Tuesday, 22 April 2025
สงครามยูเครน

สหรัฐฯ เบี้ยวหนี้ยูเอ็น 2.8 พันล้านดอลลาร์ อ้างเป็นผู้นำโลก แต่ทุ่มเงินหนุนสงครามยูเครน

(27 ม.ค. 68) เว็บไซต์ Global Times ของทางการจีนรายงานบทความวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลสหรัฐฯ โดยว่ารัฐบาลวอชิงตันดี.ซี กำลังแสดงตัวอย่างให้โลกเห็นถึงความละเลยต่อการรับผิดชอบต่อประชาคมโลย ด้วยการค้าชำระงบประมาณของสหประชาชาติ เป็นมูลค่าถึง 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่กลับนำเงินไปหนุนการทำสงครามยูเครนเป็นมูลค่ารวมแล้วกว่า 62 พันล้านดอลลาร์ แสดงให้เห็นถึงตัวอย่างเชิงลบของความเป็นผู้นำโลก

Global Times ระบุว่า เมื่อไม่นานมานี้ นายฟาร์ฮาน ฮัก รองโฆษกเลขาธิการสหประชาชาติ เปิดเผยว่าสหรัฐอเมริกาค้างชำระเงินจำนวน 2.8 พันล้านดอลลาร์แก่สหประชาชาติ โดยในจำนวนนี้ 1.5 พันล้านดอลลาร์เป็นส่วนที่ค้างชำระในงบประมาณปกติขององค์กร การที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นสมาชิกสำคัญของสหประชาชาติไม่ยอมชำระเงินตามกำหนด ถือเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อบทบาทผู้นำระดับโลก  

แม้สหรัฐฯ จะเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก แต่การละเลยการชำระเงินให้แก่สหประชาชาติติดต่อกันเป็นเวลานานเป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามได้ สำหรับประเทศมหาอำนาจที่สามารถใช้จ่ายงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนสงคราม ตัวเลข 2.8 พันล้านดอลลาร์ที่ติดค้างนี้ดูเหมือนจะเป็นจำนวนเงินเล็กน้อย ซึ่งสะท้อนท่าทีของสหรัฐฯ ที่เลือกสนับสนุนกฎระเบียบระหว่างประเทศเฉพาะกรณีที่เป็นประโยชน์ต่อผลประโยชน์ของตนเอง และหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบที่ควรมีในฐานะประเทศมหาอำนาจ  

นายลวี่ เซียง ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาสหรัฐฯ จากสถาบันสังคมศาสตร์แห่งชาติจีน กล่าวว่า “การค้างชำระเงินในงบประมาณปกติของสหประชาชาติจากสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อบทบาทของสหประชาชาติอย่างชัดเจน” เนื่องจากการดำเนินงานของสหประชาชาติต้องพึ่งพารายได้จากการชำระเงินของประเทศสมาชิก หากมีเงินทุนเพียงพอจะส่งผลต่อความสามารถในการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ เช่น การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ปฏิบัติการรักษาสันติภาพ และวาระระดับโลกอื่น ๆ การชำระเงินตามกำหนดจึงถือเป็นความรับผิดชอบพื้นฐานที่สุดของประเทศสมาชิกในกรอบการทำงานของสหประชาชาติ  

ปัญหาด้านการเงินของสหประชาชาตินับเป็นประเด็นที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสหรัฐฯ มักชำระเงินเฉพาะเมื่อเห็นว่าสหประชาชาติสนับสนุนผลประโยชน์ของตน เช่น กรณีเหตุการณ์ 11 กันยายน ที่สหรัฐฯ ได้ชำระเงินอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน เนื่องจากสหประชาชาติไม่ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ในมติที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตยูเครนและความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ การชำระเงินจึงถูกเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด  

สหรัฐฯ ใช้จุดแข็งด้านเศรษฐกิจและบทบาทในสหประชาชาติเป็นเครื่องมือกดดัน โดยการค้างชำระเงินถือเป็น "ไพ่ใบสำคัญ" ที่ใช้บีบให้สหประชาชาติสนับสนุนจุดยืนและผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ในประเด็นระหว่างประเทศ  

นอกจากนี้ การใช้จ่ายของสหรัฐฯ ยังสะท้อนความแตกต่างอย่างชัดเจน โดยในขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ ทุ่มเงินจำนวนมหาศาลอย่างรวดเร็วเพื่อสนับสนุนสงคราม กลับแสดงความประหยัดอย่างยิ่งเมื่อต้องสนับสนุนองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ในปลายปี 2024 กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ประกาศชุดความช่วยเหลือด้านความมั่นคงมูลค่า 988 ล้านดอลลาร์แก่ยูเครน ส่งผลให้ความช่วยเหลือทั้งหมดตั้งแต่เกิดวิกฤตยูเครน-รัสเซียมีมูลค่ารวมกว่า 62 พันล้านดอลลาร์ “หากสหรัฐฯ ยินดีจัดสรรเงินเพียงเล็กน้อยจากจำนวนเงินมหาศาลที่มักลงเอยในกระเป๋าของบริษัทค้าอาวุธให้แก่สหประชาชาติ จะถือเป็นการสร้างประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่าแก่โลก” นายลวี่ กล่าวเสริม  

