Saturday, 7 June 2025
อินเดีย

‘อินเดีย’ร่วมทุนกับ ‘รัสเซีย’ ตั้ง Indo-Russia Rifles Private Limited (IRRPL)  โรงงานผลิตปืนเล็กยาวตระกูล AK ในเมือง Korwa เขต Amethi รัฐอุตตรประเทศ

(7 ก.ค.67) แรกเริ่มเดิมที กองทัพอินเดียได้ทำการผลิตปืนเล็กยาวบรรจุกระสุนเองแบบ L1A1 ซึ่งได้ลิขสิทธิ์ผลิตในประเทศในช่วงปลายทศวรรษปี 1950 ต่อมาช่วงกลางทศวรรษปี 1980 กองทัพอินเดียตัดสินใจพัฒนาปืนเล็กยาวขนาด 5.56×45 มม. (กระสุนมาตรฐาน NATO) เพื่อทดแทนปืนเล็กยาวที่ได้เลิกผลิตไปแล้ว โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอาวุธ (ARDE) เมือง Pune ได้ออกแบบปืนเล็กยาว INSAS ของอินเดียเอง และกองทัพอินเดียนำมาใช้ในปี 1990 และกลายเป็นปืนเล็กยาวจู่โจมมาตรฐานของทหารราบสังกัดกองทัพบกอินเดีย อย่างไรก็ตาม เพื่อยุติการใช้ปืนเล็กยาว Lee–Enfield แบบลูกเลื่อนที่ยังใช้งานในกองทัพอินเดียอยู่ให้เร็วที่สุด ในช่วงปี 1990–92 อินเดียจึงต้องจัดหาปืนเล็กยาวตระกูล AKM ขนาด 7.62×39 มม. จำนวน 100,000 กระบอกจากรัสเซีย ฮังการี โรมาเนีย และอิสราเอล

ในช่วงแรกปืนเล็กยาว INSAS สร้างขึ้นโดยใช้คุณสมบัติที่หยิบยืมมาจากปืนเล็กยาวหลายรุ่น ทั้งไม่ได้ออกแบบและผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของกองกำลังรักษาความมั่นคงของอินเดีย แม้ว่า ปืนเล็กยาว INSAS จะรับใช้กองทัพอินเดียนานกว่า 30 ปี แต่ก็เริ่มล้าหลังเมื่อพิจารณาถึงความต้องการของสงครามสมัยใหม่ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปืนเล็กยาว INSAS ต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบที่มากขึ้น ด้วยปัญหาหลายประการที่เกิดขึ้นจากการใช้งานของกองกำลังในแนวหน้าซึ่งกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการปฏิบัติการ ตัวอย่างเช่น แม็กกาซีนพลาสติกของปืนเล็กยาว INSAS แตกร้าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสภาพอากาศที่หนาวเย็น และมีรายงานว่า ปืนเล็กยาว INSAS ร้อนมากจนเกินไปในระหว่างการสู้รบที่ยาวนาน จึงทำให้การทำงานของปืนเล็กยาว INSAS ผิดปกติ จนปืนเล็กยาวรุ่นนี้ไม่น่าเชื่อถือสำหรับปืนเล็กยาวมาตรฐานทั่วไป

สืบเนื่องมาจากความขัดข้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหล่านี้ ในเดือนเมษายน 2013 รัฐบาลอินเดียจึงต้องเปลี่ยนปืนเล็กยาว INSAS ของกองกำลังตำรวจติดอาวุธกลาง (CRPF) ด้วยปืนเล็กยาวรุ่น AKM เพื่อให้มั่นใจว่า CRPF จะประสบความสำเร็จมากขึ้นในการต่อสู้กับกลุ่ม Naxalites ดังนั้น จากความล้มเหลวเหล่านี้และความต้องการปืนเล็กยาวที่เปลี่ยนไปของกองกำลังติดอาวุธของอินเดีย จึงมีการประกาศในช่วงต้นปี 2017 ว่า ปืนเล็กยาว INSAS จะถูกปลดประจำการ และแทนที่ด้วยปืนเล็กยาวที่สามารถยิงกระสุนขนาด 7.62×51 มม. ของ NATO ได้

แต่ด้วยความสัมพันธ์อันใกล้ชิดและยาวนานระหว่างอินเดียและรัสเซีย โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางทหาร อินเดียและรัสเซียจึงร่วมทุนกันจัดตั้ง Indo-Russia Rifles Private Limited (IRRPL) โรงงานผลิตปืนเล็กยาวตระกูล AK ขึ้นในประเทศอินเดีย โดย IRRPL เป็นการร่วมทุนระหว่าง 4 บริษัท ณ ปี 2023 AWEIL (อินเดีย) ถือหุ้นที่ 42.5% Munitions India Limited (อินเดีย) ถือหุ้น 8% Kalashnikov Concern (รัสเซีย) ถือหุ้น 42% และ Rosoboronexport (รัสเซีย) ถือหุ้น 7.5% และได้รับอนุญาตสิทธิบัตรให้ผลิตปืนเล็กยาวจู่โจม AK-203 จำนวน 600,000 กระบอก ซึ่งใช้กระสุนขนาด 7.62×39 มม. สำหรับ AK-203 เป็นปืนเล็กยาวจู่โจมรุ่น 200 ซีรีส์ที่ได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยและเป็นรุ่นหนึ่งของปืนเล็กยาวจู่โจม AK-Pattern ของรัสเซียในปัจจุบัน ซีรีส์ 200 นั้นอิงรายละเอียดทางเทคนิคจากปืนเล็กยาวตระกูล AK-100 และปืนเล็กยาวรุ่น AK-12 ซึ่งมีราคาแพงกว่า โดยปืนเล็กยาว AK-203 เป็นปืนเล็กยาวจู่โจมรุ่นใหม่ล่าสุดที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดจากปืนเล็กยาว AK-47 ของอดีตสหภาพโซเวียตหรือรัสเซียในปัจจุบัน

