Tuesday, 22 April 2025
รถยนต์ไฟฟ้า

เปิดตัว ‘MG IM6’ เสริมทัพ!! พรีเมียมอีวี ชาร์จเร็วที่สุดในประเทศไทย ในเวลานี้

(22 มี.ค. 68) บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย เผยทิศทางและแผนการดำเนินธุรกิจในไทยตั้งเป้าปีนี้ ครองส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 5% และมุ่งก้าวสู่ ท็อป 5 ในตลาดยานยนต์ไทย ภายในทศวรรษที่ 2 ผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก เตรียมส่งรถยนต์ไฟฟ้า และ ไฮบริด รุ่นใหม่ เพิ่มเติมพอร์ตโฟลิโอภายในปี 2026 เพื่อขับเคลื่อนแบรนด์สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน เติมเต็มพรีเมียมอีวี NEW MG IM6 เข้าเสริมทัพ ชูจุดเด่น The First-ever Premium Intelligent e-SUV ที่มาพร้อมกับความสามารถในการชาร์จเร็วที่สุดในประเทศไทย ณ เวลานี้ ฟังก์ชันครบถ้วน พร้อมแรงม้าสูงถึง 778 แรงม้า สะท้อนภาพยนตรกรรมที่ล้ำสมัย มอบความตื่นเต้นให้ลูกค้า พร้อมส่งมอบในช่วงเมษายนนี้

เอ็มจี ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงสำคัญในวงการยานยนต์ไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำเสนอยนตรกรรมคุณภาพสูงที่ครอบคลุมทุกรูปแบบการขับเคลื่อนในหลากหลายเซกเมนต์ด้วยจุดเด่นของฟีเจอร์ที่ครบถ้วนและราคาที่เข้าถึงง่าย ด้วยยอดขายสะสม ณ ปัจจุบันรวมกว่า 220,000 คัน ทั้งยังมียอดการส่งออกรถยนต์จากฐานการผลิตในไทยไปยังภูมิภาคอาเซียนแล้วมากกว่า 32,000 คัน ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสำเร็จที่ได้รับความเชื่อมั่นไม่เพียงแค่ ตลาดภายในประเทศ แต่ยังขยายไปสู่การเติบโตในระดับภูมิภาคได้อย่างมั่นคง ในทศวรรษที่ 2 เอ็มจี ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โดย เอ็มจี มีแผนเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ และรถไฮบริด เพิ่มเติมภายในปี 2026 เริ่มต้นด้วย NEW MG IM6 ยนตรกรรมไฟฟ้าอัจฉริยะรุ่นเรือธง ที่จะเติมเต็มกลุ่มผลิตภัณฑ์พรีเมียมอีวี และ B-SUV ไฟฟ้าล้วน อย่าง NEW MG S5 EV ที่จะเปิดตัวในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 พร้อมเสริมทัพแผนการขยายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพลังงานทางเลือกตามเทรนด์โลก และมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่

1) การตอกย้ำความเป็นผู้บุกเบิกด้านยานยนต์ไฟฟ้าในไทยด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง เอ็มจี มุ่งมั่นในการนำเสนอเทคโนโลยีที่ทันสมัยตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าที่เน้นสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยมเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ปลอดภัยและคุ้มค่า โดยภายในปี 2026 เอ็มจี เตรียมขยายไลน์อัพรถไฟฟ้าใหม่ ทั้ง SUV และ MPV นอกจากนี้ เอ็มจี ยังเป็นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวที่มอบการรับประกันคุณภาพแบตเตอรี่ มอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุมมอเตอร์ตลอดอายุการใช้งาน (LIFETIME WARRANTY) ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์สำคัญของแบรนด์ เพื่อคลายความกังวลเกี่ยวกับความทนทานของระบบไฟฟ้าและเพิ่มมูลค่าให้กับรถมือสอง ทั้งยังให้ความสำคัญกับการยกระดับโรงงานผลิตแบตเตอรี่ เพื่อให้พร้อมต่อการขยายตัวในการใช้รถอีวี

2) การพัฒนายานยนต์พลังงานทางเลือก เพื่อเสริมประสิทธิภาพและยกระดับประสบการณ์การขับขี่ เอ็มจี เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีไฮบริดภายใต้แนวคิด “Global Quality, Local Relevance” ด้วยการนำเทคโนโลยีไฮบริดเจเนอเรชันที่ 2 จาก SAIC MOTOR CORPORATION มาชูจุดเด่นด้านสมรรถนะที่ดีขึ้น การประหยัดน้ำมันที่เหนือกว่า และการขับขี่ที่นุ่มนวล พร้อมคงความคุ้มค่าในการใช้งาน พร้อมกันนี้ เอ็มจี ยังเตรียมขยายไลน์อัพรถยนต์ไฮบริดอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนเปิดตัวรุ่นใหม่ภายในปี 2026 เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าชาวไทยทั้งในกลุ่มครอบครัวและกลุ่มที่มองหาความประหยัดเป็นหลัก

