Sunday, 8 June 2025
ภาษาอังกฤษ

'ศูนย์วิจัยกสิกรไทย' มอง!! ตัวแปรโรงเรียนนานาชาติผุดเป็นดอกเห็ด หลักสูตรทันสมัย-คนมีเงินระดับ 30 ล้านบาทขึ้นไป จ่อเพิ่มขึ้นถึง 24%

(6 ก.ย.67) ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ในปี 2567 ตลาดโรงเรียนนานาชาติจะเติบโต 13% จากปีก่อนหน้า และมีมูลค่ามากกว่า 8 หมื่นล้านบาท จากจำนวนนักเรียนและโรงเรียนนานาชาติที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าเล่าเรียนที่มีการปรับตัวสูงขึ้น โรงเรียนนานาชาติยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวไปสู่นอกกรุงเทพฯ มากขึ้น เนื่องจากพื้นที่ที่จำกัดในเมืองหลวง และการแข่งขันของจำนวนโรงเรียนในกรุงเทพฯ ที่หนาแน่น

แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของนักเรียนโรงเรียนนานาชาติในไทยเกิดจากหลายปัจจัย หนึ่งในนั้นคือ การเพิ่มขึ้นของนักเรียนต่างชาติที่สอดคล้องกับจำนวนชาวต่างชาติในตำแหน่งผู้บริหารที่เข้ามาทำงานในไทย ที่เติบโตเฉลี่ยปีละ 0.6% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา 

นอกจากนี้ ความนิยมในหลักสูตรการศึกษาต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการพัฒนาหลักสูตรให้ทันสมัยและทันการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเมื่อเทียบกับหลักสูตรไทย รวมไปถึงศักยภาพการลงทุนด้านการศึกษาของผู้ปกครองที่สูงขึ้น สะท้อนจากคาดการณ์จำนวนคนที่มีทรัพย์สินมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ฯ ในไทยจะเพิ่มขึ้น 24% ระหว่างปี 2566-2571 ยังเป็นปัจจัยหลักที่หนุนการเติบโตของจำนวนนักเรียน โรงเรียนนานาชาติ

แนวโน้มธุรกิจโรงเรียนนานาชาตินั้น การแข่งขันของโรงเรียนนานาชาติ พบว่า โรงเรียนนานาชาติมีแนวโน้มขยายตัวสู่นอกกรุงเทพฯ มากขึ้น ในช่วงปี 2555-2567 อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี ของจำนวนนักเรียนและจำนวนโรงเรียนนานาชาติที่ตั้งในภูมิภาคอื่นจะสูงกว่าของกรุงเทพฯ ถึง 4.3% และ 6.3% ตามลำดับ โดยพบว่า ด้านจำนวนนักเรียนนานาชาติมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยในกรุงเทพอยู่ที่ 5.3% ขณะที่ตามต่างจังหวัดอยู่ที่ 9.6% สอดคล้องกับจำนวนโรงเรียนนานาชาติ มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยในกรุงเทพอยู่ที่ 2.4% ขณะที่ตามต่างจังหวัดอยู่ที่ 8.7%

การแข่งขันในธุรกิจโรงเรียนนานาชาติที่เพิ่มขึ้น และพื้นที่ในกรุงเทพฯ ที่จำกัดทำให้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติต้องสำรวจตลาดใหม่ๆ ในหัวเมืองหลัก เช่น เชียงใหม่, ระยอง และภูเก็ต เป็นต้น ทั้งนี้ เศรษฐกิจใน 21 เมืองหลักได้เติบโตในอัตราที่สูงกว่ากรุงเทพฯ โดยในปี 2565 อัตราการเติบโต GDP ต่อหัวของ 21 เมืองหลักสูงกว่ากรุงเทพฯ ถึง 2% ซึ่งทำให้ตลาดนอกกรุงเทพฯ ดูน่าสนใจมากขึ้น

แนวโน้มนี้แสดงให้เห็นโอกาสขยายธุรกิจโรงเรียนนานาชาติไปยังพื้นที่นอกกรุงเทพฯ โดยเฉพาะภาคกลางและตะวันออก ซึ่งน่าจะเป็นตลาดศักยภาพ เพราะมีจำนวนวนครัวเรือนรายได้เกิน 100,000 บาทต่อเดือน รองจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยจำนวนครัวเรือนมีรายได้มากกว่า 100,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป พบว่า กรุงเทพ-ปริมณฑล 201,649 บาท ภาคกลาง-ตะวันออก 113,082 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(อีสาน) 65,590 บาท ภาคใต้ 64,863 บาท และภาคเหนือ 63,005 บาท อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจำนวนครัวเรือนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในแต่ละภูมิภาคมีจำนวนน้อยกว่ากรุงเทพฯ ทำให้ผู้ประกอบการอาจจะต้องปรับลดค่าเล่าเรียนให้สอดคล้องกับรายได้ผู้ปกครองที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่

