Monday, 9 June 2025
สุวินัยภรณวลัย

‘ดร.สุวินัย’ ชี้!! โลกการเงินกำลังจะถูกรื้อแบบ ‘Global Reset’ ภายใต้เงื่อนไขตะวันตกมีแต่หนี้ ส่วนที่รุ่งเรืองมีแค่ตะวันออก

ไม่นานมานี้ ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Suvinai Pornavalai’ ระบุว่า...

โลกการเงินกำลังจะถูกรื้อแบบถอนรากถอนโคน กับ ‘Global Reset’ ครั้งที่ 2

สองเรื่องใหญ่ขณะนี้ในระบบการเงินของสหรัฐฯ

1.) เรื่องของปริมาณ Money Supply ที่หมุนเวียนในตลาดสหรัฐฯ ลดลงมากมาประมาณ 18 เดือนติดต่อกันแล้ว

2.) พันธบัตร 10y ที่ดันดอกเบี้ยขึ้นไปถึง 5%... การดันจาก 0.6% ขึ้นไปถึง 5% นี่ แสดงว่าจะต้องมีการเทขายพันธบัตรกันมากขนาดไหน

ระบบการเงินทั้งระบบขึ้นอยู่กับการใช้เครดิต เมื่อมีการสะดุดของเครดิตจุดใดจุดหนึ่ง… ระบบทั้งหมดจะเกมโอเวอร์

เมื่อตลาดหนึ่งพังลง อีกตลาดก็ต้องพังลงเป็นโดมิโน และภายในสามวันก็จะไม่มีตลาดเหลืออีก… การแลกเปลี่ยนสินค้าที่มีการสต็อกไว้ก็จะสะดุด ถึงแม้ตอนนั้นคิดขึ้นได้ว่าจะต้องซื้อทองคำ ก็จะไม่มีตลาดทองคำเหลืออีกต่อไป

สามวันหรือ 72 ชั่วโมงนี่แหละ เป็นเวลาที่ร่างกายมนุษย์จะทนขาดอาหารอยู่ได้ในเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ

น้อยคนที่จะเก็บอาหารไว้นานกว่าสามวัน ทุกคนฝากชีวิตอยู่กับซุปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งก็ต้องหมุนเวียนสินค้าด้วยเครดิต ซึ่งเก็บสต็อกสินค้าแบบ 3-days inventory เหมือนกันทั้งหมด

แม้แต่ธุรกิจใหญ่ ๆ ก็ไม่สามารถ Rollover ตั๋วเงินของตนต่อไปได้… นี่คือการระเบิดของฟองสบู่หนี้ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ที่เกิดจากดอกเบี้ยสูง

Timing ของเรื่องสถานการณ์ในตะวันออกกลางตอนนี้กับเรื่องการยกระดับของสงคราม มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเรื่องที่ระบบการเงินกำลังจะล่ม และต้องการให้มีอะไรสักอย่างมาเป็นสาเหตุของการล่มครั้งนี้ของระบบ

การใช้จ่ายภาครัฐของสหรัฐฯ ตอนนี้คุมไม่อยู่แล้ว แค่สามเดือน Fed ต้องสร้างเงินถึง $1 trillion… นั่นเป็นจำนวนหนี้ที่สหรัฐฯ สร้างขึ้นมาในช่วง 200 ปีแรกหลังจากก่อตั้งประเทศ 

หนี้ที่เพิ่มขึ้น $1 trillion เทียบได้เท่ากับ 4% ของ GDP จำนวน $25 trillion ของสหรัฐฯ… เท่ากับว่าเป็นหนี้ 4% เพียงเพื่อจะเติบโต 2% เท่านั้น!!

เพราะสหรัฐฯ จะหยุดการสร้างหนี้ไม่ได้ 

ประเทศต้องเติบโต ถึงแม้จะสร้างหนี้ $4-$5 เพื่อการเติบโตแค่ $1 ก็เถอะ

การสร้างเงินเพิ่มมากขึ้นจะเป็นการทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เสื่อมค่า 

นี่เรากำลังพูดถึงค่าที่เสื่อมไป 50% หรือ100% โดยอาจจะเห็นได้จากอัตราดอกเบี้ยที่มาในปริมาณเดียวกัน…

ถ้าเราต้องพบกับดอกเบี้ย 20% หรือ 40% ยังจะมีธุรกิจอะไรเหลืออยู่อีกหรือในสหรัฐฯ?

‘Global Reset’ เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครเตือนเลย 

จะต้องมีการรีเซ็ต แต่ไม่ใช่ครั้งเดียวหรอก 

รีเซ็ตครั้งแรกเป็น Man-Made โดยผู้มีอำนาจในสหรัฐฯ เป็นคนริเริ่มเองแต่ไม่สำเร็จ

รีเซ็ตครั้งที่สองเป็นเรื่องระหว่างสองซีกโลกซึ่งกำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ 

มันเป็นการงัดกันระหว่างฝ่ายตะวันตกที่มีแต่หนี้… มีแต่ความเสื่อมโทรมของโครงสร้างพื้นฐาน ไม่มีทรัพย์สิน กับฝ่ายตะวันออกที่มีความรุ่งเรืองของโครงสร้างพื้นฐาน เห็นได้ชัดทั้งในเมือง… นอกเมือง… และสนามบิน 

ไม่ต้องบอกเลยว่าใครจะเป็นผู้รีเซ็ตในครั้งที่สองนี้ได้สำเร็จ

‘ดร.สุวินัย’ เผย ถึงเวลาโละทุกระบบ รับมือความเปลี่ยนผันสู่ ‘ยุคดาต้านิยม’ ชี้!! ปัญญา-กลยุทธ์ของ ‘ผู้นำวิถีปราชญ์’ คือหัวใจหลัก พาสังคมฝ่ามหาวิกฤติ

เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 66 ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Suvinai Pornavalai' ในหัวข้อ ‘ทบทวน The Great Reset : ใครรู้ทันและเตรียมพร้อม คนนั้นรอด’ โดยระบุว่า…

‘The Great Reset’ หมายถึง การ ‘โละ’ ระบบทุกอย่างในโลกใบนี้ ในการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 เพื่อเข้าสู่ยุคดาต้านิยม (Dataism) เต็มตัว

ที่ผ่านมา โลกได้ผ่านการปฏิวัติอุตสาหกรรมมาแล้ว 4 ครั้ง

๐ ครั้งที่ 1 อยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1760-1840 เป็น ‘การปฏิวัติใช้เครื่องจักรไอน้ำ’ ในทุกอุตสาหกรรม ซึ่งนำไปสู่การผงาดขึ้นของยุคทุนนิยมช่วงต้น

๐ ครั้งที่ 2 อยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1820-1925 เป็น ‘การปฏิวัติใช้ไฟฟ้า’ ในทุกอุตสาหกรรม เริ่มมีการใช้สายพานในการผลิต ทำให้เกิดการผลิตแบบแมส  (Mass Production) ในระบบทุนนิยม ตามมาด้วยการเกิดชนชั้นกลาง (Middle Class) ในฐานะที่เป็นผู้บริโภคหลักของเศรษฐกิจทุนนิยม

๐ ครั้งที่ 3 อยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1969-2010 เป็น ‘การปฏิวัติใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต’ มาใช้ในทุกอุตสาหกรรมในยุคทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ (Globalization) ที่เป็นยุคทุนนิยมช่วงปลายๆ ที่งอมแล้ว (Mature Capitalism)

๐ ครั้งที่ 4 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2010 เป็นต้นมา เป็น ‘การปฏิวัติใช้อัลกอริทึมและปัญญาประดิษฐ์’ ในทุกอุตสาหกรรม ทะยานจากยุคเก่า (หรือทุนนิยม) เข้าสู่ยุคใหม่ หรือ ‘ยุคดาต้านิยม’ (Dataism) แทน

เพราะเหตุนี้เอง การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 จึงเป็นการ ‘โละระบบ’ ครั้งใหญ่สุดในรอบ 100 ปีที่คนในโลกไม่เคยเจอมาก่อน

ชาวโลกส่วนใหญ่จึงมองไม่ออกว่า อนาคตจะเป็นยังไงต่อไป…

แต่ที่แน่ๆ อาชีพเก่าๆ จะหายไปมากกว่าครึ่ง โดยจะมีอาชีพใหม่เข้ามาแทน รายได้ของคนส่วนใหญ่ที่ไม่ปรับตัวจะลดลง คนส่วนใหญ่จะไม่สามารถทำอาชีพใหม่ที่สร้างเงินดีๆ ได้ มีแต่คนส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถปรับตัว โดยการ Reskill ได้

ปัญหาความเหลื่อมล้ำจะยิ่งทวีความรุนแรง รวมทั้งปัญหาทางสังคม ระบบราชการ หากไม่ปรับตัวจะอยู่ไม่ได้ เพราะประชาชนจะกดดันผ่านเครือข่ายโซเชียล ขณะเดียวกัน ปัญหาต่างๆ จะถาโถมกดดันรัฐบาลไม่หยุดหย่อน

คนไทยควรตระหนักให้ดีว่า… ประเทศไทยเรากำลังเผชิญกับโลกที่ไม่ใช่ใบเดิมอีกต่อไป

ผู้ที่จะนำพาองค์กร นำพาสังคม นำพาบ้านเมืองให้ฝ่าผ่านวิกฤตโละระบบทั้งหมด (Great Reset) นี้ได้จะต้องเป็นผู้ที่สามารถ ‘คิดเชิงระบบ’ (Systems Thinking) อย่างเป็นนักยุทธศาสตร์ ได้เท่านั้น

ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของเทคโนโลยีในยุคดาต้านิยม โดยเฉพาะอัลกอริทึมคือ มันทำให้คนเรา ‘มีความเป็นมนุษย์น้อยลง’ (Downgrading Humans)

ผลที่ตามมาคือมันกำลังทำลาย ‘สังคม’ แบบที่มนุษย์ควรจะมี กลายเป็น ‘สังคมเสมือน’ ที่แตกแยก แตกร้าวเกินเยียวยา และช่วงชิงความใส่ใจเพื่อนมนุษย์ (Human Attention) ที่เราควรมีให้กับมนุษย์ด้วยกันที่อยู่ตรงหน้าหรือรอบข้าง ให้ไปอยู่ที่หน้าจอมือถือของแต่ละคนแทน

ผู้นำประเทศหรือนักการเมืองที่คิดเชิงระบบไม่ได้ หรือไม่สามารถเห็นผลกระทบเชิงลบที่ระบบย่อยต่างๆ ส่งผลต่อระบบใหญ่องค์รวม หรือ ‘โลกกาย่า’ (Gaia) ใบนี้ได้… ย่อมนำพาประเทศของตัวเองไปสู่หายนะ

เพราะผู้นำแบบนี้ย่อมไม่สามารถทำให้ประชาชนของตนตื่นรู้ และตระหนักถึงผลรวมแห่งการกระทำของแต่ละคน และชี้ทางออก-ทางสว่างที่เป็นความหวังให้แก่คนทั้งประเทศได้