พฤติกรรมการเลือกปฏิบัติของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงการขาดความรับผิดชอบในฐานะประเทศมหาอำนาจ และเปิดเผยการเมินเฉยต่อหน้าที่ที่ควรปฏิบัติ ซึ่งสวนทางกับคำกล่าวอ้างเรื่อง "บทบาทผู้นำโลก" ของสหรัฐฯ ความไม่สอดคล้องระหว่างคำพูดและการกระทำนี้ไม่เพียงแต่บั่นทอนความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงของสหรัฐฯ ในเวทีโลก แต่ยังสร้างความไม่ไว้วางใจในหมู่ประเทศกำลังพัฒนา และทำให้สถานะทางศีลธรรมของสหรัฐฯ ลดลงอย่างต่อเนื่อง

ท่ามกลางระเบียบโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบหลายขั้วและความร่วมมือระดับภูมิภาคที่เข้มแข็งขึ้น สหประชาชาติยังคงเป็นเวทีสำคัญสำหรับการบริหารจัดการระดับโลก หากสหรัฐฯ ยังคงเมินเฉยต่อบทบาทและความสำคัญของสหประชาชาติ ชื่อเสียงของตนในด้านการบริหารจัดการโลกจะลดลงอย่างต่อเนื่อง

ทรัมป์เดินเกม!! บีบยุโรปอัดงบซื้ออาวุธสหรัฐฯ กดดันอียูหนุนยูเครนสู้ศึกรัสเซีย

(11 ก.พ.68) รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาแผนกระตุ้นให้ชาติพันธมิตรยุโรปเพิ่มการสั่งซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนยูเครนในช่วงเวลาที่สงครามกับรัสเซียยังคงดำเนินอยู่ โดยแผนดังกล่าวอาจช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองให้ยูเครนก่อนการเจรจาสันติภาพที่อาจเกิดขึ้น

แหล่งข่าวเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า หากแผนนี้ได้รับการอนุมัติ อาจช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้นำยูเครนที่วิตกกังวลว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ อาจลดการสนับสนุนทางทหาร ขณะเดียวกัน กองทัพยูเครนยังคงเผชิญแรงกดดันจากการรุกคืบของกองกำลังรัสเซียทางภาคตะวันออก

ในอดีต หลายประเทศในยุโรปได้ซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ เพื่อช่วยเสริมศักยภาพของยูเครนภายใต้การบริหารของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะขอให้ชาติยุโรปจัดซื้ออาวุธผ่านสัญญาทางพาณิชย์ หรือใช้วิธีการซื้อโดยตรงจากคลังแสง ซึ่งในบางกรณีอาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะดำเนินการเสร็จสิ้น

คีธ เคลล็อกก์ อดีตพลโทเกษียณและทูตพิเศษประจำยูเครนและรัสเซียในรัฐบาลทรัมป์ มีกำหนดจะหารือกับตัวแทนพันธมิตรยุโรปเกี่ยวกับแนวทางดังกล่าวระหว่างการประชุมด้านความมั่นคงในนครมิวนิก สัปดาห์นี้

ในการให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ เคลล็อกก์ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นโดยตรงต่อแผนการดังกล่าว แต่กล่าวว่า "สหรัฐฯ สนับสนุนการขายอาวุธที่ผลิตในประเทศของตนเอง เพราะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ" พร้อมระบุว่า มีหลายทางเลือกที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา

นอกจากนี้ เคลล็อกก์ยังกล่าวว่า การส่งอาวุธที่เคยได้รับอนุมัติในสมัยไบเดน ยังคงดำเนินต่อไปตามแผนที่วางไว้ และย้ำว่า "ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรในช่วง 24 ชั่วโมงข้างหน้า"

ขณะเดียวกัน สถานทูตยูเครนในกรุงวอชิงตันยังไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้

‘ยุโรป’ เผชิญวิกฤติอาวุธ!! โรงงานผลิตกระสุน ขาดแคลนวัตถุดิบ ท่ามกลางแรงกดดัน!! จาก ‘สงครามยูเครน’ ซึ่งมีความตึงเครียด

(22 มี.ค. 68) อุตสาหกรรมการทหารของยุโรปกำลังประสบปัญหาร้ายแรง เนื่องจาก การขาดแคลนวัตถุดิบหลักในการผลิตกระสุนและวัตถุระเบิด ท่ามกลางแรงกดดันในการส่งอาวุธไปยังยูเครน