ในระหว่างงาน Defense Expo 2020 ที่เมืองลัคเนา พลตรี Sengar (อดีต CEO และกรรมการผู้จัดการ) ประกาศว่าโรงงาน IRRPL ในเมือง Amethi จะผลิต AK-203 ได้ 75,000 กระบอกต่อปีเป็นเวลา 10 ปี โดยผลิตปืนเล็กยาว AK-203 จำนวน 670,000 กระบอกสำหรับกองทัพอินเดีย การผลิตปืนเล็กยาว AK-203 เริ่มเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2023 ในเดือนพฤษภาคม 2024 ปืนเล็กยาวชุดแรกจำนวน 27,000 กระบอกได้รับการส่งมอบ ในขณะที่อีกชุดหนึ่งจำนวน 8,000 กระบอกจะได้รับการส่งมอบในเดือนกรกฎาคม 2024 รวม 35,000 กระบอก ปัจจุบัน พลตรี SK Sharma, SM (Bar), VSM จากกองทัพบกอินเดีย ทำหน้าที่เป็น CEO และกรรมการผู้จัดการ โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากอินเดียและรัสเซีย ฝ่ายละ 8 คน

ตอกย้ำความเหลื่อมล้ำในอินเดีย  มีทั้งเสียงชื่นชมและการสาปแช่ง

เมื่อวานนี้ (15 ก.ค.67) นับได้ว่าเป็นงานแต่งแห่งศตวรรษ ที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่กว่างานของราชวงศ์ไหน ๆ เมื่อ ‘อนันต์ อัมบานี’ ลูกชายของมหาเศรษฐีชาวอินเดีย ‘มูเกซ อัมบานี’ เข้าพิธีวิวาห์กับแฟนสาว ‘รติกา เมอชานต์’ ลูกสาวของครอบครัวเศรษฐีด้านอุตสาหกรรมยา ที่ทุ่มงบไม่อั้นคาดว่ามีมูลค่าจัดงานสูงกว่า 5 พันล้านบาท และทำการเฉลิมฉลองแบบไม่จบสิ้น

สร้างความฮือฮาตั้งแต่สามารถจ้างริฮานน่าที่เดี๋ยวนี้ผันตัวไปทำธุรกิจไม่ได้ขึ้นแสดงมานานแล้ว ให้กลับมาจับไมค์ขึ้นโชว์ในงานเลี้ยงพรีเวดดิ้งที่มีคนดังจากทั่วโลกบินมาร่วมงาน และเมื่อช่วง 2 เดือนก่อนก็เพิ่งจะพาญาติมิตรเพื่อนสนิทและแขกคนสำคัญไปทริปล่องเรือยอร์ชหรูที่หัวเมืองในยุโรปแบบสุดหรูหราโรแมนติก ก่อนที่ล่าสุดจะปิดท้ายการฉลองงานแต่งกลางกรุงมุมไบแบบ 4 วัน 4 คืน จ้างนักร้องดังอย่าง ‘จัสติน บีเบอร์’ มาแสดงในงาน

โดยได้เชิญแขกคนดังจากทั่วโลกมาร่วมเป็นสักขีพยานในงานแต่งนี้ ลิสต์รายชื่อแขกมีตั้งแต่ คิม และโคลเอ้ คาร์ดาเชียน, นิก โจนาส, โทนี่ แบล์ รวมไปถึงคนดังทุกวงการของอินเดีย ร่วมถึงท่านทูตจากหลายประเทศ เรียกได้ว่ามาอยู่ร่วมกันในงานนี้ทั้งหมด ทุกคนล้วนจัดเต็มแต่งตัวกันแบบอลังเข้ากับพิธีสุดหรูหราตามสไตล์ประเพณีอินเดีย มีการร้องเล่นเต้นรำกัน และก็อวยพรคู่บ่าวสาว พร้อมแชร์ภาพในโซเชียลมีเดียแบบสุดสนุก โชว์ความหรูหราฟู่ฟ่า โดยว่ากันว่าเจ้าภาพให้ของขวัญสุดอลังกับแขกที่มา แต่ไม่ได้การให้รายละเอียดว่ามีอะไรบ้าง มีการเปิดเผยเพียงว่า บรรดาเพื่อนเจ้าบ่าวทั้ง 9 คน ได้รับนาฬิกาแบรนด์หรู Audemars Piguet สั่งทำพิเศษราคาเรือนละ 7 ล้านบาท เป็นของขวัญ