ผู้นำที่คิดเชิงระบบอย่างนักยุทธศาสตร์ได้ ย่อมสามารถจัดการวิกฤติระบบที่เป็นปัญหา Complexity ได้ เพราะ The Great Reset คือรูปแบบหนึ่งของปัญหา Complexity เชิงระบบนั่นเอง

นิยามของผู้นำ (Leader) ในยุควิกฤติ คือ ผู้ที่สามารถนำพาผู้คนก้าวข้ามผ่านข้อจำกัดและอุปสรรคทั้งปวงได้

ภูมิปัญญากลยุทธ์ของผู้นำและวิถีปราชญ์ผู้นำ คือหนึ่งในหัวข้อหลักที่คนไทยต้องติดอาวุธทางปัญญาให้แก่ตัวเอง ในช่วงวิกฤติใหญ่ ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญมาก เพราะมันสามารถเปลี่ยนอนาคตของประเทศไทยไปอย่างไม่หวนกลับได้

เหตุการณ์วันนี้และและการตัดสินใจของปัจเจกซึ่งเป็นตัวละครหลักในประวัติศาสตร์หน้านี้ มันจะกลายเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ในวันข้างหน้า โดยที่มันจะมีส่วนกำหนดเส้นทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทยต่อจากนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

ประวัติศาสตร์เป็นเพียงเส้นทางผ่านวิกฤติทั้งหลาย โดยตัวมันเองจึงหามี ‘จุดจบอันงดงาม’ ทางประวัติศาสตร์เสมอไปไม่

สถานการณ์โลกที่กำลังจะบานปลายจากวิกฤติโควิด ไปเป็นมหาวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำ และสงครามครั้งใหญ่ที่ใกล้จะเกิด

เครือข่ายมันสมองของประเทศนี้จากทุกฝ่ายทุกวงการ ต้องเข้ามาช่วยกันระดมความคิด ระดมสมอง เพื่อแก้ไขสถานการณ์วิกฤติระดับโลกจากทุกความเป็นไปได้ที่มี หรือมีทางที่เป็นไปได้มากกว่านั้น ขณะที่คนจำนวนมากรวมทั้งนักการเมืองส่วนใหญ่ ยังไม่ทันได้ตั้งตัวต่อทุกเหตุการณ์ที่โหมกระหน่ำเข้ามา

ภูมิปัญญากลยุทธ์เพื่อฝ่าวิกฤติของผู้นำจึงสำคัญมากถึงมากที่สุด

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมหาวิกฤติที่เหนือความคาดหมายสำหรับคนทั่วไป โดยปกติมักเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะตัดสินใจได้อย่างถูกต้องแม่นยำ

เพราะการตัดสินใจเป็นเรื่องของ ‘การตัดสินด้วยใจของผู้นำ’

ดังนั้น ผู้นำจึงต้องมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธานในที่ประชุม เมื่อวิกฤติรอบด้านพากันมาชุมนุม คนเป็นผู้นำจึงต้องกุมสภาพจิตให้มั่นและต้องใช้ความกล้าหาญในการตัดสินใจ

การตัดสินใจที่ถูกที่ถูกเวลา คือ ยอดแห่งกลยุทธ์ทั้งปวง

ผู้นำที่เป็นจอมปราชญ์ คือ ผู้ที่ผ่านการฝึกตนจนชำนาญ ถึงขั้นที่สามารถหยั่งเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ จึงย่อมนำพาตนเองและคนอื่นออกจากภยันตราย โดยไม่รอให้ภัยมาถึงตัวก่อน

จอมปราชญ์จึงเป็นผู้มีสายตายาวไกล ผู้ผสานคัมภีร์หลากหลาย ให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิต
ปราชญ์ที่แท้ต้องเสนอ ‘ทางเลือก’ เพื่อพาสังคมออกจากมหาวิกฤติ

จะเห็นได้ว่า ปัญญาฝ่าวิกฤติของปราชญ์ คือ ‘หฤทัยแห่งพิชัยสงคราม’ ในทุกสมัย ซึ่งมีค่ายิ่งกว่าแก้วแหวนเงินทองใดๆ ในช่วงเผชิญกับวิกฤติในสมรภูมิชีวิต

มหาวิกฤตินี้จะมาในรูปของ ‘The Great Reset’ ซึ่งเป็นบททดสอบใหญ่ ที่ผู้คนทั้งประเทศจะได้เรียนรู้ร่วมกันครั้งใหญ่อีกครั้ง จากของจริงด้วยประสบการณ์จริง หลังจากวิกฤติโควิดหมดไปแล้ว 
ตอนนี้โลกกำลังเข้าสู่โหมดเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกกับสงครามใหญ่

สุวินัย ภรณวลัย

'ดร.สุวินัย' มอง!! ปรากฏการณ์ร่วมใน 'สังคม-ประเทศ' ที่กระแสคลั่งวัตถุนิยมระบาด ไม่เกี่ยงแม้เจ้าลัทธิจะวัยใด ขอแค่มีสาวกหนุน 'พลังทิพย์' ไว้ ก็มีโอกาสเชื่อมหา 'พลังเงิน'

(16 ธ.ค.66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Suvinai Pornavalai’ ในหัวข้อ ข้อสังเกตเชิงสังคมวิทยาเกี่ยวกับ 'ขบวนการเชื่อมจิต' ระบุว่า...

- การก่อเกิดและปรากฏของ ‘เจ้าลัทธิ’ (Cult Leader) เป็นปรากฏการณ์ร่วมของทุกประเทศหรือทุกสังคมที่กระแสคลั่งวัตถุนิยมระบาด และผู้คนจำนวนมากทนทุกข์กับความเหลื่อมล้ำทางโครงสร้างของสังคมนั้น

- ‘กลุ่มลัทธิ’ มักเกิดขึ้นจากประสบการณ์ทางวิญญาณที่ ‘พิเศษพิสดาร’ ของตัว ‘เจ้าลัทธิ’ เอง ที่กล้าป่าวประกาศ ‘ระบบความเชื่อเร้นลับ’ ของตนเอง เพื่อหาสาวกและพวกลูกศิษย์ มาร่วมสร้าง ‘องค์กรลัทธิ’ ของตน

- ผู้ที่เป็น ‘เจ้าลัทธิ’ จะต้องเป็น ‘ผู้นำบารมี’ (charisma leader) เท่านั้น มิหนำซ้ำจะต้องเป็น ‘ผู้นำโดยธรรมชาติ’ ด้วย ถึงจะสามารถสร้างองค์กรลัทธิที่เป็นความสัมพันธ์พิเศษระหว่างตัวเจ้าลัทธิกับพวกลูกศิษย์ที่ศรัทธาในตัวเจ้าลัทธิเต็มร้อยหรือเกินร้อย

- คนที่จะเป็นเจ้าลัทธิได้นั้นไม่เกี่ยงเลยว่าต้องมีอายุเท่าใด จะเป็นเด็ก 8 ขวบก็ได้ ขอแค่มีพวกสาวกที่ศรัทธาเต็มร้อยมารองรับสนับสนุนตัวเจ้าลัทธิเท่านั้น  

- มันไม่เกี่ยวเลยว่าคนภายนอกหรือสังคมจะมองตัวเจ้าลัทธิยังไง ตราบใดที่คนในองค์กรลัทธินั้นสามัคคีกันศรัทธาในตัวเจ้าลัทธิอย่างไม่คลอนแคลน และไม่เกิดวิกฤตศรัทธาต่อตัวเจ้าลัทธิจากภายในองค์กรลัทธินั้น

- การขยายตัวเติบโตขององค์กรกลุ่มลัทธิ ในด้านหนึ่งมันคือการแลกเปลี่ยนพลังกันระหว่าง คนภายนอกที่สนใจเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่หรือเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มลัทธินั้นเพื่อขอ ‘รับพลังอันเป็นทิพย์’ จากตัวเจ้าลัทธิ... ตรงนี้แหละที่มันเกิดรายจ่ายที่เป็นค่าธุรกรรม (transaction cost) เกิดขึ้นในกระบวนการแลกเปลี่ยนพลังกัน ระหว่างพลังเงิน-พลังศรัทธาจากพวกสาวกทั้งเก่าและใหม่ กับ ‘พลังอันเป็นทิพย์’ ของตัวเจ้าลัทธิ

- ‘การเชื่อมจิต’ ของกลุ่มเทวานิรมิตก็ดี หรือ ‘การเปิดจักระ’ ของกลุ่มพลังจักรวาลในอดีตก็ดี... มันคืออุบายหรือเครื่องมือในกระบวนการแลกเปลี่ยนพลังกันระหว่างพวกสาวกกับตัวเจ้าลัทธิที่สามารถวัดเป็นตัวเงินหรือค่าธุรกรรมออกมาได้นั่นเอง…ตราบใดที่พวกสาวกเต็มใจยอมจ่ายเงินในการแลกเปลี่ยนพลังกับเจ้าลัทธิ มันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรถ้ามองในแง่ ‘การให้บริการด้านความเชื่อ’ ที่ต้องจ่ายค่าบริการ

- อย่างไรก็ดี การนำเสนอกลุ่มฝึกจิตของตัวเอง เป็น ‘กลุ่มลัทธิ’ จึงเป็น ‘ดาบสองคม’ ที่จะถูกคนในสังคมโจมตีได้ง่าย ถ้าหากมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องแบบนี้พบเจอได้ในทุกสังคม ต่างกันแค่เนื้อหาความเชื่อที่ตัวเจ้าลัทธินำเสนอเท่านั้น

- เคสนี้มีคนนอกมาเกาะกระแสหากินกับเด็ก และตัวพ่อแม่เด็กรู้ไม่ทัน แถมตกกระไดพลอยโจน

- ค่าบริการร่วมกิจกรรมเชื่อมจิต จริงๆ คือค่าที่พักโรงแรม และค่าจัดการ เหมือนไปร่วมงานสัมมนา หรือไปดูคอนเสิร์ต นั่นแหละ

ชัดเจนว่าคณะผู้นำกลุ่มลัทธิกลุ่มนี้อ่อนประสบการณ์ในการรับมือวิกฤติที่มารุมเร้า

ข้างต้นคือความเห็นเชิงสังคมวิทยาที่ผู้เขียนใช้มองปรากฏการณ์ทางสังคมของ ‘ขบวนการเชื่อมจิต’ ด้วยใจที่เป็นกลาง ปราศจากอคติ ไม่ยึดติดกับรูปลักษณ์ภายนอก และไม่รีบด่วนสรุป

'ดร.สุวินัย' แนะ!! หากสงครามโลกครั้งที่ 3 เกิด อย่าจิตตก แล้วคิดรับมือแบบนักยุทธศาสตร์

