Sunday, 8 June 2025
สิงคโปร์

'นายกฯ สิงคโปร์' แจง!! ปมทุ่มเงินผูกขาดคอนเสิร์ต ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ ชี้!! เป็นผลบวกต่อ ศก.ประเทศ ไม่มีเจตนาเปิดศึกเพื่อนบ้าน ‘ไทย-ปินส์

(5 มี.ค.67) นายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง แห่งสิงคโปร์ แถลงชี้แจงวันนี้ว่า การที่รัฐบาลทุ่มเงินจูงใจให้นักร้องสาวชื่อดัง ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ เปิดคอนเสิร์ต The Eras Tour จำนวน 6 รอบที่สิงคโปร์เพียงประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ได้มีเจตนาสร้างความเป็นศัตรูกับประเทศเพื่อนบ้าน หลังเรื่องนี้กลายเป็นประเด็นดรามาที่เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ของไทย รวมไปถึง สส.ฟิลิปปินส์บางคนที่มองว่าพฤติกรรมของสิงคโปร์ไม่ใช่สิ่งที่ ‘เพื่อนบ้านที่ดี’ ควรทำ

“หน่วยงานของเราได้เจรจาทำข้อตกลงพิเศษกับเธอ (สวิฟต์) เพื่อให้เดินทางมาสิงคโปร์ และเลือกสิงคโปร์เป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตเพียงแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ลี ระบุในงานแถลงข่าว ระหว่างเดินทางไปร่วมการประชุมระดับภูมิภาคที่นครเมลเบิร์นของออสเตรเลีย

“ปรากฏว่าทุกอย่างออกมาสำเร็จราบรื่นดี ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นการกระทำที่ไม่เป็นมิตรตรงไหน”

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสิงคโปร์ยอมรับว่าได้ทุ่มเงินจูงใจให้ สวิฟต์ จัดคอนเสิร์ตที่สิงคโปร์เพียงประเทศเดียวในอาเซียน ทว่าไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดของข้อตกลงพิเศษนี้

คำแถลงของสิงคโปร์สร้างความไม่พอใจต่อหลายๆ ประเทศในภูมิภาค โดยนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ของไทยออกมาแฉว่า สิงคโปร์ได้เสนอเงินพิเศษ ‘3 ล้านดอลลาร์’ หรือประมาณ 100 ล้านบาทต่อคืน และตั้งเงื่อนไขผูกขาดไม่ให้ สวิฟต์ ไปเปิดคอนเสิร์ตที่อื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่ โจอี ซาลเซดา สส.ฟิลิปปินส์ ถึงกับออกมาพูดว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่เพื่อนบ้านที่ดีทำกัน” แถมยังยุให้กระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ยื่นประท้วงด้วย

เมื่อเดือนที่แล้ว การท่องเที่ยวและกระทรวงวัฒนธรรมของสิงคโปร์ได้ออกมาอ้างถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่สิงคโปร์จะได้รับจากการแสดงคอนเสิร์ตของนักร้องสาวซึ่งโด่งดังและมีแฟนคลับล้นหลามทั่วโลก พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลกำลังทำงานร่วมกับ AEG Presents เพื่อดึงตัว สวิฟต์ มาเปิดการแสดงที่สิงคโปร์

สแกนสิงคโปร์ 70% ของคนส่วนใหญ่เป็นคนชนชั้นกลาง ไม่รวยพอจะซื้อบ้าน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่แพงมากในสิงคโปร์

(6 มี.ค.67) จากเพจ 'สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา' ได้โพสต์ข้อความแชร์มุมมองของคนสิงคโปร์ ที่คนชาติอื่นมักมองว่ามีฐานะกันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งอาจจะไม่จริงเสมอไป จากช่อง YouTube 'Asian Boss' ไว้ว่า...

70% ของคนสิงคโปร์เป็นคนชนชั้นกลาง ไม่รวยพอจะซื้อบ้านซึ่งถือเป็นสิ่งที่แพงมากในสิงคโปร์

บ้านสามห้องนอนพื้นที่ใช้สอย 135 ตารางเมตร ราคาอยู่ที่ 37 ล้านบาท คนสิงคโปร์ส่วนมากซื้อไม่ไหว และไม่คิดว่าชาตินี้จะมีทางซื้อไหว

ถ้าคิดจะซื้อบ้านจริง ๆ ชนชั้นกลางสิงคโปร์มองว่าต้องไปหาซื้อที่ประเทศอื่น เช่น ไทย, เวียดนาม, อินโดฯ