แต่ท่ามกลางเสียงยินดีปรีดาฉลองการเริ่มต้นชีวิตคู่นั่นก็มีเสียงก่นด่าเช่นกัน โดยมาจากบรรดาชาวบ้านในเมืองมุมไบทั้งหลายที่ออกมาแสดงความไม่พอใจกับสุดยอดงานแต่งนี้ เพราะทั้งเมืองวุ่นวายไปด้วยสารพัดแขก VIP สนามบินแออัดด้วยเครื่องบินส่วนตัว รวมไปถึงเจ้าภาพได้จองเครื่องเจ็ต 3 ลำ สำหรับไว้รับรองแขกไว้เดินทางบินไปมา เหล่าตำรวจและบอดี้การ์ดมากมายเพราะต้องระวังรักษาความปลอดภัยให้แขกคนสำคัญ มีรถนำขบวนให้แขกเดินทางไปสถานที่ต่าง ๆ ทำให้การจราจรที่สาหัสอยู่แล้ว แถมช่วงนี้ก็มีมรสุมซัดกระหน่ำ เติมด้วยความวุ่นวายของงานแต่งนี้อีก ยิ่งทำให้รถติดแบบวินาศสันตะโร แถมยังมีการปิดจองหลายพื้นที่สาธารณะไปทั่วเมือง ถนนบางเส้นถูกปิดหลายชั่วโมงต่อวัน

นอกจากความลำบากที่ชาวบ้านทั่วไปต้องเผชิญแล้ว เหล่าชาวเน็ตของอินเดียยังออกมาประณามงานแต่งนี้ว่าเป็นการอวดรวย สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ โชว์ความเหลือกินเหลือใช้ของบ้านอัมบานี แถมตอกย้ำให้เห็นถึงความต่างของชนชั้นในสังคมให้เห็นได้อย่างเด่นชัดที่สุด ซึ่งนี่เป็นปัญหาใหญ่ของอินเดียมาอย่างเนิ่นนาน

‘เศรษฐา’ โพสต์ข้อความผ่าน X เผย ‘นโยบายฟรีวีซ่า’ ทำท่องเที่ยวฟื้นตัว ชี้!! ยอดนักท่องเที่ยว ‘อินเดีย-ไต้หวัน’ พุ่งสูง คาดสิ้นปีนี้ มีทะลุ 2 ล้านคน

(27 ก.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่าน X ว่า … 

ปีนี้นักท่องเที่ยวไต้หวัน และอินเดียเดินทางเข้ามาในประเทศไทยทำสถิติสูงสุดเมื่อเทียบจากจำนวนนักท่องเที่ยวหลังโควิด และมีแนวโน้มจะสูงกว่าปี 2019 ด้วย ซึ่งที่ผ่านมาเรามีมาตรการยกเว้นวีซ่าให้นักท่องเที่ยวชาวอินเดียและไต้หวัน โดยการขยายระยะเวลาพำนักเป็น 60 วัน (เริ่มไปตั้งแต่ช่วงปลายปี 2023 และขยายโครงการไปจนถึงวันที่ 11 พ.ย. 67) ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนกำลังทำให้การท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง เพียงครึ่งปี 2024 เราดึงนักท่องเที่ยวจากตลาดใหญ่อย่างอินเดียได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 30% แล้ว และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านคนภายในสิ้นปีนี้

นายเศรษฐา ยังได้ระบุอีกว่า เรายังเดินหน้าขยายเวลาการพำนัก 60 วัน ให้อีก 93 ประเทศ เพื่อเพิ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังใช้จ่ายต่อหัวสูงด้วย ขณะที่ทาง ททท. ก็เตรียมกิจกรรมดึงดูดนักท่องเที่ยวจากแต่ละประเทศตลอดทุกเดือนด้วย ขอให้ภาคธุรกิจท่องเที่ยวเตรียมตัวให้พร้อม วันนี้ประตูบานใหญ่ของประเทศไทยเปิดแล้ว

ส่อง 5 ประเทศผู้นำในการส่งออกข้าวของโลก ประจำปี 2024

จากข้อมูลของ USDA Foreign Agricultural Service ได้เก็บข้อมูลการส่งออกข้าวจากประเทศต่าง ๆของปี 2024 และมีการคาดว่าประเทศผู้ส่งออกข้าวจะสามารถส่งออกข้าวได้เยอะกว่าปีที่แล้ว คือจาก 53.29 ล้านตันในปี 2023 ขยับมาเป็น 55.13 ล้านตันในปี 2024 โดย 5 ประเทศผู้นำที่ส่งออกข้าวมากที่สุดสามารถเรียงตามลำดับได้ดังนี้...

