Monday, 21 April 2025
สุชัชวีร์_สุวรรณสวัสดิ์

‘ดร.เอ้’ วิตก!! วงจรมัวเมาเยาวชนเกลื่อน วอนผู้เกี่ยวข้องจัดการเด็ดขาด หวั่นซ้ำรอยกรณีทลายผับดังย่านรังสิต 'ปล่อยเด็กเที่ยว-ไร้ใบอนุญาต'

'ดร.เอ้' ห่วงเด็กไทย หลัง จนท.ชุดเฉพาะกิจ สนธิกำลังบุกจับผับพบเด็กต่ำ 20 เพียบ แนะต้องควบคุมและจำกัด

(10 ม.ค.67) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ‘ดร.เอ้’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม. ห่วงเด็กไทย หลังจากมีข่าวล่าสุดเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจปฏิบัติการ ‘รังสิตมันร้าย’ ที่สนธิกำลังร่วมกับหลายหน่วยงานบุกเข้าจับกุมสถานบริการชื่อร้าน 'HEAVEN Rangsit' ในพื้นที่อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พบบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้ามาใช้บริการเกือบ 500 คน 

ดร.เอ้ กล่าวว่า ปัญหาเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าไปใช้บริการสถานบันเทิง ผับ-บาร์ การเปิดสถานบันเทิงเกินกว่าเวลาที่กฎหมายกำหนด ไปจนถึงการเปิดโดยไม่มีใบอนุญาต ปัญหาเหล่านี้มีมานานแล้ว ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เกิดเป็นวงจรปัญหาตามมาทั้งเรื่องยาเสพติด ความรุนแรง อุบัติเหตุจากเมาแล้วขับ ตนจึงอยากให้เจ้าหน้าที่และผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการกวดขันและเข้มงวดในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องเพื่ออนาคตของเด็กและเยาวชนไทย 

“ปัญหาสำคัญที่สุดคือ สถานบันเทิงเหล่านี้ปล่อยให้เด็กต่ำกว่ากฎหมายกำหนดเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก ข่าวล่าสุดที่ผับดังย่านรังสิตก็ตรวจพบเด็กต่ำกว่าอายุ 20 ปี เกือบ 500 คน ผมถามว่าเราปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้ยังไง แล้วเด็กไทยเราจะมีคุณภาพได้อย่างไร ผมเป็นห่วงจริงๆ ครับ” ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าว

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายตำรวจ ฝ่ายปกครอง ยังมีปัญหาในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ ไม่เข้มงวด ปล่อยปละละเลย โดยเฉพาะขณะนี้กฎหมายได้อนุญาตให้ขยายเวลาเปิดสถานบริการถึงตี 4 แล้ว ส่วนตัวจึงอยากแนะผู้ที่เกี่ยวข้องว่าหากยังไม่มีมาตรการในการจัดการที่เด็ดขาดโดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนก็อาจจะต้องทบทวน ถ้าผลประโยชน์ที่ได้ไม่คุ้มกับความเสียหายที่เกิดขึ้น

ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าวว่า การพัฒนาคน โดยเฉพาะเยาวชนถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะเปลี่ยนประเทศให้ดีขึ้น ดังนั้นภาครัฐจะออกนโยบายต่างๆ ต้องประเมินความคุ้มค่าให้รอบด้าน อย่ามองเพียงแค่มิติเดียว โดยเฉพาะนโยบายขยายเวลาเปิดผับ-บาร์ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผลกระทบต่อเยาวชน และสวัสดิภาพ ความปลอดภัยของสาธารณชนแน่นอน

ดังนั้นสิ่งที่ประเทศไทยต้องทำคือ การควบคุม จำกัดวันและเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสถานบันเทิง ให้เหมือนในหลายๆ ประเทศ เช่น ประเทศเยอรมนีที่รัฐให้ความสำคัญในเรื่องการพัฒนาคนอย่างมาก ซึ่งการจำกัดหรือควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสถานบันเทิง ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องความปลอดภัยเท่านั้นแต่คำนึงไปถึงเรื่องสุขภาพของคน กฎหมายที่ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะเน้นเกี่ยวกับการคุ้มครองเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้คนหนุ่มสาวเลิกดื่มแอลกอฮอล์อย่างสมบูรณ์ แต่สอนถึงแนวทางที่เหมาะสมในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือในประเทศรัสเซียที่มีการจำกัดเวลาขายช่วงกลางคืน หรือประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่จำกัดเวลาขายในร้านขายปลีก เป็นต้น

‘ดร.เอ้’ แนะ 3 แนวทางแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ใน กทม. ชี้!! หากปล่อยไว้นาน กระทบสุขภาพ เสี่ยงเป็นมะเร็งปอด

(22 ก.พ. 67) นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า จากสถานการณ์ฝุ่นพิษในพื้นที่ กทม. ปัจจุบันถึงขั้นวิกฤตแล้ว ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนอย่างมาก ถือเป็นภัยต่อรุ่นลูกหลาน เพราะอัตราการเป็นโรคมะเร็งปอดและโรคที่เกี่ยวข้องกับ PM2.5 จะมีอัตราการตายก้าวกระโดด

