Saturday, 7 June 2025
ศาลรัฐธรรมนูญ

'ศาลรัฐธรรมนูญ' ลงมติ 5 ต่อ 4 'นายกฯ เศรษฐา' มีความผิด กรณีแต่งตั้ง ‘นายพิชิต’ เป็นรัฐมนตรี ส่งผลให้ ครม.พ้นทั้งคณะ

(14 ส.ค.67) ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยในคดีที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวน 40 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5 ) หรือไม่

จากกรณี นายเศรษฐา ได้นำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่รู้ หรือ ควรรู้อยู่แล้วว่า นายพิชิต ขาดคุณสมบัติ หรือ มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ 

เนื่องจากเคยถูกศาลฎีกามีคำสั่งจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล เป็นบุคคลที่กระทำการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริต และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืน หรือ ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา สิ้นสุดลงได้  

ส่งผลให้ นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30  

ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2567 ศาลรัฐธรรมนูญ ‘รับคำร้อง’ ไว้วินิจฉัย ด้วยมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 โดยตุลาการเสียงข้างมาก 6 เสียง ประกอบด้วย 1.นายปัญญา อุดชาชน 2.นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม 3.นายวิรุฬห์ แสงเทียน 4.นายจิรนิติ หะวานนท์ 5.นายนภดล เทพพิทักษ์  และ 6.นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ 

ส่วนตุลาการฯ เสียงข้างน้อย 3 เสียง ประกอบด้วย 1.นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ 2.นายอุดม รัฐอมฤต และ 3.นายสุเมธ รอยกุลเจริญ 

ขณะเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ไม่สั่งให้ นายเศรษฐา หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ  

โดยตุลาการฯ เสียงข้างมาก 5 เสียง ประกอบด้วย 1.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ 2.นายนภดล เทพพิทักษ์ 3.นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ 4.นายอุดม รัฐอมฤต และ 5.สุเมธ  รอยกุลเจริญ

ส่วนตุลาการฯ เสียงข้างน้อย 4 เสียง ประกอบด้วย 1.นายปัญญา อุดชาชน 2.นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม 3.นายวิรุฬห์ แสงเทียน 4.นายจิรนิติ หะวานนท์

‘เศรษฐา’ น้อมรับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ สั่งพ้นเก้าอี้นายกฯ รับ!! เสียใจที่ถูกตัดสินว่าไม่มีจริยธรรม ยัน!! ตนไม่ใช่คนแบบนั้น

(14 ส.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดใจแถลงหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้พ้นสภาพจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยมติ 5 ต่อ 4 โดยระบุว่า…

ขอบคุณตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ให้โอกาสทุกฝ่ายชี้แจง ตนเคารพในคำวินิจฉัย โดยตลอดเวลาเกือบ 1 ปี พยายามทำทุกอย่างให้ทุกอย่าง ทำงานอย่างซื่อสัตย์สุจริต และยืนยันไม่ได้ทำตัวขัดแย้ง

ต่อข้อคำถาม ‘คาดคิดไว้หรือไม่?’ นายเศรษฐา กล่าวว่า ผลออกได้ทั้งซ้ายและขวา โดยไม่ได้คาดเดาผลที่จะออกมา ตนเสียใจเพราะจะถูกว่าเป็นนายกฯ ไม่มีจริยธรรม ซึ่งตนไม่ใช่คนแบบนั้น ซึ่งบ้านเมืองมีคนเก่งอีกหลายท่าน โดยนายภูมิธรรมกำลังเดินทางกลับมาอยู่ หากไม่ทันยังมีนายสุริยะ

“ยืนยันผมไม่ใช่คนแบบนั้น ไม่เชื่อมีใครวางยา โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคงตัดสินตามข้อมูล ไม่เกี่ยวว่าเข็ดกับการเมือง”

สุดท้ายต่อข้อคำถาม ‘ได้บทเรียนราคาแพง?’ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่อยากมองในแง่ลบ อย่าไปกล่าวล่วงว่าใครวางยาดีกว่า ขอให้ดำเนินต่อไปในการสรรหานายกฯ คนต่อไป

เปิดรายชื่อ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 5 ต่อ 4 วินิจฉัย 'เศรษฐา' พ้นนายกฯ

(14 ส.ค. 67) จากกรณีศาลรัฐธรรมนูญ มีมติโดยเสียงข้างมาก (5 ต่อ 4) วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน ผู้ถูกร้องที่ 1 นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5)เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) แล้ว รัฐมนตรีต้องพ้นตำแหน่งทั้งคณะ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 167 วรรคหนึ่ง (1) โดยให้นำมาตรา 168 วรรคหนึ่ง (1) มาใช้บังคับกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต่อไป ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น

สำหรับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก จำนวน 5 คน เห็นว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา นายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบ มาตรา 160 (4) และ (5) ประกอบด้วย...