1.อินเดีย เป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลก โดยส่งออกสัดส่วนมากถึง 37% ของโลก และคาดการณ์ว่าปีนี้จะส่งออกได้ 17 ล้านตัน ซึ่งน้อยลงกว่าปีที่แล้วที่ส่งออกได้ถึง 17.73 ล้านตัน

2.ไทย ประเทศไทยครองสัดส่วน 16% ของโลก โดยไทยส่งออกข้าว 8.5 ล้านตันโดยลดลงจากปีที่แล้วที่ 8.74 ล้านตัน

3.เวียดนาม มีการเติบโตแบบมีนัยสำคัญจนพลิกมาเป็นอันดับ 2 ตอนปี 2023 โดยมีลูกค้าเป็น ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย และหลายประเทศในแอฟริกา จะสามารถส่งออกข้าวเพิ่มได้จาก 8.23 ล้านตันเป็น 8.3 ล้านตัน

4.ปากีสถาน ส่งออกข้าวประมาณ 4.53 ล้านตันในปีที่แล้ว และจะขยับขึ้นมาเป็น 6.10 ล้านตันในปี 2024 คิดเป็น 7% ของโลก

5.สหรัฐอเมริกา ที่ปีที่แล้วอยู่อันดับ 6 แต่ในปีนี้สามารถแซงหน้ากัมพูชาขึ้นมาได้ โดยมีตัวเลขส่งออกข้าวที่เพิ่มขึ้นจาก 2.40 ล้านตันไปเป็น 3.13 ล้านตัน ในปีนี้

ชื่นชม!! ‘นักเรียนไทย’ หลังแข่งขันคณิตศาสตร์ที่ 'อินเดีย-ฮ่องกง' กวาด 160 รางวัลกลับบ้าน สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยระดับโลก

(8 ส.ค.67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แสดงความยินดี และชื่นชมตัวแทนนักเรียนไทย ที่สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ในการแข่งขันคณิตศาสตร์ระหว่างประเทศระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น ประจำปี พ.ศ. 2567 (India International Mathematics Competition 2024: InIMC 2024) ระหว่างวันที่ 26 - 31 กรกฎาคม 2567 ณ เมืองลัคเนา สาธารณรัฐอินเดีย และการแข่งขันคณิตศาสตร์และคณิตคิดเร็วนานาชาติประจำปี 2024 (The Hong Kong International Mathematics and Mental Arithmetic Competition 2024) เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2567 ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้รับรางวัลอย่างล้นหลาม รวม 148 รางวัล จากทั้ง 2 รายการแข่งขัน แสดงถึงศักยภาพทางวิชาการ ด้านคณิตศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมของนักเรียนไทย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการเข้าร่วมการแข่งขันคณิตศาสตร์ระหว่างประเทศระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น 2567 (InIMC 2024) ในครั้งนี้ ตัวแทนนักเรียนไทย สามารถคว้ารางวัลการแข่งขันประเภททีม และบุคคล รวม 12 รางวัล 32 เหรียญ แบ่งเป็นระดับประถมศึกษา ประเภททีมละ 4 คน สามารถทำผลงานรวมได้ 6 รางวัล 16 เหรียญ และระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ประเภททีมละ 4 คน สามารถทำผลงานได้รวม 6 รางวัล 16 เหรียญ

Thailand A ระดับประถมศึกษา ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ประเภททีม และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ประเภทกลุ่มบุคคล ประกอบด้วย 1 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง สำหรับระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภททีม และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภทกลุ่มบุคคล ประกอบด้วย 3 เหรียญเงิน และ 1 รางวัลชมเชย

Thailand B ระดับประถมศึกษา ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภททีม และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ประเภทกลุ่มบุคคล ประกอบด้วย 2 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง สำหรับระดับมัธยมศึกษา ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ประเภททีม ประกอบด้วย 1 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง

Thailand C ระดับประถมศึกษา ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภทกลุ่มบุคคล ประกอบด้วย 2 เหรียญเงิน 1 เหรียญทองแดง และ 1 รางวัลชมเชย สำหรับระดับมัธยมศึกษา ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภททีม ประกอบด้วย 3 เหรียญทองแดง และ 1 รางวัลชมเชย

Thailand D ระดับประถมศึกษา ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภททีม ประกอบด้วย 2 เหรียญเงิน และ 2 รางวัลชมเชย สำหรับระดับมัธยมศึกษา ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภททีม และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ประเภทกลุ่มบุคคล ประกอบด้วย 1 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง

นายชัย กล่าวว่า ใน รายการการแข่งขันคณิตศาสตร์และคณิตคิดเร็วนานาชาติประจำปี 2024 (The Hong Kong International Mathematics and Mental Arithmetic Competition 2024) มีผู้เข้าร่วมการแข่งขันจากทั่วโลก เช่น ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย อินเดีย ฮ่องกง กัมพูชา และไทย รวมประมาณ 500 คน ซึ่งในรายการแข่งขันนี้ ไทยได้ส่งตัวแทนนักเรียนเข้าร่วม 93 คน โดยแบ่งเป็นการแข่งขัน ระดับอนุบาล ระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษาตอนต้น