กทม. ควรแก้ปัญหามาตั้งนานแล้ว แต่กลับปล่อยให้ถึงขั้นวิกฤตแบบทุกวันนี้ ทั้งที่กทม. มีอำนาจเต็มในการแก้ปัญหา โดยใช้ข้อบัญญัติ กทม.ทางด้านความสะอาด ความปลอดภัยและความเรียบร้อย ทุกเขตมีหน้าที่และเจ้าหน้าที่พร้อม สามารถตรวจจับควันดำ ตรวจสอบไซต์งานก่อสร้างได้ ทั้งจับ ปรับ ไปจนถึงระงับการก่อสร้างได้ แต่ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับไม่บังคับใช้หรือแก้ปัญหาอย่างจริงจัง

“ภารกิจ กทม.ถือเป็นภารกิจที่หนักหน่วง ผู้บริหารจึงต้องมีภาวะผู้นำ ในเรื่องการติดตามงาน อย่างมีประสิทธิภาพ และปัญหา กทม.จะแก้ไขสั่งการแบบลอยตัวไม่ได้ กทม. ต้องการผู้นำที่ดุดัน และเอาจริงมากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นแล้วปัญหาฝุ่นพิษ หรือทุกปัญหาจะไม่สามารถแก้ไขได้เลย” นายสุชัชวีร์ กล่าว

นายสุชัชวีร์ กล่าวต่อว่า ส่วน 11 มาตรการลดฝุ่นที่ กทม. ประกาศออกมาทั้ง เข้มงวดตรวจจับรถควันดำ ประสานตำรวจเข้มงวดกวดขัน ขอความร่วมมือ Work From Home รณรงค์บำรุงรักษาเครื่องยนต์ ควบคุมสถานประกอบการไม่ปล่อยมลพิษ งดกิจกรรมเกิดฝุ่น เข้มงวดห้ามเผาทุกชนิด เพิ่มความถี่ล้างถนน ฉีดล้างต้นไม้

ให้ความรู้สุขภาพอนามัย ออกหน่วยบริการสาธารณสุข หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ดำเนินการตามมาตรการ ลดฝุ่นในโรงเรียนนั้น เป็นสิ่งที่ต้องทำทุกวันอยู่แล้ว และต้องทำมาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่มาประกาศ มาทำตอนนี้ ทุกวันนี้เรายังเห็นรถขนส่งควันดำวิ่งกันอยู่เลย ยังเห็นไซต์งานก่อสร้างที่ไร้ความรับผิดชอบ ไม่มีอะไรปกปิดหรือป้องกันอยู่เลย

ดังนั้น สิ่งที่ กทม.ควรต้องแก้ปัญหาในเรื่องฝุ่นพิษและทำเร่งด่วน คือ 

1.ป้าย กทม.ต้องขึ้นแสดงสภาพอากาศ รัฐรู้แค่ไหน ประชาชนต้องรู้เท่านั้น 

2.อำนาจ กทม.มีอยู่แล้วในการจัดการเรื่องฝุ่น โดยคุมเรื่องรถขนส่งและไซต์งานก่อสร้างที่ไร้ความรับผิดชอบ

3.กำหนดเขตมลพิษต่ำ Bangkok Low Emission Zone หรือ B-LEZ (บีเลส) นำร่อง 16 เขตกรุงเทพฯชั้นใน ซึ่งเป็นเขตที่มีประชากรอาศัยหนาแน่น ทั้งผู้อยู่อาศัย ผู้มาทำงาน และนักเรียน มีทั้งโรงเรียนและโรงพยาบาลอยู่ในพื้นที่นี้เป็นจำนวนมาก

'ดร.เอ้' ยัน!! นายกฯ เดินทางไปต่างแดน เป็นสิ่งจำเป็น แต่ต้องหมั่นโฟกัสเรื่องใหญ่ ไม่ใช่แค่รับมาแล้วก็เงียบไป

เมื่อไม่นานมานี้ นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ (ดร.เอ้) รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้โพสต์วิดีโอในช่องติ๊กต็อก @aesuchatvee พร้อมระบุแคปชันว่า “นายกรัฐมนตรีแสดงวิสัยทัศน์ ‘IGNITE Thailand’ มุ่ง 8 เป้าหมายพัฒนาประเทศ ในงาน ไม่มีเรื่อง ‘เป้าหมายการศึกษา’ และ ‘การพัฒนาทักษะคนไทย’ แม้แต่ข้อเดียว น่าเสียใจ” 

โดยภายในวิดีโอได้พูดและแนะนำถึงสิ่งที่นายกรัฐมนตรีควรให้ความสำคัญ ไม่น้อยกว่าการไปเยือนต่างประเทศ โดยกล่าวว่า… “สําหรับการเดินทางไปต่างประเทศของนายกฯ คนใหม่เป็นสิ่งจําเป็น เพราะต้องแนะนําตัวและนโยบายของประเทศตอนนี้ว่าเป็นอย่างไร ผมว่าเรื่องพวกนี้มีความจําเป็น แต่ท่านต้องไม่ฉาบฉวย มีภาพท่านที่ออกมาในลักษณะที่มีคนร้องเรียนทีนึง เมื่อไปดู แล้วก็หาย ไปอีกตรงหนึ่ง ท่านก็หาย กลายเหมือนกับว่า ไม่ได้โฟกัสอะไร…”