แม้แต่คนที่ทำงานในวงการแพทย์ (ทำงานด้านฉายรังสี) บอกเองว่า ไม่น่าจะมีปัญญาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ตัวเอง ถ้าป่วยหนักถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล

ดู ๆ แล้วชนชั้นกลางไทยสบายกว่าชนชั้นกลางสิงคโปร์ โอกาสมีบ้านหลังเล็กมีมากกว่าคนสิงคโปร์ที่ถ้าไม่รวยจริงอยู่คอนโดทุกคน

มองได้ว่าสิงคโปร์คล้าย ๆ เกาหลี คือ ทำประเทศพัฒนาไปเร็วมาก จนคนส่วนมากรวยตามไม่ทัน 

รัฐบาลได้โม้ว่าประเทศเจริญ แต่คนในประเทศไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตอยู่สบาย อยู่เพื่อทำงาน ไม่ได้อยู่เพื่อสบาย

เวลาคนเกาหลีหรือสิงคโปร์โม้เรื่องประเทศ ให้ถามว่ามีบ้านอยู่ป่าว หน้าจะจ๋อยขึ้นมาทันที

‘สิงคโปร์-มาเลเซีย’ เตือนเยาวชน ‘ยาดมชูกำลัง’ ไม่มีจริง เสี่ยงติดโรคทางเดินหายใจ แถมส่งเสริมให้ติดบุหรี่ด้วย

รัฐมนตรีสาธารณสุขสิงคโปร์ สั่งสอบเข้ม ‘ยาดมชูกำลัง’ หรือ ‘Energy Stick’ ที่กำลังฮิตอย่างมากในหมู่วัยรุ่น-วัยเรียนชาวสิงคโปร์และมาเลเซียอยู่ในขณะนี้ ว่าจะมีผลเสียต่อร่างกาย และจิตใจผู้ใช้ ส่งเสริมพฤติกรรมติดบุหรี่ในอนาคตหรือไม่?

‘Energy Stick’ หรือ ‘ยาดมชูกำลัง’ ที่กำลังแพร่หลายในท้องตลาดสิงคโปร์ มาในรูปแบบคล้ายกล่องยาดมหลอดคู่ มีขนาดพอๆ กับกล่องไม้ขีดไฟ และมีสีสันสดใส แถมยังมีหลากหลายกลิ่นให้เลือก ทั้งกลิ่นมินท์, แตงโม, องุ่น, ส้ม, มะนาว และอื่นๆ อีกมากมาย อีกทั้งยังเคลมสรรพคุณ สูดดมแล้วมีแรง แก้ง่วง เหมาะสำหรับ นักเรียน นักศึกษา ที่ต้องอ่านหนังสือหนักตอนกลางคืน หรือ คนทำงาน OT หรือผู้ที่ต้องขับรถนานๆ ที่อาจเกิดอาการง่วงซึมระหว่างเดินทาง

เบื้องต้น ทางผู้ผลิตแจ้งส่วนประกอบในยาดมชูกำลังว่า มีเพียงส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหย และสารสกัดจากธรรมชาติที่ปลอดภัยเท่านั้น อีกทั้งยังมีราคาถูก สามารถหาซื้อได้ทั่วไปเพียงหลอดละไม่เกิน 1.5 เหรียญสิงคโปร์ (ประมาณไม่เกิน 37 บาท) บวกกับกลยุทธ์การโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดีย ที่สนับสนุนให้สูดดมก่อนไปเรียนหนังสือ หรือไปทำงานทุกวัน ทำให้ตาตื่น จนเป็นที่นิยมในกลุ่มเด็กวัยรุ่นอย่างมาก 

อย่างไรก็ตาม ทางหน่วยงานด้านสาธารณสุขในสิงคโปร์ ก็ได้ออกมาเตือนถึงผลเสีย หากสูดดม Energy Stick เป็นประจำว่า อาจเสี่ยงต่อเยื่อโพรงจมูกอักเสบ และโรคทางเดินหายใจได้ รวมทั้งตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับสารประกอบในยาดมประเภทนี้บางยี่ห้อ อาจมีส่วนผสมของนิโคติน หรือ กัญชา ที่จะกระตุ้นให้ผู้ใช้มีความกระปรี้กระเปร่า ตาตื่น มีแรงทำกิจกรรมมากขึ้น ตามคำเคลมโฆษณา

