Sunday, 8 June 2025
พีระพันธุ์_สาลีรัฐวิภาค

‘พีระพันธุ์’ ส่งมอบความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมต่อเนื่อง จัดตั้งโรงครัว-แจกน้ำดื่ม-ส่งทีมงานติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด

(26 ส.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ มีความห่วงใยกับพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัยภาคเหนือ โดยได้ส่งมอบถุงยังชีพไปในพื้นที่ประสบภัยตั้งแต่วันแรก และมอบหมายให้นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ตั้งศูนย์ช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนตั้งแต่วันแรก โดยได้จัดพื้นที่จอดรถ จัดตั้งโรงครัวแจกจ่ายอาหาร และน้ำดื่ม แก่ผู้ประสบภัย พร้อมจัดส่งถุงยังชีพไปยังชุมชนต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง 

นายอัครเดช กล่าวต่อไปว่า ล่าสุดในวันนี้ ทางพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้มอบหมายให้นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อและเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย จ.แพร่ อย่างใกล้ชิด

ด้าน นายเอกนัฏ เปิดเผยว่า วันนี้ลงพื้นที่เข้าไปในชุมชนต่าง ๆ ได้พบเห็น บ้านเรือนอยู่ใต้น้ำ ชาวบ้านขาดที่พักพิง ผู้ป่วยที่ติดเตียง ผู้สูงอายุที่ไม่ยอมออกจากบ้าน ซึ่งน่าเป็นห่วงในเรื่อง ความปลอดภัย ความสะอาด สุขอนามัย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความเดือดร้อนของชาวบ้านที่ต้องการการดูแล อยากวอนขอให้ทุกภาคส่วน ได้มาร่วมมือกันบรรเทาความทุกข์ของพี่น้องประชาชนที่ประสบเหตุน้ำท่วม

"ทางพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยหัวหน้าพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค มีความเป็นห่วงสถานการณ์น้ำท่วมตั้งแต่วันแรก กำชับให้ช่วยกันดูแลพี่น้องประชาชน ในวันนี้ได้ส่งให้ผมลงพื้นที่อย่างเร่งด่วน เมื่อได้เห็นถึงความเดือดร้อนของชาวบ้าน และเห็นการร่วมแรงร่วมใจของทีมงาน และอาสาสมัครทุกท่าน ขอให้เป็นกำลังใจให้กับทุกท่านที่ประสบภัยในครั้งนี้ ขอฝากไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาดูแลและติดตามอย่างใกล้ชิด และเมื่อสู่ภาวะปกติน้ำลดลงแล้ว ยังมีเรื่องความเสียหายของบ้านเรือน ชีวิต ทรัพย์สิน ที่จะต้องช่วยกันดูแลและเยียวยาให้พี่น้องประชาชนกันต่อไป" นายเอกนัฏ กล่าว

'พีระพันธุ์' ห่วงน้ำท่วมภาคเหนือตอนบน กระทบ 'น้ำมัน-ไฟฟ้า' มอบ 'ปตท.-กฟผ.' ช่วยเหลือประชาชน 'ใกล้ชิด-เร่งด่วน'

(26 ส.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมหลายจังหวัดในทางภาคเหนือตอนบนหลายพื้นที่ จังหวัดเชียงราย, จังหวัดพะเยา, จังหวัดน่าน และ จังหวัดแพร่ จากที่ฝนตกต่อเนื่องหลายวัน ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2567 จนถึงวันที่ 21 สิงหาคม 2567 เนื่องมาจากอิทธิพลของร่องมรสุมที่พาดผ่านทางตอนบนของภาคเหนือที่มีกำลังค่อนข้างรุนแรง ส่งผลให้ประชาชนในหลายพื้นที่ภาคเหนือ ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย 

ขณะนี้แม้ว่าปริมาณฝนจะเริ่มซาลงแล้ว แต่ยังต้องระวังมวลน้ำที่ยังไหลในลุ่มน้ำต่างๆ ซึ่งกระทรวงพลังงานได้เฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อเข้าช่วยบรรเทาผลกระทบกับประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยได้อย่างทันท่วงที

สำหรับการบริหารจัดการด้านพลังงานในพื้นที่ประสบอุทกภัย ขณะนี้ได้เตรียมความพร้อมเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนหากได้รับผลกระทบ อาทิ การขนส่งน้ำมันหากเส้นทางได้รับผลกระทบ ทางบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และกรมธุรกิจพลังงาน ได้เตรียมการสำหรับแนวทางฟื้นฟูสถานีบริการน้ำมันที่ได้รับผลกระทบและจะมีการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันหลังจากน้ำลด 

ในด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในเบื้องต้น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้เตรียมถุงยังชีพไว้ จำนวน 15,000 ถุง และผ้าห่มกันหนาวอีก 15,000 ผืน ส่วนบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ส่งถุงยังชีพไปแล้วกว่า 10,000 ถุง และน้ำดื่ม 10,000 ขวด รวมทั้งได้จัดส่งหน่วยปฏิบัติการ PTT Group SEALs ซึ่งรวมพนักงานจิตอาสา กลุ่ม ปตท. ที่มีทักษะพิเศษในการกู้ชีพและช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทุกบริษัทในกลุ่ม ปตท. เร่งนำอุปกรณ์ ได้แก่ โดรน เรืออะลูมิเนียมท้องแบน เรืออะลูมิเนียมท้องวี รถตรวจการณ์ รถสิบล้อ และอุปกรณ์การช่วยเหลือต่างๆ ร่วมปฏิบัติการมอบถุงยังชีพให้ประชาชน โดยเฉพาะบุคคลที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษอย่างคนชราและเด็กๆ ในพื้นที่ที่ยากแก่การเข้าถึง 

สำหรับสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนสิริกิติ์ ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2567 มีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำอยู่ที่ 6,674 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 70% ของความจุเขื่อน น้ำใช้งานได้รวมทั้งสิ้น 3,824 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 57% ของความจุเขื่อน ทั้งนี้ ยังสามารถรับน้ำได้อีก 2,836 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 30% เทียบกับความจุเขื่อน นอกจากนี้ได้ลดการระบายน้ำในเขื่อนฯ ลงเหลือวันละ 3 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อลดผลกระทบกับชาวบ้านในพื้นที่ลุ่มน้ำตอนล่าง 

“ขณะนี้กระทรวงพลังงาน ได้เตรียมความพร้อมไว้ทุกด้านไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำมัน ไฟฟ้า เพื่อเข้าช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบกับประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยได้อย่างทันท่วงที ซึ่งก็ได้วางแนวทางในการช่วยเหลือทั้งในสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งหลังน้ำลด เพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิดกับประชาชน” นายพีระพันธุ์ กล่าว

1 ปี 'พีระพันธุ์' ใต้หมวกเจ้ากระทรวงพลังงาน อะไรทำแล้ว? เรื่องไหนทำอยู่? แล้วไทยจะก้าวสู่ 'ความมั่นคง-เป็นธรรม-ยั่งยืน' ด้านพลังงานได้อย่างไร?

ครบวาระการทำงาน 1 ปี ในฐานะเจ้ากระทรวงพลังงานของ 'นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค' ประชาชนได้รับการดูแลแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานอย่างไร? มิติใหม่ในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของไทยคืบหน้าไปมากน้อยแค่ไหน? กฎหมายกำกับดูแลราคาพลังงานให้เป็นธรรมจะได้ใช้เมื่อไหร่? ราคาน้ำมัน-ค่าไฟ จะลดลงได้อย่างไร? 

แล้วการทำงานในปีที่ 2 จะไปต่อแบบไหน? และมีอะไรใหม่ในการดูแลประชาชนด้านพลังงาน? ไปพบกับคำตอบทั้งหมดนี้ได้ในบทสัมภาษณ์พิเศษ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เจ้าของแนวคิด 'รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง' เพื่อความมั่นคง เป็นธรรม ยั่งยืน ของระบบพลังงานไทย เพื่อคนไทยทุกคน ดังนี้...

>> ลุยหาช่องทางแก้ปัญหาหมักหมม
"จากประสบการณ์ทํางานในราชการทางการเมือง ผมคิดว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ผมทํางานได้เยอะและเร็วพอสมควร ฟังดูเหมือนนาน 12 เดือน 1 ปี แต่ในความเป็นจริง ช่วง 2-3 เดือนแรก ผมต้องศึกษาข้อมูล ศึกษาปัญหา แล้วก็ศึกษาวิธีการแก้ไข ปัญหาของกระทรวงพลังงานซึ่งรับผิดชอบทั้งเรื่องน้ำมัน เรื่องค่าไฟฟ้า เรื่องของราคาแก๊ส แล้วก็อีกหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประชาชนในเรื่องของพลังงาน มันเยอะมาก และเป็นปัญหาที่หมักหมมมา ไม่ใช่แค่ 5 ปี 10 ปี 

"กระทรวงพลังงานปีนี้จะเริ่มปีที่ 22 แต่ปัญหาที่พูดมาทั้งหมด เกิดมาก่อนกระทรวงพลังงาน โดยเฉพาะเรื่องปัญหาน้ำมัน ไม่ต่ำกว่า 40-50 ปี ผมเองใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนแรก ในการศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไข ผมคิดว่าผมพอใจในการทํางานของผมเองที่ 2-3 เดือนแรกก็สามารถที่จะศึกษาทั้งหมดได้ครับ"

>> ออกประกาศให้ผู้ค้าแจ้งต้นทุนราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
"หลังจากศึกษาก็หาวิธีแก้ไข โดยเฉพาะอันดับแรกเลยก็คือเรื่องของน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งประหลาดมากที่เราไม่เคยรู้ต้นทุน และก็ไม่เคยขอให้ผู้ค้าบอกต้นทุนได้ ผมก็ต้องใช้เวลาในการหาวิธีที่จะดําเนินการ เพราะทุกฝ่ายมาบอกกับผมหมดเลยว่า 'ไม่มีอํานาจ' ซึ่งการจะมีอํานาจก็ต้องแก้ไขกฎหมายนะครับ และนอกจากแก้ไขกฎหมายธรรมดา ยังต้องแก้ไขกฎหมายอีกหลายอย่างซึ่งจะใช้เวลา ผมก็ต้องกลับมาใช้กฎหมายที่เป็นกฎหมายปัจจุบันมาศึกษาช่องทาง และผมทําเองทั้งหมด 

"สุดท้ายก็เจอช่องทางตามกฎหมายปัจจุบัน ผมจึงหารือกับทางสํานักงานกฤษฎีกา ซึ่งก็เห็นตรงกัน เลยยกร่างเบื้องต้นขึ้นมา แล้วก็ให้คณะไปร่างต่ออีกทีนึง ก็ออกมาเป็นประกาศกระทรวงพลังงานที่กําหนดให้ผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งต้นทุน จากนั้น ก็มาเจอกฎหมายที่เกี่ยวข้องว่า การจะประกาศได้ต้องผ่านกระบวนการ พูดง่าย ๆ ภาษาง่าย ๆ ประชาชนเข้าใจง่าย คือต้องประชาพิจารณ์อีก เพราะฉะนั้นก็ทําให้กระบวนการที่จะออกประกาศใช้เวลาอีก 3-4 เดือน สุดท้ายก็มีผลบังคับเมื่อประมาณเดือนเมษายน 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งสามารถทําให้ผมรู้ต้นทุนราคาน้ำมัน และรู้ปัญหาที่จะต้องแก้ไขต่อไป"