3) สร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าในทุกด้าน สำหรับ เอ็มจี เรามุ่งมั่นยกระดับบริการหลังการขายให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการพัฒนา E-Workshop ระบบบริการดิจิทัล ที่ให้ลูกค้าติดตามงานซ่อมได้แบบเรียลไทม์ สะดวก และมั่นใจได้ในทุกขั้นตอน นอกจากนี้ เรายังตั้งเป้าอัตรา การจัดหาอะไหล่ 99% เพื่อให้บริการได้รวดเร็ว ลดระยะเวลารอคอย พร้อมเสริมด้วยบริการ ช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง และการดูแลแบบใส่ใจรายบุคคล เพราะที่ เอ็มจี เราเชื่อว่า ลูกค้าทุกคนคือคนสำคัญ และเราพร้อมดูแลตลอดการเดินทาง

4) การขับเคลื่อนแบรนด์สู่ความยั่งยืน พร้อมเคียงข้างสังคมไทย ในปีนี้ เอ็มจี จะยังคงเดินหน้าพันธกิจนำแบรนด์สู่ความยั่งยืน โดยบูรณาการความร่วมมือกับทั้งลูกค้า พาร์ทเนอร์ และหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อพัฒนาองค์กรและสังคมไปพร้อมกัน ทั้งยังสานต่อกิจกรรมเพื่อสังคม และมุ่งถ่ายทอดทักษะด้านนวัตกรรมในการพัฒนาเทคโนโลยี NEV ด้วยเผยการขยายความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาชั้นนำทั่วประเทศ เพื่อต่อยอดสู่การพัฒนาทักษะในอนาคตและสร้างบุคลากรเข้าสู่ตลาดแรงงานอย่างมีคุณภาพ

ไฮไลต์สำคัญภายในงานกับการเปิดตัว NEW MG IM6 ถือเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ของแบรนด์ เอ็มจี ซึ่ง NEW MG IM6 ถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมรุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ “ขับเคลื่อนตัวตน บนความเป็นตัวเอง” (I'M WHO I’M) โดยนำเสนอประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ เติมเต็มทั้งความหรูหราและการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มองหารถเอสยูวีคูเป้ไฟฟ้าที่ไม่เพียงแค่มอบสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม แต่ยังสะท้อนถึงตัวตนของผู้ขับขี่ผ่านการออกแบบที่โดดเด่นและแตกต่างอย่างมีสไตล์ ซึ่งยนตรกรรมรุ่นนี้ได้รับรางวัล 2024 Red Dot Product Design Award ด้วยดีไซน์ภายนอกที่เรียบหรู ภายใต้คอนเซ็ปต์ Gentle Sculpture ทั้งยังคำนึงถึงการใช้หลักอากาศพลศาสตร์ หรือ Aero Dynamics ในการออกแบบเพื่อช่วยเสริมสมรรถนะและเพิ่มประสิทธิภาพของตัวรถได้อย่างลงตัว ผสานกับการออกแบบภายในที่เน้นความสะดวกสบาย ด้วยเบาะ POPO Sofa รูปทรงขนมปังที่มอบความนุ่มนวล ไม่ว่าเส้นทางไหนก็นั่งสบายตลอดทาง เสริมความบันเทิงด้วยหน้าจออัจฉริยะระบบสัมผัส Intelligent Immersive Touch Screens จำนวน 2 จอขนาดใหญ่ ประกอบด้วย หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิทัลขนาด 26.3 นิ้ว และหน้าจอกลางแบบสัมผัสขนาด 10.5 นิ้ว ที่รองรับระบบสั่งการอัจฉริยะ IM OS ที่ได้รับการพัฒนาโดย Alibaba Group ซึ่งระบบดังกล่าวยังได้รับรางวัล Red Dot Design Award สาขา Brand & Communication Design รวมถึงระบบลำโพงรอบทิศทาง 20 ตำแหน่ง ให้ลูกค้าได้เต็มอิ่มกับเครื่องเสียงรอบทิศทางขณะการเดินทาง

โดย ‘MG IM6’ เปิดตัวมาสองรุ่น ในราคาดังนี้
- รุ่น Premium ราคา 1,399,900 บาท
- รุ่น Performace ราคา 1,799,900 บาท