1.นายปัญญา อุดชาชน
2.นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม
3.นายวิรุฬห์ แสงเทียน
4.นายจิรนิติ หะวานนท์
5.นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์

ส่วนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 4 คน เห็นว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องที่ 1 นายกรัฐมนตรี ไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรม นูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) ประกอบด้วย...

1.นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์
2.นายนภดล เทพพิทักษ์
3.นายอุดม รัฐอมฤต
4.นายสุเมธ รอยกุลเจริญ

‘ชาวอินโดฯ’ ประท้วง!! หลังรัฐบาลพลิกคำตัดสินศาล รธน. ส่อเจตนาเอื้อประโยชน์ต่อพรรครัฐบาลผสมของ ‘โจโกวี’

เมื่อวานนี้ (21 ส.ค.67) ชาวอินโดนีเซียจำนวนมากออกมารวมตัวกันประท้วงรัฐบาลที่พยายามพลิกคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีคำวินิจฉัยเปิดโอกาสให้คู่แข่งจากพรรคการเมืองเล็ก ๆ เข้ามาร่วมลงสมัครรับเลือกตั้งด้วยได้

เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากเมื่อวันที่ 21 ส.ค. ศาลรัฐธรรมนูญของอินโดนีเซียวินิจฉัยว่า พรรคการเมืองไม่จำเป็นต้องมีผู้แทนอย่างน้อย 20% ในสภานิติบัญญัติระดับภูมิภาคของตนจึงจะส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งในสนามที่ใหญ่ขึ้นได้

คำวินิจฉัยดังกล่าวหมายความว่า พรรคเล็กที่มีฐานเสียงไม่มากจะมีโอกาสในการแข่งขันทางการเมืองกับพรรคใหญ่ที่มีอิทธิพลได้

อย่างไรก็ตาม ไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังคำวินิจฉัยดังกล่าว รัฐสภากลับยื่นร่างกฎหมายผ่านญัตติฉุกเฉินเพื่อพลิกคำตัดสินดังกล่าว ซึ่งทำให้เกิดการประณามอย่างกว้างขวาง เพราะเกรงว่าจะเป็นวิกฤตการณ์ทางรัฐธรรมนูญ

ผู้ประท้วงรวมตัวกันนอกรัฐสภาในกรุงจาการ์ตา รวมถึงเมืองใหญ่ ๆ อื่น ๆ เช่น ปาดัง บันดุง และยอกยาการ์ตา คาดว่ากฎหมายฉบับเร่งด่วนที่จะพลิกคำตัดสินบางส่วนของศาลจะผ่านสภาในช่วงบ่ายของวันที่ 22 ส.ค.

กฎหมายดังกล่าวจะเอื้อประโยชน์ต่อพรรคการเมืองในรัฐบาลผสมของประธานาธิบดี โจโก วิโดโด หรือ ‘โจโกวี’ ที่กำลังจะลงจากตำแหน่ง รวมถึง ปราโบโว สุเบียนโต ว่าที่ประธานาธิบดีที่กำลังจะขึ้นตำแหน่งในเดือน ต.ค. นี้

ถ้าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถูกพลิก จะทำให้ อานีส บาสวีดัน อดีตผู้ว่าการกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย และเป็นผู้ที่มักวิจารณ์รัฐบาล จะไม่สามารถลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าการกรุงจาการ์ตาได้

รัฐบาลอินโดนีเซียยังพยายามหาทางยกเลิกการตัดสินใจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะคงอายุขั้นต่ำผู้สมัครรับเลือกตั้งไว้ที่ 30 ปี เพราะจะทำให้ กาเอซาง ปังงาเรพ ลูกชายวัย 29 ปีของวิโดโดลงเลือกตั้งระดับภูมิภาคในชวาตอนกลางไม่ได้

