแย้งในเเคว้น #แคชเมียร์

หากกล่าวถึงความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศที่มีความลึกซึ้งอย่างมากในภูมิภาคเอเชียใต้นั้น หนึ่งในปัญหาที่ต้องหยิบยกเอามากล่าวไว้เป็นประเด็นแรกได้แก่ ความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถานเหนืออาณาบริเวณที่เรียกว่า “แคชเมียร์” (Kashmir) พื้นที่แห่งนี้เป็นอาณาบริเวณอันเป็นที่อาศัยของชนเผ่าฮิมาลายันที่มีหลากหลาย อีกทั้งยังเป็นดินแดนที่มีความสวยงามอย่างมาก กล่าวได้ว่า ตลอดอาณาบริเวณที่มีขนาดราว 86,000 ตารางไมล์ หรือ 222,738 ตารางกิโลเมตรนั้น ถูกห้อมล้อมไปด้วยภูเขาสูงที่มีหิมะปกคลุม ทะเลสาบอันสวยงาม และทุ่งหญ้าที่มีต้นไม้นานาพรรณ ความสวยงามในภูมิทัศน์ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “สวิสเซอร์แลนด์แห่งอินเดีย” (India’s Switzerland) และได้กลายมาเป็น “แม่เหล็ก” ชั้นดีที่ดึงดูดให้ทั้งสองประเทศต่างต้องการครอบครองดินแดนแห่งนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศตนเองให้ได้

อันที่จริงแล้ว หากย้อนไปยังจุดเริ่มต้น ความขัดแย้งเหนือพื้นที่แคชเมียร์ได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ก่อนที่อินเดียและปากีสถานจะได้รับเอกราชจากประเทศอังกฤษในปีค.ศ.1947 โดยที่รัฐบัญญัติว่าด้วยอิสรภาพแห่งอินเดีย (the Indian Independence Act) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้เอกราชแก่อินเดียและปากีสถานในวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ.1947 นั้น ได้นำไปสู่การแบ่งแยกปากีสถานออกเป็นปากีสถานตะวันออก (บังคลาเทศในปัจจุบัน) ตลอดจนการแบ่งแยกกลุ่มมุสลิม ฮินดู และซิกข์อย่างชัดเจน ผลจากการแบ่งแยกที่ว่านี้ได้นำไปสู่การอพยพย้ายถิ่นขนานใหญ่ของประชากรที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคแห่งนี้  สำหรับพื้นที่แคชเมียร์ในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้นำของดินแดนแห่งนี้มีอิสระในการเลือกว่าจะอยู่กับอินเดียหรือปากีสถาน แต่เดิมทีกษัตริย์ที่ปกครองแคชเมียร์ในเวลานั้นที่มีพระนามว่า ฮารี ซิงข์ (Hari Singh) ต้องการให้แคว้นแคชเมียร์มีสถานะของการเป็นรัฐเอกราชที่มีอิสระในตนเอง แต่จากการที่อินเดียเข้ามาช่วยเหลือดินแดนแห่งนี้ให้พ้นจากการเข้ามารุกรานของชนเผ่าพื้นเมืองปากีสถาน ส่งผลให้กษัตริย์ฮารี ซิงข์ ตัดสินใจเลือกอยู่กับอินเดียในเดือนตุลาคม ค.ศ.1947 

ผลจากการตัดสินใจของผู้นำแคชเมียร์ในครั้งนั้น ได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรงระหว่างอินเดียและปากีสถานที่ต่างจับจ้องอยากผนวกเอาพื้นที่แห่งนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนตนเอง รัฐบาลอินเดียภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีจาวาฮาลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru) ได้ร้องขอให้องค์การสหประชาชาติเข้ามาแทรกแซงความขัดแย้งในประเด็นแคชเมียร์ องค์การสหประชาชาติในเวลานั้นได้ให้คำแนะนำกับผู้นำของทั้งสองประเทศว่า ควรให้ประชากรของแคชเมียร์ได้ลงคะแนนประชามติว่า พวกเขาต้องการอยู่กับอินเดียหรือปากีสถาน ถึงแม้ว่าการลงประชามติครั้งนั้นไม่เกิดขึ้น แต่ทั้งสองประเทศก็ยอมลงนามในข้อตกลงหยุดยิงในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1949 ในที่สุด 

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในแคชเมียร์ได้ถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ส่วน โดยใช้เส้นเขตควบคุม (Line of Control) เป็นเส้นแบ่ง กล่าวคือ พื้นที่ตอนเหนือของเส้นเขตควบคุมเป็นพื้นที่แคชเมียร์ที่ปกครองโดยปากีสถาน (Pakistan-Administered Kashmir) ในขณะพื้นที่ใต้เส้นเขตควบคุมเป็นพื้นที่แคชเมียร์ที่ปกครองโดยอินเดีย (India-Administered Kashmir) ตามภาพ

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าทั้งสองประเทศได้มีข้อตกลงหยุดยิงแล้วก็ตาม แต่ปรากฏว่าความขัดแย้งระหว่างสองประเทศก็ยังปรากฎให้เห็นอยู่เป็นระยะ ในปีค.ศ.1965 และปีค.ศ.1999 ได้เกิดสงครามขนาดย่อมระหว่างสองประเทศขึ้น ประเด็นที่น่าสนใจคือทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวอ้างว่าอีกฝ่ายเริ่มฝ่าฝืนข้อตกลงหยุดยิงก่อน และการใช้อาวุธของตนเองนั้นเป็นการตอบโต้การกระทำของอีกฝ่ายเท่านั้น ในช่วงระหว่างปีค.ศ.2014-2015 ทั้งสองประเทศได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการจัดการกับความขัดแย้งในเรื่องแคชเมียร์ร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ ตัวอย่างที่สำคัญเช่น ในปีค.ศ.2014 นายกรัฐมนตรีโมดี (Modi) ได้เชิญนายกรัฐมนตรีนาวาซ ชารีฟ (Nawaz Sharif) แห่งปากีสถานมาร่วมงานแถลงนโยบายในการเข้ารับตำแหน่งของโมดี หรือการเดินทางไปเยือนปากีสถานของโมดีเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ.2015 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษที่มีผู้นำจากอินเดียเดินทางไปเยือนปากีสถานอย่างเป็นทางการ 