ด้านผู้เชี่ยวชาญบางคนชี้ว่า แม้ยาดมชูกำลัง จะไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมายเช่นเดียวกับบุหรี่ไฟฟ้า และอาจไม่มีผลข้างเคียงหากใช้สูดดมในระยะสั้น แต่ถ้าใช้การใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดอาการติดได้

สำหรับเจ้า Energy Stick ก็ไม่ได้เป็นปัญหาแค่ในสิงคโปร์เท่านั้น หากยังเป็นปัญหาในตลาดมาเลเซียด้วยเช่นกัน เมื่อ อัมราฮี บวัง ประธานสมาคมเภสัชกรแห่งมาเลเซีย ออกมาเตือนว่า ยาดมชูกำลังมีส่วนผสมบางอย่างที่คล้ายกับสารในบุหรี่ไฟฟ้า ต่างกันแค่ตรงที่ไม่มีการเผาไหม้ รวมถึงรูปแบบการใช้งาน ที่เป็นหลอดยาดมคู่ สำหรับสอดเข้าไปในโพรงจมูกทั้งสองข้างพร้อมกัน ทำให้รับสารระเหยโดยตรงเข้าสู่ปอดในปริมาณมาก และอาจเป็นด่านแรกที่จะกระตุ้นพฤติกรรมผู้บริโภคไปสู่การทดลองสูบบุหรี่ไฟฟ้า และ บุหรี่ทั่วไปในกลุ่มเยาวชนในเวลาต่อมาได้ 

โดยข้อแตกต่างระหว่างยาดมทั่วไป และ ยาดมชูกำลัง สำหรับในมาเลเซียคือ ผลิตภัณฑ์ยาดมทั่วไปจะต้องขึ้นทะเบียนเพื่อตรวจสอบกับสำนักงานคณะกรรมการเภสัชกรรมแห่งชาติก่อน จึงสามารถจำหน่ายได้ทุกช่องทาง แม้ในร้านขายยา แต่สำหรับ Energy Stick นั้นยังไม่มีการขึ้นทะเบียน และจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้น ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญในมาเลเซียได้เรียกร้องให้แบนยาดมชูกำลัง พร้อมทั้งถอดโฆษณา และช่องทางจำหน่ายออกจากแพลตฟอร์มออนไลน์โดยทันที จนกว่าจะผ่านขั้นตอนการขึ้นทะเบียน ตรวจสอบส่วนประกอบอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

เช่นเดียวกับ ดร.เซวา ตู เวิน หัวหน้าแผนกโรคระบบทางเดินหายใจและผู้ป่วยวิกฤติ ของโรงพยาบาล Singapore General Hospital ที่ชี้ว่า ผู้ผลิต พยายามสื่อสารกับผู้บริโภคให้หลงเข้าใจว่า ยาดมชูกำลัง มีความเป็นธรรมชาติมากกว่า และ มีผลดีต่อสุขภาพมากกว่า เมื่อเทียบกับบุหรี่ไฟฟ้า 

แต่จริงๆ แล้ว มีงานวิจัยจำนวนมากบ่งชี้ว่า สารแต่งกลิ่นบางชนิดมีก็เป็นพิษต่อระบบทางเดินหายใจได้ แล้วยังทำให้การทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันทางเดินหายใจบกพร่อง และสร้างความเสียหายต่อเซลล์เหมือนกัน

ดังนั้น วัยรุ่นหยุดคิดสักนิด อย่าเพิ่งหลงเชื่อคำเคลมแรงๆ เพราะแค่ดมแล้วมีแรง ในราคาไม่กี่สิบบาท ไม่มีอยู่จริง 

‘สิงคโปร์’ ส่งทัพเจ้าหน้าที่สู่เมืองบัลติมอร์ หวังช่วยสอบสวนสาเหตุ ‘สะพานถล่ม’

(27 มี.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักสอบสวนความปลอดภัยทางการขนส่ง และองค์การท่าเรือแห่งสิงคโปร์ จัดส่งคณะเจ้าหน้าที่สู่เมืองบัลติมอร์ของสหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนการสืบสวนสอบสวนเหตุเรือตู้คอนเทนเนอร์ติดธงชาติสิงคโปร์ ชนกับสะพานฟรานซิส สก๊อต คีย์ บริดจ์ เมื่อวันอังคาร (26 มี.ค.) จนพังถล่มลงมา