ตลาดโรงเรียนนานาชาติในไทยนั้น คาดว่าในปี 2567 มูลค่าตลาดโรงเรียนนานาชาติไทยจะเติบโตราวร้อยละ 13 จากปี 2566 แตะ 8.7 หมื่นล้านบาท โดยมีการเติบโตตั้งแต่ปี 2563 ที่ 57,000 ล้าน ปี 2564 ที่ 60,000 ล้าน ปี 2565 ที่ 66,000 ล้าน ปี 2566 ที่ 77,000 ล้าน รวมเติบโต 4 ปีติดกันก่อนถึงปีนี้ 

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของกิจการโรงเรียนนานาชาติ ก็มีอยู่ด้วยเช่นกัน ดังนี้...

- การเพิ่มขึ้นของค่าเล่าเรียนโรงเรียนนานาชาติ อาจทำให้ผู้ปกครองพิจารณาส่งบุตรหลานไปศึกษาในต่างประเทศแทน เนื่องจากช่องว่างระหว่างค่าเล่าเรียนเริ่มลดลง ในปีการศึกษา 2567 ค่าเล่าเรียนเฉลี่ยต่อปีของโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยอยู่ที่ 764,484 บาท ในขณะที่ค่าเล่าเรียนเฉลี่ยต่อปีของโรงเรียนประจำในนิวซีแลนด์อยู่ที่ประมาณ 1,150,208 บาท

- โรงเรียนนานาชาติ อาจเผชิญกับความท้าทายจากการแข่งขันกับโรงเรียนเอกชนหลักสูตรไทยที่พัฒนาคุณภาพและมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า ผู้ปกครองอาจตัดสินใจเปลี่ยนไปเลือกโรงเรียนเอกชนหลักสูตรไทยที่มีการเปิดสอนโปรแกรมภาษาอังกฤษ และสอนหลายภาษา เช่น ไทย อังกฤษ และจีน เป็นต้น ซึ่งท้าทายจุดแข็งของโรงเรียนนานาชาติในด้านภาษา

- การพัฒนาทางเทคโนโลยีทำให้การเรียนโฮมสคูลง่ายขึ้น และเนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเรียนโฮมสคูลต่ำกว่าการเรียนในโรงเรียนนานาชาติ จึงอาจส่งผลกระทบต่อจำนวนนักเรียนในโรงเรียนนานาชาติได้ โดยค่าใช้จ่ายในการสอบ GED (เทียบวุฒิมัธยมปลายของสหรัฐฯ) รวมกับค่ากวดวิชาแบบเรียนตัวต่อตัว 100 ชั่วโมง จะอยู่ที่ประมาณ 160,800 บาท

ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองที่ดีที่สุดในโลก

ภาษาอังกฤษนอกจะเป็นภาษากลางที่ใช้สื่อสารทั่วโลกแล้ว ปัจจุบันแม้แต่การคุยกับ AI Chatbot ด้วยภาษาอังกฤษยังจะทำให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำมากขึ้นด้วย 

วันนี้ THE STATES TIMES ชวนส่อง 20 ลำดับประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองดีที่สุดในโลก 

รัฐบาลเวียดนามประกาศโครงการใหม่ ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองในโรงเรียน เพื่อสร้างเยาวชนพร้อมสำหรับโลกการศึกษาในระดับสากลนำมาพัฒนาเศรษฐกิจ

(13 มี.ค. 68) รัฐบาลเวียดนาม ได้ประกาศแผนการที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านภาษาในประเทศ โดยจะมีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองในโรงเรียนทั่วประเทศ ภายในปี 2035 เป้าหมายหลักของโครงการคือการทำให้ เด็กทุกคนในเวียดนาม สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างโอกาสทางการศึกษาและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