ผู้สังเกตการณ์กล่าวว่า การงัดอำนาจกันระหว่างศาลรัฐธรรมนูญของประเทศ กับรัฐสภาอินโดนีเซีย ซึ่งเต็มไปด้วยอิทธิพลของผู้สนับสนุนวิโดโด อาจก่อให้เกิดวิกฤตทางการเมือง

อย่างไรก็ตาม วิโดโดได้พยายามลดความสำคัญของข้อพิพาทนี้ลง โดยกล่าวว่า การแก้ไขคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่รัฐบาล ‘การตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ’

ผู้ประท้วงคนหนึ่งที่ชื่อ โจโก อันวาร์ กล่าวว่า ผู้นำของประเทศดูเหมือนจะตั้งใจที่จะรักษาอำนาจของตนเองเอาไว้ ‘ในที่สุด เราจะกลายเป็นเพียงกลุ่มวัตถุที่ไร้อำนาจ แม้ว่าเราจะเป็นผู้มอบอำนาจให้กับพวกเขาก็ตาม ... เราต้องออกมาเดินขบวนบนท้องถนน เราไม่มีทางเลือกอื่น’

ตีตี อังไกรนี นักวิเคราะห์การเลือกตั้งจากมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย กล่าวว่า การที่รัฐสภาตัดสินใจเพิกถอนคำตัดสินของศาลถือเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ ‘นี่คือการขโมยรัฐธรรมนูญ’

'มติ สว.' ตีตกญัตติสอบจริยธรรมตุลาการของ 'สว.พันธุ์ใหม่' ชี้!! ไม่เร่งด่วน หากเทียบกับการเสนอญัตติเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม

วันนี้ (2 ก.ย. 67) ได้มีการประชุมวุฒิสภา โดยมี พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม โดยก่อนที่จะเข้าสู่ระเบียบวาระ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว.เสนอญัตติด่วนเพื่อตรวจสอบจริยธรรมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่า ตุลาการฯ ที่วินิจฉัยคึดียุบพรรคก้าวไกล มีการวิจารณ์ที่ไม่เหมาะสมและส่อขัดต่อประมวลจริยธรรมที่ใช้บังคับ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการเสนอญัตติดังกล่าว พบว่า มี สว.ที่เห็นต่างและประท้วง เนื่องจากมองว่าไม่ใช่เรื่องด่วนหากเทียบกับการเสนอญัตติเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม อีกทั้งยังมองว่า ไม่มีความจำเป็น เพราะการตั้งญัตติดังกล่าวเป็นการกระทบกับบุคคลภายนอกรัฐสภา นอกจากนั้นแล้ว ขอให้วุฒิสภาพิจารณาร่างแก้ไขข้อบังคับวุฒิสภาให้เสร็จเพื่อตั้งกรรมาธิการ จากนั้นจึงควรเสนอเรื่องดังกล่าวให้ กมธ.พิจารณา

อย่างไรก็ดี สว.ในกลุ่มที่สนับสนุนญัตติด่วนของ น.ส.นันทนา ลุกโต้แย้งและมองว่าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่าสภาผู้แทนราษฎรได้วินิจฉัยในญัตติที่มีเนื้อหาทำนองเดียวกันและถือเป็นญัตติด่วน ดังนั้นวุฒิสภาจึงสามารถพิจารณาเรื่องดังกล่าวได้

ทั้งนี้ พล.อ.เกรียงไกร ได้วินิจฉัยให้ น.ส.นันทนา เสนอญัตติด่วนได้ แต่ต้องใช้มติของวุฒิสภาตัดสินว่าจะพิจารณาญัตติด่วนดังกล่าวหรือไม่ โดยผลการลงคะแนนพบว่าเสียงข้างมาก 118 เสียง ไม่เห็นด้วยกับญัตติดังกล่าว ต่อ 37 เสียง และงดออกเสียง 12 เสียง

'ไอซ์ รักชนก' ถล่มศาลรธน. ของบ 1 ล้าน สำรวจความเห็นประชาชน แต่ปิดคอมเมนต์ในเพจเฟซบุ๊กศาล ประชาชนเข้าไปวิจารณ์ไม่ได้