NEW MG IM6 ยังเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่โดดเด่นทั้งด้านสมรรถนะและเทคโนโลยีระดับสูง ด้วยแชสซีดิจิทัลอัจฉริยะ IM Digital Chassis ที่มอบความสมดุลและประสิทธิภาพการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม มาพร้อมขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor ให้กำลังสูงสุดที่ 778 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่ 802 นิวตันเมตร พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 100 kWh ที่รองรับแรงดันไฟฟ้าสูงถึง 875 โวลต์ ทำให้สามารถวิ่งได้ระยะทาง 634 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน NEDC มาพร้อมระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้ออัจฉริยะ (Intelligent Four-Wheel Steering System) ที่ช่วยให้การเปลี่ยนเลนในความเร็วสูงเสถียรและการกลับรถในที่แคบได้อย่างง่ายดาย รวมถึงระบบ One Touch iAD ที่ช่วยในการถอยจอดด้านข้าง (One Touch Side Parking) รวมถึง การจอดและออกจากช่องจอดรถในพื้นที่จำกัด (One Touch Escape) และการถอยหลังอัตโนมัติเมื่อขับเจอซอยตัน (One Touch Reverse) สะดวกสบายด้วยฟังก์ชัน Crab Mode เพื่อปรับมุมทั้ง 4 ล้อ ในมุมเดียวกันเพื่อทำการเคลื่อนรถออกจากพื้นที่จำกัด นอกจากนี้ยังมีระบบ Cooling System เจเนอเรชันใหม่ที่สามารถระบายความร้อนถึง 15 องศาเซลเซียส ภายในเวลาเพียง 30 วินาที และมอบความขั้นกว่าด้วยสถาปัตยกรรม 800V Dual SiC Platform ที่ทำให้ NEW MG IM6 เป็นรถที่ชาร์จไฟได้เร็วที่สุดในคลาสเดียวกันและยังสามารถเพิ่มระยะทาง การขับขี่ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ อุ่นใจกับการใช้รถไฟฟ้าด้วยการรับประกันแบตเตอรี่ มอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุมมอเตอร์ตลอดอายุการใช้งาน (LIFETIME WARRANTY) ปลอดภัยในทุกการเดินทาง ด้วยระบบ ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM และ ADAS รวมถึงระบบอำนวย ความสะดวกช่วยควบคุมการขับขี่ และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ ที่ผ่านการทดสอบและรับรองมาตรฐานระดับ 5 ดาว จาก China NCAP พร้อมดีไซน์ระบบให้รองรับ EURO-NCAP ต่อไป นอกจากนี้ NEW MG IM6 ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ให้เหนือกว่าทุกมาตรฐาน ด้วยระบบช่วยจอดอัตโนมัติ APA (Auto Park Assist) ที่ทำให้การจอดรถเป็นเรื่องง่ายดายแม้ในพื้นที่จำกัด และระบบอัจฉริยะแสดงผลในที่มืดและฝนตก (Intelligent Rainy Night Mode) ที่ช่วยให้การขับขี่ในสภาพอากาศที่ยากลำบากยังคงมีความชัดเจน อีกทั้งยังมีระบบช่วงล่างถุงลมอัจฉริยะ (Intelligent Air Suspension) ที่ไม่เพียงแต่ช่วยลด แรงกระแทกต่อพื้นถนนถึงห้องโดยสาร แต่ยังสามารถปรับระดับความสูงของช่วงล่างได้ถึง 3 ระดับ ตามลักษณะการขับขี่เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและความมั่นคงในทุกการเดินทาง

นาย ซู๋ว หยิ่น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด กล่าวว่า “แม้ในปีที่ผ่านมา เอ็มจี จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เรามุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในตลาดที่มีการแข่งขันสูงขึ้น โดยการพัฒนาแบรนด์ในทุกมิติ ทั้งในด้านประสิทธิภาพการผลิต การขยายเครือข่ายบริการหลังการขาย และการเพิ่มประสิทธิภาพ การดำเนินงานต่าง ๆ สำหรับการเปิดตัวและประกาศราคา NEW MG IM6 ครั้งนี้ เรามุ่งหวังที่จะสร้าง มาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในไทยและยกระดับประสบการณ์การขับขี่ของผู้บริโภค ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการเติบโตของแบรนด์ เอ็มจี นอกจากนี้ เรายังคงมุ่งมั่นที่จะขยายความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ในสังคมไทย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาตอบสนอง ความต้องการของลูกค้าและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่ระดับสากล โดยในปีนี้ เอ็มจี ตั้งเป้าหมายที่จะ เพิ่มส่วนแบ่งตลาด เป็น 5% พร้อมเดินหน้าแผนธุรกิจอย่างเข้มข้นเพื่อผลักดันสู่หมุดหมายใหญ่ในการขึ้นเป็น แบรนด์ 'ท็อป 5' ภายในทศวรรษที่ 2 ของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย”

‘กฟผ.’ ชวนอัพเดท!! เทรนด์เทคโนโลยี โอกาสทางธุรกิจ ‘สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า’

(23 มี.ค. 68) นายสายัณห์ ปานซัง ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารธุรกิจ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นประธานเปิดงาน EGAT EV : Charge Up Your Business งานสัมมนาสำหรับผู้สนใจในธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า โดยนำเสนอข้อมูลทางธุรกิจ แนวคิด เทคโนโลยี และโอกาสความร่วมมือที่จะสามารถต่อยอดให้กับผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าสู่การให้บริการในธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เช่น การขายเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า การติดตั้ง ดูแล บำรุงรักษา ตลอดจนผู้ประกอบการที่ต้องการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านทางการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงเพื่อสร้างรายได้เพิ่มต่อยอดจากธุรกิจเดิมที่มีอยู่ โดยมีผู้ประกอบการให้ความสนใจเข้าร่วมกว่า 300 คน ณ อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี 

นายสายัณห์ ปานซัง ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารธุรกิจ กฟผ. เผยว่า ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา กฟผ. ได้ร่วมขับเคลื่อนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านการให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EleX by EGAT การให้บริการแอปพลิเคชัน EleXA เพื่ออำนวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนการพัฒนาระบบบริหารจัดการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า BackEN EV เพื่อร่วมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) ของประเทศ ผ่านการนำเสนอข้อมูล แนวคิด เทคโนโลยี และแนวทางความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน รวมถึงสนับสนุนภาคธุรกิจที่มองหาโอกาสในการลงทุนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน 