โดยตัวแทนนักเรียนไทยได้เข้าร่วมการแข่งขัน ในประเภทคณิตศาสตร์ (Mathematics Competition) และคณิตคิดเร็ว (Mental Arithmetic Competition) ซึ่งผลปรากฏว่าตัวแทนนักเรียนไทยได้รับรางวัลจากทั้ง 2 ประเภทการแข่งขันดังกล่าว ทั้งในประเภทเดี่ยวและทีม และทุกระดับชั้นตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงระดับมัธยมต้น รวม 148 รางวัล เน้นย้ำถึงความสามารถในด้านคณิตศาสตร์ของนักเรียนไทยที่มีความโดดเด่น ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลจนถึงระดับมัธยม

“นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นในศักยภาพของเด็กไทย เชื่อว่ามีความสามารถอย่างรอบด้าน พร้อมขอบคุณตัวแทนนักเรียนทุกคนที่เข้าร่วมรายการแข่งขันคณิตศาสตร์ ของทั้ง 2 รายการ ในครั้งนี้ ที่สามารถทำผลงานออกมาได้อย่างน่าภาคภูมิใจ เชื่อมั่นว่าจะเป็นบุคลากรสำคัญของประเทศในอนาคต ซึ่งรัฐบาลดำเนินการพัฒนาต่อยอดพื้นฐานของประเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อให้คนรุ่นต่อไปจะอยู่ในประเทศไทยอย่างมีความสุข” นายชัย กล่าว

เกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์ทางการทูต อินเดีย-แคนาดา ต่างขับไล่ทูต เหตุจากการลอบสังหารผู้นำชาวซิกซ์บนดินแดนแคนาดา

(15 ต.ค. 67) อินเดียและแคนาดาขับไล่ทูตระดับสูงและนักการทูตอื่นๆ เนื่องจากความขัดแย้งทวีความรุนแรงเกี่ยวกับการสังหารผู้นำแบ่งแยกดินแดนชาวซิกข์บนดินแคนาดาเมื่อปีที่แล้ว

นายกรัฐมนตรีแคนาดา จัสติน ทรูโด กล่าวว่ารัฐบาลของเขาตอบสนองหลังจากตำรวจเริ่มติดตามข้อกล่าวหาที่น่าเชื่อถือว่าเจ้าหน้าที่อินเดียมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสังหารฮาร์ดีป ซิงห์ นิจจาร์

ตำรวจแคนาดากล่าวหาเจ้าหน้าที่อินเดียว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ "การฆาตกรรม การเรียกค่าไถ่ และการกระทำที่รุนแรง" และก่อกวนผู้สนับสนุนขบวนการที่สนับสนุนดินแดนคาลิสถาน ซึ่งต้องการแยกดินแดนสำหรับชาวซิกข์ในอินเดีย

อินเดียปฏิเสธข้อกล่าวหาว่า "ไร้สาระ" โดยกล่าวหาทรูโดว่ายืมความนิยมของชุมชนชาวสิกห์ขนาดใหญ่ในแคนาดาเพื่อประโยชน์ทางการเมือง

ทรูโดกล่าวในการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์เมื่อวันจันทร์บ่ายว่าอินเดียได้ทำ "ความผิดพลาดอย่างร้ายแรง" ในการสนับสนุน "อาชญากรรม" ในแคนาดาและรัฐบาลของเขาต้องดำเนินการตามผลการค้นหาล่าสุด
"หลักฐานที่นำมาเปิดเผยโดย RCMP [Royal Canadian Mounted Police, หน่วยงานตำรวจแห่งชาติของแคนาดา] ไม่สามารถเพิกเฉยได้" นายกรัฐมนตรีกล่าว

"สิ่งนี้ทำให้ได้ข้อสรุปเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือจำเป็นต้องขัดขวางกิจกรรมอาชญากรรมที่ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยสาธารณะในแคนาดา นี่คือเหตุผลที่เราต้องดำเนินการ"
อินเดียได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดอย่างรุนแรงและยืนยันว่าแคนาดาไม่ได้ให้หลักฐานใด ๆ เพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหาของตน

ความสัมพันธ์ระหว่างเดลีและออตตาวาตึงเครียดนับตั้งแต่ทรูโดกล่าวว่าแคนาดามีหลักฐานที่น่าเชื่อถือเชื่อมโยงเจ้าหน้าที่อินเดียกับการสังหารนิจจาร์
ความขัดแย้งนี้ทำให้ความสัมพันธ์เสื่อมลง โดยอินเดียขอให้แคนาดาถอนเจ้าหน้าที่การทูตหลายสิบคนและระงับการให้บริการวีซ่า

เมื่อวันจันทร์ กระทรวงการต่างประเทศของอินเดียออกแถลงการณ์อย่างฉุนเฉียวว่าข้อกล่าวหาของแคนาดาได้รับอิทธิพลจากผู้รณรงค์แบ่งแยกดินแดนชาวซิกซ์
ต่อมาในวันเดียวกัน อินเดียประกาศให้ทูตแคนาดา 6 คน รวมถึงรักษาการเอกอัครราชทูตสจ๊วร์ต รอสส์ วีเลอร์ ออกจากอินเดียภายในวันที่ 19 ตุลาคม