>> ร่างกฎหมายกำกับดูแลการขึ้นลงของราคาน้ำมัน สกัดผู้ค้าปรับราคาตามอำเภอใจ
"ต่อมา ผมก็คิดว่าการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำมันของบ้านเรา ในเรื่องของการใช้ระบบที่เรียกว่า ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ มารักษาระดับหรือพยุงราคา ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งนอกจากจะเป็นภาระของประเทศแล้ว ยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่ตรงจุด ขณะเดียวกัน ผมก็พบว่าประเทศไทยไม่มีสํารองน้ำมันของ

ประเทศ ที่ว่ามี ๆ กันวันนี้ ไม่ใช่สํารองน้ำมันของประเทศ แต่เป็นสํารองของผู้ประกอบการ และวัตถุประสงค์หลักก็คือ เป็นการสํารองด้านการค้า ขั้นต่ำของการสํารองเพื่อความมั่นคงและปลอดภัยประเทศต้องอย่างน้อย 90 วันตามมาตรฐานสากล แต่ของเราไม่มี ที่มีอยู่ก็แค่ 20 วัน 

"เพราะฉะนั้นเราก็ตกมาตรฐานสากล เป็นมาแบบนี้ 40-50 ปี ไม่เคยมีใครทํา ผมก็ต้องมานั่งคิดอีก แล้วก็มานั่งคิดว่า ตรงนี้จะแก้ปัญหาเรื่องกองทุนน้ำมันยังไง ก็ปรากฏว่ากองทุนน้ำมันไม่เคยมีกฎหมาย เพิ่งมีกันครั้งแรกเมื่อปี 2562 ซึ่งก็เป็นกฎหมายที่ไม่สมบูรณ์อีก ผมก็ต้องมานั่งคิดว่าจะวางระบบเรื่องสํารองน้ำมันประเทศยังไง แล้วก็มาเจอปัญหาเรื่องราคาน้ำมันขายปลีก 

"ผมเองก่อนมาเป็นรัฐมนตรีก็สงสัย ทําไมราคาน้ำมันมันขึ้นลงกันได้ง่ายเหลือเกิน วันนี้อ้างราคาตลาดโลกขึ้น แต่เวลาลงทําไมมันไม่ลงง่ายเหมือนตอนขึ้น ก็ปรากฏว่าไม่มีกฎหมายอีกครับ กลายเป็นว่าการขึ้นลงของราคาน้ำมัน ชาวบ้านก็ไม่เข้าใจเหมือนผมในอดีต ก็หาว่าทําไมกระทรวงพลังงานปล่อย มันไม่ปล่อยได้ไงครับ มันไม่มีกฎหมายให้อํานาจทําอะไรเลย เพราะฉะนั้น ผมก็เลยเร่งทำกฎหมายในเรื่องนี้

"ที่ผมเคยบอกไว้ว่า ผมมีบันได 5 ขั้น ผมก็ไล่มาทีละขั้นนะครับ หลังจากเรื่องของต้นทุนราคาน้ำมันซึ่งเป็นบันไดขั้นที่ 2 ผมก็ต้องรีบมาแก้ปัญหาเรื่องการที่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันสามารถทําอะไรก็ได้ตามอําเภอใจ ไม่มีกฎหมาย  ผมก็มาแก้กฎหมายเพื่อกํากับดูแลการประกอบธุรกิจการค้าน้ำมัน ซึ่งเป็นบันไดขั้นที่ 3 และตอนนี้ผมยกร่างกฎหมายนี้เสร็จแล้วครับ

"ผมขออนุญาตทําความเข้าใจนิดนะครับว่า การขออนุญาตค้าน้ำมันกับการกํากับดูแลนี่ไม่เหมือนกัน ทุกวันนี้เรามีแต่กฎหมายที่มาขออนุญาตค้าน้ำมัน แต่เมื่อเราให้อนุญาตไปแล้ว ก็อิสระเลยครับ ในขณะที่ทางด้านไฟฟ้า มีคณะกรรมการ กกพ. หรือคณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน เป็นผู้กํากับเรื่องของการประกอบกิจการ เรื่องของราคา เรื่องอื่น ๆ แต่น้ำมันไม่มี การกํากับดูแลสื่อก็ยังมี กสทช. แต่น้ำมันไม่มีครับ อันนี้เป็นเรื่องที่ประหลาด ปล่อยมาอย่างนี้ 40-50 ปี ผมคิดว่าอันนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทําให้เกิดปัญหากับพี่น้องประชาชน 

"ดังนั้น ผมก็เลยยกร่างกฎหมายที่ว่า ซึ่งตอนนี้เสร็จแล้ว และจะประชุมคณะทํางานเพื่อจะตรวจร่างที่ผมร่างขึ้นมา กฎหมายฉบับนี้จะเป็นกฎหมายใหม่ในการกํากับดูแลไม่ให้การประกอบกิจการน้ำมันของผู้ที่ได้รับใบอนุญาตค้าน้ำมันอยู่แล้ว สามารถทําอะไรได้เองตามอําเภอใจทั้งหมด แล้วสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน เราจะมีการกํากับดูแล แล้วก็จะวางระบบเรื่องกองทุนน้ำมันฯ ใหม่ ซึ่งระยะเวลาการทํากฎหมายนี้จนถึงวันนี้ ผมคิดว่าเร็วพอสมควรแล้วกับการแก้ไขปัญหาในระยะต่อไปครับ"