(21 ม.ค.67) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Suvinai Pornavalai’ ในหัวข้อ ถ้าเกิดสงครามโลกครั้งที่สามจริง เราควรจะเตรียมรับมืออย่างไร? หลังมีคนเข้ามาสอบถามเกี่ยวกับประเด็นนี้ โดยระบุว่า…

สวัสดีท่านอาจารย์สุวินัยด้วยความเคารพครับ ผมขออนุญาตสอบถามขอความรู้จากท่านอาจารย์ในบางเรื่องครับ ทั้งนี้ตามแต่ท่านอาจารย์จะกรุณาครับ

สืบเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้ดูคลิปพระท่านเล่าคำพยากรณ์ของหลวงปู่ชอบว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่สาม ซึ่งโดยส่วนตัวผม หากพระที่ท่านเล่าในคลิป ท่านถ่ายทอดได้ถูกต้องตรงตามจริง ผมเชื่อว่าองค์หลวงปู่ท่านน่าจะมีอนาคตังศญาน ท่านพยากรณ์ไม่ผิดแน่
ผมก็เลยอยากขอความรู้ท่านอาจารย์ว่าหากเกิดสถานการณ์สงครามโลกครั้งที่สามจริง นอกจากการฝึกจิตฝึกใจภาวนาเจริญสติ (ซึ่งก็ได้ฝึกฝนอยู่) ผู้ที่ทำงานประจำอย่างผม จะต้องเตรียมรับมือในแง่การเงินในแง่เศรษฐกิจ ในแง่ปากท้อง และการใช้ชีวิตสำหรับครอบครัวอย่างไรครับ เพื่อให้ผ่านสภาวะดังกล่าวไปได้ (เพราะผมนึกไม่ออกไม่มีข้อมูลว่าการใช้ชีวิตในช่วงสงครามในเมืองไทย จะมีสภาพเป็นอย่างไร)

ขอบพระคุณท่านอาจารย์ครับ
~ ป๊อก

ซึ่ง ดร.สุวินัย ภรณวลัย ได้ตอบกลับว่า…

- คำถามนี้ของคุณเป็นคำถามที่ยากและเป็นคำถามที่ใหญ่มากนะ แต่คนที่ใช้ชีวิตอย่างมีสติ อย่างไม่ประมาท ก็ควรมีคำตอบที่ตกผลึกระดับหนึ่งให้กับตัวเองต่อคำถามนี้
- ในวิธีคิดของผม ผมจะแยกประเด็น ‘การเกิดสงครามโลกครั้งที่สามนี้’ ออกเป็นประเด็นย่อยๆ หลายข้อ ซึ่งมันจะช่วยให้เราเข้าใจและตระหนักถึงเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

1.) ‘สงครามโลกครั้งที่สามจะเกิดขึ้นหรือไม่?’
ตอบ : ตอนนี้มันมีเค้าลางในสมรภูมิ 3 สมรภูมิ คือในยุโรปที่ยูเครน ในตะวันออกกลาง ที่กาซากับเยเมน และในเอเชีย ที่เกาหลีเหนือกับไต้หวัน
2.) จึงควรถามต่อว่า ‘จะเกิดขึ้นเมื่อไร?’
ตอบ : โดยส่วนตัว ผมไม่คิดว่ามันจะเกิดในอนาคตอันใกล้นะ คือมันจะไม่บานปลายกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่สาม แบบเดียวกับสงครามโลกครั้งที่สอง อย่างน้อยจนถึงปี 2035…แต่หลังจากนั้นไม่แน่ 

อย่างไรก็ดีช่วงสิบปีต่อจากนี้ โลกจะวุ่นวายแน่นอน จากวิกฤตเศรษฐกิจถดถอย ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และสงครามไฮบริดเพื่อบั่นทอนสมรรถภาพในการทำสงครามโลกของขั้วมหาอำนาจอีกฝ่าย… จึงมองโลกสิบปีข้างหน้าอย่างโลกสวยไม่ได้เป็นอันขาด

3.) ‘โลกสิบปีข้างหน้ามันมีเมกะเทรนด์อะไรบ้าง?’
ตอบ : โลกของ ‘ทุนนิยม’ (capitalism) จะเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกของ ‘ดาต้านิยม’ (dataism) อย่างเต็มรูปแบบ อัลกอริทึมและปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามาแทนเงินทุน และอุตสาหกรรม 3.0 ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกอนาคต ผู้คนจะตกงานมหาศาล เพราะโลกกำลังโละระบบเก่า เพื่อไปสู่ระบบใหม่ ที่ควบคุมด้วยเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (Technocracy) ที่ประชาชนโลก ไม่ได้เป็นเจ้าของสิ่งใด แต่จะถูกระบบจัดสรรให้ในรูป Universal Basic Income ผ่านระบบการเงินแบบดิจิทัลของธนาคารกลาง ที่เรียกว่า CBDC

ต่อไปผู้คนจำนวนมากจะไม่อาจสร้างความมั่งคั่งส่วนตัวได้เหมือนผู้คนในศตวรรษที่ 20 หรือต้นศตวรรษที่ 21 ทำได้เพียงแบมือรอความช่วยเหลือ และการจัดสรรให้จากระบบรัฐ ตามที่รัฐเห็นสมควรเท่านั้น (การแจกเงินดิจิทัลเป็นจุดเริ่มต้น)

● เราจึงได้เห็นการสร้างหนี้มหาศาลไปทั่วโลก ทุกประเทศแบบดินพอกหางหมู 
- 90% ของครัวเรือนทั้งประเทศของประเทศนี้ล้วนแบกหนี้
- ธุรกิจขนาดใหญ่ของประเทศนี้ก็แบกหนี้มหาศาล ถึงขนาดต้องพึ่งหุ้นกู้จากประชาชน เพราะได้กู้เงินจากสถาบันการเงินเต็มลิมิตขีดจำกัดแล้ว
● ในสถานการณ์แบบนี้ ครัวเรือนไหนไม่มีหนี้ ไม่ก่อหนี้เลย ครัวเรือนนั้นถือว่ามีบุญที่สุด โชคดีที่สุด ถึงจะเป็นคนส่วนน้อยของประเทศนี้ก็ตาม
● เราไม่อาจขวางทางพายุของการเปลี่ยนผ่านที่กำลังปัดกวาดทำลายล้างระบบโลกเก่าในทุกมิติ
- ทางด้านเศรษฐกิจที่โครงสร้างการเจริญเติบโตทำได้ด้วยการก่อหนี้มโหฬารในระบบ
- ทางด้านชีวิตผู้คนที่ต้องเผชิญกับโรคระบาด ภัยพิบัติธรรมชาติ และมิคสัญญีความวุ่นวายทางสังคมไม่รู้จบสิ้น
- ทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ผ่านการสร้างสงครามใหญ่ เพื่อไปสู่ระเบียบโลกใหม่
● เราจึงต้องเรียนรู้เพื่อเข้าใจระบบและปรับตัวไปตามพายุของการเปลี่ยนผ่านนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสรอดอย่างบูรณาการ และอย่างมีสมดุลที่สุดทั้งทางโลกและทางธรรม

4.) ‘เราต้องเตรียมตัวรับมืออย่างไรบ้าง?’
ตอบ :
●  ควรออกจากตลาดทุน/ตลาดหุ้น ที่กำลังจะพังทลายหรือเดินหน้าดิ่งลงเหว ยกเว้นเจ้าตัวเป็นเทรดเดอร์ขั้นเทพ ที่เป็นชนกลุ่มน้อยฝ่ายผู้ชนะในตลาดหุ้น
● เก็บความมั่งคั่งส่วนตัวที่ไม่ต้องพึ่งพาระบบดิจิทัล (ไม่สะสมเหรียญคริปโต) ซึ่งก็คือ ที่ดินเกษตร ที่ดินทำกินแบบเศรษฐกิจพอเพียง
● มีสังกัดในชุมชนเครือข่ายที่มีความพร้อมเรื่องปัจจัยสี่ ถ้าโลกเข้าสู่เศรษฐกิจถดถอย เกิดสงครามใหญ่ตามภูมิภาคต่างๆ จนผู้คนในเมืองใหญ่ตกงานเป็นจำนวนมาก
● ดูแลระบบภูมิชีวิตของตนเองและคนในครอบครัวให้แข็งแกร่ง พร้อมสู้กับทุกการรุกรานต่อสุขภาพร่างกาย ทั้งเชื้อโรค และอากาศเป็นพิษ
● เตรียมที่หลบภัยอย่างเหมาะสม เป็นแผนสำรองฉุกเฉินหากเกิดสงครามลุกลามมาถึง (เมืองไทยยังไม่น่ากังวลเรื่องนี้อย่างน้อยในช่วงสิบปีต่อจากนี้)

หัวข้อนี้ เราควรคิดเผื่อไว้แบบนักยุทธศาสตร์ แต่มิใช่เอามาครุ่นคิดวิตกจนจิตฟุ้งซ่านกังวลเป็นอันขาด

ในฐานะที่คุณป๊อกและผมต่างก็เป็นผู้ปฏิบัติธรรมเจริญวิปัสสนาเหมือนกัน เราควรมีจิตตั้งมั่นแบบ ‘อจลจิต’ หรือจิตที่ไม่หวั่นไหว เพื่อพร้อมเผชิญหน้ากับวิกฤตทุกรูปแบบที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตเราและครอบครัวของเรา

ด้วยความปรารถนาดี

‘เจอโรนิโม’ วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของชาวอินเดียแดง  ผู้ยอมมอบตัว เพื่อปกป้องรักษา ชีวิตของคนทั้งเผ่า 

(3 มี.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร. สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ชีวประวัติ ของ เจอโรนิโม วีรบุรุษผู้ยอมอดกลั้นทุกอย่าง เพื่อรักษาชีวิตของคนทั้งเผ่า โดยระบุว่า ...