บริษัท ซินเนอร์จี มารีน จำกัด (Synergy Marine) ซึ่งเป็นผู้บริหารจัดการการเดินเรือ ระบุว่า เรือลำดังกล่าวสูญเสียแรงขับเคลื่อนก่อนเกิดเหตุ จึงล้มเหลวจะประคับประคองทิศทางหัวเรือตามต้องการจนกระทั่งชนกับสะพานในท้ายที่สุด

องค์การท่าเรือฯ เสริมว่าเรือลำดังกล่าวได้ทิ้งสมอ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติตามขั้นตอนรับมือเหตุฉุกเฉินก่อนพุ่งชนสะพาน โดยเรืออยู่ภายใต้การนำร่อง ณ ตอนเกิดเหตุ ด้านทางการสหรัฐฯ เป็นผู้นำปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลือในปัจจุบัน

'ไทย-มาเลย์' อ้าแขนรับ!! บ.ต่างชาติหนีค่าเช่าออฟฟิศแพงในสิงคโปร์ พร้อมชู 'นโยบาย-ภาษี' ดึงดูดใจ ช่วยให้เข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่ง่ายขึ้น

(12 เม.ย. 67) ค่าเช่าอาคารสำนักงาน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ ‘สิงคโปร์’ กำลังสูญเสียแต้มต่อในการเป็นฐานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก ของบรรดาบริษัทข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นและยุโรป ได้เริ่มมีการโยกย้ายบางแผนกออกจากสิงคโปร์ ไปตั้งฐานปฏิบัติการในประเทศใกล้เคียง เช่น ไทย และ มาเลเซีย เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และขยายโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจ 

สำนักข่าวนิกเกอิ เอเชีย สื่อใหญ่ของญี่ปุ่นรายงานว่า ไทยและมาเลเซีย น่าจะได้รับประโยชน์จากความเคลื่อนไหวนี้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม กระแสการโยกย้ายที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเพียงการย้ายพนักงานจากสำนักงานใหญ่ในบางแผนก เช่น แผนกขายหรือแผนกวางแผนองค์กร ออกจากสิงคโปร์ไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค ไม่ได้เป็นการย้ายพนักงานออกไปทั้งหมด

เนื่องจากสิงคโปร์ยังคงมีข้อได้เปรียบในเรื่องทำเลที่ตั้ง ความสามารถทางด้านภาษาของบุคลากร และบริการทางการเงิน จึงทำให้เชื่อว่า สิงคโปร์ไม่น่าจะเสียตำแหน่งศูนย์กลาง หรือ ‘ฮับ’ ของบรรดาสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของบรรดาบริษัทข้ามชาติสัญชาติต่าง ๆ ไปได้ง่าย ๆ

อย่างไรก็ตาม ในกรณีของบริษัทที่มีแผนโยกย้ายบางแผนกหรือบางส่วนงานออกจากสิงคโปร์ ไทยและมาเลเซียถือเป็นทางเลือกในอันดับต้น ๆ โดยทั้งสองประเทศต่างมีนโยบายดึงดูดใจ ให้บริษัทต่างชาติเข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่ เช่น นโยบายให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี เป็นต้น

องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ เจโทร (JETRO) ได้สำรวจความคิดเห็นของบริษัทญี่ปุ่นที่มีสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคในสิงคโปร์ ซึ่งผลปรากฏว่า นอกจากบริษัทเหล่านี้จะมีความต้องการย้ายพนักงานบางส่วนออกจากสิงคโปร์มากขึ้นแล้ว การสำรวจยังพบว่า ประเทศไทยยังเป็นจุดหมายปลายทาง ที่บริษัทเหล่านี้เลือกมากที่สุดด้วย และที่รองลงมาคือประเทศมาเลเซีย

การสำรวจของ JETRO ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ชี้ว่า บริษัทญี่ปุ่นในสิงคโปร์ที่มีการโยกย้ายบางแผนกออกจากสิงคโปร์แล้วหรือกำลังมีแผนจะย้าย มี 19 บริษัทที่ตอบว่า ‘ประเทศไทย’ คือจุดหมายปลายทางที่อยากไปมากที่สุด ขณะที่อันดับสองคือ ประเทศมาเลเซีย มี 5 บริษัทที่ตอบว่าอยากย้ายบางแผนกไปที่นั่น 