ด้านนางณิศรา ธัมมะปาละ ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการธุรกิจนวัตกรรมพลังงาน กฟผ. เสริมว่า กฟผ. มีความตั้งใจที่จะส่งมอบความรู้ ข้อมูล และประสบการณ์ รวมถึงขยายผลนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ได้พัฒนาขึ้นเพื่อให้บริการ EGAT EV Business Solutions โดยเฉพาะระบบ BackEN EV ซึ่งเป็นระบบบริหารจัดการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร ผู้ใช้งานสามารถค้นหาสถานีและใช้ผ่านแอปพลิเคชัน EleXA เจ้าของสถานีสามารถควบคุมและตรวจสอบการทำงานของสถานีชาร์จแบบเรียลไทม์ รองรับเครื่องชาร์จได้หลากหลายยี่ห้อและการใช้งานพร้อมกันได้จำนวนมาก ชาญฉลาดด้วยระบบแสดงผลและวิเคราะห์ข้อมูลอัจฉริยะ พร้อมรายงานข้อมูลการใช้งานและรายงานทางบัญชี ทำให้ผู้ประกอบการสามารถปรับกลยุทธ์และดำเนินธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ถูกต้อง สร้างรายได้และการเติบโตอย่างยั่งยืน ปัจจุบันจึงมีผู้ประกอบกิจการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เข้ามาใช้บริการ BackEN EV มากกว่า 110 ราย และตั้งเป้ารุกขยายตลาดไปยังกลุ่มบริษัท องค์กร ผู้ประกอบกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจติดตั้งโซลาร์เซลล์ สถานีบริการน้ำมัน และบริษัทที่ติดตั้งระบบไฟฟ้า

นอกจากนี้ กฟผ. ยังเตรียมเปิดตัวโครงการ EGAT Academy เพิ่มขีดความสามารถบุคลากรในธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า โดยร่วมกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพเพื่อออกใบรับรองมาตรฐานอาชีพสาขาวิชาชีพบริการยานยนต์ สาขายานยนต์ไฟฟ้า อาชีพช่างเทคนิคติดตั้งและซ่อมบำรุงสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและความมั่นคงเชื่อถือได้ให้กับระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า 

สำหรับผู้สนใจธุรกิจในการประกอบธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในด้านต่าง ๆ สามารถติดต่อรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ EGAT EV Business Solutions กฟผ. โดยไม่มีค่าใช้จ่าย 

หรือติดตามรายละเอียดได้ที่ Facebook Page: EGAT EV เว็บไซต์ egatev.egat.co.th และ Line OA: @BackenEV

‘AP Racing’ เบรกคุณภาพไฮเอนด์ จากอังกฤษ เปิดตัวแทนจำหน่าย ครั้งแรกในไทย เน้น!! มาตรฐานคุณภาพระดับโลก ส่งตรงจากสนามแข่ง เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

เมื่อวานนี้ (28 มี.ค. 68) AP Racing เบรกคุณภาพระดับโลก อายุกว่า 100 ปี จากประเทศอังกฤษ ประกาศเปิดตัวแทนจำหน่าย AP Racing อย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทย ภายใต้การนำเข้าและจัดจำหน่ายโดย KCC Motorsport ผู้เชี่ยวชาญสินค้ามอเตอร์สปอร์ตระดับไฮเอนด์

โดย คุณ โชคสถิตย์ เบญจรัตนาภรณ์ ประธานกรรมการ บริษัท เคซีซี แมชชีนเนอรี่ จำกัด กล่าวว่า “เรามีความภูมิใจมากที่ได้เป็นผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายเบรก AP Racing อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย หลังจากต้องผ่านด่านการคัดเลือกหลายรอบจาก AP Racing ประเทศอังกฤษ โดยเป้าหมายของเราคือต้องการให้คนชอบการอัปเกรดรถในประเทศไทยได้สัมผัสถึงเทคโนโลยีเบรกระดับสูงจากสนามแข่ง ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ ให้มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุดในการใช้ยานยนต์ ภายใต้การดูแลจากตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ที่พร้อมให้การบริการและคำแนะนำจากวิศวกรทั้งไทยและโรงงานที่ประเทศอังกฤษเพื่อเลือกคาลิเปอร์และจานเบรกให้เหมาะสมกับรถ รวมถึงการติดตั้งที่ถูกต้องได้มาตรฐาน มีอะไหล่ซัพพอร์ต เพราะทุกวินาทีของความเร็วคือประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด”

ทางด้าน Mr.James Coyne, Key Account Manager AP Racing จากประเทศอังกฤษ กล่าวว่า “ผมมีความยินดีที่ได้ทาง KCC Motorsport มาเป็น Authorized Dealer ในประเทศไทย จากที่เราได้คัดเลือกจากหลายบริษัทที่ยื่นข้อเสนอเข้ามาเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เราเห็นถึงศักยภาพในการจัดจำหน่ายและการดูแลลูกค้าของ KCC Motorsport ที่ตั้งใจจะมอบสินค้าและบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าในประเทศไทย ผมเชื่อมั่นว่านอกจากที่ลูกค้าจะได้ใช้เบรกมาตรฐานคุณภาพระดับโลกจากสนามแข่งแล้ว ยังเชื่อมั่นได้ว่าจะได้รับการบริการที่ดีจากตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการคัดเลือกจาก AP Racing อีกด้วย”