เมื่อวานนี้ (5 ก.ย. 67) ‘นางสาวรักชนก ศรีนอก’ สส.กทม.พรรคประชาชน อภิปรายมาตรา 31 ศาล ถึง โครงการสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการอำนวยความยุติธรรมของศาลรัฐธรรมนูญ ปี 68 จำนวน 1 ล้านบาท ซึ่งปรากฏว่าเมื่อมีการสอบถามในชั้นกรรมาธิการงบประมาณฯ ได้รับคำตอบว่าอาจจะทำเป็นรูปแบบการสอบถามออนไลน์ แต่เมื่อดูในแฟนเพจเฟซบุ๊กของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญกลับไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้

“ท่านปิดคอมเมนต์เฟซบุ๊ก แต่ท่านมาของบประมาณ 1 ล้านบาท เพื่อไปสำรวจความคิดเห็นผ่านช่องทางออนไลน์ นี่เป็นการเขียนคำของบประมาณที่ย้อนแย้งของท่านหรือไม่ ขอ 1 ล้านบาท อยากจะฟังความคิดเห็น แต่ปิดเมนต์ฉ่ำ ไม่สามารถมีประชาชนคนไหน ที่เข้าไปคอมเมนต์ของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้”

นางสาวรักชนกมองว่า ช่องทางออนไลน์เป็นช่องทางที่สามารถรับฟังความเห็นได้อย่างไม่จำกัด มีประชาชนเข้ามา เพื่อให้สามารถสำรวจความเห็นได้ทั้งวันทั้งคืน โดยไม่เสียเงินสักบาท ไม่แน่ใจว่าท่านปอดแหกหรือไม่ ที่ไม่กล้าเปิดคอมเมนต์ในเฟซบุ๊ก และสุดท้ายจะเป็นการกรองเอาความเห็นที่มีประโยชน์ หรือตรงไปตรงมาหรือไม่

โดยยกตัวอย่างการใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียของตัวเองในการสอบถามเรื่องนี้ เสมือนเป็นการนำร่องโครงการให้ ซึ่งมีความเห็นมากมายหลากหลาย อาทิ ”ฝากบอกว่าประชาชนกินข้าวไม่ได้กินหญ้า …รับใช้เผด็จการ“, “ศาลตัดสินโดยใช้หลักการอย่างนี้อย่างเลย ถ่วงความเจริญของประชาชน”, ” ไม่มีความเชื่อมั่นในความยุติธรรมของศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากขอบเขตอำนาจของตัวเอง เกินกว่าที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยไม่มีใครสามารถเอาผิดได้“, ”เป็นองค์กรที่มีอำนาจมากเกินไป จนอาจใช้เป็นเครื่องมือทางการได้“

นางสาวรักชนก ชี้ว่า ความคิดเห็นทั้งหมดนี้ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณซักบาทเดียว เพียงแค่เปิดคอมเมนต์เฟซบุ๊ก ให้ประชาชนเข้ามาชื่นชมการทำงานของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แม้ว่าคอมเมนต์ที่ตนเองได้ยกตัวอย่างไปนั้น คนในสำนักงานฯ อาจจะบอกว่า เป็นประชาชนที่ไม่ได้รู้กฎหมาย พร้อมยกตัวอย่างคลิปวิดีโอ ‘บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญไทย ผ่านสายตา 6 อาจารย์นิติศาสตร์‘

นางสาวรักชนก ทิ้งท้ายว่า การนำร่องโครงการในครั้งนี้ ทำให้เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องของบประมาณในส่วนนี้ จึงขอตัดงบประมาณทิ้งทั้งหมด ด้วยความเคารพ คนในสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ตนเข้าใจในหัวอกดีว่า การทำงานในหน่วยงานนี้ อาจจะได้รับคอมเมนต์ และคำชม ที่อาจทำให้ไม่สบายใจ แต่เป็นด้วยผลของการกระทำของคนในองค์กรท่าน

ผู้บริหารวอร์นเนอร์มิวสิคฯ เข้าขอโทษศาลรัฐธรรมนูญ ปมโพสต์ภาพแอปเปิลเน่าด้อยค่า ‘ตุลาการศาล รธน.’