นายเคสุเกะ อาซาคุระ รองกรรมการผู้จัดการประจำ JETRO สำนักงานสิงคโปร์ ให้ความเห็นว่า ไทยเป็นฐานการผลิตที่บริษัทญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนอยู่เป็นจำนวนมากอยู่แล้ว เชื่อว่าเมื่อค่าเช่าสำนักงานและต้นทุนอื่น ๆ ในสิงคโปร์สูงขึ้น การโยกย้ายบางแผนก เช่น ฝ่ายขาย มายังประเทศไทยก็จะมีมากขึ้นด้วย แต่ยังไม่ใช่การย้ายมาทั้งหมด 

นอกเหนือจากบริษัทญี่ปุ่นแล้ว บริษัทยุโรปเองก็มีความเคลื่อนไหวในลักษณะเช่นเดียวกันนี้ โดยผลสำรวจของหอการค้ายุโรปเมื่อปีที่ผ่านมา (2566) พบว่า บริษัทผู้ตอบแบบสำรวจ 69% เล็งย้ายพนักงานบางส่วนออกจากสิงคโปร์เพื่อหนีต้นทุนในการดำเนินงานที่สูงขึ้นเช่นกัน

‘สิงคโปร์’ ทำพิธีปล่อย ‘เรือดำน้ำ’ ลำที่ 4 สุดทันสมัย พร้อมปฏิบัติการในพื้นที่น้ำตื้นของทะเลเขตร้อน

(25 เม.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Thaifighterclub’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ เรือดำน้ำ Type 218SG ลำล่าสุดของ ทร.สิงคโปร์ โดยระบุว่า…

“พิธีปล่อยเรือดำน้ำลำล่าสุดของ ทร.สิงคโปร์ ซึ่งเป็นลำสุดท้ายจากจำนวนทั้งหมด 4 ลำของเรือดำน้ำชั้น Invincible ที่ทางสิงคโปร์สั่งต่อจากเยอรมนี

ป.ล.มองประเทศเขาแล้วก็ถอนหายใจ เฮ้อเบา ๆ”

โดยมีชาวเน็ตต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก อาทิ

- ประเทศเรากำลังเป็นกองทัพเรือประมงครับ
- ที่ 1 ในใจเลยของเยอรมนี ตั้งแต่เป็นช่างซ่อมเครื่องจักรมาเกือบ 20 ปี ทุก ๆ อย่าง ของค่ายนี้สุด ๆ ทุก ๆ ด้านจริง ๆ
- ผู้นำเขายอดเยี่ยมจริง ๆ
- แสดงว่าเรือดำน้ำสำคัญ ที่ทุกประเทศอยากมี

ทั้งนี้ เรือดำน้ำชั้น Invincible ลำนี้ ได้รับการปรับปรุงพิเศษด้วยความร่วมมือระหว่าง เรือดำน้ำ Inimitable ของสิงคโปร์ อีกทั้งยังได้รับการออกแบบร่วมกันโดยกองทัพเรือสาธารณรัฐสิงคโปร์, สำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม (DSTA) และ Thyssenkrupp Marine Systems ของเยอรมนี

ทำให้มีขีดความสามารถในการปฏิบัติการในพื้นที่น้ำตื้น ที่มีการสัญจรทางทะเลเขตร้อนที่แออัดของสิงคโปร์ ซึ่งถือเป็นเรือที่มีความทันสมัยระดับต้น ๆ ของโลก และนับเป็นเรือดำน้ำลำใหญ่ที่สุดที่สร้างขึ้นในเยอรมนีอีกด้วย

รายงาน ชี้ ‘ความไม่เท่าเทียมทางเพศ’ ใน ‘สิงคโปร์’ ลดลง ผู้หญิงมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในฐานะ ‘ผู้บริหาร-ผู้นำทางธุรกิจ’

(12 พ.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ‘รายงานความก้าวหน้าด้านการพัฒนาสตรีของสิงคโปร์ประจำปี 2024’ จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและครอบครัวสิงคโปร์ เปิดเผยว่าผู้หญิงชาวสิงคโปร์ได้รับความเท่าเทียมในที่ทำงานเพิ่มมากขึ้น ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

รายงานระบุว่าอัตราการจ้างงานผู้หญิงสิงคโปร์อายุ 25-64 ปี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 69.2 ในปี 2013-2023 เป็นร้อยละ 76.6 โดยช่องว่างของอัตราการจ้างงานระหว่างเพศลดลงเหลือ 12.4 จุด

ผู้หญิงสิงคโปร์มีบทบาทในฐานะผู้นำทางธุรกิจเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดยในบริษัทชั้นนำ 100 อันดับแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ พบสัดส่วนของผู้หญิงที่เป็นคณะกรรมการบริหารเพิ่มขึ้นสามเท่าจากร้อยละ 7.5 ในปี 2013 เป็นร้อยละ 22.7 นับถึงเดือนมิถุนายนปีก่อน