การตัดสินใจ "ไม่ทำสงคราม" มีความสำคัญพอๆหรือสำคัญยิ่งกว่าการตัดสินใจ "ทำสงคราม" ด้วยซ้ำ สิ่งนี้สะท้อนวุฒิภาวะของผู้นำ ที่การตัดสินใจของเขามีอนาคตของเผ่าพันธุ์หรือประเทศของตนเป็นเดิมพัน ในมุมมองของผู้นำทัพสูงสุด สงครามมีแค่สองประเภทเท่านั้น คือ "สงครามที่ไม่ทำสงคราม" กับ "สงครามที่ทำสงคราม"

เครซี่ ฮอร์ส (1840-1877) รู้จักแต่สงครามประเภทหลังเท่านั้น ชีวิตของเขาจึงต้องจบสิ้นตั้งแต่วัยฉกรรจ์

กษัตริย์พม่าพระองค์สุดท้ายก็ทรงรู้จักแต่สงครามประเภทหลังเท่านั้น จึงต้องเสียท่าแก่จักรวรรดินิยมอังกฤษ และทำให้สถาบันกษัตริย์ถึงแก่การล่มสลายในพม่าไปตลอดกาล

ขณะที่กษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรีทรงมีพระปรีชาญาณและวิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกล จึงทรงรู้จักสงครามทั้งสองประเภท คือ "สงครามที่ไม่ทำสงคราม" กับ "สงครามที่ทำสงคราม" ทำให้สามารถนำพาบ้านเมืองรอดจากปากเหยี่ยวปากกามาได้ไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้น ... เกาะกูดยังเป็นของไทยก็เพราะเหตุนี้ด้วย

เกริ่นมาเสียยืดยาว ก็เพื่อที่จะแนะนำให้ผู้อ่านได้รู้จักเรื่องราวของ "เจอโรนิโม" หนึ่งในสี่ของนักรบชาวพื้นเมืองอเมริกาผู้ยิ่งใหญ่ และสงครามทั้งสองประเภทของเขา 
ในปี ค.ศ. 1858 เจอโรนิโม (1829-1909) ผู้เป็นนักรบอาปาเช่เพิ่งเดินทางกลับจากการไปแลกเปลี่ยนสินค้าที่เม็กซิโก เขาพบว่าแม่ เมีย และลูกทั้งสามคนของเขาถูกพวกทหารสเปนชาวผิวขาวจากเม็กซิโกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน 

คนขาวเหล่านั้นกระทำกับผู้หญิง คนแก่และเด็กราวกับสัตว์ป่ากระหายเลือด หลังจากนั้นมา เจอโรนิโมได้สาบานกับตัวเองว่าเขาจะฆ่าคนขาวให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และมันก็เป็นจริงตามนั้น

หลังจากนั้นเจอโรนิโมจะใช้ทุกโอกาสที่มีเข้าโจมตีและฆ่าทหารของกองทัพของเม็กซิโก เจอโรนิโมโดนทหารเม็กซิกันจับได้หลายครั้ง แต่เขาก็ใช้ความสามารถเฉพาะตัวหลบหนีออกมาได้ทุกครั้ง และกลับไปล้างแค้นต่อ จนคนขาวเข็ดขยาดในความเก่งกาจและโหดเหี้ยมของนักรบอาปาเช่

อาปาเช่เป็นภาษาของเผ่าชิริคาฮัว ... "อาปาเช่" มีความหมายว่า "คนปากกว้าง" 
เจอโรนิโมเป็นวีรุบุรุษผู้กล้าหาญและหัวหน้าเผ่าชิริคาฮัว อาปาเช่ ในศตวรรษที่ 19 ที่กล้าเปิดสงครามต่อสู้กับทหารอเมริกันและทหารเม็กซิโกที่พยายามขยายดินแดนล่วงล้ำเข้าไปยังดินแดนของอาปาเช่ จนรู้จักกันในชื่อของ "สงครามอาปาเช่" 

เจอโรนิโม (Geronimo) หรือโกยาทเล เกิดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 1829 ในเผ่าอาปาเช่ (Apache) สาขาเบดอนโคเฮ (Bedonkohe) ในดินแดนที่เป็นรัฐนิวเม็กซิโกในปัจจุบันนี้ 
ในเวลานั้น สหรัฐอเมริกากำลังทำสงครามกับเม็กซิโกเพื่อขยายดินแดนไปทางตะวันตก และพยายามขับไล่กวาดล้างชาวพื้นเมืองอเมริกา (อินเดียนแดง) ออกไปจากพื้นที่ดังกล่าว ทำให้ชาวพื้นเมืองบางส่วนต้องลุกขึ้นต่อสู้เพื่อปกป้องดินแดนของตนจากผู้รุกราน โดยการดักปล้นเสบียงและอาวุธจากฝ่ายอเมริกา

จุดเริ่มต้นที่ทำให้เจอโรนิโม (โกยาทเล) กลายมาเป็นนักรบนั้นเกิดขึ้นในปี 1858 ตอนเขาอายุ 29 ปี ขณะที่เขาและผู้ชายชาวอาปาเช่บางส่วนได้เดินทางไปทำการค้าขายในเมืองอยู่นั้น ปรากฏว่ามีกองทหารเม็กซิโกเข้าโจมตีค่ายของอาปาเช่และสังหารคนในค่ายจนหมด ถึงรวมถึงแม่ ภรรยาและลูก ๆ ของเจอโรนิโมด้วย จึงทำให้ชาวเผ่าอาปาเช่สาขาต่าง ๆ ได้แก่ เบดอนโคเฮ โชโกเนน (Chokonen) และเน็ดนี (Nedni) ประกาศร่วมมือกันเพื่อทำสงครามตอบโต้เม็กซิโกตั้งแต่ปี 1859 เป็นต้นมา 

ซึ่งเจอโรนิโมก็ได้เป็นหนึ่งในผู้นำของชาวอาปาเช่ในการเข้าโจมตีและปล้นสะดมชาวเม็กซิโกอย่างต่อเนื่องโดยที่รัฐบาลเม็กซิโกไม่สามารถจับกุมตัวได้ และในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นเอง พวกชาวเม็กซิโกก็ตั้งฉายาของโกยาทเลว่า “เจอโรนีโม” ซึ่งกล่าวกันว่าเกิดจากคำอุทานของทหารเม็กซิกันที่มักจะขอความกรุณาจากเซนต์เจโรม (Jerome) นั่นเอง

เจอโรนิโม คือชายผู้ไม่ยอมแพ้แก่อเมริกันชนผู้มาปล้นชิงแผ่นดินเกิด โดยอินเดียแดงบางเผ่าถึงกับถูกคนขาวฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จนไม่เหลือใครสักคนเดียว

ในช่วงปลายสงคราม เหลือชาวอินเดียนแดงอยู่แค่ไม่กี่เผ่าเท่านั้น พวกเขายังคงใช้ชีวิตต่อสู้กับชาวยุโรปตลอดมา และหนึ่งจำนวนนั้นคือ เจอโรนิโม หัวหน้าเผ่าอาปาเช่ ชายที่ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตในการปกป้องผืนแผ่นดินบ้านเกิด 

เจอโรนิโมเป็นชาวอินเดียนแดงที่สหรัฐและเม็กซิโกต้องการจับตัวมากที่สุด ต้องการขนาดยอมร่วมมือกันเพื่อออกตามล่าตัวเจอโรนิโมอย่างเร่งด่วน เพราะเจอโรนิโมเป็น 1 ในแกนนำของ 3 ชนเผ่าอย่างที่ได้รวมตัวกัน เพื่อต่อสู้ทำสงครามอาปาเช่กับสหรัฐและเม็กซิโกอย่างถึงที่สุด 

สงครามอาปาเช่นี้เริ่มต้นในปี 1859 จนถึงปี 1862 มีแกนนำหลายคนเสียชีวิตและถูกจับกุมตัว แต่มีเพียง เจอโรนิโมเท่านั้นที่ยังคงหยัดยืนเป็นแกนนำหลักของทั้ง 3 เผ่าทำสงครามอาปาเช่อย่างไม่หยุดหย่อน จนกลางปี 1862 สหรัฐและเม็กซิโกได้เสนอการทำสนธิสัญญาสันติภาพเพื่อขอสงบศึกกับทั้ง 3 เผ่าอินเดียนแดง 

หัวหน้าเผ่าทุกคนยอมรับข้อเสนอดังกล่าว แต่ทั้งนี้มีข้อแม้ว่าหัวหัวหน้าเผ่าโชโกเนนจะไม่เดินทางไปทำสนธิสัญญาด้วย จะมีเพียงหัวหน้าเผ่าของเบคอนโคเฮกับหัวหน้าเผ่าเน็ดนีเดินทางไปเท่านั้น

ตัวแทนจากทั้ง 2 เผ่าออกเดินทางไปทำสนธิสัญญา และก็เป็นไปตามคาดคณะของหัวหน้าเผ่าทั้งสองที่ยกไปทำสนธิสัญญาสงบศึกได้ถูกลอบสังหารจนหมดสิ้น
จากนั้นยังกองทหารสหรัฐ-เม็กซิโกยังยกทัพไปกวาดล้างชนเผ่าอาปาเช่ต่อ
ครั้นพอทราบข่าวหัวหน้าเผ่าโชโกเนน เขาจึงฝากฝังเจอโรนิโมให้พาเด็กและสตรีหลบหนีไปก่อน ส่วนเขาได้ยกพวกเข้าต่อสู้กับทหารอเมริกันจนเสียชีวิตในสนามรบ
ทำให้เจอโรนิโมกลายเป็นหัวหน้าเผ่าของอาปาเช่เพียงคนเดียวที่เหลือรอดอยู่ในปี 1862 ตอนนั้นเจอโรนิโมอายุ 33 ปี

ภารกิจหนึ่งเดียวที่เหลือหลังจากนั้นของเจอโรนิโมในฐานะผู้นำสูงสุดของเผ่าอาปาเช่ คือต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อปกป้องชนเผ่าที่เหลือให้อยู่รอดให้จงได้ 
เจอโรนีโมต้องพาคนในเผ่าของเขาการอพยพย้ายที่อยู่บ่อยครั้ง เพื่อหนีการตามไล่ล่าของพวกทหารผิวขาว

เจอโรนีโมได้พยายามปกป้องชาวอาปาเช่ที่ยังหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดอย่างกล้าหาญ แม้จะต้องอพยพหลบหนีภัยสงครามอยู่หลายครั้ง ทำให้ฝ่ายเม็กซิโกและอเมริกาที่ต้องการจับตัวของเจอโรนีโมต้องใช้เวลาตามล่าและพบกับความสูญเสียไปไม่น้อย กว่าที่นายพลเนลสัน ไมลส์ จะนำกำลังเข้าล้อมจับชาวอาปาเช่ได้ที่สเกเลตัน แคนยอน รัฐอริโซนา เมื่อปีกันยายน ปี 1886 ขณะนั้นเจอโรนิโมอายุ 57 ปี

ถึงจะรบไม่เคยแพ้ แต่เจอโรนิโม กลับยอมมอบตัว แต่โดยดี
เจอโรนีโมจำต้องยอมให้ทหารอเมริกันจับกุมตัวเพื่อรักษาชีวิตของชาวอาปาเช่ที่เหลือทั้งหมด ... นี่คือ "สงครามที่ที่ไม่สู้สงคราม" ของเจอโรนิโม

เมื่อนายพลเนลสัน ไมลส์ ให้สัญญาลมๆ แล้งๆ ว่า จะได้กลับไปอยู่ร่วมกับครอบครัวใหม่และสมาชิกในเผ่า ซึ่งถูกบังคับให้ต้องเดินทางไกลย้ายถิ่นฐานจากเขตสงวนในรัฐอริโซนาไปที่รัฐฟลอริดา อันเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางของน้ำตาและความตาย 

แต่แล้วกองทัพสหรัฐก็กลืนน้ำลายตัวเอง ไม่ได้รักษาคำสัญญานั้น กลับจับวีรบุรุษผู้กล้าของอาปาเช่อย่างเจอโรนิโมไปขังคุกในฐานะเชลยสงคราม แถมยังขยันย้ายคุกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นว่าเจอโรนิโมแก่ตัวไร้พิษสงและเขี้ยวเล็บแล้วจึงถูกย้ายไปอยู่ที่ฟอร์ท ฮิลล์ รัฐโอคลาโฮมาเป็นแห่งสุดท้าย 