นายวีเลอร์ยังถูกเรียกตัวไปพบกระทรวงการต่างประเทศของอินเดียเพื่ออธิบายการเคลื่อนไหวของแคนาดา
ในการแถลงข่าวหลังการประชุม นายวีเลอร์กล่าวว่าแคนาดาได้มอบหลักฐานที่อินเดียเรียกร้องไปแล้ว ตอนนี้อินเดียต้องตรวจสอบข้อกล่าวหา
"เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศและประชาชนของทั้งสองประเทศที่จะหาความจริงเรื่องนี้ให้ได้" เขากล่าว

เดลีได้ปกป้องนักการทูตของตน ซันเจย์ คุมาร์ เวอร์มา โดยอ้างถึง "อาชีพอันโดดเด่นของเขามานานกว่า 36 ปี"
"ข้อกล่าวหาที่รัฐบาลแคนาดาปฏิเสธต่อเขานั้นไร้สาระและสมควรได้รับการปฏิบัติด้วยความรังเกียจ" ทางกระทรวงกล่าว กระทรวงการต่างประเทศอินเดียยังกล่าวว่ากำลัง "ถอน" ทูตระดับสูงและนักการทูตคนอื่น ๆ

"เราไม่มีความเชื่อมั่นในความมุ่งมั่นของรัฐบาลแคนาดาปัจจุบันในการรับประกันความปลอดภัยของพวกเขา ดังนั้น รัฐบาลอินเดียจึงตัดสินใจถอนเอกอัครราชทูตและนักการทูตเป้าหมายอื่น ๆ"

ก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ ตำรวจแคนาดากล่าวว่าพวกเขาดำเนินการที่ผิดปกติในการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการสอบสวนที่กำลังดำเนินอยู่ "เนื่องจากภัยคุกคามที่สำคัญต่อความปลอดภัยสาธารณะในประเทศของเรา"
ไมค์ ดูเฮม ผู้บัญชาการ RCMP กล่าวกับผู้สื่อข่าวในการแถลงข่าวในวันจันทร์ว่ามี "ภัยคุกคามต่อชีวิตที่น่าเชื่อถือและใกล้จะเกิดขึ้นมากกว่าสิบครั้ง" ซึ่งเขากล่าวว่า "มุ่งเป้า" ไปที่สมาชิกของขบวนการขาลสถานโดยเฉพาะ

เขาเสริมว่าภัยคุกคามร้ายแรงเพียงพอที่จะรับประกันการแทรกแซงสาธารณะของ RCMP
"เราถึงจุดที่รู้สึกว่าจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับรัฐบาลอินเดีย"

เจ้าหน้าที่กล่าวว่าเจ้าหน้าที่อินเดียสิบสองคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมอาชญากรรมที่ถูกกล่าวหา แต่ไม่ได้ยืนยันว่าพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสังหารฮาร์ดีป ซิงห์ นิจจาร์ ผู้นำแบ่งแยกดินแดนชาวซิกข์ในเดือนมิถุนายน 2023

ฮาร์ดีป ซิงห์ นิจจาร์ ถูกยิงเสียชีวิตโดยชายฉกรรจ์สวมหน้ากากสองคนนอกวัดซิกข์ที่เขาเป็นผู้นำในซอร์เรย์ บริติชโคลัมเบีย
เขาเป็นผู้สนับสนุนขบวนการขาลสถานอย่างแข็งขัน ซึ่งเรียกร้องให้มีแยกดินแดนชาวซิกข์ และรณรงค์สาธารณะเพื่อสิ่งนี้

อินเดียเคยกล่าวว่า เขาเป็นผู้ก่อการร้ายที่นำกลุ่มแบ่งแยกดินแดนติดอาวุธ - ข้อกล่าวหาที่ผู้สนับสนุนของนายนิจจาร์ตอบโต้ว่า ไม่มีมูล

ในเดือนกันยายน 2023 ทรูโดได้กล่าวต่อรัฐสภาแคนาดาว่าข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการมีส่วนเกี่ยวข้องของอินเดียในการสังหารนั้นยึดตามข่าวกรองของแคนาดา เขาย้ำว่า การกระทำนี้ว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยของแคนาดา

ความสัมพันธ์ที่เย็นยะเยือกระหว่างทั้งสองประเทศดูเหมือนจะคลายลงเล็กน้อยหลังจากอินเดียกลับมาดำเนินการวีซ่าในเดือนตุลาคม 2023
แต่สัปดาห์ที่แล้ว รัฐมนตรีต่างประเทศแคนาดา เมลานี โจลี เรียกความสัมพันธ์ของประเทศกับอินเดียว่า "ตึงเครียด" และ "ยากมาก"
เธอยังกล่าวอีกว่ายังคงมีภัยคุกคามจากการสังหารมากขึ้นบนดินแคนาดา

ทั้งนี้แคนาดาเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวสิกห์ที่ใหญ่ที่สุดนอกอินเดีย ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยทางศาสนาที่อาศัยอยู่ในรัฐปัญจาบเป็นส่วนใหญ่

โครงสร้างการศึกษาของอินเดียและจีน!!