กระทรวงฯ เผยว่ามีการปรับปรุงบริการด้านสาธารณสุขสำหรับผู้หญิงให้ดีขึ้น โดยจำนวนผู้หญิงอายุ 15 ปีที่ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (HPV) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.3 เป็นร้อยละ 89.4 ระหว่างปี 2014-2022

ทั้งนี้ หน่วยงานของสิงคโปร์ยังได้แก้ญัตติกฎบัตรสตรี (Women’s Charter) เมื่อปีก่อน เพื่อเพิ่มขอบเขตอำนาจของรัฐบาลในการเข้าไปแทรกแซงปัญหาความรุนแรงในครอบครัว

‘ดร.เอ้’ มอง ‘สิงคโปร์’ ใต้การนำของนายกฯ เจนสี่ ‘ลอว์เรนซ์ หว่อง’ ‘สร้างคน-ชาติ-สังคม’ ใต้ข้อจำกัด เชื่อ!! ไทยก็ทำได้ อยู่ที่ ‘ผู้นำ’

(16 พ.ค. 67) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ‘ดร.เอ้’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม. ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก 'เอ้ สุชัชวีร์' ในหัวข้อ 'ผู้นำไทย ควรเรียนรู้จากสิงคโปร์' ระบุว่า...

การสร้างคน สร้างชาติ สร้างสังคม ภายใต้ข้อจำกัด อย่างมหัศจรรย์ #เราทำได้

'ลอว์เรนซ์ หว่อง' ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเจนสี่ ของสิงคโปร์ ประกาศต่อยอด 'คัมภีร์สร้างชาติ' จากผู้นำ 3 รุ่นที่ผ่านมา โดยเฉพาะจาก 'รัฐบุรุษลี กวนยู'

นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ทุกรุ่น เน้นการ 'สร้างคน' สำคัญที่สุดเสมอ โดย 'ลอว์เรนซ์ หว่อง' จะทำอะไรต่อจากนี้ น่าเรียนรู้ยิ่ง...

1. 'แสวงหาคนเก่ง' จากทั่วโลก
ลีกวนยู นายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์ ได้นักเศรษฐศาสตร์ชาวเนเธอร์แลนด์ ช่วยวางรากฐานทางเศรษฐกิจ ได้นักการทหารอิสราเอล ช่วงวางรากฐานกองทัพ ขณะเริ่มสร้างประเทศสิงคโปร์

'คนเก่ง' มาจากชาติไหนไม่สำคัญ ขอให้มาอยู่ มาช่วยพัฒนาสิงคโปร์ ชาติก็เจริญ

อีกทั้ง จำนวนประชากรสิงคโปร์ เติบโตไม่ทัน 

ลอว์เรนซ์ หว่อง จึงมุ่งให้ทุนการศึกษาเด็กมัธยมต้น จากชาติอาเซียน โดยเฉพาะ 'เด็กไทยชั้นยอด' ให้ไปเรียนมัธยมปลาย มหาวิทยาลัย จบออกมาทำงานในสิงคโปร์ และให้สิทธิ์เป็นพลเมือง พร้อมพ่อแม่ 

แม้ประเทศไทย อาจน่าอยู่ แต่คุณภาพการศึกษา สิ่งแวดล้อม และโอกาสได้งานที่ท้าทาย อาจไม่โดนใจคนรุ่นใหม่ เท่ากับสิงคโปร์ เราจึงสูญเสียยอดเด็กไทยไปอยู่สิงคโปร์เพิ่มขึ้นทุกปี

2. 'เน้นปัจจัยสี่' สำคัญที่สุด
อาหาร เครื่องนุ่งห่ม บ้าน และยารักษาโรค คือ ปัจจัยสี่ คือ พื้นฐานของชีวิต แต่ความท้าทาย คือ แม้พลเมืองจะมีรายได้สูง แต่อาหารและค่าครองชีพสูงขึ้นทุกวัน รัฐบาลสิงคโปร์จะลดค่าครองชีพได้อย่างไร 

คนรุ่นใหม่ก็ไม่มีกำลังซื้อบ้าน เพราะที่ดินมีจำกัด ทำให้บ้านราคาสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก 