เจอโรนีโมได้ถูกนำตัวออกแสดงต่อสาธารณชนที่ต้องการชมหัวหน้าชาวอาปาเช่ผู้มีชื่อเสียงอยู่หลายครั้ง รวมถึงในปี 1905 เจอโรนีโม ยังได้เขียนบันทึกอัตชีวประวัติของตัวเขาเองเอาไว้เกี่ยวกับประวัติชีวิตและยุทธวิธีในการรบของเขา

เจโรนิโม ปล่อยให้ชีวิตผ่านไปวันๆ อย่างดีก็แค่ไปร่วมงานฉลองเล็กๆ น้อยๆ ของอินเดียนแดง ระหว่างนั้นเขาเคยปรารภหลายครั้งว่าสิ่งเดียวที่เสียใจที่สุดในชีวิตก็คือการหลงเชื่อน้ำคำของนายพลอเมริกันจนสมัครใจยอมแพ้แล้วถูกหักหลัง ทำให้ตัวเขาไม่ได้ตายในสนามรบอย่างกล้าหาญ 

สิ่งเดียวที่ปลอบประโลมใจเขาไว้ได้ คือการที่เขาสามารถรักษาชีวิตของคนในเผ่าอาปาเช่ที่เหลืออยู่น้อยนิดไม่ให้ถูกกวาดล้างจนสิ้นเผ่าพันธุ์ได้ เพราะเขาเลือกที่จะไม่ต่อสู้จนตัวตายในสนามรบเอง

และแล้ววันหนึ่งในปี 1909 ขณะขี่ม้ากลับบ้าน เจอโรนิโม ผู้ชราในวัย 80 ปีก็ถูกม้าสลัดตกต้องนอนกลางดินท่ามกลางความหนาวเย็นถึงหนึ่งคืนกว่าจะได้รับการช่วยเหลือ แต่เจอโรนิโม ก็เสียชีวิตหลังจากนั้นด้วยโรคปอดบวม หลังจากที่ต้องอยู่ในฐานะนักโทษของอเมริกาเป็นเวลากว่า 23 ปี เป็นการปิดตำนานของนักรบผู้ปกป้องพื้นแผ่นดินชาวอินเดียนแดงคนสุดท้ายแต่เพียงเท่านี้

เครซี่ ฮอร์ส เป็นนักรบอินเดียนแดงที่ยิ่งใหญ่ เพราะไร้พ่ายก็จริง
แต่เจอโรนิโม เป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่กว่าเครซี่ ฮอร์ส อีก 
เพราะ เขา ‘ปกป้องชีวิต’ และ ‘รักษาชีวิต’ ของเผ่าพันธุ์เอาไว้ได้ ด้วยการทำ ‘สงครามที่ไม่สู้สงคราม’

แถมยังสามารถเขียนบันทึกอัตชีวประวัติของตนเองให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงความโหดร้ายและความยากลำบากชนิดเลือดตาแทบกระเด็นของการปกป้องแผ่นดินเกิดและการรักษาเผ่าพันธุ์

นิยามของวีรบุรุษ มี 2 แบบ วีรบุรุษระห่ำที่ไม่กลัวตาย ไม่เสียดายชีวิต กับวีรบุรุษผู้ยอมอดกลั้นทุกอย่างเพื่อความผาสุกของคนทั้งหมด

ผู้มีปัญญาย่อมรู้เองว่า วีรษรุษแบบไหนคือวีรบุรุษที่แท้จริง

ด้วยจิตคารวะ

สุวินัย ภรณวลัย

‘ดร.สุวินัย’ ชี้!! มุมดี ‘ปรีดี’ ช่วยไทยรอดสงครามโลกครั้งที่ 2 ลดบาป 'ต้นคิดการปฏิวัติ 2475' ก่อนคณะราษฎรสิ้นอำนาจ

(14 มี.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความรีวิวแอนิเมชัน ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ โดยระบุว่า…

ผมเพิ่งดู ‘แอนิเมชั่น ๒๔๗๕’ จบลงด้วยความประทับใจ และขอเสนอมุมมองที่อาจจะแตกต่างกับผู้ชมทั่วไปบ้าง  ดังนี้

- อยากให้เราย้อนกลับไปดูสถานการณ์ของยุโรปใน ปี ค.ศ. 1926 หรือ 6 ปี ก่อนการปฏิวัติ 2475 (ค.ศ. 1932) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พวกคณะผู้ก่อการปฏิวัตินัดประชุมกันอย่างเป็นทางการครั้งแรก เพื่อคิดก่อการปฏิวัติในนามของ ‘คณะราษฎร’.... คนพวกนี้คือ Mastermind หรือกลุ่มต้นคิดการปฏิวัติ 2475

- ยุโรปในปี ค.ศ. 1926 คือเพิ่งผ่านการปฏิวัติบอลเชวิค (การปฏิวัติรัสเซีย) ในปี ค.ศ. 1917 มาแค่ 9 ปี หลังจากที่เลินนิน ผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติรัสเซีย เจ้าลัทธิมาร์กซ-เลนิน เพิ่งเสียชีวิตใน ปี ค.ศ. 1924 ‘ระบอบสตาลิน’ (ระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ) เพิ่งจะก่อตัวในรัสเซีย

ขณะนั้น ‘ความจริงของการปฏิวัติสังคมนิยม’ เป็นสิ่งที่จับต้องได้ ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันยูโทเปียอีกต่อไป

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใจที่เด็กบ้านนอกจากสยาม อย่างนายปรีดี จะตื่นเต้นกับการปฏิวัติรัสเซียในระดับคลั่งไคล้ มิหนำซ้ำ เขาคือผู้นำทางความคิดเพียงคนเดียวของคณะก่อการกลุ่มนี้ ขณะที่สมาชิกผู้ก่อการคนอื่น ไม่ได้มีองค์ความรู้เรื่องการปฏิวัติรัสเซียแบบนายปรีดี พวกเขาแค่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงนำระบอบรัฐสภาและประชาธิปไตยเข้ามาใช้ในประเทศสยามตามแบบอังกฤษ เพื่อทำให้สยามเป็นอารยประเทศเท่านั้น

- ผมคิดว่าความต้องการให้มีระบอบรัฐสภาและประชาธิปไตยแบบอังกฤษ ของคณะผู้ก่อการกลุ่มนี้มีความชอบธรรมนะ เพราะมันคือทิศทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของสยามอยู่แล้ว แค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น

ตัวนายปรีดีต่างหาก คือ ‘ความแปลกแยก’ ในหมู่คณะผู้ก่อการกลุ่มนี้ เพราะตัวนายปรีดีคนเดียวเท่านั้นที่มีหัวเอียงซ้ายตามโมเดลการปฏิวัติบอลเชวิก ขณะที่ผู้ก่อการคนอื่นแค่อยากเร่งกระบวนการ Modernization ของสยามเท่านั้นเอง

นี่คือความย้อนแย้งแบบปฏิบท (Paradox) ของการปฏิวัติ 2475

กล่าวคือ ถ้าไม่มีนายปรีดีมาเป็นหัวหน้าคณะผู้ก่อการตั้งแต่แรก การปฏิวัติ 2475 น่าจะไม่ประสบความสำเร็จและลงเอยด้วยการเป็นกบฏ เหมือนกลุ่มทหารหนุ่มในสมัยรัชกาลที่ 6 ก่อนหน้านี้

ถ้าไม่มีนายปรีดี คณะผู้ก่อการกลุ่มนี้ก็แทบไม่ต่างจากกลุ่มกบฏทหารหนุ่มก่อนหน้านี้แต่อย่างใด

- ‘ใบปลิว Fake News’ ที่นายปรีดีจงใจเขียน เพื่อโจมตี บิดเบือนใส่ร้ายสถาบันกษัตริย์ และเอามากระจายแจกจนเป็น ไวรัล ไปทั่วกรุงช่วงนั้น คือจุดเริ่มต้นของ ‘ความเลวร้าย’ ที่ ‘อุตส่าห์ปฏิวัติสำเร็จ แต่ไม่สามารถรักษาการปฏิวัติอย่างเป็นระบบได้’ สุดท้ายก็แค่ได้ ‘คณะผู้นำทหารกลุ่มใหม่’ มาเถลิงอำนาจรัฐ และหลงไหลในอำนาจรัฐที่ตัวเองครอบครองอยู่เท่านั้น

โดยที่คนสุดท้ายที่ชนะใน ‘เกมอำนาจคณะราษฏร’ นี้ นายทหารหนุ่มที่ชื่อ แปลก พิบูลสงคราม (ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะผู้ก่อการรองจากนายปรีดีที่เป็นหัวหน้า) ที่สุดท้ายนายแปลกก็ทำตัวเป็น ‘เจ้าคนใหม่’ ในระบอบฟาสซิสต์ไทยอยู่ช่วงหนึ่งเสียเอง ไม่ต่างจากบทบาทของนายฮุนเซนในเขมร

- จึงไม่แปลก ที่ช่วงสุดท้าย หรือ End Game ใน ‘เกมอำนาจคณะราษฏร’ จึงเป็นการต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐระหว่างนายปรีดี หัวหน้าคณะผู้ก่อการ กับนายแปลก รองหัวหน้าคณะผู้ก่อการ ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะอันเบ็ดเสร็จของนายแปลก ในปี พ.ศ. 2490 หรือ 15 ปีหลังการปฏิวัติ 2475

- ความย้อนแย้งอีกอันหนึ่ง คือคุณูปการของนายปรีดีในวัยกลางคน ในฐานะ ‘ผู้นำขบวนการเสรีไทย’ ที่ช่วยให้ประเทศไทยหลุดรอดจากหายนะของผู้นำประเทศอย่างนายแปลกที่พาประเทศไทยเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สองร่วมกับญี่ปุ่น

- โดยส่วนตัว ผมไม่อาจยอมรับนายปรีดีในวัย 32 ที่ก่อการปฏิวัติ 2475 ได้  ... ในสายตาของผม นายปรีดีตอนนั้นเป็นแค่ปัญญาชนที่ร้อนวิชา คลั่งการปฏิวัติรัสเซีย และขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับความเป็นจริงของคนไทยและสังคมไทย

แต่ผมเคารพในคุณูปการของนายปรีดี ที่มีวุฒิภาวะแล้วในวัยกลางคนในฐานะผู้นำขบวนการเสรีไทย  ... เพราะเขาเองก็เติบใหญ่ทางความคิดและมีประสบการณ์ทางโลกจนเจนจัดแล้ว

