Saturday, 7 June 2025
สหรัฐ

แรงดึงดูดของบ้าน...มากกว่ากรีนการ์ดอเมริกัน คนไทยในสหรัฐฯ เลือกกลับ ถ้าเทียบกับชาติอื่นในเอเชีย

(26 พ.ค. 68) ดร.อธิป อัศวานันท์ ผู้อำนวยการสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย ลงคลิปวิดีโอทางช่อง YouTube ของตนเอง โดยแชร์สาระน่ารู้ในเรื่อง..อะไรทําให้คนไทยแตกต่างจากคนเอเชียชาติอื่น เวลาที่พวกเราไปเรียนที่อเมริกา? 

ความแตกต่างที่น่าสนใจระหว่างนักศึกษาไทยและนักศึกษาเอเชียชาติอื่นในสหรัฐอเมริกาคือเป้าหมายหลังสำเร็จการศึกษา โดยนักศึกษาไทยส่วนใหญ่มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะเดินทางกลับมาทำงานและใช้ชีวิตในประเทศไทย สวนทางกับนักศึกษาจากชาติเอเชียอื่นจำนวนมากที่มองหาโอกาสในการตั้งถิ่นฐานถาวรในสหรัฐฯ อ้างอิงข้อมูลจากผู้มีประสบการณ์ตรงที่ศึกษาในสหรัฐฯ ช่วงปี 1990 ถึง 2004 ยืนยันเรื่องดังกล่าว และยังคงเป็นแนวโน้มที่ชัดเจนจนถึงปัจจุบัน

สถิติล่าสุดในปี 2022 ชี้ว่า จากจำนวนนักศึกษาไทยประมาณ 5,000 คนในสหรัฐฯ มีเพียงราว 15% เท่านั้นที่เลือกทำงานต่อหลังเรียนจบ ซึ่งแตกต่างอย่างมากเมื่อเทียบกับชาติอื่น ในช่วงทศวรรษ 1990 นักศึกษาจีนเกือบ 90% เลือกที่จะไม่กลับประเทศ ขณะที่นักศึกษาอินเดีย โดยเฉพาะในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีอัตราการอยู่ต่อสูงถึง 87% และผู้ที่จบปริญญาเอก STEM ระหว่างปี 2000-2015 (ข้อมูลปี 2017) เช่นเดียวกับนักศึกษาจากเกาหลีใต้และไต้หวันจำนวนไม่น้อยที่มุ่งหวังจะอยู่อาศัยในอเมริกาอย่างถาวร

ปัจจัยหลักที่ดึงดูดให้นักศึกษาไทยกลับบ้านเกิดคือความผูกพันกับครอบครัว ความคุ้นเคยกับสังคมและวัฒนธรรมไทย รวมถึงความรักในประเทศชาติ ทำให้ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมีโครงการพิเศษเพื่อดึงดูดคนกลับเหมือนที่รัฐบาลจีนริเริ่มโครงการ “เต่าทะเล” (Sea Turtles) ตั้งแต่ปี 2010 เพื่อเชิญชวนคนเก่งกลับไปพัฒนาประเทศ เสน่ห์ของประเทศไทย ทั้งวัฒนธรรม อาหาร และความสัมพันธ์ในครอบครัว ถือเป็นแรงจูงใจสำคัญ

แม้จำนวนนักศึกษาไทยในสหรัฐฯ จะลดลงจากประมาณ 11,600 คนในปี 2000 เหลือราว 5,000 คนในปี 2022 แต่แนวโน้มการกลับประเทศยังคงสูงอยู่เสมอ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยจำนวนมากมองว่าการไปศึกษาต่อต่างประเทศคือการเก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์เพื่อนำกลับมาพัฒนาบ้านเกิด มากกว่าจะเป็นบันไดสู่การย้ายถิ่นฐาน ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจที่คนไทยเลือก “กลับบ้าน” ในขณะที่คนชาติอื่นอาจเลือก “จากบ้าน” ไปหาโอกาสที่ดีกว่าในต่างแดน

ทรัมป์จวกปูติน ‘บ้า’ ปมถล่มยูเครนครั้งใหญ่ เตือนรุกรานยูเครนมาก จะพารัสเซียล่มสลาย

(26 พ.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ วิจารณ์ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียอย่างรุนแรงผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social โดยระบุว่าปูติน “บ้าไปแล้ว” และเตือนว่าหากยังคงพยายามยึดครองยูเครนทั้งหมด จะนำไปสู่ “จุดจบของรัสเซีย”

ทรัมป์แสดงความไม่พอใจต่อการที่รัสเซียยิงขีปนาวุธและโดรนโจมตีเมืองต่างๆ ในยูเครน พร้อมระบุว่าเป็นการสังหารผู้บริสุทธิ์โดยไม่จำเป็น และกำลังพิจารณาคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม

นอกจากปูติน ทรัมป์ยังวิจารณ์ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครน โดยกล่าวว่าท่าทีแข็งกร้าวของเซเลนสกี “สร้างปัญหา” และ “ควรหยุดพูดแบบนั้นได้แล้ว” พร้อมชี้ว่าความขัดแย้งนี้เป็นผลจาก “ความไร้ความสามารถ”

ทรัมป์ย้ำว่าสงครามยูเครนจะไม่เกิดขึ้นหากเขายังเป็นประธานาธิบดี โดยโยนความรับผิดชอบไปที่ปูติน เซเลนสกี และอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน พร้อมยืนยันว่าเขาเพียงต้องการ “ช่วยดับไฟสงครามที่ใหญ่และน่าเกลียดนี้”

‘ทรัมป์’ ยื่นข้อเสนอใหม่ให้ ‘แคนาดา’ เลือกจ่าย 61 พันล้านดอลลาร์ หรือเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ

(28 พ.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ยื่นข้อเสนอใหม่ต่อแคนาดา โดยระบุว่าแคนาดาเลือกได้เลยจะจ่าย 61 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.23 ล้านล้านบาท) เพื่อเข้าร่วมระบบป้องกันขีปนาวุธ 'Golden Dome' หรือกลายเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ เพื่อได้รับสิทธิเข้าร่วมฟรี โดยทรัมป์ประกาศผ่าน Truth Social ว่า “แคนาดาจะไม่ต้องจ่ายแม้แต่ดอลลาร์เดียว หากกลายเป็นรัฐที่รักยิ่งของเรา”

ข้อเสนอของทรัมป์มีขึ้นหลังจากนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดา มาร์ก คาร์นีย์ ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้ง ด้วยนโยบายปกป้องอธิปไตยของประเทศ และปฏิเสธแนวคิดของทรัมป์อย่างชัดเจน โดยก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยล้อเลียนอดีตนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ว่าเป็นเพียง 'ผู้ว่าการทรูโด'

ในขณะเดียวกัน โครงการ Golden Dome ของสหรัฐฯ มีมูลค่ารวมกว่า 175 พันล้านดอลลาร์ และอาจสูงถึง 542 พันล้านดอลลาร์ในระยะยาว โดยเป็นโครงการป้องกันขีปนาวุธที่รวมถึงการวางอาวุธในอวกาศ ซึ่งทรัมป์คาดว่าจะเริ่มใช้งานได้ภายในปี 2029

การยื่นข้อเสนอของทรัมป์เกิดขึ้นหลังจากพระเจ้าชาร์ลส์แห่งอังกฤษเสด็จแคนาดาและกล่าวสุนทรพจน์ต่อรัฐสภา ย้ำอธิปไตยและเสรีภาพของแคนาดา ขณะที่นายกฯ คาร์นีย์ได้ย้ำจุดยืนว่า “แคนาดาไม่ใช่ของซื้อขายได้” ส่วนทรัมป์ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “เดี๋ยวก็รู้เอง”

‘กรีนแลนด์’ เร่งเร้า ‘สหรัฐฯ’ รีบลงทุนเหมืองแร่ ชี้หากเมินเฉย พร้อมเชิญ ‘จีน’ เข้ามาแทน

(28 พ.ค. 68) รัฐมนตรีธุรกิจและทรัพยากรแร่ของกรีนแลนด์ นายนาอาย์ นาธาเนียลเซน (Naaja Nathanielsen) เรียกร้องให้สหรัฐฯ และยุโรปเร่งเข้ามาลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเหมืองแร่ของกรีนแลนด์ หากยังเพิกเฉย อาจทำให้ประเทศจำเป็นต้องหันไปพึ่งจีนแทน แม้จะต้องการความร่วมมือกับชาติตะวันตกมากกว่า

กรีนแลนด์ ซึ่งเป็นดินแดนปกครองตนเองภายใต้เดนมาร์ก มีแร่หายากจำนวนมากที่ชาติตะวันตกต้องการ โดยเฉพาะแร่ในรายชื่อแร่สำคัญของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปกว่า 40 ชนิด แต่ที่ผ่านมากลับยังไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังจากสหรัฐฯ แม้จะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจสมัยรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งกำลังจะหมดอายุ

นาธาเนียลเซนวิจารณ์แนวคิดของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ต้องการ “ซื้อกรีนแลนด์” ว่าเป็นเรื่องไม่ให้เกียรติ พร้อมชี้ว่าการมีส่วนร่วมของจีนในภาคเหมืองแร่ของกรีนแลนด์ในปัจจุบันยังมีน้อย แต่หากชาติตะวันตกยังลังเล ก็อาจเปิดทางให้จีนขยายอิทธิพล

ล่าสุด กรีนแลนด์ออกใบอนุญาตเหมืองแร่ภายใต้กฎหมายใหม่ครั้งแรก ให้กับกลุ่มทุนเดนมาร์ก-ฝรั่งเศส เพื่อสกัดแร่อนอร์โธไซต์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมไฟเบอร์กลาส คาดเริ่มก่อสร้างปีหน้า และเดินเครื่องได้ภายใน 5 ปี โดยรัฐบาลกรีนแลนด์ยังคงมองว่ายุโรปเป็นพันธมิตรที่เหมาะสมที่สุดในขณะนี้ ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและผลประโยชน์ร่วมกันระยะยาว