ลอว์เรนซ์ หว่อง เกิดในบ้านการเคหะ ที่ริเริ่มโดย ลี กวนยู เมื่อ 50 ปีก่อน ผมเคยไปเยี่ยมเมื่อครั้งเป็นประธานการเคหะแห่งชาติ หลายปีก่อน บ้านการเคหะสิงคโปร์แม้ห้องขนาดเล็ก แต่น่าอยู่ สิ่งแวดล้อมดี แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ และบ้านการเคหะสิงคโปร์ก็ไม่ได้ราคาถูกในวันนี้

ลอว์เรนซ์ หว่อง สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ มีบ้านของตนเอง ไม่เป็นหนี้เยอะ โดยให้แต้มต่อ คนเพิ่งเริ่มต้นทำงาน ได้ผ่อนบ้านในราคาพิเศษ ที่รัฐช่วยอุดหนุน

ด้านสาธารณสุข สิงคโปร์ประกาศเป็นผู้ผลิตเทคโนโลยีการแพทย์ และยารักษาโรค พึ่งพาตนเองและส่งออกได้ เพื่อความมั่นคงทางสุขภาพ และลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้ามหาศาล

เมื่อคนรุ่นใหม่มีบ้านของตนเอง ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ไม่ก่อหนี้เกินตัว ย่อมมีพลังในการทำงาน สร้างเศรษฐกิจเข้มแข็ง

3. 'สิ่งแวดล้อมดี คุณภาพชีวิตดี' คือ ลมหายใจของเมือง
สิงคโปร์ มีโรงงาน มีท่าเรือ มีโรงเผาขยะ แต่แทบไม่มี PM 2.5 จากภายในประเทศ และพื้นที่สีเขียว 66 ตารางเมตรต่อคน มากกว่ากทม. 10 เท่า! 

ลอว์เรนซ์ หว่อง ประกาศว่า คุณภาพชีวิตของคนสิงคโปร์ ตื่นนอนสดชื่น เดินมาขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้า ไม่เกิน 5 นาที กลับบ้านตรงเวลา รถไม่ติด 'น้ำไม่ท่วม' มีเวลากับลูกและครอบครัว ความปลอดภัยต้อง 100% 

เพราะถึงแม้มีเงิน แต่หากสิ่งแวดล้อมไม่ดี คุณภาพชีวิตก็ไม่ดี สิ่งแวดล้อมดีจึงทำให้สิงคโปร์เป็นเมืองที่น่าอยู่ น่าทำงาน

4. 'สร้างสังคมนวัตกรรม' คือ ความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ
ลอว์เรนซ์ หว่อง จะต่อยอดนโยบาย ตามอดีตนายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง ในการเปลี่ยนเศรษฐกิจของสิงคโปร์ จากเมืองท่าสู่บริการการเงิน จากบริการการเงินสู่การส่งออกเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยมุ่งสร้างคนจำนวนมาก ด้าน AI คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการแพทย์ และพลังงานทดแทน อย่างจริงจัง

เพราะเศรษฐกิจในอนาคต จะรุ่งเรืองได้ ต้องมาจาก 'เศรษฐกิจนวัตกรรม' ที่อาศัยพลังสมองชั้นยอดของพลเมือง สิงคโปร์จึงต้องเน้นเรื่องการสร้างคน

แม่ของ ลอว์เรนซ์ หว่อง เป็นครูประถม ผู้ทุ่มเทกับการเรียนของลูก จนลูกได้เรียนปริญญาตรีและปริญญาโท ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐ ก่อนกลับมาทำงานการเมือง เป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษา เป็นนายกรัฐมนตรี

จึงมั่นใจการขับเคลื่อน เรื่องการศึกษา ในยุคนายกฯ ลอว์เรนซ์ หว่อง น่าจะก้าวกระโดดเช่นกัน

เมื่อเรียนรู้จากสิงคโปร์แล้ว นายกรัฐมนตรีประเทศไทย ควรเร่งทำ 4 เรื่องนี้เช่นกัน ต้องไม่ทำงาน 'ฉาบฉวย' แม้แต่เรื่องเฉพาะหน้า ยังแก้ปัญหาไม่เบ็ดเสร็จ

'การศึกษาไทย' ยังวังเวง แทบไม่มีการพัฒนา เพราะนายกฯ ไม่ใส่ใจ 'โรงงานสารเคมี' ถูกปล่อยไว้ ไฟไหม้ซ้ำซาก ทำลายสิ่งแวดล้อม 'บ่อนเสรี' มีเมื่อไม่พร้อม จะกำลังจะมาทำลายอนาคตลูกหลาน 'ยาเสพติด' เต็มเมือง เปิดร้านขายกัญชาได้ที่หน้าโรงเรียน 