ดร.เอ้ กล่าวต่อว่า “จริง ๆ แล้วท่านต้องโฟกัส และต้องจัดอันดับเรื่องของปัญหา ยกตัวอย่างเช่น วันนี้ประเทศไทยไม่พ้นความยากจน ประเทศไทยมีปัญหาหลายเรื่องที่มาจากเรื่องของการศึกษา แต่ท่านไม่พูดเลย”

ดร.เอ้ ได้ยกตัวอย่างประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ที่กำลังจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ คือ ‘ลอว์เลนซ์ หว่อง’ ที่ได้พูดเรื่องการศึกษามาเป็นเรื่องแรก ๆ 

ดร.เอ้ ระบุต่อว่า “แต่นายกฯ เศรษฐาไม่พูดเลย ท่านไปดูตรงไหน ท่านก็พูดแต่เรื่องฉาบฉวย แต่ความสามารถในการแข่งขัน การสร้างคนซึ่งเป็นเรื่องที่จําเป็นที่สุด ท่านไม่เคยพูด”

สุดท้ายดร.เอ้ ได้พูดถึงประเด็นที่นายกฯ เดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้งว่า “เรื่องท่านไปต่างประเทศ ผมไม่ว่า แต่งานที่สําคัญที่สุดคือ ‘เรื่องของรากลึกของสังคมไทย’ เรื่องการศึกษา ท่านไม่พูดเลย อีกทั้งเรื่องการแก้ปัญหา ท่านต้องไม่โยนให้กับกระทรวงอื่น แต่ท่านต้องแสดงบทบาทผู้นําว่าท่านหยิบจับอะไรมันก็สําเร็จ ไม่ใช่จับแล้วปล่อย ๆ แบบนี้ ผมว่าท่านจะต้องปรับปรุง”

‘ดร.เอ้’ ติง ‘นายกฯ’ ไปเชียงใหม่ แต่ไร้วิสัยทัศน์แก้ฝุ่น PM2.5 แนะ 3 ข้อ ‘ขจัดผลประโยชน์ทับซ้อน-กระจายอำนาจ-ใช้เทคโนโลยี’

(19 มี.ค. 67) นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแล กทม. โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เรื่องปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่เชียงใหม่ แก้ได้ด้วยภาวะผู้นำโดยวิพากษ์วิจารณ์การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาว่า นายกฯ ลงพื้นที่เชียงใหม่ แต่ไม่รับฟังปัญหาของชาวบ้าน และนักวิชาการ ไม่แสดงวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ทั้งที่นายกฯ มีอำนาจหน้าที่ มีพลัง แก้ไขวิกฤติฝุ่นพิษได้

นายสุชัชวีร์ กล่าวต่อว่า มั่นใจว่าบทบาทของนายกฯ สามารถแก้ปัญหาทุกข์เรื้อรัง ของชาวเชียงใหม่ และจังหวัดใกล้เคียงได้ หากท่าน เอาจริงเอาจัง กับ 3 เรื่องนี้ 

1.จัดการกับผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะการเผา เป็นปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนของราชการกันเอง ทั้งระหว่างหน่วยงาน ที่ต่างฝ่ายต้องการงบประมาณลงหน่วยงานของตนให้มากที่สุด และปัญหาผลประโยชน์ของเอกชน มีหลายคนได้ผลประโยชน์จากการที่ป่าหรือไร่ถูกเผา นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสูงสุด ถ้าแก้เรื่อง ประโยชน์ทับซ้อน ได้การเผาจะลดลง ฝุ่นก็ลดลง

2.กระจายอำนาจ และงบประมาณการแก้ปัญหาระยะสั้น เพื่อบรรเทาทุกข์ อาจถึงเวลาที่ต้องแก้ปัญหาด้วย เงิน เพราะการให้เงินโบนัสหมู่บ้านไม่เผา โดยกระจายอำนาจหน้าที่ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ดำเนินการได้กับหมู่บ้านที่ไม่เผา เราอาจไม่ถูกใจเรื่องแจกเงิน แต่คุ้มค่ากว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจและทางสุขภาพที่เกิดจากฝุ่นพิษ PM 2.5 อีกทั้งยังประหยัดงบประมาณในการดับไฟ และรักษาชีวิตเจ้าหน้าที่ที่ต้องเสี่ยงกับการเข้าไปดับไฟ 

และ 3. ต้องใช้เทคโนโลยีแก้ปัญหา เพราะเทคโนโลยีดาวเทียม ไม่โกหก เพราะภาพถ่ายจากดาวเทียมธีออส-2 ที่โคจรต่ำ ผ่านประเทศไทย 4 รอบต่อวัน จะรู้ทันที ใครเผา และที่ดินใคร สามารถใช้เป็นหลักฐาน เพื่อดำเนินการใด ๆ ได้อย่างเป็นธรรม ของดีมี ต้องใช้

“วิกฤตฝุ่น PM2.5 เป็นวิกฤตชาติที่รอไม่ได้อีกต่อไป อย่าปล่อยให้เป็นแบบไฟไหม้ฟาง คือ มาดู แล้วจากไป” นายสุชัชวีร์ ระบุ