‘ม.เจ้อเจียง’ พัฒนาวัสดุล่องหนชนิดใหม่ หลบเรดาร์ได้หมด ท้าทาย ‘Golden Dome’ ของทรัมป์..ที่อาจเป็นแค่ภาพฝัน

(28 พ.ค. 68) นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ประเทศจีน พัฒนา 'วัสดุพรางตัวขั้นสูง' ชนิดใหม่ ที่สามารถหลบหลีกการตรวจจับด้วยอินฟราเรดและคลื่นไมโครเวฟในระยะไกล อีกทั้งยังทนความร้อนได้สูงถึง 700 องศาเซลเซียส ทำให้มีศักยภาพใช้ในภารกิจทั้งด้านทหารและอวกาศ สร้างความสั่นคลอนให้กับ 'Golden Dome' โครงการโล่ป้องกันขีปนาวุธที่ประธานาธิบดีทรัมป์ผลักดันอย่างหนัก

ระบบ Golden Dome อาศัยเรดาร์และระบบตรวจจับจากภาคพื้นดินและอวกาศเป็นหัวใจหลัก หากถูกตัดหูตาด้วยเทคโนโลยีล่องหนใหม่ของจีน เช่น โดรนก่อกวนสัญญาณไซเบอร์ หรือหัวรบหลอก ระบบดังกล่าวจะกลายเป็นการสร้างที่เสียเปล่าในสถานการณ์จริง นั่นทำให้จึงถูกมองว่าเป็นช่องโหว่ร้ายแรงที่คู่แข่งอาจใช้โจมตีได้

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากโครงการ Golden Dome เดินหน้าต่อ จะกระตุ้นให้จีน รัสเซีย และประเทศอื่น ๆ เร่งพัฒนาอาวุธใหม่ เช่น ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก หรือระบบโจมตีดาวเทียมเพื่อตอบโต้ สถานการณ์อาจบานปลายเป็นการแข่งขันทางอาวุธครั้งใหม่ คล้ายช่วงสงครามเย็นในยุคอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โรนัลด์ เรแกน

สำนักงานงบประมาณรัฐสภาสหรัฐฯ ประเมินว่า Golden Dome อาจใช้เงินภาษีถึง 831,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 30.3 ล้านล้านบาท) แต่กลับมีแนวโน้ม 'ใช้ไม่ได้ผลจริง' ขณะที่จีนพัฒนาแนวทางหลบเลี่ยงการตรวจจับอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายฝ่ายมองว่า ทางออกเดียวของสหรัฐฯ อาจเป็นการ 'ไม่เล่นเกมนี้ตั้งแต่ต้น'

สหรัฐฯ เตรียมยกเลิกวีซ่านักเรียนจีนจำนวนมาก มุ่งเป้า!!..ผู้ที่มีความเชื่อมโยงกับพรรคคอมมิวนิสต์

(29 พ.ค. 68) มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศว่าสหรัฐฯ จะเริ่ม 'ยกเลิกวีซ่าอย่างเข้มงวด' สำหรับนักเรียนจีนที่กำลังศึกษาอยู่ในประเทศ โดยมุ่งเป้าไปที่ผู้ที่มีความเชื่อมโยงกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือกำลังศึกษาในสาขาที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศ พร้อมทั้งจะเพิ่มมาตรการคัดกรองในการอนุมัติวีซ่าของนักเรียนจากจีนและฮ่องกงในอนาคต

การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดยเฉพาะหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่สอง และกล่าวหาจีนว่าเอาเปรียบทางการค้าต่อสหรัฐฯ ซึ่งนำไปสู่สงครามภาษีที่ทวีความรุนแรงขึ้น

นอกจากจีนจะเป็นประเทศต้นทางอันดับสองของนักเรียนต่างชาติในสหรัฐฯ แล้ว นักเรียนจีนยังมีจำนวนมากกว่า 270,000 คนในปีการศึกษา 2023-2024 คิดเป็นประมาณหนึ่งในสี่ของนักเรียนต่างชาติทั้งหมด การยกเลิกวีซ่าครั้งนี้จึงสร้างความไม่แน่นอนอย่างมากในแวดวงการศึกษา

นอกจากนี้ รัฐบาลทรัมป์ยังสั่งระงับการดำเนินการออกวีซ่านักเรียนชั่วคราว และเตรียมขยายมาตรการตรวจสอบโซเชียลมีเดียของผู้ยื่นขอวีซ่า รวมถึงมีความพยายามยกเลิกวีซ่าของนักเรียนที่มีบทบาททางการเมืองหรือแสดงออกสนับสนุนปาเลสไตน์ ซึ่งรัฐบาลกล่าวหาว่าเป็นการยุยงความเกลียดชัง แม้นักเคลื่อนไหวและนักกฎหมายจะออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ก็ตาม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top