อนาคตไทย อยู่ที่ 'ผู้นำ' จะทำเพื่อชาติ หรือ ทำเพื่อตนเองและพวกพ้อง

ด้วยความห่วงใย และรักชาติยิ่ง

'สิงคโปร์' ตรวจสอบเข้มด่านพรมแดน 'ยะโฮร์บาห์รู - ขาเข้าสิงคโปร์' หลังเกิดเหตุคนร้ายสังหารตำรวจในมาเลย์ฯ โยงกลุ่มก่อการร้าย

(19 พ.ค.67) จากเพจ 'World Forum ข่าวสารต่างประเทศ' ได้นำเสนอภาพด่านพรมแดน ยะโฮร์บาห์รู - ขาเข้าสิงคโปร์ ที่มีรถติดหนัก เพราะต้องมีการตรวจสอบความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น โดยสาเหตุเนื่องมาจาก...

เวลา 02.54 น. วันที่ 17/05/2024 ชายชาวมาเลเซีย วัย 34 ปี บุกสถานีตำรวจเมืองอูลูติรัม ในรัฐยะโฮร์ มีตำรวจเสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บ 1 ราย 

โดยคนร้ายได้สังหาร ตำรวจ และแย่งชิงอาวุธมาใช้สังหารตำรวจคนที่ 2 จากนั้นตำรวจคนที่ 3 ที่เป็นสายตรวจ กลับมาจากตรวจได้มาพบ จึงเกิดการต่อสู้ และได้สังหารคนร้าย ส่วนตำรวจคนที่ 3 มีอาการบาดเจ็บที่ศีรษะ และลำคอถูกนำส่งโรงพยาบาล 

ต่อมามีข่าวลือว่า คนร้ายดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับ Jemaah Islamiyah หรือ ญะมาอะห์ อิสลามียะห์ หรือกลุ่ม JI ซึ่งเป็นกลุ่มก่อการร้ายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่คาดว่าก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2533 (ประวัติกลุ่ม เคลื่อนไหวในไทย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์) 

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของมาเลเซีย ได้ปฏิเสธว่าคนร้ายดังกล่าวไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้องกับกลุ่ม JI 

จากเหตุการณ์นี้ ทำให้ทางการสิงคโปร์ ประกาศยกระดับความปลอดภัย (ภาพวันที่  18-19 /05 /2024) โดยด่านยะโฮร์ มีรถติดยาว และไม่แน่ชัดว่าประตูตรวจคนเข้าเมือง สนามบิน ท่าเรือ จะเข้มงวดด้วยหรือไม่?

‘เศรษฐกิจสิงคโปร์’ Q1 ขยายตัว ร้อยละ 2.7 หลังรับอานิสงส์ ‘สหรัฐฯ-จีน’ ทำให้แข็งแกร่ง

(23 พ.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์รายงานผลสำรวจทางเศรษฐกิจประจำไตรมาส ซึ่งระบุว่า เศรษฐกิจสิงคโปร์เติบโตร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบปีต่อปี ในไตรมาสแรก (มกราคม-มีนาคม) ของปีนี้ และสูงกว่าการเติบโตร้อยละ 2.2 ในไตรมาสก่อนหน้า

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า การเติบโตในไตรมาสแรกของปีนี้มีแรงผลักดันหลักจากภาคการเงินและประกันภัย การขนส่งและจัดเก็บ และการค้าส่ง รวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าคาดการณ์ของสหรัฐฯ และจีน ซึ่งสร้างสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจภายนอกที่แข็งแกร่งแก่สิงคโปร์

หลายนโยบายสนับสนุนของจีนมีแนวโน้มเพิ่มพูนการลงทุนทางการผลิต ขยับขยายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน และรักษาเสถียรภาพของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ส่วนทิศทางการเติบโตของสหรัฐฯ พัฒนาดีขึ้นเล็กน้อยในด้านความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานและการลงทุนที่นำโดยปัญญาประดิษฐ์

หากพิจารณาจากแนวโน้มข้างต้น ภาคการผลิตและการค้าของสิงคโปร์จะเติบโตเพิ่มขึ้นในปีนี้ และภาคการบิน และการท่องเที่ยว จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของอุปสงค์ โดยกระทรวงฯ ยังคงคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจสิงคโปร์ในปีนี้ไว้ที่ร้อยละ 1-3 ตามสภาพการณ์ภายในประเทศและภายนอก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top