‘ดร.เอ้’ ฟาด!! ‘กทม.’ เหตุปัดความรับผิดชอบ กรณีชายตกท่อดับ ชี้!! โยนกันไปมา ไร้เจ้าภาพ แนะ!! ควรมี กม.เพื่อความปลอดภัย

(4 พ.ค.67) ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม.ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อถึงเหตุการณ์ชายตกท่อ ลาดพร้าว 49 เมื่อวานนี้ (3 พ.ค.67) ถึงการ ‘ปัดความรับผิดชอบของกทม.’ เพราะเป็นเจ้าของพื้นที่ และชี้หน่วยงานโยนไปมา หาเจ้าภาพไม่เจอ บอกถึงเวลาแล้ว ไทยต้องเป็นสังคมปลอดภัย พร้อมชวนประชาชนลงชื่อ เสนอกฎหมาย ‘จัดตั้งองค์กรอิสระเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ’

ส่วนตัวรับไม่ได้ กรณีชายอายุ 59 ปี พลัดตกท่อย่านลาดพร้าว 49 เพราะ ยังมีคนเสียชีวิตจากการตกท่ออีก แต่สิ่งที่ทุกคนเห็น แต่ละหน่วยงานโยนกันไปมา ทั้ง กทม. กฟน. บีทีเอส สายสีเหลือง สุดท้ายแล้วคนตาย ‘หาเจ้าภาพไม่เจอ’ และเกิดเหตุซ้ำซาก จึงเป็นที่มาถึงเวลาของประเทศไทยต้องเป็นสังคมปลอดภัย ตนได้รณรงค์ให้ประชาชนมาลงชื่อให้เกิน 10,000 คนขึ้นไป เพื่อเสนอกฎหมายจัดตั้ง ‘องค์กรอิสระเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ’ อย่างน้อยจะหาคนกลางหรือเจ้าภาพได้เมื่อเกิดเหตุขึ้น สามารถร้องเรียนที่คณะกรรมการ หรือองค์กรนี้ได้ทันที ซึ่งอาจขึ้นตรงกับผู้นำประเทศ และองค์กรอิสระนี้สามารถติดตามความเสี่ยง พร้อมเผยแพร่ข้อมูล ประชาสัมพันธ์ และทำให้หน่วยงานหลักที่เป็นเจ้าของ เข้าไปแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด หรือเกิดการสูญเสียถึงแก่ชีวิตหรือสูญเสียทรัพย์สิน ก็ยังมีการถอดบทเรียน ไม่ใช่ ‘วัวหายล้อมคอก’ คนตายไปสุดท้ายไม่ได้ทำอะไร และตายฟรี ดังนั้น ขอเชิญชวนประชาชนมาลงชื่อได้ที่ suchatvee.com ให้เกิน 10,000 ชื่อ ซึ่งเรากำลังร่างกฎหมายเสนอสภา เพื่อให้เหมือนกับในต่างประเทศ เพราะมีหน่วยงานกลาง ดูแลความเสี่ยง ถอดบทเรียนหาผู้รับผิดชอบ เอาผิด จะได้เข็ด รวมทั้งเยียวยาผู้สูญเสียที่เป็นธรรม

ขณะเดียวกัน กรณีหากเกิดเหตุ ผู้รับเหมาต้องรับผิดชอบหรือไม่นั้น ดร.เอ้ กล่าวว่า เป็นเพียงส่วนหนึ่ง เพราะผู้รับเหมาต้องทำงานและได้เงินเร็วที่สุด แต่หลายครั้งการทำแบบนี้ ก็ได้มาซึ่งความสูญเสีย มาตรฐานที่ไร้คุณภาพ เช่น เจ้าของงานจ้างผู้รับเหมามาสร้างบ้าน ก็ต้องจ้างคนคุมงานมาดูแลด้วย ดังนั้น จากกรณีนี้ เจ้าของพื้นที่ คือ กทม. จะโยนไปที่ กฟน. ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะพื้นที่เกาะกลางถนน ฟุตบาท เป็นของ กทม. ใครจะทำอะไรต้องมาขอ กทม. และระหว่างทำ กทม. มีหน้าที่ในการดูแล ส่วนการส่งมอบ กทม. ก็ต้องมีส่วนร่วมในฐานะเจ้าของบ้าน จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ แต่ในอดีตหน่วยงานโยนกันไปมา และ จบที่การ ‘กล่าวแสดงความเสียใจ’ ปัดออกจากตัวหมด

จากนั้น พอไปถึงหน่วยงานซึ่งดูเหมือนจะเป็นเจ้าของ หน่วยงานนั้นก็โยนให้ผู้รับเหมา และผู้รับเหมาโยนไปที่บริษัทประกันชีวิต ทั้งนี้ เมื่อถึงบริษัทประกันชีวิต ก็จะสู้ด้วยข้อกฎหมาย ที่อาจระบุว่า คนเดินแล้วเกิดอุบัติเหตุ อาจจะประมาท มีสภาพร่างกายอาจไม่สมบูรณ์ กว่าจะจ่ายเงินเยียวยาก็ใช้เวลานาน หรือหลายกรณีไม่ได้เงิน เพราะครอบครัวไม่รู้จะเอาอะไรไปต่อสู้ จึงย้อนกลับมาว่า ประเทศไทยไม่มีองค์กรกลางที่จะช่วยหาข้อมูล หลักฐานส่งฟ้อง เพื่อให้ประกันดูแลเยียวยาผู้เสียหายอย่างเป็นธรรม และนี่คือสาเหตุของการเกิดเหตุซ้ำซาก เพราะคนเกี่ยงกัน คนผิดไม่เคยได้รับผิด คนสูญเสียไม่ได้รับการเยียวยา หรือได้รับการเยียวยาช้าเกินไป เพราะฉะนั้น ผู้นำรัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง โดยนำอุทาหรณ์เหล่านี้มาเป็นบทเรียนในการสร้างความปลอดภัยให้เกิดขึ้น เพราะนี่คือ ‘สิทธิพื้นฐาน’ ของประชาชนที่ควรจะได้รับ