ศาลรัฐธรรมนูญ แจงผู้บริหารบริษัทวอร์นเนอร์มิวสิคฯ เข้าขออภัยต่อคณะตุลาการแล้ว กรณีเผยแพร่รูปภาพตัดต่อและถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม กระทบต่อตุลาการศาล รธน.จะนำเหตุการณ์เป็นบทเรียนและเครื่องเตือนใจไม่ให้เกิดขึ้นอีก

(10 ต.ค.67) สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ออกเอกสารข่าวเผยแพร่ ระบุว่า ผู้แทนบริษัท วอร์นเนอร์ มิวสิค (ประเทศไทย) จำกัด ได้เข้าพบเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อแสดงความเสียใจและขออภัยต่อคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรณีเผยแพร่ภาพและข้อความที่ไม่เหมาะสม ซึ่งตามที่ปรากฏข่าวเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2567 เพจเฟซบุ๊ก Warner Music Thailand ซึ่งเป็นบัญชีโซเชียลทางการของบริษัทดังกล่าวได้โพสต์รูปของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ดัดแปลงตัดต่อโดยใช้ผลแอปเปิลเน่าสีเขียวแทนใบหน้าคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และมีถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมประกอบภาพ ต่อมาในวันที่ 11 สิงหาคม เพจ ดังกล่าวได้ออกแถลงการณ์ขอโทษต่อการนำเสนอเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมรวมทั้งได้ลบภาพกับข้อความข้างต้นออก

ซึ่งบริษัทได้ทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีที่เกิดขึ้น และแสดงความเสียใจ และขออภัยในวันที่ 4 ตุลาคม 2567 เวลา 10.00 น. โดยมี นายคาล นิทัศน์ คงขำ กรรมการ ผู้มีอำนาจของบริษัทดังกล่าวพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าพบนายสุทธิรักษ์ ทรงวิไล เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญและผู้บริหารของสำนักงาน เพื่อแสดงความเสียใจและขออภัยต่อคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยทางบริษัทระบุว่าจะนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นบทเรียนและเครื่องเตือนใจเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้อีก

'แพทองธาร' พบ 'บลิงเคน' ถก ความร่วมมือในภูมิภาค เน้นความมั่นคง – การทหาร - การค้าการลงทุน

'แพทองธาร' หารือ 'แอนโทนี บลิงเคน' รมว.ต่างประเทศ สหรัฐ พร้อมร่วมมือด้านความมั่นคง การทหาร ส่งเสริมการค้าการลงทุน เทคโนโลยีเพื่อลดความเสี่ยงภัยพิบัติ ถก ความร่วมมือระดับภูมิภาค ยุติขัดแย้ง

(11 ต.ค.67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 เวลา 17.30 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  เข้าหารือกับนายแอนโทนี เจ. บลิงเคน (H.E. Antony J. Blinken) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 44 และ 45 โดยนายกรัฐมนตรียืนยันเจตนาของรัฐบาลไทย ที่จะทำงานร่วมกับสหรัฐ ส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของทั้งสองประเทศที่เป็นปัญหาเร่งด่วนของประชาชน เช่น เรื่องยาเสพติด การหลอกลวงทางออนไลน์ และปัญหาภัยพิบัติต่าง ๆ 

ส่วนความร่วมมือ ทางด้านความมั่นคง ประเทศไทยมุ่งมั่นดำเนินการต่อไป ในความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศโดยเฉพาะการฝึกร่วม เช่น คอบร้าโกลด์ และการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันทางการทหาร และการศึกษา รวมถึงการรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ โดยไทยมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหายาเสพติด และพร้อมที่จะเพิ่มความร่วมมือกับสหรัฐในการเพิ่มเทคโนโลยีและอุปกรณ์ ใหม่ ๆ เพื่อต่อสู้กับองค์กรค้ายาเสพติด และอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงการหลอกลวงทางออนไลน์

“สำหรับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ประเทศไทยและสหรัฐ จะร่วมกันส่งเสริมการค้า และการลงทุนให้มากขึ้นรวมทั้งความร่วมมือด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติรูปแบบต่างๆ โดยประเทศไทยจะทำงานร่วมกับสหรัฐในการเพิ่มเทคโนโลยี และความเชี่ยวชาญใหม่ ๆ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงและความเสียหายจากภัยพิบัติ”