(3 พ.ย. 67) อินเดียกับจีนจำนวนประชากรเท่าๆกัน หากสังเกตุจีนมีกลุ่มการศึกษาแข่งขัน ระหว่าง 60-90% ทำให้การแข่งขันในเวทีโลกได้ดีมาก ส่วนอินเดียกลับมีแค่ 20-40%เท่านั้น...โครงสร้างการศึกษาแบบนี้ยากมาก ที่อินเดียจะตามจีน การมีคณะสังคมมากเกินไปนี่หน่วงนะ

เผย ‘ดุสิต ปริ๊นเซส เชียงใหม่’ โฉมใหม่ พร้อมเปิดบริการ ‘ดุสิตดีทู ฟากู’ ในอินเดีย

(19 ธ.ค. 67) กลุ่มดุสิตธานี เดินหน้าเปิดรับฤดูกาลท่องเที่ยว ด้วยการเปิดให้บริการ “โรงแรมดุสิต ปริ๊นเซส เชียงใหม่” อย่างเป็นทางการตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธันวาคม หลังจากปรับปรุงครั้งใหญ่ เผยกลับมาพร้อมลุคใหม่ที่ผสมผสานมรดกทางวัฒนธรรมภาคเหนือของไทยกับความสะดวกสบายสมัยใหม่ ด้วยห้องพักและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยว พร้อมยกระดับประสบการณ์การเข้าพักใจกลางเมือง พร้อมกันนี้ กลุ่มดุสิตธานียังเปิดให้บริการโรงแรม “ดุสิตดีทู ฟากู” ในอินเดีย ตั้งแต่ 15 ธันวาคม 2567 เพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกที่หลงใหลการผจญภัย และแสวงหาความเงียบสงบท่ามกลางเทือกเขาหิมาลัยอันเลื่องชื่อ 

บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เปิดเผยว่า กลุ่มดุสิตธานีพร้อมต้อนรับฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นไฮซีซั่น ด้วยการเปิดให้บริการโรงแรมในทำเลที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่องทั้งในไทยและในต่างประเทศ โดยในประเทศไทย ล่าสุด โรงแรมดุสิต ปริ๊นเซส เชียงใหม่ ได้กลับมาเปิดให้บริการแล้วตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2567 หลังได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ ด้วยห้องพักที่ได้รับการออกแบบใหม่ผสมผสานศิลปะชาวเหนือและความสะดวกสบายทันสมัย รวมถึงล็อบบี้ที่ตกแต่งด้วยงานศิลปะท้องถิ่นและโคมไฟเซมา ธรรมจักร ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมล้านนา รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น พื้นที่ประชุมที่ทันสมัย, สระว่ายน้ำ และยิมที่มีอุปกรณ์ครบครัน

ทั้งนี้ โรงแรมดุสิต ปริ๊นเซส เชียงใหม่ตั้งอยู่บนถนนช้างคลาน ย่านใจกลางเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นทำเลที่สะดวกต่อการเดินทางและการสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ โดยการกลับมาครั้งนี้ โรงแรมได้เข้าร่วมโครงการ “แคมเปญแอ่วเหนือ...คนละครึ่ง” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “เหนือพร้อม...เที่ยว” ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภาคเหนือในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2567 ด้วยการมอบส่วนลด 50% สำหรับการใช้จ่ายสินค้าและบริการในสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 10,000 สิทธิ์ โดยมีวงเงินสูงสุด 400 บาทต่อท่าน ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้หมุนเวียนไม่น้อยกว่า 44.34 ล้านบาท

และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการกลับมาให้บริการ โรงแรมดุสิต ปริ๊นเซส เชียงใหม่มอบโปรโมชั่นพิเศษเริ่มต้นที่ 1,600 บาท++ ต่อห้อง/คืน พร้อมอาหารเช้าฟรีและส่วนลด 20% สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม โดยสามารถจองได้ถึงวันที่ 6 มกราคม 2568 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือการจองห้องพักได้ที่ dusit.com/dusitprincess-chiangmai 

สำหรับการให้บริการในต่างประเทศ ล่าสุด กลุ่มดุสิตธานี พร้อมเปิดให้บริการ “โรงแรมดุสิตดีทู ฟากู” ในประเทศอินเดีย ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2567 โดยโรงแรมดุสิตดีทู ฟากู ตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขาหิมาลัยอันงดงามตระการตา เหมาะต่อการพักผ่อนสำหรับนักเดินทางที่แสวงหาความเงียบสงบพร้อมความหรูหรา รวมถึงยังตอบโจทย์นักเดินทางกลุ่มรักสุขภาพและกลุ่มที่รักการผจญภัย ภายในโรงแรม ประกอบด้วย ห้องพักจำนวน 80 ห้อง  มีขนาดตั้งแต่ 38 ตร. ม. ถึง 86 ตร. ม. แต่ละห้องยังได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อผสมผสานความสะดวกสบายแบบทันสมัยให้เข้ากับกลิ่นอายท้องถิ่น โดยห้องพักทุกห้องมาพร้อมทิวทัศน์อันสวยงามของหุบเขาและภูเขาที่โอบล้อม ช่วยให้ผู้เข้าพักผ่อนคลายไปกับความงามของธรรมชาติได้ตลอดเวลา