>> จัดตั้งระบบสำรองน้ำมันแห่งชาติ พลิกภาระหนี้สินกองทุนน้ำมันฯ ให้กลายเป็นทรัพย์สินของชาติ
"ผมกำลังทําเรื่องกฎหมายเรื่องสํารองน้ำมันของประเทศ ซึ่งผมจะเอาน้ำมันตัวนี้มาดูแลปัญหาราคาน้ำมันแทนกองทุนน้ำมันฯ เราจะมีน้ำมันมาดูแลน้ำมัน ผมจะเปลี่ยนกองทุนที่ใช้เงินและสร้างหนี้สาธารณะ ให้เป็น Asset หรือทรัพย์สินของประเทศ ต่อไปกองทุนน้ำมันฯ ที่มีน้ำมันสํารองของประเทศ จะเป็นทรัพย์สินของประเทศไม่ใช่ภาระหนี้สินอีกต่อไป ซึ่งตอนนี้ผมเริ่มต้นทําแล้วครับ”

>> ตรึงค่าไฟสุดกำลัง!! ยับยั้งความเดือดร้อนประชาชน
"เรื่องของค่าไฟฟ้า ในช่วงแรกที่ผมเข้ามาเป็นรัฐมนตรีพลังงานในรัฐบาลชุดนี้ ก็เป็นไปตามนโยบายของพรรคผม และของรัฐบาลตรงกัน คือลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าให้พี่น้องประชาชน มาถึงปั๊บเราก็แก้ไขปัญหาราคาไฟฟ้าให้อยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย ทั้งประชาชนทั่วไป และประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟฟ้าต่ำกว่า 300 หน่วยต่อเดือน แต่ว่าเราสามารถตรึงตรงนี้อยู่ได้ช่วงหนึ่ง เพราะว่าราคาแก๊สในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น พอมาช่วงที่ 2 ก็คือ ช่วงต้นปีนี้ ก็มีข่าวทันทีครับว่าไฟฟ้าจะพุ่งขึ้น

"สิ่งที่ผมพยายามทําก็คือ 'ถ้าลดไม่ได้ ก็ไม่ขึ้นครับ ต้องตรึง' แต่ว่าในช่วงแรกเรามีความจําเป็นต้องขยับราคา เนื่องจากภาระหนี้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่รับภาระหนี้แทนพี่น้องประชาชนในการที่ช่วยตรึงค่าไฟในช่วงแรกไว้ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย เขาเพิ่มสูงขึ้น เราเลยจําเป็นต้องอนุญาตขยับราคาขึ้นมาเป็น 4.18 

บาท ก็ขึ้นมานิดเดียวครับ จาก 3.99 บาท ซึ่งตอนแรกมีข่าวลือออกมาว่าจะขึ้นเยอะแยะ แต่ว่าในส่วนของพี่น้องประชาชนที่เป็นกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ก็ยังคงตรึงไว้ที่ 3.99 บาท เหมือนเดิมครับ

"หลังจากครบระยะ 4 เดือนตรงนี้ ก็มีข่าวขึ้นราคาอีก ซึ่งผมไม่อยากให้ขึ้น รัฐบาลก็ไม่อยากให้ขึ้น หรืออย่างน้อยเมื่อเราลดราคาไม่ได้ ก็ต้องตรึงไว้ที่เดิม นโยบายของเราก็ตรึงไว้ที่ 4.18 บาท ซึ่งการตรึงราคาครั้งที่สองนี้เหนื่อยกว่าครั้งแรกเยอะมากครับ เพราะอะไรครับ เพราะราคาก๊าซขึ้น ในขณะเดียวกันแก๊สในอ่าวไทยที่เราเคยผลิตได้ก็หายไปวันละ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุต แล้วยังมีปัญหาอีกหลายอย่าง ผมก็ได้ไปกําชับเรื่องการขุดแก๊สจากอ่าวไทยเพิ่ม ทำให้แก๊สปริมาณ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันที่หายไปก็สามารถกลับมาได้แล้ว และมีบริหารจัดการในอีกหลายเรื่องที่ทําให้เราสามารถตรึงราคาค่าไฟไว้ที่ 4.18 บาท ได้อีกเหมือนเดิม

"พอมาครบ 4 เดือน ในงวดที่เพิ่งผ่านมา ก็มีข่าวมาอีกแล้วว่าจะขึ้นไป 4 บาท 50-60 สตางค์ หรือไปถึง 6 บาทเลยนะครับ ตรงนี้เราก็มาบริหารจัดการ สุดท้ายผมก็ยังสามารถตรึงราคาไว้ได้ที่ 4.18 บาท แล้วคณะรัฐมนตรีก็อนุมัติให้ดูแลกลุ่มเปราะบางที่ 3.99 บาท โดยใช้เงินงบประมาณมาเหมือนเดิม  นี่ก็เป็นสิ่งที่เราทํามาในช่วงหนึ่งปีในการตรึงค่าไฟฟ้า ผมสามารถพูดได้เลยครับว่า ราคาค่าไฟในช่วงที่ผมเป็นรัฐมนตรีพลังงาน อย่างน้อยไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนนะครับ"

>> สร้างหนทางหลุดพ้นปัญหาค่าไฟแพงอย่างยั่งยืน
"ทําอย่างไรที่จะให้พี่น้องประชาชนสามารถใช้ไฟได้ถูกลง มีทางเดียวก็คือต้องใช้พลังงานที่เขาเรียกว่าพลังงานสะอาด ซึ่งก็มี 3 อย่าง คือ ลม, แดด, น้ำ ซึ่งสําหรับพี่น้องประชาชนทั่วไป วันนี้คงคุ้นเคยกับเรื่องของ Solar Rooftop หรือ การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคานะครับ 