อย่างไรก็ดี ความพยายามเหล่านี้กลับไม่ปรากฏผลที่เป็นรูปธรรม สัญญาณของความล้มเหลวที่สำคัญเกิดขึ้นในเดือนกันยายน ค.ศ.2016 เมื่อมีกลุ่มกองกำลังติดอาวุธได้เข้ามาโจมตีฐานทัพทหารของอินเดียที่ตั้งอยู่ใกล้กับเส้นเขตควบคุม กองทัพของอินเดียประกาศโจมตีฐานที่มั่นของกลุ่มก่อการร้ายซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ฝั่งเส้นเขตควบคุมของปากีสถานในทันที ผลพวงจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้ก่อให้เกิดการปะทะอย่างรุนแรงในบริเวณแนวแล้วชายแดนของเส้นเขตควบคุมอยู่เป็นระยะ เช่น ในเดือนตุลาคม ค.ศ.2017 ได้มีการโจมตีหน่วยพลร่มของอินเดียใกล้กับศรีนาคา (Srinagar) ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2018 ได้มีการโจมตีฐานทัพทหารของอินเดียในจามูร์ (Jammu) ตลอดปีค.ศ.2017-2018 ได้มีการโจมตีในลักษณะนี้กว่าหนึ่งพันครั้ง ปรากฏการณ์ที่สำคัญคือกองกำลังติดอาวุธเหล่านี้มีเครือข่ายหรือเป็นตัวแทนของกลุ่มจิฮาด (Jihad) ที่มาจากอัฟกานิสถานด้วย  เหตุการณ์นี้ย่อมสะท้อนให้เห็นว่า ความสลับซับซ้อนเหนือพื้นที่แคชเมียร์ ไม่ได้เป็นเพียงความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถาน แต่กลับมีความซับซ้อนขึ้นเมื่อมีกลุ่มติดอาวุธจากฝ่ายผู้ก่อการร้ายเข้ามาเป็นตัวแปรร่วมที่สำคัญด้วย 

สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน ถึงแม้ว่าทั้งสองประเทศมีความพยายามในการจัดการปัญหาดังกล่าว แต่ปรากฏว่าบทบาทของอินเดียในการต่อสู้กับกลุ่มกองกำลังติดอาวุธในแคชเมียร์ มักไปเกี่ยวโยงกับที่ตั้งของกลุ่มก่อการร้ายซึ่งตั้งอยู่ในฝั่งเขตปกครองแคชเมียร์ของปากีสถานด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศจึงอยู่ท่ามกลางแรงกดดันและความระแวงระวังกันตลอดเวลาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นในเร็ววัน รวมทั้งเลวร้ายมากยิ่งขึ้น ณ สถานการณ์สงครามต่อต้านการก่อการร้ายในปัจจุบัน

อย่าให้มีครั้งที่ 2!! รัฐมนตรีกลาโหมปากีสถานย้ำ ‘ไม่ต้องการทำศึกกับอินเดีย’ แต่พร้อมตอบโต้หากโดนโจมตีอีกครั้ง

(7 พ.ค. 68) อินเดียเปิดฉากโจมตีทางทหารต่อเป้าหมายกลุ่มก่อการร้ายในแคชเมียร์ที่ปากีสถานยึดครอง (PoK) และภายในปากีสถานอีก 9 จุด ภายใต้ปฏิบัติการ 'ซินดูร์' โดยการโจมตีใช้เวลาเพียง 25 นาทีในช่วงกลางดึกวันที่ 7 พฤษภาคม คร่าชีวิตประชาชนแล้ว 26 ราย

ในแถลงการณ์ภายหลังการปฏิบัติการ อินเดียระบุว่าการโจมตีเน้นเฉพาะโครงสร้างของกลุ่มก่อการร้าย โดยหลีกเลี่ยงความเสียหายต่อพลเรือน ด้านพันเอกโซฟียา คูเรชิ และนาวาอากาศโท วโยมิกา ซิงห์ ยืนยันว่าพื้นที่ถูกโจมตีได้รับการคัดเลือกจากข้อมูลข่าวกรองอย่างรัดกุม

ขณะเดียวกัน คาวาจา อาซิฟ รัฐมนตรีกลาโหมปากีสถาน ระบุว่าปากีสถานพร้อม “ยุติความตึงเครียด” หากอินเดีย “ถอยกลับ” แต่จะไม่ลังเลที่จะตอบโต้หากถูกโจมตีอีก โดยยืนยันผ่านสื่อว่าอิสลามาบัดยังไม่ต้องการเผชิญหน้า แต่พร้อมปกป้องตนเอง

ทั้งนี้ หลายประเทศรวมถึงสหรัฐฯ จีน และรัสเซีย แสดงความกังวลต่อความตึงเครียดที่ปะทุขึ้น โดยอุปทูตสหรัฐฯ ได้เข้าพบเจ้าหน้าที่ระดับสูงของปากีสถานเพื่อหารือแนวทางลดระดับความรุนแรง พร้อมย้ำจุดยืนว่าสหรัฐฯ สนับสนุนการทูตเป็นทางออกของสถานการณ์นี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top