มันจึงเป็นความย้อนแย้งอย่างยิ่งของตัวนายปรีดีเอง ที่เริ่มจากเป็นตัวการให้เกิดกลียุคในบ้านเมืองโดยการปฏิวัติ 2475 แต่สุดท้ายก็เป็นนายปรีดีนี่แหละที่เป็น ฮีโร่ช่วย save ประเทศไทยจากวิกฤตช่วงนั้นเอาไว้ได้ในฐานะ ‘ผู้นำขบวนการเสรีไทย’

‘ดร.สุวินัย’ มองปัญหาของ ‘ไทย’ ไม่ใช่แค่ ‘ปลาหมอคางดำ’ บุกระบบนิเวศ แต่ยังมี ‘ทุนนอก’ บุกระบบเศรษฐกิจ กระตุ้นเกิด ‘วิกฤตฐานรากปี 2567’

(24 ก.ค. 67) รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘วิกฤติปลาหมอคางดำ’ กับปัญหา ‘Competitive Exclusion’ ในระบบนิเวศของเศรษฐกิจไทย โดยระบุว่า…

● ปัญหาเรื่องปลาหมอคางดำในเชิงชีววิทยา

ในเรื่องเกี่ยวกับระบบนิเวศนี้ ผู้รู้ทางชีววิทยาเขาจะแบ่งสิ่งมีชีวิตเป็น ...
(1) พวกผลิตเองได้ (autotroph) เช่น พืช 
(2) พวกผลิตอาหารเองไม่ได้ (heterotroph) เช่น สัตว์ทั่วไป ซึ่งจะแบ่งย่อยเป็นพวกกินพืช (herbivores) พวกกินสัตว์ (carnivore) พวกกินทั้งพืชและสัตว์ (omnivore)
(3) พวกผู้ย่อยสลายหรือพวกที่กินซาก (decomposer หรือ saprophytes) เช่น เห็ดรา สัตว์กินซาก นกแร้ง วรนุช ฯลฯ

การที่ผู้รู้ทางชีววิทยาแยกประเภทแบบนี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า พื้นที่ในระบบนิเวศของสิ่งมีชีวิตแต่ละประเภทนี้มันอยู่ที่ไหนในห่วงโซ่อาหาร การที่ปลาหมอคางดำมันสร้างปัญหาอยู่ตอนนี้ ก็เพราะมันกินทั้งพืช สัตว์ และซาก 

เท่านั้นยังไม่พอ ปลาหมอคางดำยังอยู่ได้ทั้ง 4 น้ำคือ น้ำเค็ม น้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำร้อน (ทนอุณหภูมิสูงได้) ด้วยเหตุนี้ ปลาหมอคางดำจึงสามารถขยาย ‘พื้นที่ของตัวเอง’ ไปในระบบนิเวศ จนมันไม่เหลือพื้นที่ให้คนอื่นเขาอยู่

แค่นี้ยังไม่พอ ปกติพวกสัตว์จะมีการสืบพันธุ์ แบบ K type กับ R type

K type นี้จะมีลูกน้อย อายุยาวต้องเลี้ยงลูกนาน โอกาสรอดของลูกจึงสูงกว่า ถ้ามีลูกน้อย (สัตว์มนุษย์จัดอยู่ใน K type)

ส่วนพวก R type นี้จะออกลูกมาก เพราะโอกาสรอดของลูกมันจะต่ำ อาจจะถูกสัตว์อื่นกินไปมากก่อนจะโต เช่น นก หนู ปลา 

ส่วนเจ้าปลาหมอคางดำนี้ แม้จะเป็นพวก R type แต่ปลาหมอคางดำกลับมีวิวัฒนาการที่เหนือกว่าปลาทั่วไปที่พอผสมพันธุ์ภายนอกตัวเสร็จ ก็ไม่ดูแลต่อ 

แต่พ่อปลาหมอคางดำกลับอมลูกในปาก ปกป้องลูกของมัน จนมันอัตราการรอดมันสูงแบบ K type ไม่เหมือน R type ชนิดอื่น

มิหนำซ้ำปลาหมอคางดำยังกินทุกอย่าง อยู่ได้ทุกที่ ขยายพันธุ์เร็ว มีโอกาสรอดสูง..ปลาหมอคางดำจึงรุกเข้าไปอยู่ในทุกพื้นที่ ทุกระบบนิเวศ และทุก niche ในน้ำ...มันจึงสร้างปัญหาร้ายแรงต่อระบบนิเวศ

ในทางนิเวศวิทยา มีศัพท์คำหนึ่งคือ ‘Competitive Exclusion Principle’... ซึ่งโดยหลัก ๆ มันคือสิ่งเดียวกับคำกล่าวที่ว่า ‘เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้’

ในระบบนิเวศสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ล้วนต้องผ่านขบวนการคัดเลือกตามธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตเขาจะหา ‘พื้นที่’ ของเขาในระบบนิเวศ หรือ niche ในการอยู่อาศัยของเขา เช่น จิ้งเหลนอยู่หากินตามพื้น, กิ้งก่าอยู่หากินบนต้นไม้ ไม่ทับเส้นกัน 

แต่ถ้าเมื่อไรมันทับเส้นกัน มันจะมีแค่สัตว์ชนิดเดียวที่หากินเก่งกว่า ที่มันจะรอด สัตว์ชนิดไหน ตัวไหน ถ้าหา niche ใหม่ไม่ได้ก็ตายหรือสูญพันธุ์ไป 

แล้วอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อเจ้าปลาหมอคางดำนี้ มันกระจายตลาดของมันไปแทบจะทั่วทุก niche ในระบบนิเวศ?

จากหลักการของ Competitive Exclusion Principle ข้างต้น เราย่อมคาดการณ์ได้ว่า ...

มันคงมีหลายชีวิตหลายสายพันธุ์ ที่มันแข่งขันในตลาด ใน niche ของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป...จนอาจจะต้องสูญพันธุ์ไปในที่สุด

แน่นอนว่าในระบบนิเวศนี้มันไม่ได้อาศัยการแข่งขันกันอย่างเดียว แต่มันต้องพึ่งพาอาศัยกันด้วย 

เมื่อเกิดการสูญพันธุ์จำนวนมาก พอมาถึงจุด ๆ หนึ่ง ตัวระบบนิเวศทั้งระบบมันก็คงอยู่ไม่ได้ต้องล่มสลายลง

● การรุกคืบของทุนต่างด้าวที่หนีตายจากประเทศตัวเอง 

ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่ประเทศไทยใช้อยู่ในปัจจุบัน ก็ใช้การแข่งขันตามกลไกตลาด โดยผ่านขบวนการคัดเลือกตามธรรมชาติ (natural selection) เช่นกัน

การแข่งขันกันในตลาดนั้น ตามหลักเศรษฐศาสตร์มันเป็นสิ่งที่ดี และเป็นประโยชน์กับผู้บริโภค...คนที่แข็งแกร่งก็อยู่รอด ส่วนคนที่แข่งต่อไม่ได้ก็ต้องล้มตายไป

จะเห็นได้ว่าในที่สุด ‘เศรษฐกิจไทย’ ก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยง Competitive Exclusion Principle นี้ไปได้ ... โรงงานต่าง ๆ ธุรกิจต่าง ๆ ร้านค้าต่าง ๆ แห่ทยอยปิดตัว เพราะแข่งขันในตลาดต่อไปไม่ได้

กล่าวในเชิงระบบนิเวศทางเศรษฐกิจ...ตอนนี้ธุรกิจคนไทยต้องเผชิญกับ alien species อื่น หรือ ‘กองทัพธุรกิจต่างด้าว’ (ปลาหมอคางดำเวอร์ชันธุรกิจ) ที่เขาหนีตายจากการแข่งขันใน ‘เกมกินรวบ Competitive Exclusion’ ของเจ้าพ่อ Platform ในประเทศของตน โดยหันมายึดตลาดใหม่ในบ้านเราแทน

นอกจากนี้ยังมีการผงาดขึ้นของ AI และหุ่นยนต์ที่ต่อไปก็จะเข้ามากินรวบแบบ Competitive Exclusion ใน ‘ตลาดแรงงาน’ ของจีนและของไทยอีกในไม่ช้า

สุดท้ายเมื่อมันเหลือแต่ ‘สปีชีย์ที่แข็งแกร่งที่สุด’ ที่ครอบครองได้ ‘ทุกตลาด’ ของระบบเศรษฐกิจไทยเท่านั้นที่จะอยู่รอดและเป็นใหญ่ได้

พอเป็นแบบนี้ ต่อไปชนชั้นล่างไทย ชนชั้นกลางไทย และธุรกิจรายเล็กรายน้อยของคนไทย มันจะเหลืออะไร?

~เรียบเรียงจากเพจของ เต่า วรเดช

● ‘วิกฤติฐานรากปี 2567’ น่าจะหนักกว่าและยืดเยื้อกว่า ‘วิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540’ อย่างเห็นได้ชัด

เนื่องเพราะ ‘วิกฤติฐานรากปี 2567’ ประกอบด้วย 2 วิกฤติผสมผสานกันกลายเป็นแรงบวกที่ส่งผลกระทบหนักขึ้นเป็นสองเท่า

2 วิกฤติที่ว่านั้นคือ

(1) ‘วิกฤติหนี้ครัวเรือน’ ที่ตอนนี้ได้สะสมจนทะลุ 91.3% ของ GDP ทำให้กำลังจับจ่ายใช้สอยของครัวเรือนหายไปไม่น้อย

(2) วิกฤติการล่มสลายของ ‘ระบบนิเวศทางเศรษฐกิจ’ ของธุรกิจ SMEs ในประเทศไทย ที่ถูก ‘ทุนจีน’ บุกเข้ามารุมขยี้ เพื่อยึดพื้นที่ด้วยกลยุทธ์ถล่มราคาแบบบ้าเลือด โดยมุ่งให้ธุรกิจเดิมของคนไทยอยู่ต่อไม่ได้

ธุรกิจไทยที่ร่วงแล้วหรือกำลังจะร่วง เพราะถูกทุนจีนบุกได้แก่…เสื้อผ้า / สินค้าอุปโภคของใช้ในชีวิตประจำวัน / สินค้าบริโภคร้านเล็กร้านน้อย / โรงแรม-รีสอร์ทท้องถิ่นขนาดเล็ก / อุตสาหกรรมการผลิตขนาดเล็ก / ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ของรถยนต์สันดาป / ร้านค้าออนไลน์ 

คนไทยต้องเตรียมรับมือผลกระทบอย่างยืดเยื้อ อันเนื่องมาจาก ‘วิกฤติฐานรากปี 2567’ ให้ดีเถิด

ด้วยความปรารถนาดี

~ สุวินัย ภรณวลัย
Suvinai Pornavalai

'อ.สุวินัย' ชี้!! ก่อนเป็นนักยุทธศาสตร์ต้องเป็นนักรบแห่งธรรมก่อน 'อยู่-ตาย' และหายใจเข้าเป็นความรับผิดชอบต่อส่วนรวม

(5 ก.ย. 67) รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'ทางเลือก' คืออำนาจเดียวที่เรามี ระบุว่า…