'พี่เอ้' แนะ!! 4 แนวทาง น่าเรียนรู้จาก 'สูตรเกาหลี'  สร้าง 'ลิซ่า' คนที่ 2 ได้ ด้วยคำว่า 'สูงกว่า-หนักกว่า' 

(1 ก.ค.67) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ 'ดร.เอ้' ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'ไทยจะสร้าง 'ลิซ่า' คนที่ 2 ได้ไหม? แล้วจะต้องทำอย่างไร?' ว่า...

ผมตอบ "ได้แน่นอน" เพราะ ผมเชื่อ #คนไทยเก่งไม่แพ้ใครในโลก แต่ว่า ‘มีปัจจัยอื่น’ ที่เราต้องสร้าง ก่อนจะไปถึงจุดนั้น

และก็มีหลายคน ตั้งคำถาม "หากน้องลิซ่า ไม่ไปฝึกฝนที่เกาหลี จะมีวันนี้ไหม" ตอบยากครับ อาจเป็นได้ หรือ ไม่ได้ คงไม่มีใครฟันธง

แต่คำถาม ควรจะเป็นว่า จะทำอย่างไร ให้เด็กไทย ได้ ‘โอกาสการพัฒนา’ ไปได้เต็มศักยภาพ หรือ ทะลุเพดานศักยภาพ เหมือนน้องลิซ่า น่าจะดีกว่า

ผมจึงชวนทุกท่าน ไปสังเกตการทำงานของ ‘เกาหลี’ บ้านอีกแห่งของน้องลิซ่า บอกเลย น่าเรียนรู้ยิ่ง

ผมสังเกตโค้ชกอล์ฟเกาหลี พาเยาวชนมาฝึกกอล์ฟแถวบ้าน โค้ชชี้สั่งเด็ก ๆ ให้พัตต์กอล์ฟ เป็นร้อย ๆ พัน ๆ ลูก กลางแดด พัตต์แล้วพัตต์อีก เด็กเกาหลีก็ก้มหน้าก้มตาซ้อม ไม่มีใครบ่น ไม่มีใครเบื่อ ไม่แปลกที่ทีมกอล์ฟเยาวชนเกาหลี จึงไม่แพ้ใครในโลก เพราะ ‘เด็กเกาหลีมีวินัยสูง’

ตอนผมเรียนที่ MIT สังเกตเห็นเพื่อนเกาหลี ที่เรียนปริญญาเอกด้วยกัน ทำงานจนดึกทุกวัน นั่งเขียนบทความวิชาการ ทั้งที่ MIT ไม่บังคับ แต่การจะกลับไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยชั้นนำในเกาหลี เขาต้องมีผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับโลก จึงไม่แปลกงานวิจัยเกาหลีล้ำหน้าใครในเอเชีย เพราะ ‘คนเกาหลีต้องทุ่มเท มากกว่าคนอื่น’

ตอนที่ผมทำงานให้สมาคมอุโมงค์โลก สังเกตเห็นวิศวกรและนักวิชาการเกาหลี ขึ้นบรรยายบนเวที ยอมรับว่า ใช้เวลาในการเตรียมตัวมากกว่าชาติอื่น เพราะ Powerpoint ต้องสวย รูปต้องเด่นมาก ทำสุดจริง น่าชื่นชม เพราะ ‘มาตรฐานเกาหลี ต้องสูงกว่าคนอื่น’

และ ชุมชนเกาหลีในอเมริกา ‘เหนียวแน่นมาก’ ทุกครอบครัว นอกจากขยันทำมาหากิน ยังขยันแข่งกัน ‘เลี้ยงลูกให้ดี ให้เก่ง’ จึงไม่แปลกที่ เด็กเกาหลีเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำได้มากกว่าชาติอื่น และจบมาเป็นหมอ เป็นผู้นำธุรกิจ หรือแม้แต่ผู้นำองค์กรระดับโลก 

ความเป็นเกาหลี สะท้อนถึง เรื่องการสร้าง ‘ภาพยนต์ ดนตรี และกีฬา’ เกาหลีจึงพัฒนามาได้ไกลขนาดนี้ และ เราคงเดาได้ว่า น้องลิซ่าก็ได้รับสิ่งดี ๆ จากการไปอยู่เกาหลี ด้วยเช่นกัน

ทั้งหมด จึงจบอยู่ที่ การสร้าง ‘คุณภาพคน’ เพราะ Soft Power ก็มาจากคนในชนชาตินั้น ‘สร้างขึ้นมา’ และ ‘ความคิดสร้างสรรค์’ ก็ไม่ได้หล่นมาจากฟ้า แต่มีรากฐานมาจาก ‘ความขยัน อดทน ไม่ยอมแพ้’ ลองผิดลองถูก จนเห็นผล ของคนในชาติ