อินเดียแห่แย่งเข้าวัดฟรี เสียชีวิต 6 เจ็บ 35

เหตุการณ์เศร้าสลดเกิดขึ้นใกล้วัดศรีเวงกเฏศวรสวามี หรือ วัดติรุปติ หนึ่งในวัดฮินดูที่มีผู้ศรัทธาเข้ามาสักการะมากที่สุดในอินเดีย โดยมีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 6 ราย และบาดเจ็บอีก 35 ราย เหตุจากการเบียดเสียดเพื่อแย่งรับบัตรเข้าชมวัดฟรี  

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันพุธที่ 8 มกราคม ที่รัฐอานธรประเทศ ทางตอนใต้ของอินเดีย ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลมงคลระหว่างวันที่ 10-19 มกราคม ที่ผู้ศรัทธานิยมเข้าวัดเพื่อสักการะองค์เทพ  

เจ้าหน้าที่ระดับสูงประจำเขต เอส เวงกเฏศวร เปิดเผยว่า ขณะเปิดประตูประชาชนราว 2,500 คนต่างแห่กันเข้าไปจนเกิดความชุลมุน มีผู้ล้มลงและถูกเหยียบตามมา โดยเจ้าหน้าที่กำลังเร่งสอบสวนเหตุการณ์เพื่อหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม  

เหตุสลดนี้เกิดขึ้นบริเวณด้านนอกโรงเรียนแห่งหนึ่งที่ใช้เป็นจุดแจกบัตรเข้าชมวัด ซึ่งอยู่ห่างจากตัววัดเพียงไม่กี่กิโลเมตร โดยตามกำหนดการ การแจกบัตรฟรีจะเริ่มในวันพฤหัสบดี ทั้งนี้ บัตรเข้าชมวัดปกติจะมีราคาประมาณ 300 รูปี หรือราว 3.50 ดอลลาร์สหรัฐ และจำหน่ายผ่านระบบออนไลน์  

จากวิดีโอของสำนักข่าว ANI แสดงให้เห็นภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังพยายามควบคุมฝูงชนที่แออัดอย่างหนัก เจ้าหน้าที่ระบุว่า การเบียดเสียดเริ่มจากกลุ่มคนที่อยู่หน้าสุดผลักดันแถวด้านหลัง ซึ่งนำไปสู่การล้มและเหยียบกันจนเกิดความสูญเสีย  

สำหรับผู้บาดเจ็บ 35 ราย ขณะนี้มี 12 รายที่ยังต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ติรุมลาติรุปตีเทวัสถานัม (TTD) ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารจัดการวัด ได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมให้คำมั่นว่าจะดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้อง  

นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ยังได้โพสต์ข้อความแสดงความเสียใจผ่านแพลตฟอร์มเอ็กซ์ โดยระบุว่า “ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้สูญเสีย และขอส่งกำลังใจให้ทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้”

30 มกราคม 2491 การลอบสังหาร 'มหาตมา คานธี' นักต่อสู้อหิงสาเพื่อเอกราชของอินเดีย

มหาตมะ คานธี เกิดเมื่อปี 1869 ในครอบครัวชนชั้นพ่อค้าและเติบโตในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายทางศาสนา ซึ่งมีผลต่อทัศนคติและการดำเนินชีวิตของเขา พ่อของเขานับถือศาสนาฮินดูและบูชาเทพวิษณุ ขณะที่แม่ของเขานับถือนิกายที่ผสมผสานระหว่างฮินดูกับมุสลิม จึงมีการปฏิบัติประเพณีอดอาหารตามคำสอนของศาสนาแม่ที่มีอิทธิพลต่อเขาอย่างมาก เมื่อคานธีอายุครบ 18 ปี เขาถูกส่งไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษในสาขากฎหมาย

ในปี 1930 คานธีนำประชาชนอินเดียเดินขบวนต่อต้านภาษีเกลือของอังกฤษ โดยการเดินทางระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร และในปี 1947 เขากลายเป็นผู้นำในการต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดียโดยใช้หลักอหิงสา (การต่อต้านโดยไม่ใช้ความรุนแรง) ซึ่งนำไปสู่ชัยชนะในที่สุด

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 30 มกราคม 1948 นาถูราม โคทเส ได้ยิงคานธี 3 นัดที่หน้าอกในระยะใกล้ สาเหตุเกิดจากความไม่พอใจที่คานธีมีแนวคิดเป็นมิตรกับชาวมุสลิมและปากีสถาน

หลังจากการยิงโคทเสไม่ได้หลบหนีและถูกจับกุม ต่อมาศาลสูงของรัฐปัญจาบพิพากษาประหารชีวิตเขาด้วยการแขวนคอในวันที่ 15 พฤศจิกายน 1949 พร้อมกับผู้ร่วมสมคบคิดอีกคนหนึ่ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top