สำหรับ เบรก AP Racing เป็นเบรกมาตรฐานสูงระดับไฮเอนด์จากประเทศอังกฤษ ที่มุ่งเน้นเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยขั้นสูงสุดสำหรับรถยนต์ ทั้งในระดับผู้ใช้ทั่วไปและในรายการแข่งระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น รายการแข่งฟอร์มูล่าวัน, NASCAR, Super GT, World Touring และ World Rally ล้วนให้ความไว้วางใจระบบเบรกและคลัชจาก AP Racing ซึ่งในปี 2025 รายการแข่งฟอร์มูล่า1 ฤดูกาลแรกที่จะจัดขึ้นที่ประเทศออสเตรเลียในเดือนมีนาคมนี้ AP Racing ได้เป็นผู้ผลิตระบบเบรกและคลัชให้กับรถแข่งถึง 8 ใน 10 ทีม

เบรก AP Racing เป็นเบรกมาตรฐานสูงระดับไฮเอนด์จากประเทศอังกฤษ ที่มุ่งเน้นเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยขั้นสูงสุดสำหรับรถยนต์ ทั้งในระดับผู้ใช้ทั่วไปและในรายการแข่งระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น รายการแข่งฟอร์มูล่าวัน, NASCAR, Super GT, World Touring และ World Rally ล้วนให้ความไว้วางใจระบบเบรกและคลัชจาก AP Racing ซึ่งในปี 2025 รายการแข่งฟอร์มูล่า1 ฤดูกาลแรกที่จะจัดขึ้นที่ประเทศออสเตรเลียในเดือนมีนาคมนี้ AP Racing ได้เป็นผู้ผลิตระบบเบรกและคลัชให้กับรถแข่งถึง 8 ใน 10 ทีม

ด้วยการออกแบบที่ทันสมัยและเทคโนโลยีที่ผ่านการทดสอบจากสนามแข่งจริง AP Racing ได้นำเบรกจากสนามแข่งมาสู่การขับขี่บนท้องถนน เช่น Pro 5000R, Radical-ll ในปี 2025 นี้ AP Racing เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่มากมายเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ได้อย่างครบถ้วน ตั้งแต่ รุ่น Forged 10 คาลิเปอร์เบรกขนาด 10 Pistons ซึ่งตอบโจทย์รถกลุ่ม Sport Car และ Super Car โดยเฉพาะ

นอกจากนี้สำหรับกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังได้รับความนิยม โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่มีสมรรถนะสูง AP Racing ถือเป็นแบรนด์แรกที่ได้ผลิตเบรกระดับไฮเอนด์ที่เพื่อการUpgradeรถ ออกแบบเพื่อรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ในรุ่น AP Racing MONO-E และ Radical-E ที่สามารถหยุดรถได้มีประสิทธิภาพดีขึ้น เงียบและหนักแน่น พร้อมทั้งยืดระยะทางการวิ่งของรถไฟฟ้าให้ได้มากขึ้น นอกจากนี้ ในกลุ่มรถกระบะ และรถเอนกประสงค์ขนาดใหญ่ AP Racing ได้ออกรุ่น Radical X ที่มาพร้อมคาลิเปอร์ขนาด 6 POTS ซึ่งสามารถรองรับน้ำหนักรถที่มากได้ เหมาะสำหรับรถที่ใช้งานหนัก สไตล์แอดเวนเจอร์ โดยมีเทคโนโลยี Forged Steel นอกจากนี้ AP Racing ยังเปิดตัวคาลิเปอร์สีใหม่ คือ คาลิเปอร์สีใหม่ คือ สีขาว และ สีเหลือง 

ปิดท้ายในส่วนของราคาจำหน่ายของชุดระบบเบรก AP Racing มีตั้งแต่ระดับราคา 100,000 บาท ไปจนถึง 1,200,000 บาท ตามประเภทของรถที่หลากหลาย ทั้งในส่วนของรถเพอร์ฟอร์แมนซ์ รถอีวี รถยนต์คลาสสิกฯลฯ....