ดังนั้นหาก ไทยจะสร้าง น้องลิซ่า คนที่ 2 และคนต่อๆ ไป น่าเรียนรู้จาก ‘สูตรเกาหลี’ มาปรับใช้บ้าง คือ

1. ต้อง ‘อดทน มีวินัยสูงกว่า’
เราก็รู้ว่า ระบบเกาหลี ให้น้องลิซ่าต้องเตรียมพร้อม มาหลายปี กว่าจะได้เริ่มต้น ร่วมวง Blackpink และเขาดูแลวินัย ตีกรอบในการทำงาน และในการใช้ชีวิต มากสุด ๆ แค่ไหน 

ถึงแม้วันนี้ มีเงินและมีชื่อเสียงระดับโลก ยิ่งต้องอดทนและมีวินัย มากกว่าเดิมด้วยซ้ำ จริงไหม

2. ต้อง ‘ทุ่มเท ทำงานหนักกว่า’
เราชอบว่า ‘เด็กเกาหลีเครียด’ ต้องเรียนหนัก ต้องสอบยาก แต่ถามเถอะ เกิดมาจะไม่ให้ลูกเข้าใจว่า ‘ชีวิตต้องทุ่มเท ต้องทำงานหนัก’ ไม่ให้เข้าใจความเครียดเลยหรือ แล้วจะอยู่ในชีวิตจริง ได้อย่างไร?

แม่ชาวเกาหลี ถูกเรียกว่า ‘Tiger Mom แม่เสือ’ เพราะเคี่ยวเข็ญ ให้ลูกทุกคนทำงานหนัก ช่วยเหลือตนเอง ลูกเลยแข็งแกร่ง อยู่รอด

3. ต้อง ‘แข่งขัน ทำให้ดีกว่า’
คนเกาหลีรู้ว่า ชีวิต คือ การแข่งขัน จึงสอนลูกให้รู้จักแข่งขัน ทำให้ดีกว่า เด็กเกาหลี เล่นกีฬา ร้องเพลง เรียนหนังสือ ก็ทำจริง ไม่ทำเล่น ไม่ยอมแพ้ ดูบอลเกาหลี ก็ดูสนุก เพราะเล่นไม่ยอมแพ้ แม้นาทีสุดท้าย

4. ต้อง ‘มีมาตรฐานสูงกว่า’
วงการดนตรี และภาพยนตร์ของเกาหลี มีมาตรฐานและคุณภาพงาน ไม่แพ้อเมริกา ลองดูเพลง คอนเสิร์ตและมิวสิควิดิโอของน้องลิซ่า ยอมรับเลยว่า เบื้องหลังมาจาก ‘มาตรฐานการทำงาน’ ระดับโลกของแทร่

เพราะมาตรฐานสูง ย่อมสร้างความน่าเชื่อถือ และการยอมรับที่สูงตามไปด้วย

ดังนั้น หากประเทศไทย จะสร้าง ‘คนเก่ง คนดี’ ระดับโลกแบบน้องลิซ่า ให้เกิดขึ้นในบ้านเรา ต้องมุ่งมั่น ‘สร้างคน’ เพราะ การหวังเพียงการโปรโมทประชาสัมพันธ์ อาจเป็นเพียง ‘ฉาบฉวย’ ไม่ใช่แก่นแท้ ประเดี๋ยวก็จางไป 

>> ย้ำ ‘Soft Power’ มาจาก ‘คน’
การพัฒนาคน คือ รากฐานของ Soft Power ที่มั่นคง และไม่มีใครจะแย่งจากเราไปได้ ไม่ใช่เพียง ‘กางเกงช้าง’ ที่ของถูกจากจีน มาแย่งตลาดได้ง่ายดาย แต่คือ ความสามารถ ‘คนไทย ยุคใหม่’ ที่เก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก

เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ อ่านแล้วคิดเห็นอย่างไรกันบ้าง คอมเมนต์บอกเล่าให้พี่เอ้รู้หน่อยนะครับ ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือเห็นต่างเราแลกเปลี่ยนกันได้เสมอ จะได้ร่วมกันหาทางผลักดันประเทศไทยไปด้วยกันครับ

‘พี่เอ้’ ห่วง!! ‘เด็กไทย’ หลุดจากระบบการศึกษาทะลุ 1 ล้านคน หวั่น!! ‘คนขาดความรู้-ปัญหาสังคมลุกลาม-แข่งขันต่างชาติไม่ได้’

(4 ก.ค. 67) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ 'ดร.เอ้' ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘วิกฤติแล้ว! ตื่นเถิด คนไทย’ เมื่อ ‘เด็กไทย หลุดจากโรงเรียน’ ทะลุ 1 ล้าน เราจะช่วยกันอย่างไรดี? โดยระบุว่า…

สถิตินี้น่ากลัวมาก ทั้งที่มีเด็ก ‘เกิดน้อยลง’ คือ ‘วิกฤติ’ ที่สุดแล้ว แต่ ‘ผู้นำ’ ยังละเลย ทั้งที่เป็นเรื่องที่น่าอันตราย ต่ออนาคตประเทศไทยอย่างที่สุดแล้ว มันจะส่งผลอย่างไรบ้าง ต่อประเทศไทยและสังคมไทย 