"เพียงแต่สิ่งที่เป็นปัญหาและทําให้เกิดปัญหามาตลอดคือ ความยุ่งยากในเรื่องของการติดตั้งและการขออนุญาต ซึ่งผมกําลังจะออกกฎหมายฉบับใหม่ ตอนนี้ยกร่างเสร็จแล้วเหมือนกัน เพื่อที่จะกํากับดูแลเรื่องของการติดตั้งให้ง่ายและสะดวกขึ้น ส่วนที่ผ่านมา ทําไมมันยุ่งยาก ก็เพราะมันไม่มีกฎหมาย พอไม่มีกฎหมาย ทุกกระทรวง ทุกหน่วยงาน ก็บอกว่าเป็นอํานาจของตนเองหมดเลย ประชาชนก็วิ่งไปทั่วเลย ไปหาหน่วยงานนั้น ไปหาหน่วยงานนี้ กว่าจะติดตั้งได้ 

"เพราะฉะนั้นผมจะออกกฎหมายฉบับนี้ ภายในปลายปีนี้ ผมคิดว่ากฎหมายนี้ก็จะเสร็จตามกฎหมายน้ำมันนะครับ ก็จะทําให้พี่น้องประชาชนสามารถติดตั้งระบบ Solar บนหลังคา หรือในพื้นที่บ้านได้สะดวกและง่ายขึ้นครับ"

>> แสวงหานวัตกรรมพลังงานราคาถูกเพื่อประชาชน
"แต่ว่าเมื่อติดตั้งแล้วก็มีประเด็นต่อไปครับ วันนี้อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะเป็นระบบหลังคา Solar หรือระบบไฟฟ้า มันแพงครับ สิ่งที่ผมได้ดําเนินการในส่วนนี้ ก็คือ ให้คนที่เป็นนักประดิษฐ์คิดค้นมาดําเนินการวางระบบ Solar Rooftop ให้ประชาชนในราคาถูกครับ ปกติพลังงานแสงแดดที่มาผลิตไฟฟ้าจะใช้ได้เฉพาะกลางวัน เพราะกลางคืนไม่มีแดด ถ้าจะใช้กลางคืนจะต้องมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า แบตเตอรี่เก็บสํารอง ซึ่งแบตเตอรี่นี่แพงมากครับ อย่างน้อยก็เป็นหลักแสน 

"ดังนั้น สิ่งที่กระทรวงพลังงานโดยผมได้ดําเนินการไปก็คือ เราได้ทําการประดิษฐ์คิดค้นแบตเตอรี่ขึ้นมา ตอนนี้อยู่ระหว่างทดลอง ซึ่งเบื้องต้นผลการทดลองเป็นที่น่าพอใจ แบตเตอรี่นี้สามารถใช้กับเครื่องปรับอากาศได้ 3 เครื่อง ใช้กับตู้เย็นได้ 1 เครื่อง ในงบประมาณเพียงแค่ไม่เกิน 20,000 บาทเท่านั้น ระบบ Inverter ที่ต้องมาควบคุมระบบไฟฟ้าขายกัน 4-5 หมื่นบาท โดยเราสามารถประดิษฐ์ได้อยู่ที่ราคา 7-8,000 บาท ไม่เกินหมื่นบาท 

"ส่วนแผงโซลาร์อย่างต่ำ 160 โวลต์ ปกติจะใช้ 4 แผง แต่เราสามารถดัดแปลงใช้แค่ 2 แผง ทั้งหมดนี้น่าจะอยู่ในวงเงินประมาณ 30,000 บาท ก็สามารถใช้ไฟได้ทั้งกลางวัน กลางคืน ตอนนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนที่ผมสั่งการให้มีการทดสอบทดลองอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งผมมั่นใจว่าในรอบปีที่ 2 ที่ผมดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีพลังงาน ผมจะทําตรงนี้ออกมา และจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายให้กับพี่น้องประชาชนในราคาที่ถูก ซึ่งจะช่วยพี่น้องประชาชนให้หลุดพ้นจากปัญหาค่าไฟแพง โดยไม่ต้องจ่ายค่าไฟ แต่ใช้แสงแดดของเราแทน

>> โยกระบบแก๊สแก้ปัญหาค่าไฟ
"ส่วนเรื่องค่าแก๊สนะครับ แก๊สที่ขุดจากอ่าวไทยผมขออนุญาตเรียนว่าไม่ได้ขุดมาแล้วใช้เป็นแก๊สหุงต้มสําหรับประชาชนได้หมดนะครับ มันต้องมาแยกก่อนและส่วนหนึ่งจะเป็นแก๊สหุงต้ม แต่ที่ผ่านมามีปัญหาว่า มีการนำแก๊สจํานวนหนึ่งไปใช้ในอุตสาหกรรม แต่ใช้ราคาเดียวกับราคาของแก๊สหุงต้ม ซึ่งเป็นการกําหนดราคาแบบไม่ถูกต้อง โดยก่อนหน้านี้ก็เคยมีความพยายามที่จะแก้ไขปัญหานี้ แต่ไม่เคยมีใครลงมือทํา แต่ผมได้แก้ไขปัญหานี้ในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2566 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นปี 2567 นั่นคือ การโยกระบบแก๊สให้อยู่ถูกที่ถูกทาง โดยแก๊สที่ใช้เพื่ออุตสาหกรรมต้องอยู่ในราคาที่ถูกต้องเหมาะสม และตรงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทําให้ผมสามารถยันราคาค่าไฟไว้ได้ที่ 4 บาท 18 สตางค์ ด้วยการปรับโยกการใช้แก๊สจากอ่าวไทยให้อยู่ในราคาที่ถูกต้อง ไม่ใช่ไปใช้ราคาแก๊สหุงต้มของพี่น้องประชาชน"