นายจิรายุ กล่าวว่า ทั้งสองประเทศได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือในระดับภูมิภาค กับสหรัฐ ในหลายมิติ โดยประเทศไทยพร้อมเป็นสะพานเชื่อม (bridge builder) เพื่อส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองในระดับภูมิภาค และระดับโลก และพร้อมให้การสนับสนุนบทบาทเชิงสร้างสรรค์ของสหรัฐ ในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อสันติภาพ และยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ ในขณะนี้ 

ทั้งนี้ สหรัฐยังเห็นถึงความสำคัญของบทบาทอาเซียน ในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสหรัฐอเมริการวมทั้งความสัมพันธ์ในระดับประชาชนต่อประชาชนระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาด้วย 

โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกายังได้แสดงความยินดีกับนายกรัฐมนตรีในโอกาสดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของไทย รวมทั้งได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในขณะนี้ด้วย

ถอดรหัสล้มล้างฯ ภาคสอง ‘ทักษิณ-เพื่อไทย’ สยองขวัญ..!? เก้าอี้สั่น ‘ทนายธีรยุทธ’ ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ใช้โมเดลเดียวกับกรณี ยุบก้าวไกล

(12 ต.ค. 67) กรณีที่ 1 ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้นักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ ชินวัตร เหลือโทษจำคุกต่อไปอีก 1 ปี โดยพบว่าผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้พรรคผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นเครื่องมือควบคุม การบริหารราชการแผ่นดินสั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่1 ระหว่างต้องโทษจำคุกได้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อไม่ต้องรับโทษอยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียว เป็นการฝ่าฝืนไม่น้อมรับโทษจำคุกในเรือนจำตามพระบรมราชโองการ การกระทำของผู้ถูกร้องที่1 เป็นการกระทำที่ไม่บังควรอย่างยิ่งทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ส่งผลให้เกิดการเซาะกร่อน บ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ในที่สุด

กรณีที่ 4 ผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการแทน ผู้ถูกร้องที่ 2 ในการเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือการเสนอบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ที่บ้านพักส่วนตัวของผู้ถูกร้องที่ 1 (บ้านจันทร์ส่องหล้า)

จำเป็นต้องคัดลอกมาให้อ่านเต็ม ๆ สำหรับ 2 กรณีจากเอกสารสรุปสาระสำคัญ 6 กรณี ที่ทนายธีรยุทธ สุวรรณเกสร ผู้หาญกล้ายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้ศาลวินิจฉัยสั่งให้ผู้ถูกร้องที่1 ทักษิณ ชินวัตร และผู้ถูกร้องที่ 2 พรรคเพื่อไทย “เลิกการกระทำใช้สิทธิเสรีภาพอันอาจจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49”

วิเคราะห์กระชับสั่น ๆ ได้ว่า ทนายธีรยุทธดำเนินการโมเดลเดียวกับกรณีพรรคก้าวไกล คือ หลังจากยื่นอัยการสูงสุดครบ 15 วันเรื่องเงียบก็เดินเกมสองสเต็ปท์ สเต็ปท์แรก- ยื่นคำร้องให้ศาลรธน.วินิจฉัยสั่งให้ผู้ถูกร้องเลิกการกระทำ สเต็ปท์สอง – ต่อยอดคำวินิจฉัยนำไปร้องกกต.ให้ยุบพรรคหรือดำเนินคดีอาญา..

กรณี 'ทักษิณ-เพื่อไทย' จะถูกเช็กบิลเหมือนกรณี ‘พิธา-ก้าวไกล’หรือไม่..ด่านแรก คือต้องรอการพิจารณาของศาลรธน.ว่าจะรับไว้พิจารณาหรือไม่..คาดว่าแถวๆพุธที่ 30ต.ค.อาจจะพอทราบ ถ้าศาลไม่รับก็จบข่าว...ถ้าศาลรับก็ต้องรอดูว่าจะเป็น “จุดเริ่มนำไปสู่จุดจบ” ของทักษิณ-เพื่อไทยหรือไม่..ซึ่งต้องใช้เวลาเป็นปี