จงภูมิใจเถิดที่เกิดมาเป็นคนของบ้านเมืองนี้ บ้านเมืองของเราอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เป็นของตระกูลใด ไม่ได้เป็นของใครแต่ผู้เดียว 

ต่อให้บ้านเมืองของเราล่มสลายลงด้วยน้ำมือของใครหรือตระกูลใดก็ตาม มันเป็นหน้าที่ เป็นภารกิจและเป็นศักดิ์ศรีแห่งความเป็น ‘คนในชาติ’ ของแต่ละคนที่ต้องลุกขึ้นมากอบกู้บ้านเมืองและช่วยกันสร้างชาติของเราขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

ท่ามกลางยุคสมัยที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองเรา 

คนเราแต่ละคนล้วนมี 'ทางเลือก' ว่าจะเป็นคนโฉด คนชั่ว คนอ่อนแอ คนขี้ขลาด คนเห็นแก่ตัว ซึ่งล้วนมีส่วนในการทำร้ายทำลายบ้านเมืองไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ไม่มากก็น้อย

หรือจะเลือกเป็นผู้กล้า ผู้มีปัญญา ผู้หลุดพ้น ผู้รู้แจ้ง ผู้เสียสละ ผู้เข้มแข็งเพื่อประโยชน์สุขของบ้านเมืองก็ได้ทั้งสิ้น 

ขณะนี้ มันเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าคนทั้งโลกล้วนอยู่ท่ามกลางยุคสมัยแห่งมิคสัญญี ...สงครามใหญ่กำลังนับถอยหลังรอวันระเบิด ดุจปราสาททรายที่จะล้มครืนลงมาเมื่อใดก็ไม่รู้ 

มีแต่ 'ทางเลือก' ที่ผู้นั้นเลือกเองเท่านั้นที่บ่งบอกถึง 'ตัวตน' ของผู้นั้นอย่างชัดแจ้ง

สำหรับเขา ทางเลือกของเขานั้นชัดเจนเสมอมา ไม่ว่าจะต้องเลือกกี่ครั้ง เขาก็ไม่เคยลังเลเลยที่จะเลือกแบบนั้น ...ซึ่งเป็น 'จริยผู้กล้า' ดังต่อไปนี้

"จอมยุทธ์ชุดรัดกุม ควบอาชาต้านไพรี 
เหยียบย่ำทั่วปฐพี ทุกสิบก้าวฝ่ามารผจญ 

หนทางไกลไม่เคยล้า ล้วนมุ่งหน้าปราบทุรชน 
เสร็จเรื่องทุกแห่งหน ล้วนจากลาอย่างไร้นาม 

สามจอกให้สัจจะ ยินดีสละแม้ชีวัน 
ถ้อยคำคือคำมั่น ดุจบรรพตคู่ธรณี 

บอกไว้เป็นสักขี ว่าตัวข้าหยัดยืนทะนง 

ยามกู้สู้ยิบตา ใช้สองบ่าค้ำคีรี 
ฝากชื่อในปฐพี แม้ตายไปโลกระบือ .... "

"บทกวีจริยผู้กล้า" รจนาโดยเซียนกวีหลี่ไป๋ (李白,ค.ศ.701-762)

● จงเป็นนักรบแห่งธรรม ●

ทะเลแผดเสียงหัวเราะคำราม กระแทกเซาะชายฝั่ง
ข้าเองยังถูกม้วนซัดไปกับเกลียวคลื่นของยุคสมัย

ฟ้ายิ้มเย้ยให้กับโลกอันวุ่นวาย
มีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าใครผิดใครถูก

มีแต่พสุธาเท่านั้นที่รู้ว่าใครดีใครเลว
ขุนเขาคำรามรับเสียงหัวเราะจากฟากฟ้า

คลื่นลูกเก่าเริ่มโรยรา คลื่นลูกใหม่เข้ามาทดแทน
แต่โลกยังคงหมุนเวียนสืบไปไม่รู้จบสิ้น

พวกข้ายิ้มเย้ยกับสายลม และพายุที่โหมกระหน่ำ
ใส่เปลวเทียนแห่งธรรม ที่พวกข้าร่วมกันจุดขึ้นมา

พวกข้าของปกป้องเปลวเทียนนี้สุดชีวิต
จนกว่ามันจะกลายเป็นเปลวเพลิงใหญ่
ที่ขับไล่ความมืดมิดให้หมดไปจากสังคมนี้

ก่อนเป็นนักยุทธศาสตร์ต้องเป็นนักรบแห่งธรรมก่อน

หลักการนักรบของนักรบแห่งธรรม คือการมีชีวิตอยู่และตายไปโดยปราศจากความอาลัยและความสำนึกเสียใจ

แรกสุดของการฝึกจิตเพื่อเป็นนักรบแห่งธรรม คือการที่ผู้นั้นต้อง ‘ดูจิต’ ของตนให้เป็นอย่างทะลุปรุโปร่งว่าจิตของตนมีกระบวนการทำงานเยี่ยงไร

จากนั้นก็ทำการฝึกจิตของตนให้เชื่องด้วยวิธีการอันแยบยล จนกระทั่งจิตของตนมีความอ่อนเหมาะสมแก่การใช้งาน และทำให้ผู้นั้นเป็นนายแห่งจิตใจของตนเองได้

ต่อสู้กับการคดโกงปล้นชาติโดยไม่ยำเกรง แปรเปลี่ยนการต่อสู้เพื่อบ้านเมืองให้เป็นหนทางไปสู่การเจริญเติบโตของจิตใจตนเอง

นักรบแห่งธรรมจะเฝ้าดูอารมณ์ต่าง ๆ ที่ผุดขึ้นมาอย่างแจ่มชัดและรู้ทัน โดยไม่ปล่อยให้อุปทานมาครอบงำจิตใจ

นักรบแห่งธรรมจึงรู้ดีว่าตนเองควรมองอารมณ์ของตนเยี่ยงไร และควรจัดการกับอารมณ์แต่ละอารมณ์ของตนอย่างไรถึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์นั้น

นักรบแห่งธรรมจะบอกกับตนเองอยู่เสมอว่า ตนเองจะไม่หลบเลี่ยงไปจากความทุกข์ ความปวดร้าว แต่จะใช้มันอย่างดีที่สุดเพื่อที่ตัวเองจะได้มีจิตใจที่กรุณายิ่งขึ้น และสามารถช่วยเหลือประชาชนได้มากกว่าเดิม

นักรบแห่งธรรมล้วนตระหนักดีว่า ปีติอันใดที่มีอยู่ในโลกล้วนเกิดจากความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข และความทุกข์ใดที่มีอยู่ในโลกล้วนเกิดจากความปรารถนาให้ตัวเองมีความสุข

ดังนั้นนักรบแห่งธรรมจึงได้ตั้งปณิธานอันยิ่งใหญ่ให้แก่ตัวเองว่า

"จงมอบความสำเร็จและชัยชนะให้แก่ปวงชน
และยินดีน้อมรับความเจ็บปวดทั้งปวงไว้กับตนเอง"

ด้วยปณิธานเช่นนี้นักรบแห่งธรรมย่อมเดินอยู่บนวิถีแห่งความไร้พ่าย ด้วยความไร้ตัวตนและไร้อัตตาอย่างถึงที่สุด

หลักการที่ค้ำจุน "วิถีไร้พ่าย" ของนักรบแห่งธรรม คือหลักแห่งอนัตตา หรือหลักการแห่งการไร้ตัวตนอย่างถึงที่สุดในทุก ๆ การกระทำเพื่อส่วนรวมของนักรบแห่งธรรม

เพราะในสงครามเพื่อปกป้องบ้านเมือง ปกป้องสถาบันหลัก ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของนักรบแห่งธรรมนั้น มิใช่ศัตรูภายนอก แต่คือศัตรูภายใน หรือความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาของตนเอง

ทุก ๆ เวลา และทุก ๆ สถานที่ที่มีโอกาสอำนวย นักรบแห่งธรรมจะนั่งกรรมฐานเงียบ ๆ ร่างตั้งตรงสงบนิ่ง สงบจิตใจรำงับ ปล่อยให้ความคิดและอารมณ์ผุดขึ้นมาเองโดยไม่เข้าไปแทรกแซงใด ๆ ทั้งสิ้น

ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนถูกปลดเปลื้อง ปล่อยออกไปให้เป็นอิสระภายใน ดุจปมเงื่อนที่คลายตัวเองออกมาในความว่างอันไพศาลดุจท้องฟ้า

ไม่ว่าจะกระทำสิ่งใด นักรบแห่งธรรมจักรไม่ยอมกีดกันความเจ็บปวดรวดร้าวออกไปจากใจ แต่นักรบแห่งธรรมจะน้อมรับ ยอมรับความทุกข์ใจเหล่านั้นด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง

เพราะความปวดร้าวคือพรจำแลง ที่เป็นโอกาสอันมีค่าให้นักรบแห่งธรรมสามารถค้นพบสิ่งที่ดำรงอยู่เบื้องหลังความทุกข์ทั้งปวง

นักรบแห่งธรรมจะหายใจเอาสิ่งเลวร้ายและพลาดผิดเข้าไป จากนั้นหายใจออกมาเป็นน้ำมิตรไมตรี

นักรบแห่งธรรมจะหายใจเข้าเป็นความรับผิดชอบต่อส่วนรวม และหายใจออกเป็นการให้อภัย

นักรบแห่งธรรม คือผู้ที่ตระหนักดีว่าผู้ใดก็ตามที่ยังไม่ได้ค้นพบขุมทรัพย์แห่งอริยสมบัติในตน ผู้นั้นล้วนแต่เป็นผู้ยากไร้ทั้งสิ้น

ไม่ว่าผู้นั้นจะร่ำรวยมีทรัพย์สินเงินทองนอกกายมากแค่ไหนก็ตาม
อริยสมบัติที่ว่านี้คือ 'จิตเดิมแท้' นั่นเอง

จิตเดิมแท้เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง คนเราสามารถเข้าถึงจิตเดิมแท้นี้ได้เสมอ เพราะมันดำรงอยู่ในตัวเราทุกคน และเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของคนเราทุกคน

นักรบแห่งธรรมเข้าถึงจิตเดิมแท้นี้ได้โดยมีสติที่ตั้งมั่นอยู่ใน ‘จิตปัจจุบัน’ อย่างสม่ำเสมอ

ความเข้มข้นของความทุกข์ของคนเรานั้นจึงขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงที่ผู้นั้นต่อต้านการเข้าถึงจิตปัจจุบัน

การฝึกจิตให้ว่าง จึงเป็นหนทางนำนักรบแห่งธรรมเข้าสู่จิตเดิมแท้
หลักการเข้าถึง ‘จิตว่าง’ ของนักรบแห่งธรรมนั้นมีอยู่ว่า 

"จงอย่าจริงจังกับทุกสิ่งที่ใจคิด 
เพราะตัวเรามิใช่ใจของเรา 
ใจของเราก็เป็นอนัตตาเช่นกัน"

นักรบแห่งธรรมต้องสามารถมองทุกสิ่งที่ใจคิดอย่างเอ็นดู และอย่างมีอารมณ์ขันได้

หากทำได้เช่นนี้ นักรบแห่งธรรมก็จะไม่ตกเป็นทาสของความคิด และสามารถเป็นนายของความคิดได้
ด้วยจิตคารวะ

~ สุวินัย ภรณวลัย

‘ดร.สุวินัย’ มอง!! รัฐบาลต้องรีด VAT จาก 7% เป็น 15% เพื่อนำรายได้ มาปรนเปรอให้!! ‘นโยบายประชานิยม’

(5 ธ.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร. สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT โดยมีใจความว่า ...