‘ยูเน็กซ์ อีวี’ ทุ่ม 12,000 ล้านบาท ผุด!! ‘สถานีสับเปลี่ยนพลังงาน’ ในไทย เดินหน้า!! เทคโนโลยีขับเคลื่อนอัจฉริยะ วาดฝัน!! เข้าตลาดหุ้น NASDAQ

เมื่อวานนี้ (4 เม.ย. 68) นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ยูเน็กซ์ อีวี จำกัด (UNEX EV) ได้เปิดเผยว่า บริษัทได้นำเสนอแพลตฟอร์มสลับแบตเตอรี่ (battery swap) รายแรกในประเทศไทย  โดยเล็งเห็นถึงโอกาสการเติบโตในอนาคต เนื่องจากความนิยมใช้รถยนต์ไฟฟ้า 100% หรือ อีวี ในประเทศไทยมีการเติบโตเพิ่มขึ้นมาก

ทั้งนี้บริษัทได้ลงทุนมูล 12,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี จากนี้เพื่อนำเสนอแพลตฟอร์ม และสร้างอีโคซิสเต็ม การเปลี่ยนแบตเตอรี่สำหรับอีวีสำหรับรถยนต์ส่วนบุคคล ยานพาหนะเพื่อการพาณิชย์ระบบขนส่งทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ

ยูเน็กซ์ อีวี จะเข้ามาช่วย แก้ปัญหาและจุดอ่อนสำคัญ (pain point) ของการใช้ยานยนต์อีวีให้ความสะดวกในการใช้งานโดยเฉพาะการใช้งานเชิงพาณิชย์ ที่ต้องใช้รถเป็นเวลานาน และระยะทางไกลในแต่ละวัน  แต่ต้องเสียเวลาในการชาร์จไฟ

ทั้งนี้บริษัทมีแผนที่จะนำ ยูเน็กซ์ อีวี เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ของอเมริกา ภายในระยะเวลา 2 ปีจากนี้ด้วย ควบคู่ไปกับการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัจฉริยะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทั่วโลก

ล่าสุดบริษัทลงนามกับพันธมิตรหลายส่วนเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของระบบนิเวศ และการขยายการบริการอย่างยั่งยืนได้แก่ ทั้ง ผู้ผลิตรถยนต์โดยเริ่มจาก  บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อรองรับแพลตฟอร์มสับเปลี่ยนอัจฉริยะ และระบบสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ กับรถยนต์ 2 รุ่นแรกพร้อมจำหน่ายได้แก่ MG EP และ MG MAXUS 7

สถานีสับเปลี่ยนพลังงาน โดยเตรียมขยายเครือข่ายการให้บริการสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ โดยเริ่มจากซัคโก้ ก่อนโดยจะเป็นการลงทุน 15-20 ล้านบาทต่อสถานี และแต่ละสถานีรองรับรถได้ 100 คัน/วัน โดยหากใช้บริการเต็มจะใช้เวลาคืนทุน ประมาณ 3 ปี – 3 ปีครึ่ง โดยตั้งเป้าภายใน 3 ปี จะมีไม่น้อยกว่า 1,000  สถานี

ส่วนสถาบันการเงิน อย่าง ซูมิโตโม ลิสซิ่ง เข้ามาสนับสนุนทางการเงิน เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงยานยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น สำหรับลูกค้า MG EP ลูกค้าสามารถเลือกเริ่มต้นผ่อนได้เพียง 550 บาท/วัน และวางเงินดาวน์ 0%

สำหรับเป้าหมายการดำเนินธุรกิจของยูเน็กซ์ อีวี นั้น นายพิทักษ์ กล่าวว่า  ตั้งเป้าว่ายังมีแผนเตรียมเข้าไปนำเสนอและเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ อีวี และส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์และเรือขนาดเล็กภายใน 3 ปีนี้ เพื่อขยายเครือข่ายอัจฉริยะของสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยให้ได้มากกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ

โดยจะเข้าไปทำตลาดเพื่อเจาะกลุ่มรถยนต์อีวีเชิงพาณิชย์ ในจ. ภูเก็ตก่อน จากนั้นจะขยายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ

อินเดียปิดประตูใส่ BYD หวั่นโดนทุ่มตลาดจากจีน แต่เปิดช่องเจรจา Tesla ตั้งโรงงาน ดึงดูดทุนสหรัฐฯ

(9 เม.ย. 68) รัฐบาลอินเดียได้ตัดสินใจ จำกัดการเข้าถึงตลาด สำหรับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่จากจีนอย่าง BYD Co. ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำด้าน EV ของโลก ท่ามกลางความพยายามของอินเดียในการดึงดูดการลงทุนจากบริษัทคู่แข่งสัญชาติอเมริกันอย่าง Tesla Inc.

แหล่งข่าวจากภาครัฐระบุว่า การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นในช่วงเวลาที่ Tesla กำลังพิจารณาการตั้งฐานการผลิตในอินเดีย ซึ่งทางรัฐบาลได้แสดงความตั้งใจอย่างชัดเจนในการอำนวยความสะดวกและเสนอสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้กับบริษัทของอีลอน มัสก์ ในขณะที่บริษัทจีนอย่าง BYD กลับถูก 'ควบคุมและจำกัด' มากขึ้นในด้านการเข้าถึงตลาดและการขยายกิจการ

การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลด้านความมั่นคงระดับชาติของอินเดียที่ยังคงมีต่อจีน แม้ในช่วงหลังความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศจะมีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น โดยเฉพาะในเวทีการทูตระดับภูมิภาค

“รัฐบาลอินเดียยังคงระมัดระวังอย่างมากกับการลงทุนจากจีน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเชิงกลยุทธ์อย่างยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีองค์ประกอบด้านเทคโนโลยีและข้อมูลเป็นหัวใจสำคัญ” พียูช โกยาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าว