เมื่อทบทวนอดีต..กรณีคดีล้มล้างฯภาคพิธา-ก้าวไกล  สเต็ปท์แรก ทนายธีรยุทธยื่นเรื่อง 16 มิ.ย.2566 ศาลตัดสิน  31 ม.ค.2567 ใช้เวลา 228 วัน สเต็ปท์สอง(ยุบพรรค) กกต.ยื่นศาลรธน. 18 มี.ค.2567 ศาลตัดสิน 7 ส.ค.2567 รวม 201 วัน

ก็ต้องลุ้นกันว่ากรณีล่าสุดนี้ ศาลรธน.จะรับไว้พิจารณาหรือไม่...คุณธีรยุทธอธิบายว่าทั้ง 6 กรณีที่ร้องเป็น ‘จิ๊กซอว์’ ซึ่งกันและกัน ในมุมมองของ 'เล็ก เลียบด่วน' เห็นว่ากรณีที่1 และกรณีที่ 4 ดังที่ยกมาตอนต้นเป็นกรณีที่น่าขีดเส้นใต้มากที่สุด  ทั้งในแง่อาจทำให้ศาลรับไว้พิจารณาและชี้เป็นชี้ตายผู้ถูกร้อง (หากศาลรับไว้พิจารณา)..

ประเมินความเห็นของผู้สันทัดกรณีหลายฝ่าย ณ จุดเริ่ม เห็นว่า ‘น้ำหนัก’ ของเรื่องอาจจะเบากว่ากรณีพรรคก้าวไกล แต่โอกาสที่ศาลรธน.จะรับไว้พิจารณาก็พอมีแต่เฉียดฉิวระดับ51/49เปอร์เซ็นต์..ถ้าเป็นมติก็5ต่อ4 ประมาณนั้น..

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม...รายการนี้หากได้อ่านไส้ในคำร้อง 65 หน้า น่าจะทำให้พรรคเพื่อไทยและนายใหญ่อยู่ในอาการ (ปากกล้า) ขาสั่นใจสั่นอย่างแน่นอน!!

นับถอยหลัง ชี้!! ชะตา ‘ทักษิณ-พท.-นายกอิ๊งค์’ กับ ‘คดีล้มล้างฯ ภาคสอง’ คาด!! ศาลรธน. มีมติพ.ย.นี้ หากฝ่าวิกฤตไม่พ้น ปีหน้า อาจได้เห็น ยุบสภา

(23 ต.ค. 67) ใกล้เข้าไปอีกนิด  ชิดเข้าไปอีกหน่อย  คาดว่าไม่เกินเดือนพ.ย.2567 คงจะได้เห็นทิศทางที่แจ่มชัดสำหรับคดีเรียกกันสั่นๆว่า ‘คดีล้มล้างฯภาคสอง’

วันที่ 22 ต.ค.ที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งบางประการกรณี นายธีรยุทธ  สุวรรณเกษร  ยื่นร้องขอให้ศาลรธน.วินิจฉัยตามรธน.มาตรา 49 สั่งการให้ทักษิณ  ชินวัตร  (ผู้ถูกร้องที่1)และพรรคเพื่อไทย(ผู้ถูกร้องที่2) เลิกกระทำการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  ซึ่งผู้ร้องกล่าวหากล่าวอ้างไว้ 6 ประเด็น  

ยกตัวอย่าง2 ประเด็น(ตามสำนวนการสรุปในเอกสารแถลงข่าวของศาลรธน.

ประเด็นที่1 -ผู้ถูกร้องที่1 สั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และรพ.ตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่ 1 ให้พักอาศัยอยู่ห้องพักชั้น 14 รพ.ตำรวจในระหว่างรับโทษจำคุก เพื่อไม่ให้ต้องรับโทษในเรือนจำ  ทั้งที่ไม่พบว่ามีอาการป่วยขั้นวิกฤติ

ประเด็นที่ 4 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการแทนผู้ถูกร้องที่2 โดยเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลเศรษฐา  ทวีสิน อดีตนายกฯเพื่อหารือการเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรเป็นนายกฯคนใหม่ ที่บ้านพักส่วนตัวของผู้ถูกร้องที่ 1

ดังที่ทราบกันดีว่าคดีนี้นายธีรยุทธใช้โมเดลเดียวกับคดีล้มล้างฯภาคแรก กรณี ‘พิธา-ก้าวไกล จนเกิดการยุบพรรค  คือการใช้สิทธิตามรธน.มาตรา 49ยื่นต่ออัยการสูงสุดมาก่อน  แต่ครบ15วันอัยการสูงสุดไม่มีคำตอบ  จึงใช้สิทธิยื่นต่อต่อศาลรธน...