>> ร่างกฎหมายกำกับดูแลราคาแก๊สหุงต้ม
“ในเรื่องแก๊สหุงต้ม เราก็ตรึงราคามาตลอดนะครับ 1 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 423 บาท ต่อ 15 กิโลกรัม มีคนร้องเรียนว่า บางร้านขายเกินราคา ซึ่งนี่ก็เป็นอีกปัญหาที่ว่า กระทรวงพลังงานไม่มีอํานาจไปกํากับดูแลตรงนี้

เพราะฉะนั้นพอย้อนกลับไปสิ่งที่ผมพูดก่อนหน้านี้ว่า ผมกําลังออกกฎหมายใหม่ในเรื่องของการกํากับดูแลเรื่องราคาน้ำมัน ก็จะครอบคลุมมาดูแลเรื่องราคาแก๊สนี้ด้วย ซึ่งจะทำให้ต่อจากนี้ไปกระทรวงพลังงานจะมีอํานาจตามกฎหมายใหม่ในการเข้าไปกํากับดูแล ไปตรวจสอบการขายแก๊สหุงต้มให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อให้อยู่ในระดับที่ไม่มีการไปโกงพี่น้องประชาชนก็ได้อีก อันนี้ก็เป็นเรื่องของกฎหมายใหม่ที่จะทําออกมา"

>> เขียนกฎหมายเอง ทำงานทุกวันถึงตี 3
"การจะเขียนกฎหมายไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเข้าใจเรื่อง และคนที่เข้าใจเรื่องก็ต้องเขียนกฎหมายเป็น  ซึ่งต้องถือว่าเป็นโชคดีอย่างนึงที่เผอิญผมเขียนกฎหมายเป็น และเข้าใจเรื่องอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นกฎหมายที่ผมพูดเมื่อสักครู่ ผมเขียนเองหมดเลย ผมใช้เวลากลางคืนทุกคืน กฎหมายที่ผมบอกว่าจะกํากับดูแลกิจการพลังงานไม่ให้มีการปรับราคากันทุกวัน แล้วก็จะดูแลไม่ให้มีการเอาเปรียบพี่น้องประชาชนในเรื่องของน้ำมัน 

"ผมเริ่มเขียนมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 หลังจากที่ผมได้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับต้นทุนราคาน้ำมัน ผมทํางานทุกวันทั้งวัน งานประจํา งานต้องเซ็น ผมไม่เคยค้าง ผมเซ็นทุกวัน ผมใช้เวลาเที่ยงคืนถึงตี 3 ทุกคืน ตั้งแต่เดือนเมษายน เพื่อร่างกฎหมายฉบับนี้ วันนี้ผมร่างเสร็จแล้ว และผมกำลังจะเชิญประชุมของคณะทํางานด้านกฎหมายของผม เพื่อตรวจสอบต่อไป กฎหมายนี้ผมร่างเองทั้งฉบับ ด้วยมือผมเอง ใช้เวลาเที่ยงคืนถึงตีสามทุกคืน"

>> ลงลึกตัวบทกฎหมายให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย
"อันดับแรกของกฎหมายก็คือ 'บทนิยาม' บทนิยามสําหรับกฎหมายอื่นไม่มีปัญหา เป็นเรื่องเบสิก แต่กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เลยครับ บทนิยามจะเป็นตัวกําหนดหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องต้นทุนราคาน้ำมันแบบไหน อย่างไร คิดอย่างไร 

"จากบทนิยามก็จะมีเรื่องของการกําหนดว่า การประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงและแก๊สจะต้องอยู่ภายในกฎหมายนี้อย่างไร กฎหมายนี้จะมีการกําหนดราคามาตรฐานอ้างอิง ว่าแต่ละเดือนราคาน้ำมันควรจะเป็นเท่าไร ถ้าหากผู้ประกอบการมีต้นทุนที่สูงกว่าราคากลางที่กําหนดออกมาตรงนี้จะต้องมาพิสูจน์อย่างไรว่า เขามีต้นทุนที่สูงขึ้นถึงจะปรับราคาได้ ไม่ใช่นึกจะปรับก็ปรับนะครับ เพราะฉะนั้นตรงนี้จะเป็นธรรมทุกฝ่าย ประชาชนก็ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ผู้ประกอบการก็ไม่ขาดทุน ขณะเดียวกันภาครัฐก็เข้าไปปรับดูแลได้

"สำหรับรูปแบบของกองทุนน้ำมันที่เป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี้ ก็จะมีวางระบบใหม่เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและบรรลุเป้าหมายมากขึ้นกว่าเดิม และจะมีเรื่องของการให้ความเป็นธรรมเกี่ยวกับการร้องเรียนต่างๆ เพราะคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องอาจกําหนดอะไรออกมาแล้วไม่ถูกต้อง ก็มีระบบที่จะสามารถตรวจสอบได้"

>> เปิดช่องน้ำมันเสรีสำหรับผู้ประกอบการ
"ที่สําคัญ ผมจะอนุญาตให้ผู้ประกอบการต่าง ๆ รวมไปถึงสหกรณ์ต่าง ๆ สามารถจัดหาน้ำมันมาใช้ได้เอง ที่ผมเคยตอบไปในสภาว่าโครงสร้างราคาน้ำมันที่ทําให้น้ำมันประเทศเราแตกต่างจากประเทศอื่น ไม่ใช่อยู่ที่เนื้อน้ำมัน แต่อยู่เรื่องนโยบายและภาษี ภาษีส่วนหนึ่งคือ ภาษี VAT ภาษี VAT อย่างน้อย 7% นะครับ ภาษี VAT จะเก็บจากการค้า แต่ถ้าเราไม่ได้เป็นการค้า เป็นการใช้ของเราเอง เอาเข้ามามันไม่มี VAT เมื่อไม่มี VAT อย่างน้อยราคาน้ำมันลดไปเลยครับ