ท่าทีดังกล่าว สะท้อนแนวทางปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศที่แข็งแกร่งมากขึ้น โดยอินเดียได้กำหนด ภาษีนำเข้ารถยนต์ที่ประกอบสำเร็จรูป (CBU) ไว้สูงถึง 100% ซึ่งถือเป็นหนึ่งในอัตราภาษีนำเข้าที่ 'สูงที่สุด' ในบรรดาเศรษฐกิจขนาดใหญ่ทั่วโลก

“นโยบายนี้เป็นเครื่องมือในการปกป้องผู้ผลิตรถยนต์ภายในประเทศ พร้อมทั้งผลักดันให้นักลงทุนต่างชาติสร้างฐานการผลิตภายในอินเดีย แทนการนำเข้าสินค้าสำเร็จรูป” นักวิเคราะห์จากมุมไบให้ความเห็น

อย่างไรก็ดี อินเดียถือเป็นหนึ่งในตลาด EV ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก และกำลังกลายเป็นจุดหมายสำคัญของผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ระดับโลก ท่ามกลางนโยบายส่งเสริมพลังงานสะอาดของนายกฯ อินเดีย นเรนทรา โมดีแต่การจัดการสมดุลระหว่างความมั่นคงและการลงทุนต่างชาติยังคงเป็นโจทย์ท้าทาย

ทั้งนี้ การตัดสินใจเรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในปีที่แล้วนิวเดลีได้ปฏิเสธข้อเสนอการลงทุนมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ (ราว 36,000 ล้านบาท) จาก BYD ที่ร่วมมือกับบริษัทท้องถิ่น 

นอกจากนี้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์จากจีนรายอื่นอย่าง Great Wall Motor Co. ขอถอนตัวออกจากอินเดียหลังจากไม่สามารถขอรับการอนุมัติที่จําเป็นจากหน่วยงานกํากับดูแลได้ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่บริษัทจีนต้องเผชิญในการพยายามเข้าสู่หรือขยายธุรกิจในตลาดอินเดีย

ในขณะที่อินเดียยังคงรักษาจุดยืนที่ระมัดระวังต่อการลงทุนจากจีน และกําลังแสวงหาความร่วมมือที่อาจเกิดขึ้นกับบริษัทอเมริกันอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Tesla Inc อย่างไรก็ตามรายละเอียดของข้อตกลงที่เกิดขึ้นระหว่างอินเดียและ Tesla ยังไม่ได้รับการเปิดเผย

ขณะที่บรรดาผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอินเดียอย่าง Tata Motors และ Mahindra & Mahindra สามารถเติบโตได้ดี โดยก่อนหน้านี้พวกเขาต่างคัดค้านการผ่อนปรนภาษีนำเข้า เนื่องจากเกรงว่าจะเปิดทางให้ผู้เล่นต่างชาติเข้ามาทำตลาดในราคาที่แข่งขันได้ยากสำหรับผู้ผลิตท้องถิ่น

‘GWM’ ดัน!! ‘ไทย’ สู่ศูนย์กลางการผลิตระดับโลก วางแผนเติบโต ในระยะยาว เพิ่มกำลังการผลิต!! ขยายตลาด เร่งส่งออก ‘อาเซียน – ลาตินอเมริกา - ออสเตรเลีย’

(19 เม.ย. 68) GWM (Thailand) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users)” 

ล่าสุด เดินหน้าขับเคลื่อนแผนการผลิตรถยนต์หลากหลายรุ่นครอบคลุมทุกประเภทพลังงานจากโรงงานอัจฉริยะ (GWM Smart Factory) ในจังหวัดระยอง เพื่อขยายการส่งออกสู่ตลาดโลก โดยในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 นี้ GWM (Thailand) เตรียมเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อส่งออกไปยังกลุ่มประเทศต่าง ๆ ทั้งในอาเซียน ออสเตรเลีย และลาตินอเมริกา โดยจะส่งรถยนต์เอสยูวีระดับพรีเมียม GWM TANK 500 HEV ไปยังประเทศมาเลเซีย ในขณะที่จะยังคงส่งออกรถยนต์ GWM TANK 300 HEV สู่ประเทศอินโดนีเซีย และ GWM HAVAL H6 HEV รวมถึงเจ้าสิงโตอารมณ์ดี GWM HAVAL JOLION HEV ไปรุกตลาดในประเทศเวียดนามอย่างต่อเนื่อง 

ยิ่งไปกว่านั้น ในเดือนเมษายนนี้ GWM (Thailand) เตรียมส่งออกเจ้าเหมียวไฟฟ้า NEW GWM ORA Good Cat รถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นแรกที่ผลิตในประเทศไทยสู่ตลาดโลกเป็นครั้งแรก โดยจะส่งออกไปยังประเทศบราซิล ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์อีกด้วย ก่อนหน้านี้ GWM (Thailand) ได้มีการส่งออกรถยนต์เอสยูวีไปยังประเทศอินโดนีเซียและเวียดนามมาแล้ว โดยได้ส่งออกรถยนต์รุ่น GWM TANK 300 HEV, GWM TANK 500 HEV และ GWM HAVAL H6 HEV ไปยังประเทศอินโดนีเซีย ในขณะที่ประเทศเวียดนาม ได้ส่งออกรถยนต์ทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ GWM HAVAL H6 HEV และ GWM HAVAL JOLION HEV ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากประเทศดังกล่าว ทั้งหมดนี้ คือ การสะท้อนความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจของ GWM (Thailand) ในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการผลิตและส่งออกรถยนต์ที่ครอบคลุมทุกพลังงานสู่ตลาดโลก สร้างงาน สร้างรายได้ และนำความภาคภูมิใจกลับมาสู่คนไทย ด้วยการผลิตรถยนต์คุณภาพที่เปี่ยมด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่ผลิตในประเทศไทย โดยคนไทย สู่การมอบประสบการณ์เพื่อการเดินทางที่ 'เหนือกว่า' ให้แก่ผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ผ่านกลยุทธ์ 'GWM Go With More'