รายงานระบุว่า ในยุโรปมีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้นที่สามารถผลิตไนโตรเซลลูโลส ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของดินขับกระสุน ทำให้กำลังการผลิตอาวุธของทวีปนี้ติดขัด ขณะเดียวกัน โรงงานผลิต TNT ขนาดใหญ่ในยุโรปก็มีอยู่เพียงแห่งเดียว ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับความต้องการของอุตสาหกรรมยุทโธปกรณ์ในปัจจุบัน

นอกจากนี้ แหล่งผลิตวัตถุดิบหลักของไนโตรเซลลูโลสคือ ฝ้าย ซึ่งจีนเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก สิ่งนี้กลายเป็น ปัญหาทางยุทธศาสตร์ที่ยุโรปไม่อาจมองข้าม เนื่องจากความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสหภาพยุโรปและจีน

แม้ว่าบริษัทอาวุธยักษ์ใหญ่อย่าง Rheinmetall ของเยอรมนีจะประกาศเพิ่มกำลังการผลิตดินขับกระสุนขึ้น 50% ภายในปี 2028 แต่ Bloomberg ยืนยันว่า ตัวเลขนี้ยังไม่เพียงพอ ต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ยุโรปยังคง ผลักดันสงครามในยูเครนให้ยืดเยื้อ ด้วยการส่งอาวุธและกระสุนไปให้กองทัพยูเครน ทว่าในทางกลับกัน อุตสาหกรรมของยุโรปเองอาจเป็นฝ่ายล่มสลายก่อนที่สงครามจะยุติ

ยุโรปจะสามารถรักษาการสนับสนุนยูเครนได้นานแค่ไหนในภาวะที่กำลังผลิตของตัวเองกำลังถึงขีดจำกัด!!

‘เจ้าชายวิลเลียม’ ทรงสวมชุดทหารเต็มยศ เยี่ยมกองทัพอังกฤษในเอสโตเนีย เพื่อเน้นย้ำ!! การสนับสนุนของสหราชอาณาจักร ต่อปฏิบัติการของ NATO

(22 มี.ค. 68) เจ้าชายวิลเลียม มกุฎราชกุมารแห่งอังกฤษ และพระโอรสองค์โตของสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ เสด็จไปยังค่ายทหารในเมืองทาปา ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนรัสเซียประมาณ 200 กิโลเมตร (125 ไมล์) โดยทรงตรวจสอบยานเกราะรบของทหารราบและทรงขึ้นรถถัง ขณะสวมชุดลายพรางของกองทัพ

อังกฤษมีทหารประมาณ 900 นายประจำการในเอสโตเนียและโปแลนด์ ภายใต้ 'Operation Cabrit' ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมกำลังของ NATO บริเวณแนวรบด้านตะวันออก เพื่อตอบโต้การรุกรานยูเครนของรัสเซีย

การเสด็จเยือนเป็นเวลา 2 วันของเจ้าชายวิลเลียมมีขึ้นในขณะที่อังกฤษและพันธมิตรยุโรปกำลังเพิ่มงบประมาณกลาโหม เพื่อตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ต้องการให้ชาติ NATO อื่น ๆ มีส่วนร่วมมากขึ้นในการรักษาความมั่นคงของยุโรป

เจ้าชายทรงยืนอยู่หน้าลวดหนามและควันสีเหลืองขณะทอดพระเนตรการฝึกซ้อมรบในสนามเพลาะ และทรงร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีส่งมอบกำลังพลจาก Royal Dragoon Guards ที่เพิ่งสิ้นสุดภารกิจ ให้แก่ Mercian Regiment ซึ่งจะเข้าประจำการเป็นเวลาหกเดือน โดยเจ้าชายวิลเลียมทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกิตติมศักดิ์ของกองพันดังกล่าว

"ตั้งแต่การฝึกภาคสนามไปจนถึงการใช้อาวุธ ระบบปฏิบัติการภาคสนามนี้มีความสำคัญมาก!! น่าทึ่งที่ได้เห็นความทุ่มเท และความสามารถของทหารของเราในการปฏิบัติงาน" สำนักงานของพระองค์ที่พระราชวังเคนซิงตันโพสต์ข้อความลงใน X (Twitter เดิม)

การเสด็จเยือนครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกของเจ้าชายในรัฐบอลติก ก่อนหน้านี้เมื่อสองปีที่แล้ว พระองค์เคยเสด็จไปยังโปแลนด์เพื่อเยี่ยมทหารอังกฤษที่ให้การสนับสนุนยูเครน

นอกจากนี้ เจ้าชายยังทรงพบปะกับทหารเพื่อรับฟังประสบการณ์ของพวกเขาระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ และหารือเกี่ยวกับสวัสดิการด้านสุขภาพจิตกับเจ้าหน้าที่สนับสนุนทางสังคมของกองทัพ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top