1. ‘ที่นั่งในมหาวิทยาลัย จะยิ่งว่างมากขึ้น’ 

เพราะเราส่งเด็กไทย ‘ไปไม่ถึง’ ชั้นมหาวิทยาลัย ถือเป็น ‘ความสูญเสีย’ ทั้งเสียโอกาสในการเสริมศักยภาพ ‘คนรุ่นใหม่’ และ เสียโอกาส ‘การลงทุน’ ที่รัฐทุ่มไปกับการพัฒนามหาวิทยาลัยทุกปี ๆ แต่มีเด็กเรียนน้อยลง 

ขณะที่ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ มุ่งเป้าส่งเด็ก เรียนไปถึงมหาวิทยาลัย ได้เกือบ 100% 

มาเลเซียก็ประกาศ ส่งเด็กเรียน ให้ถึงมหาวิทยาลัย อย่างน้อย 70% ขณะที่ประเทศไทยอาจมีเพียง 30% เท่านั้น! 

แบบนี้ ยิ่งนานวัน นอกจากไทย ‘แข่งขันไม่ได้’ ยังต้องเกิดเป็นภาระในการดูแล ‘พลเมืองด้อยโอกาส ข้ามรุ่น’ ซึ่งถือว่า น่ากลัวมาก 

2. ‘แรงงานทักษะต่ำเพิ่ม แรงงานทักษะสูงลด’

ส่งผลกระทบต่อ ‘เศรษฐกิจไทย’ รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ยิ่งกว่า ‘สึนามิ’ เพราะโลกยุคดิสรัปชั่น ไม่ได้แข่งที่ ‘ทำของถูก’ ไม่ได้แข่งกันที่ ‘ภาคการผลิตของพื้น ๆ ง่าย ๆ’ เท่านั้น แต่แข่งกันที่ ‘สินค้ามูลค่าสูง’ ที่ต้องใช้แรงงานทักษะระดับปัญญา มาเอาชนะกัน

ทุกวันนี้ ประเทศไทย ‘ตกหลุมลึก’ เรื่องการยกระดับทักษะพลเมือง การทำ ‘Upskill’ / ‘Reskill’ เป็นเพียง ‘วาทกรรม’ ให้มาผลาญงบประมาณ หาก ‘ผู้นำ’ ไม่ลงไปกำกับจริงจัง อาจทำให้ ‘อนาคตไทย หมดสภาพการแข่งขัน’ น่าห่วงที่สุด

3. ‘ปัญหาสังคมทุกเรื่อง กำลังตามมา’

เด็กไทย อยู่ในวัยเยาว์จนถึงวัยรุ่น ออกจากโรงเรียนก่อนเวลา ขาดการดูแล ทำให้สังคมไทยต้องเผชิญปัญหา ‘แม่วัยใส’ / ‘เด็กติดยาเสพติด’ / ‘เด็กติดการพนัน’ และ ‘สุขภาพทรุดโทรม’ เร็วกว่าคนที่มีความรู้มากกว่า

ปัญหาสังคมจากพลเมืองไม่มีความรู้ หรือเรียนน้อย จะเป็นปัญหาที่รัฐ ต้องมาตามแก้ไม่รู้จบ อันตรายมาก 

สาเหตุการ ‘ออกจากโรงเรียน’ มีหลายสาเหตุ ที่ต้องมาคิดวิเคราะห์ ด้วย ‘ข้อมูลรอบด้าน’ แม้ว่าสาเหตุใหญ่ อาจจะมาจาก ‘ความยากจน’ แต่ก็มีอีกหลายปัจจัย รุมเร้า เร่งให้ผู้ปกครอง ‘ยอมแพ้’ ไม่สู้ ไม่ส่งลูกเรียนต่อ 

‘ผู้นำ’ จึงต้องทำจริงจังเรื่อง ‘การพัฒนาคน’ ให้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด อย่าเพิกเฉย ปล่อยปัญหาให้หนักหนา ไม่เช่นนั้น ไม่นาน ไทยเราอาจซบเซา สู้เขาไม่ได้ น่าเสียดายครับ

‘ดร.เอ้’ ฝาก 4 นโยบาย ‘นายกฯคนใหม่’ ให้ยกระดับสังคมไทย เน้น!! ‘การศึกษา-แก้ยาเสพติด-ยกคุณภาพชีวิต-เอาผิดคอร์รัปชัน’

(18 ส.ค.67) นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 พร้อมเสนอ 4 นโยบาย ยกระดับสังคมไทย หากทำได้ จะได้ใจประชาชน ระบุว่า

ขอแสดงความยินดีกับ นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ‘คนรุ่นใหม่’ และยังเป็น ‘คุณแม่’ ที่ลูกยังเล็ก ซึ่งน่าจะเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่เป็นพ่อ ในสภาวะสังคมไทยที่อ่อนแอลงทุกวัน

สังคมไทยที่กำลังห่อเหี่ยวรอความหวัง ในการปฏิรูป สังคม และเศรษฐกิจ สู่โลกยุคดิสรัปชั่น ที่ต้องแข่งขันด้วย ทรัพยากรมนุษย์ เน้นทักษะขั้นสูง ทดแทนการใช้ แต่ทรัพยากรธรรมชาติที่เน้นแต่การท่องเที่ยวแบบแมสที่ผลาญสิ่งแวดล้อม