"ผมยกตัวอย่างกลุ่มของผู้ประกอบการขนส่ง ทุกวันนี้ ผู้ประกอบการขนส่งจะต้องเติมน้ำมันก็ไปที่ปั๊ม ดูราคาขึ้นลง แต่ที่ผมเคยบอกไว้ว่าผมจะเปิดเรื่องการค้าน้ำมันเสรี ผมก็เอามาลงอยู่ตรงนี้ คําว่าเสรีของผมหมายความว่า เราจะต้องไม่ปิดกั้นประชาชน ถ้าเขาสามารถหาน้ำมันมาใช้ได้เอง ก็ต้องเปิดโอกาส แต่เขาจะหาได้หรือไม่ได้เป็นเรื่องของเขา รัฐต้องไม่ห้าม เพราะนี่คือการค้าเสรี ประชาชนต้องมีสิทธิเสรีในการหาพลังงานของตัวเองด้วย ตรงนี้จะทําให้ต้นทุนถูกลงและประหยัดเลยครับ เพราะฉะนั้น เงื่อนไขส่วนหนึ่งของกฎหมายฉบับนี้จะเปิดโอกาสให้พี่น้องเกษตรกร ซึ่งถ้ารวมตัวกันเป็นสหกรณ์ เป็นสมาคม ก็จะสามารถไปหาซื้อน้ำมันมาใช้เองได้ในราคาถูกลง

"ที่สำคัญคือเรื่องของการขนส่ง ซึ่งเป็นต้นทุนของการผลิตสินค้าหลายเรื่อง และเป็นต้นทุนการดํารงชีวิตของคน ก็จะเปิดโอกาสให้มีการตั้งเป็นสมาคม และสามารถไปหาน้ำมันมาใช้เอง ตรงนี้ก็จะหลุดพ้นจากเรื่องของการที่ต้องไปซื้อน้ำมันตามราคาที่คนนู้นประกาศ คนนี้ประกาศ เพราะฉะนั้นถ้าท่านสามารถหาน้ำมันที่ถูกกว่าในประเทศมาใช้ได้ เอาเลยครับ ผมอนุญาต เพราะตรงนี้จะช่วยลดภาระของพี่น้องประชาชนในเรื่องของต้นทุนสินค้า ลดภาระของผู้ประกอบการขนส่ง เพราะไม่ต้องไปจ่ายระบบภาษีเยอะ  

"นี่เป็นสิ่งที่ผมได้เห็นทางออกจากปัญหาที่ว่า ทําอย่างไรจะให้หลุดจากปัญหาเรื่องภาษีได้ โดยที่เราก็ไม่ได้ไปแก้กฎหมายอะไร เพียงแต่ใช้ช่องที่ว่า เมื่อไม่มีการค้า ก็ไม่ต้องเสีย VAT อย่างน้อยตรงนี้ก็ลดภาษี VAT ไปได้ 2 ช่วงนะครับ ที่ผ่านมาโครงสร้างราคาน้ำมันวันนี้โดน VAT 2 ช่วง 

"เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ประกอบการขนส่งสามารถหาน้ำมันมาเองในราคาถูกอยู่แล้ว และไม่ต้องมาเสีย VAT ต้นทุนของผู้ประกอบการขนส่งในเรื่องน้ำมันจะลดลงไปทันที แล้วเมื่อลดภาระเรื่องราคาน้ำมันแล้ว ก็ต้องลดราคาสินค้าให้ประชาชนด้วย ลดต้นทุนการผลิตด้วยนะครับ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผมดำเนินการอยู่ แต่ยังไม่จบ"

>> คุมค่าไฟหอพักให้เหมาะสมเป็นธรรม
"เมื่อกี้เราคุยกันว่า ค่าไฟเราตรึงไว้ที่ 4 บาท 18 สตางค์ ส่วนประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน คิดค่าไฟ 3.19 บาท แต่ปรากฏว่ามีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมได้รับการร้องเรียนเข้ามาก็คือ ผู้ประกอบการที่เอาไฟ 4.18 บาท ไปขายต่อ เช่น หอพัก หรือกิจการอื่น ๆ ที่ไปเก็บค่าไฟเกินกว่า 4 บาท 18 สตางค์ 

"ตามกฎหมายต้องถือว่าท่านเป็นผู้ค้าไฟฟ้านะครับ เอาไฟฟ้าหลวงไปขายถือว่าเป็นการทําการค้า แล้วก็สร้างปัญหา ไม่มีใครมาคุมในส่วนนี้ บางรายขายจาก 4.18 บาท เป็น 8 บาท หรือ 9 บาท 12 บาทก็มี อันนี้ก็ต้องยอมรับความเป็นจริงนะครับ ผมเข้าใจว่าผู้ประกอบการก็ต้องทํา แต่ขณะเดียวกันประชาชนก็เดือดร้อน ทําอย่างไรจะอยู่ในราคาที่เหมาะสม เรื่องนี้ผมได้หารือกับทางสํานักงานคณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน ก็คงจะออกเป็นมาตรการต่อไปในการช่วยดูแลปัญหาเรื่องการเอาค่าไฟไปเก็บแพงในหอพัก หรือในกิจการอื่น ๆ ซึ่งจะต้องมีการควบคุมเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับพี่น้องประชาชนกลุ่มนี้เพิ่มเติมต่อไปอีกด้วยครับ"