ทำไมต้องเก็บภาษี VAT เป็น 15%?

เพราะคนประเทศนี้มีแนวคิดที่ประหลาดพิกลมากยังไงเล่า หรือกล่าวแรง ๆ ได้ว่าเป็นแนวคิดของพวก ‘ขี้ขอ เอาแต่ได้ และขาดความรับผิดชอบต่อส่วนรวมอย่างรุนแรง’ แนวคิดของคนพวกนี้แถอย่างข้าง ๆ คู ๆ ว่า

"เพราะพวกกูมีรายได้น้อยอยู่แล้วทำไมต้องจ่ายภาษีเงินได้อีก"

คนพวกนี้ใช้ตรรกะวิบัติประเภทที่ว่า "กูจะจ่ายภาษีไปทำไม? จ่ายภาษีแล้วกูได้อะไรกลับมา? มีอะไรที่กูจับต้องได้บ้าง?"

นี่คือคนไทยหลายสิบล้านคนที่ไม่ยอมเข้าระบบ ไม่ยอมยื่น ภงด.

แต่ก็เป็นคนไทยกลุ่มนี้แหละที่ใช้ 30 บาทรักษาทุกโรค ได้รับเงินหมื่น ฯลฯ คือใช้สวัสดิการและสาธารณูปโภคของประเทศอยู่ทุกวัน โดยหลอกตัวเองอย่างจริงจังว่า พวกกูไม่น่าจะต้องจ่ายภาษี

ประเทศนี้ประหลาดมากจนต้องเรียกว่า AMAZING THAILAND เพราะมีคนไทย 4 ล้านคนจ่ายภาษีเงินได้เพื่อเลี้ยงคนอีกหลายสิบล้านคนที่เชื่อว่าตัวเองไม่ควรต้องจ่ายภาษีเงินได้ แต่เชื่อว่าตัวเองควรจะได้รับสวัสดิการมากขึ้นเรื่อย ๆ 

ประเทศนี้ประหลาดจริง ๆ เพราะยอดภาษีที่เก็บได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มากกว่ายอดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากว่าเท่าตัว แถมยังมากกว่าภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วยซ้ำ จนเป็นยอดเก็บภาษีสูงสุดของประเทศนี้

ดังนั้นการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 15% จึงหมายถึงรายได้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวของรัฐ 

นี่หมายถึง ‘การรีดภาษีทางอ้อม’ จากคนไทยหลายสิบล้านคนที่หลอกตัวเองว่าไม่ควรต้องจ่ายภาษีเงินได้นั่นเอง

เพื่อที่รัฐบาลจะได้เอาภาษีมูลค่าเพิ่มที่เก็บเพิ่มได้กว่าเท่าตัวนี้ มา ‘ปรนเปรอ’ คนพวกนี้ด้วยนโยบายประชานิยมต่อไปชั่วกาลนาน

‘รัฐบาล’ รีบ!! รีดภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 15% เลยครับ รีบทำเลย รีบทำทันที และอย่าลืมช่วยลดภาษีเงินได้ให้คนเสียภาษี 4 ล้านคน รวมทั้งช่วยลดภาษีเงินได้นิติบุคคลตามที่รับปากด้วยนะ

‘ดร.สุวินัย‘ ซัดนโยบายเศรษฐกิจ พท. ไร้ประสิทธิภาพ สวยหรูแค่ใช้หาเสียงสุดท้ายทำไม่ได้จริง ทั้งค่าแรงขั้นต่ำ - เงินดิจิทัล

วันที่ (24 ธ.ค. 67) รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ นโยบายเศรษฐกิจของเพื่อไทยที่ล้มเหลว

นอกจากกรณี 30 บาทรักษาทุกโรคที่กำลังจะ“ฆ่า” ระบบสาธารณสุขไทยแล้ว

การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 600 บาท/วัน หรือ การแจกเงินหมื่น ก็เป็นตัวอย่างที่ดีของความล้มเหลวด้านนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองที่ชูนโยบายประชานิยม

เพราะได้แต่ “ชู” แต่ทำจริงแล้ว “เหี่ยว”!!

นโยบายแจกเงินหมื่นอย่างถ้วนหน้าสำหรับคน 52 ล้านคนก็เป็นที่รับรู้โดยทั่วไปแล้วว่า “เหี่ยว” ไปต่อไม่ได้

การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 600 บาท/วันก็เช่นกัน คณะกรรมการไตรภาคีที่รับผิดชอบขึ้นค่าจ้างก็ปรับค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นเพียง 400 บาทสำหรับบางจังหวัดเท่านั้น 

ไม่ได้ถ้วนหน้าและไม่ได้ทุกคน แม้แต่ตัวแทนฝั่งลูกจ้างก็ยังยอมรับมตินี้

ทำไมนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทยที่ใช้หาเสียงจึงล้มเหลวเละเทะไม่เป็นท่าเช่นนี้?

คำตอบง่าย ๆ และตรงไปตรงมาที่สุดก็คือ มันเอาไว้ใช้ “ชู” เพื่อหาเสียงเท่านั้น โดยที่มันผิดธรรมชาติ ขัดกับความเป็นจริง และไม่เป็นไปตามหลักวิชาการที่สมควรในทางเศรษฐศาสตร์

นโยบายขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ กลายเป็นเรื่องนโยบาย(บีบบังคับคนอื่นให้) เพิ่มรายได้ โดยที่คนบังคับไม่ได้ช่วยออกเงินเลยแม้แต่บาทเดียว!!

พรรคเพื่อไทยมี “ดอกเตอร์” เต็มพรรคมิใช่หรือ แถมยังอวดฉลาดทั้งพรรคก็ว่าได้  แต่จะซื่อสัตย์กับสัมมาอาชีวะของตนเองหรือฉลาดจริงไม่นั้น คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ทฤษฎีมันว่าไว้ว่า การจ้างงานและค่าจ้างมันสัมพันธ์กับมูลค่าผลิตผลที่แรงงานทำ หากยังล้างชามได้เท่าเดิมแต่จะบังคับให้นายจ้างขึ้นค่าจ้าง ถ้าไม่มีทางเลือกแบบนี้นายจ้างก็จะลดคน แล้วแบบนี้มันจะสำเร็จไปได้อย่างไร? 

ที่ฝั่งนายจ้างและเสียงข้างมากในคณะกรรมการไตรภาคีเขาค้านก็ถูกต้องแล้ว

เพราะเขาไม่อยากลดคน มีแต่ฝั่งนักการเมืองนี้แหละที่เข้าไป “ชู” ในประเด็นที่ทำไม่ได้เอามาหาเสียง ทั้งที่ตัวเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าทำไม่ได้

ส่วนนโยบายแจกเงินหมื่น คงไม่ต้องพูดให้มากความอีกแล้ว เพราะมันล้มเหลว และผิดกับที่หาเสียงตั้งแต่ต้น 

จะแจกเงินหมื่นเป็นเงินดิจิตอลก็ทำไม่ได้ 
จะแจกเป็นเงินกระดาษก็หาแหล่งเงินมาไม่ได้ 

ถ้าคิดว่านโยบายนี้มันดีทำไมไม่กล้าขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 15% เพื่อมาใช้ทำนโยบายนี้เล่า ? 

ในที่สุดพรรคเพื่อไทยก็ต้องมากลืนน้ำลายที่ถ่มรดฟ้าชโลมเลียนโยบายนี้ให้มันลื่นไหลต่อไปได้ด้วยน้ำลายตนเอง 

นโยบายแจกเงินหมื่นแบบดิจิตอลในความเป็นจริงจึงกลายเป็น เรื่องแจกเป็นเงินกระดาษ แจกได้เฉพาะกลุ่ม แจกแบบไม่มีเงื่อนไข 

ลมพายุที่อ้างคำโตจึงเป็นได้เพียง “ลมผาย” ใต้ก้นเท่านั้น

เหตุก็เพราะพรรคเพื่อไทยมองแต่เพียงสัดส่วนการบริโภคต่อ GDP ที่มีสูงถึงกว่าร้อยละ 60 

ถ้า “ฝันเฟื่อง” คิดแต่ว่าถ้าเพิ่มรายได้จากเดิมได้อีกร้อยละ 10-15 ...การบริโภค/GDP ก็จะเพิ่ม GDPได้อีกร้อยละ 6-10 

แต่หารู้ไม่ว่าการจะไปเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการบริโภคนี้ มันทำไม่ได้โดยง่ายด้วยการเพิ่มรายได้แต่เพียงลำพัง 

การบริโภคมิได้ขึ้นอยู่กับ GDP หรือรายได้ในปัจจุบันแต่เพียงลำพัง หากแต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นอีกมาก เช่น รายได้ในอนาคตหรือรายได้ที่แท้จริง (ที่คาดว่าจะได้รับตลอดช่วงอายุการทำงาน) ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจบริโภคมากว่ารายได้ปัจจุบันเสียอีก 

ดังนั้นพฤติกรรมการบริโภคจึงไม่เพิ่มจากการเพิ่มเงินหมื่นนี้ในปัจจุบันเพราะผู้บริโภค(ที่มีเหตุผล-rationale) ย่อมคาดการณ์ว่าในอนาคตรัฐจะต้องเก็บภาษีเพิ่มจากการเพิ่มเงินหมื่นนี้แน่ตอน 

ในขณะที่การเพิ่มรายได้แบบหลอกตัวเองด้วยการบังคับขึ้นค่าจ้างจึงไม่ส่งผลอะไรต่อรายได้ที่จะนำมาบริโภคด้วยเช่นกัน 

เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีดอก

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คนเสียภาษีต้องออกมาเรียกร้อง “ไม่ยื่นแบบ ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง” เพื่อแก้ไขนโยบายประชานิยมแบบ "ล้างผลาญภาษี" ที่ต้นตอ 

เพื่อไม่ให้นักการเมืองใช้นโยบายประชานิยมมาหาเสียงเข้าสภา 

เอา “ยาพิษ” มาหลอกขายเป็น “ยาวิเศษ” กับประชาชนที่รู้ไม่เท่าทันเหมือนเช่นที่ พ่อ-ลูก คู่หนึ่งกำลังทำกับประเทศในขณะนี้ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top