นายสุชัชวีร์ ระบุว่า นโยบายของรัฐบาล 1 ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า ยัง ไม่เข้าฝัก ไม่เป็นรูปธรรม แม้นายกฯทุกคน ต้องเน้นเรื่องปากท้อง เพราะเป็นความทุกข์ใกล้ตัวประชาชน แต่มี 4 เรื่องสำคัญ ตนขอฝากนายกฯ ช่วย 'ยกระดับสังคม' เป็นประโยชน์ต่อคนไทยและลูกหลาน หากทำได้ จะได้ใจประชาชนมาก คือ 

1.การศึกษา ต้องมาก่อน และเริ่มทันที นายกฯ ต้องเน้นเรื่อง การปฏิรูปการศึกษา แบบจริงจัง เพราะเป็นเรื่องระยะยาว ไม่อาจเห็นผลในระยะเวลาอันสั้น ไม่ทำแบบขอไปที ต้องทำหน้าที่แทนพ่อแม่ของเด็กไทย รักลูกท่านอย่างไร ต้องรักลูกชาวบ้านเช่นกัน

ท่านนายกฯ ในฐานะคุณแม่ที่มีลูกเล็ก ย่อมรู้ดีที่สุดว่า คุณภาพการศึกษาของ เด็กปฐมวัย คือ จุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด ผู้นำรัฐบาลในทุกประเทศชั้นนำ จะลงมากำกับดูแล คุณภาพเด็ก ด้วยตนเอง วางแผนระยะยาว ไม่ปล่อยให้คนอื่นสักแต่ทำ หรือ ทำแบบขอไปที หากนายกฯ ทำเรื่อง การศึกษาเด็ก ให้มีคุณภาพ คนจะชื่นชมมาก นายสุชัชวีร์ กล่าว

2.ขจัดยาเสพติด ทุกรูปแบบ นายกฯ อ่อนโยนได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องยาเสพติด ต้องแข็งกร้าว ไม่เอายาเสพติด คงไม่ต้องไปทำถึงวิสามัญ แต่ต้องใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา เป็นธรรม เพื่อป้องกัน ลูกหลานให้ห่างไกลจากอันตรายยาเสพติดทุกประเภท ปัญหายาเสพติดไม่ใช่การต่อรองทางการเมือง แต่ต้องเป็นหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำประเทศทุกคน

3.ความปลอดภัยสาธารณะ คือ สิทธิขั้นพื้นฐาน นายกฯ ต้องรักและห่วงใยประชาชนเสมือนคนในครอบครัว ต้องสร้างสังคม ที่ลูกหลานปลอดภัย ไปไหน ไม่ต้องกังวลว่า จะถูกรถมาชนบนทางม้าลาย ของจะหล่นใส่หัว เดินไปโรงเรียนจะตกท่อ โรงงานสารเคมีข้างบ้านจะระเบิด เพราะสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ คือ การดำรงชีวิตอย่างปลอดภัย คือ มาตรวัดคุณภาพชีวิตของคนไทย และคือ มาตรวัดผลงานรัฐบาล ทั้งเรื่อง ฝุ่นพิษ PM2.5 ที่ทำร้ายสุขภาพเด็กไทย อย่างรุนแรงรัฐบาลที่ผ่านมามักแก้ปัญหาแบบตามฤดูกาลเดี๋ยวก็ลืมกันไป นายกฯต้องแก้ปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จ หากทำได้ ได้ใจพ่อแม่ทั้งประเทศไทยแน่นอน

4.รัฐบาลโปร่งใส ไม่คอร์รัปชัน นายกฯต้อง ใจแข็ง ใครก็รู้ การเมืองไทยกับปัญหาการคอร์รัปชัน มันอยู่คู่กันมานาน แต่นายกฯ ได้เปรียบเพราะมีผู้มีพลังหนุนหลัง ไม่ต้องง้อใคร ไม่ต้องขอใคร ไม่ต้องเกรงใจใคร ทำสิ่งที่ถูกต้องได้โดยไม่มี ข้ออ้าง การลดคอร์รัปชันจะเป็นสัญญานบวกที่มีพลังมากที่สุดต่อภาคธุรกิจทั้งภายในและต่างประเทศ ใครก็อยากมาลงทุนในประเทศไทย เพราะไม่ต้องกังวลเรื่อง เงินใต้โต๊ะเงินทุนก็เข้าระบบ เศรษฐกิจก็จะดีขึ้นทันที หากแก้ปัญหาคอร์รัปชันได้นายกฯ จะเป็นซูเปอร์ฮีโร ได้รับการจดจำนานเท่านาน

“ผมในฐานะพลเมืองไทยและมนุษย์พ่อขอเป็นกำลังใจให้ท่าน ทำงานให้สำเร็จ เพื่อประโยชน์ของชาติ จะขอเฝ้าดู ติดตาม และกล้าเห็นต่าง หากท่านลืมไปว่า ท่านเป็นผู้นำที่มีหน้าที่ รับผิดชอบ ต่อประชาชนไทย” นายสุชัชวีร์ กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top