ศาลรธน.วันที่ 22 ต.ค.ประชุมมีมติให้ส่งหนังสือไปยังอัยการสูงสุดเพื่อขอทราบว่าได้ดำเนินการตามคำร้องของผู้ร้องไปแล้วบ้างอย่างไร  และรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงใด  โดยให้จัดส่งต่อศาลรธน.ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ

นับนิ้วถอยหลัง  15 วันบวกระยะเวลาที่ศาลต้องมีเวลาพิจารณาข้อมูลต่างๆ...คาดว่าพุธที่ 27 พ.ย.บวกลบ7วัน  น่าจะเป็นหมุดหมายที่ศาลจะได้..ประชุมตัดสินว่าจะรับคดีล้มล้างฯภาค2  หรือไม่...ซึ่ง”เล็ก  เลียบด่วน” ได้เคยวิเคราะห์ไปบ้างแล้วว่า..โอกาสที่ศาลรธน.จะรับไว้พิจารณาหรือไม่นั้นก้ำกึ่ง  แต่เอียงๆไปในทาง ‘น่าจะรับ’...

บรรดากูรู  นักวิชาการ นักสังเกตการณ์ให้ความเห็นตรงกันว่าในบรรดา กระสุน6เม็ด..กรณีปมลับชั้น 14  ที่โยงใยไปถึงพระบรมราชโองการพระราชทานอภัยลดโทษให้1ปี  แต่อดีตนายกฯทักษิณสร้างปริศนาให้ตัวเองว่า..ติดคุกจริงหรือไม่!? คือประเด็นที่แหลมคมที่สุด.. 

ศาลรธน.รับไว้พิจารณาวันไหน..อดีตเทวดาชั้น 14 ก็คงร้อนๆหนาวๆ 

ไม่เพียงกรณีคำร้องของนายธีรยุทธ...อีกด้านหนึ่งนายกฯแพทองธาร  ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย  ก็ถูกคำร้องร้องเรียนต่อกกต.,ปปช.อีกยุบยับ...นับนิ้วทุกกรณีแล้วมีมากถึง 21 คำร้อง  ทั้งเรื่องคุณสมบัตินายกฯ,การครอบงำพรรคและฯลฯ  ซึ่งไม่กี่วันก่อนเลขาธิการกกต.ออกมายอมรับแล้วว่า..คำร้องยุบพรรคเพื่อไทยบางคำร้องมีมูล...

ในส่วนของกกต.ก็ต้องใช้เวลาสอบสวนรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริง 1-2 เดือน...
ใครที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงตามคำร้อง..หากกรณีคำร้องคดีล้มล้างฯศาลไม่รับไว้พิจารณา..ก็มีลุ้นคดียุบพรรคจากกกต.ที่อาจจะได้เห็นการยื่นคำร้องต่อศาลรธน.ต้นปีหน้า..

ในขณะเดียวกันหากศาลรธน.รับไว้พิจารณาทั้งกรณีคดีล้มล้างฯและคำร้องของกกต. กว่าจะมีคำตัดสินวินิจฉัยก็ต้องใช้เวลาอีกปีเศษเป็นอย่างน้อย.. 

ดังนั้นถ้ารัฐบาลอุ๊งอิ๊งไม่ไปเดินเหยียบเปลือกกล้วยล้มหัวคะมำเป็นอัมพฤกษ์อำมพาตไปเสียก่อน  ก็มีช่วงเวลาให้บริหารประเทศไปอีกนานพอประมาณ

แม้จะมีกระแสข่าวลือลอยมาปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาวว่า...ถ้าต้นปีกลางปีหน้า 2568 ถ้าจนมุมจริงๆ นายกฯอิ๊งค์อาจจะทิ้งไพ่ใบใหญ่..ยุบสภา ล้างไพ่ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย.. 

ซึ่ง ‘เล็ก  เลียบด่วน’ พินิจแล้วเห็นว่าถ้าจะเกิดก็ไม่น่าจะเร็วขนาดนั้น...


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top