รัฐบาลเวียดนามได้เริ่มต้นโครงการนี้โดยการพัฒนาแผนการสอนภาษาอังกฤษในระดับประถมและมัธยม โดยจะมีการฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษอย่างเข้มข้น ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงระดับการศึกษาขั้นสูง อีกทั้งยังมีการจัดอบรมและสนับสนุนให้ครูผู้สอนภาษาอังกฤษมีความเชี่ยวชาญและสามารถถ่ายทอดความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เวียดนามตั้งเป้าหมายพัฒนาแรงงานที่มีทักษะ โดยการศึกษาภาษาอังกฤษจะไม่เพียงแค่เป็นเครื่องมือในการสื่อสารระหว่างประเทศ แต่ยังเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ การท่องเที่ยว และการค้าในระดับสากล

การเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา นี้จะช่วยให้ เยาวชนเวียดนาม สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลและความรู้จากต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ มีความสามารถในการแข่งขันในตลาดงานที่มีการแข่งขันสูงและเป็นโลกที่เชื่อมโยงกันมากขึ้น

การปฏิรูปการศึกษา ในเวียดนามนี้จะเป็นการยกระดับประเทศในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านการศึกษาและเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลคาดหวังว่าจะทำให้เวียดนามกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มี การแข่งขันด้านภาษา สูงในเอเชียและทั่วโลกภายในไม่กี่ปีข้างหน้า

หลายคนเสียดายที่ชาติเรา ‘ไม่เก่งภาษาอังกฤษ’ เพราะเรา ‘ไม่เคยตกเป็นอาณานิคม’ คุ้มไหม!! ต้องตกเป็น ‘ขี้ข้า’ เพื่อจะเก่งภาษาของชาติอื่น อยู่ใต้เงาของเขาตลอดไป

(19 เม.ย. 68) เพจ ‘Bangkok I Love You’ โพสต์ข้อความ ระบุว่า …

มีคนบอกว่าเสียดายที่เราไม่เก่งอังกฤษเพราะเราไม่ได้เป็นอาณานิคมของอังกฤษ แต่แอดจะบอกว่า หากประเทศไทยตกเป็นอาณานิคมตะวันตกวันนั้น วันนี้ เราคงถูกแบ่งแยกเป็นเหนือ กลาง ใต้ และอีสาน และคงไม่มีประเทศไทยที่มั่นคงเหมือนทุกวันนี้ คนที่พูดพร้อมจะแลกมั้ยล่ะ ???

หากประวัติศาสตร์เดินไปในเส้นทางที่แตกต่างออกไป และประเทศไทยต้องตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก เช่น อังกฤษหรือฝรั่งเศส ผลลัพธ์ในปัจจุบันอาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล หนึ่งในผลกระทบที่น่าจะเกิดขึ้นก็คือ การแบ่งแยกประเทศไทยออกเป็นหลายดินแดน เหมือนกับที่เกิดขึ้นในอินโดจีน พม่า หรืออินเดียในอดีต

1. นโยบาย 'แบ่งแยกและปกครอง' ของอาณานิคม
ประเทศที่ตกเป็นอาณานิคมมักถูกแบ่งแยกออกเป็นเขตปกครองต่าง ๆ ตามเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม หรือภูมิศาสตร์ เพื่อให้อำนาจอาณานิคมสามารถควบคุมดินแดนได้ง่ายขึ้น อังกฤษและฝรั่งเศสใช้วิธีนี้กับอินเดีย พม่า เวียดนาม และลาว ซึ่งทำให้เกิดเส้นแบ่งที่ยังคงมีผลกระทบถึงปัจจุบัน

หากไทยตกเป็นอาณานิคม ก็อาจถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วน เช่น

ภาคเหนือ อาจถูกควบคุมร่วมกับพม่า หรือกลายเป็นรัฐอิสระที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของอังกฤษ

ภาคอีสาน อาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคมฝรั่งเศสในอินโดจีน รวมเข้ากับลาว

ภาคกลาง โดยเฉพาะกรุงเทพฯ อาจกลายเป็นศูนย์กลางของการปกครองอาณานิคม

ภาคใต้ อาจถูกผนวกเข้ากับมลายูภายใต้การปกครองของอังกฤษ

2. การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์
หากประเทศไทยถูกแบ่งออกเป็นหลายเขตปกครอง เอกลักษณ์ความเป็น 'ไทย' อาจไม่เป็นหนึ่งเดียวอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน ภาษาที่ใช้ วัฒนธรรม และแม้แต่ศาสนาอาจมีความแตกต่างกันมากขึ้น บางพื้นที่อาจใช้ภาษาฝรั่งเศสหรืออังกฤษเป็นภาษาราชการแทนภาษาไทย เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในเวียดนามและมาเลเซีย

นอกจากนี้ ศิลปะ วรรณกรรม และประเพณีของไทยก็อาจถูกแทรกแซงหรือกลายเป็นวัฒนธรรมที่ผสมผสานกับอิทธิพลตะวันตกมากขึ้น อาจมีระบบการศึกษาแบบอังกฤษในภาคกลาง และระบบการศึกษาแบบฝรั่งเศสในภาคอีสาน เป็นต้น

3. ผลกระทบต่อการรวมชาติเพื่อเอกราช
หากไทยถูกแบ่งเป็นหลายดินแดน การรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องเอกราชอาจเป็นเรื่องยากขึ้น เหมือนที่เกิดขึ้นในอินเดีย ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่าจะรวมกันเป็นประเทศเดียว หรืออย่างพม่า ที่มีชนกลุ่มน้อยแยกตัวออกมาต่อต้านรัฐบาลกลางอยู่จนถึงปัจจุบัน

ภาคเหนืออาจมีขบวนการชาตินิยมของตนเอง ภาคใต้ก็อาจได้รับอิทธิพลจากมลายู และอาจมีความพยายามแยกตัวเป็นเอกราช ภาคอีสานอาจใกล้ชิดกับลาวมากขึ้น และกลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐอินโดจีนของฝรั่งเศส เหล่านี้ล้วนเป็นไปได้ หากไทยไม่สามารถรักษาอิสรภาพของตนเองไว้ได้

นอกจากนี้ ประวัติศาสตร์ยังแสดงให้เห็นว่า การแบ่งแยกดินแดนที่เกิดขึ้นจากอาณานิคมนำไปสู่สงครามกลางเมืองในหลายประเทศ เช่น:

อินเดียและปากีสถาน ที่เกิดการแบ่งแยกประเทศหลังได้รับเอกราช ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงระหว่างศาสนาและเชื้อชาติ

เวียดนาม ที่ถูกแบ่งออกเป็นเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ ก่อนจะเกิดสงครามเวียดนามที่ยืดเยื้อ

รวันดาและซูดาน ที่เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อันเป็นผลมาจากนโยบายแบ่งแยกของอาณานิคม

พม่า ที่มีกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ก่อความไม่สงบต่อรัฐบาลกลางจนถึงปัจจุบัน

4. ไทยอาจไม่มีอยู่ในแผนที่โลกอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
การตกเป็นอาณานิคมอาจทำให้เส้นเขตแดนของประเทศไทยถูกเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ประเทศไทยอาจไม่สามารถรวมตัวเป็นประเทศเดียวได้ แต่ถูกแบ่งออกเป็นรัฐเล็ก ๆ ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของมหาอำนาจต่างชาติ เส้นแบ่งแยกนี้อาจทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างภูมิภาคไปตลอด เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในบางประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมมาก่อน

การที่ไทยสามารถรักษาเอกราชไว้ได้ในอดีต ทำให้เรายังเป็นประเทศที่มีอัตลักษณ์เป็นเอกภาพ ไม่ถูกแบ่งแยกออกเป็นหลายดินแดนเหมือนอินโดจีนหรือพม่า หากไทยตกเป็นอาณานิคมวันนั้น วันนี้ เราอาจไม่มีคำว่า “ประเทศไทย” อยู่บนแผนที่โลก อาจกลายเป็นรัฐเล็ก ๆ หลายแห่งที่แตกต่างกันทางวัฒนธรรมและภาษา ความเป็นไทยที่เรารู้จักอาจไม่มีอยู่ หรืออาจเป็นเพียงหนึ่งในหลายอัตลักษณ์ที่แยกจากกันไปตามการปกครองของอาณานิคม

5.สมบัติชาติและทรัพยากรจำนวนมหาศาลของเราจะถูกนำกลับไปยังประเทศเจ้าอาณานิคม เช่น พระแก้วมรกต อาจจะโชว์ในบริติชมิวเซียม หรือพระพุทธชินราช อาจจะถูกนำไปประดับพิพิธภัณฑ์ลูฟเป็นต้น

ดังนั้น ประวัติศาสตร์ที่เราเป็นอิสระ ไม่ใช่อาณานิคมของชาติตะวันตก จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ไทยสามารถดำรงอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ และยังสามารถกำหนดอนาคตของตัวเองได้โดยไม่ต้องอยู่ใต้เงาของมหาอำนาจจากภายนอก
อ่านจบแล้วตอบอีกที พร้อมจะแลกไหม??


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top