เจมส์ หยาง รองประธาน GWM ตลาดต่างประเทศ กล่าวว่า “GWM และทีมงานชาวไทยทุกคนล้วนภูมิใจในการเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ร่วมสร้างการเติบโตให้แก่เศรษฐกิจประเทศไทยด้วยการผลิตและส่งออกรถยนต์ GWM หลากหลายรุ่น ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานสู่ผู้ใช้งานทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย และลาตินอเมริกา ตอกย้ำศักยภาพของประเทศไทยในฐานะที่เป็นฐานการผลิตประจำภูมิภาคอาเซียน โดยการส่งออกรถยนต์ GWM ในไตรมาส 2/2568 นี้ สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพการผลิตและมาตรฐานระดับโลกของโรงงานของเราที่จังหวัดระยอง โดยผลิตภัณฑ์ภายใต้ GWM TANK ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภคในประเทศอินโดนีเซีย ส่วน GWM HAVAL ก็ได้รับการสนับสนุนที่ดีจากประเทศเวียดนาม ที่สำคัญในปีนี้จะเป็นครั้งแรกที่เราจะส่งออก NEW GWM ORA Good Cat ซึ่งถือเป็นโอกาสในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจจากโรงงานผลิตขนาดใหญ่ของเรา โดยโรงงานที่จังหวัดระยองถือเป็นโรงงานการผลิตเต็มรูปแบบแห่งที่ 2 ของ GWM นอกประเทศจีน (ถัดจากประเทศรัสเซีย) ทั้งนี้ GWM จะมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยเพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์ระดับโลกของ GWM เราพร้อมเติบโตไปในระยะยาวกับลูกค้ารวมถึงพาร์ทเนอร์ชาวไทย และสังคมไทยอย่างยั่งยืน”

ปัจจุบัน โรงงานอัจฉริยะของ GWM ในจังหวัดระยองสามารถรองรับกำลังการผลิตสูงสุดถึง 80,000 คันต่อปี โดย GWM (Thailand) ได้เพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับการจำหน่ายในประเทศและการส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยรถยนต์ทุกรุ่นและทุกคันที่จำหน่ายในประเทศไทยล้วนผลิตจากโรงงานในประเทศไทยโดยฝีมือคนไทยทั้งสิ้น (ยกเว้นรุ่น GWM ORA 07 ที่นำเข้าจากประเทศจีน) โดยล่าสุด ALL NEW GWM HAVAL H6 ทั้งรุ่นไฮบริด และปลั๊กอิน-ไฮบริด และ NEW GWM TANK 300 DIESEL ที่เพิ่งเปิดตัวที่งานมอเตอร์โชว์ 2025 เมื่อปลายเดือนมีนาคม ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากแฟน ๆ ชาวไทยและเริ่มส่งมอบให้กับลูกค้าชาวไทยไปแล้วนั้น ก็ผลิตจากสายการผลิตที่โรงงาน GWM จังหวัดระยองเช่นเดียวกัน โดยมีพนักงานผู้มีความเชี่ยวชาญกว่า 1,100 คน ซึ่งปฏิบัติงานภายใต้มาตรฐานการผลิตระดับสากล พร้อมทั้งใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ (Local Content) ในสัดส่วนประมาณ 45 – 50% 

ซึ่งในอนาคต GWM (Thailand) ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศให้มากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการบริหารจัดการซัพพลายเชน รวมถึงการบริหารจัดการอะไหล่สำหรับการบริการหลังการขายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้ลูกค้าทั่วทุกมุมโลกได้สามารถเข้าถึงยนตรกรรมอัจฉริยะในทุกรูปแบบพลังงานของ GWM ได้ง่ายขึ้น คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น พร้อมรับประสบการณ์การเดินทางที่เหนือกว่าในทุกด้านอย่างแท้จริง GWM (Thailand) เดินหน้าอย่างมั่นคงและต่อเนื่องในการผลิตรถยนต์ที่ครอบคลุมทุกพลังงานในหลากหลายเซกเมนต์จากหลากหลายตระกูล ครอบคลุม GWM TANK, GWM HAVAL และ GWM ORA เพื่อจำหน่ายในประเทศไทยและส่งออกสู่ตลาดโลก และจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมยานยนต์อย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านดีไซน์ สมรรถนะ และระบบขับเคลื่อนที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั่วโลก และส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่า เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่เวทีระดับโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top