>> ทำทันที!! ไม่เคยกลัวอิทธิพลกลุ่มทุน 
"ผมเคยเจอคําถามว่า 8 ปีที่แล้ว 9 ปีที่แล้วทําไมถึงไม่ทํา ผมฟังแล้ว ผมรู้สึกตลกนะ 8 ปี 9 ปีที่แล้ว ผมเป็นรัฐมนตรีพลังงานหรือเปล่าล่ะครับ ผมไม่ได้เป็น ผมเพิ่งมาเป็นได้แค่ปีเดียว แล้วคนที่ถามไปอยู่ไหนมาถึงไม่รู้ว่าผมไม่ได้เป็น แต่เมื่อเป็นปั๊บ ผมก็ทําทันทีนะครับ และถ้าผมอยู่ภายใต้อิทธิพลกลุ่มทุน 1 ปีที่ผ่านมา ที่ผมพูดมาทั้งหมดเมื่อกี้ คิดว่าผมทําได้ไหมครับ ผมไม่เคยกลัวครับ ผมทํางานในทางการเมืองมา 30 ปี ผมไม่เคยกลัว และไม่เคยมีผลประโยชน์ ผมทําทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติบ้านเมืองเท่านั้น ไม่เคยกลัว ทําได้ก็ทํา ทําไม่ได้ก็จะทํา ทําให้ถึงที่สุดครับ ผมไม่เคยกลัวอิทธิพลอะไรทั้งนั้น ถ้าผมทําไม่ได้นั่นแหละครับ คือสิ่งที่ผมกลัว กลัวไม่ได้ทํา"

>> ทำงานเยอะ ไม่เครียด ถ้าเครียด ก็เริ่มใหม่ได้
"มันเป็นเรื่องปกติของคนนะ ถ้าจะบอกว่าไม่เครียด มันเป็นไม่ได้หรอก มันก็มีปัญหาที่ทําให้เราเกิดความเครียดนะครับ แต่ความเครียดของผม ส่วนใหญ่จะเกิดจากการที่บางครั้งคิดไม่ออก คิดไม่ออกว่าปัญหานี้จะแก้ยังไง ไม่ได้เครียดจากการทํางานเยอะนะครับ แต่จะเครียดจากการคิดไม่ออก ผมก็มีวิธีแก้ให้เราลดความเครียดลง เพราะผมคิดว่า เครียดไปมันก็ไม่มีประโยชน์ มันเป็นธรรมชาติของคน มันเกิดขึ้นได้ แต่เมื่อเกิดแล้วเราต้องมีวิธีแก้ปัญหาให้เราลดความเครียดลง เพื่อจะเดินหน้าต่อไปได้ ถามว่าแก้ความเครียดยังไง ก็แล้วแต่สถานการณ์นะ บางครั้งผมก็ไปเช็ดรถ ล้างรถ ขัดรถ ทําบ้าน ก็ว่ากันไป นั่งดูยูทูบบ้าง ดูเว็บไซต์เรื่องที่เราสนใจ จะได้เปลี่ยนความคิดเปลี่ยนอารมณ์ ให้สิ่งที่มันทําให้เกิดปัญหาในความคิดในสมองมันลดระดับมา แล้วก็เริ่มต้นใหม่ได้ครับ"

>> ทำให้ดีที่สุดเพื่อประชาชน
"ผมอยากเรียนว่าทั้งหมดนี้ ในระยะเวลา 12 เดือน ผมทําได้แค่นี้ ผมคิดว่าผมพอใจ และจะพอใจมากกว่านี้ถ้าทําให้เสร็จหมดภายใน 1 ปีถัดไป ผมก็จะพยายามทําให้ดีที่สุด จะพยายามปรับปรุงและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของพี่น้องประชาชนในเรื่องของพลังงานให้มากขึ้น"

"สุดท้าย ต้องขอบพระคุณพี่น้องประชาชนนะครับ เพราะว่าที่ผ่านมาในอดีตทั้งหมดที่ผมทํางานการเมืองมา ไม่เคยมีคนมาเชียร์หรือมาช่วยอะไรมาก ผมเป็นคนทํางานแบบทําในสิ่งที่ต้องทํา ไม่ใช่ทําเพราะว่าคนเชียร์ หรือว่าทําเพราะคนด่า ผมไม่เคยสนใจ แต่ในช่วงที่ผ่านมา ผมรู้สึกแปลกใจ แล้วก็ดีใจ ที่มีคนเชียร์ผมเยอะ แล้วก็สนับสนุนการทํางานผมเยอะ ส่วนหนึ่งผมจําได้ ผมเคยไปออกรายการอาจารย์ยิ่งศักดิ์ ตั้งแต่แรก ๆ ที่ผมเป็นรัฐมนตรี ผมก็บอกว่าผมจะทําเพื่อประโยชน์ประชาชน ขอให้พี่น้องประชาชนเป็นผนังกําแพงให้ผมพิง ก็ต้องขอบพระคุณทุกท่านครับ" เจ้ากระทรวงพลังงานกล่าวทิ้งท้าย

‘พีระพันธุ์’ ชี้!! ปัญหาด้านพลังงาน (น้ำมัน) หมักหมมมามากกว่าก่อนเกิดกระทรวงฯ ไม่ต่ำกว่า 40-50 ปี

🔎ตามติด 1 ปี ‘พีระพันธุ์’ ใต้หมวกเจ้ากระทรวงพลังงาน
📔อ่านบทสัมภาษณ์เต็มได้ที่ : https://thestatestimes.com/post/2024082922 

‘พีระพันธุ์’ ชี้!! ประเทศไทยไม่มีการสํารองน้ำมันในระดับ 90 วัน เป็นเหตุให้ราคาน้ำมัน ‘ขึ้น-ลง’ กันได้ง่าย

🔎ตามติด 1 ปี ‘พีระพันธุ์’ ใต้หมวกเจ้ากระทรวงพลังงาน
📔อ่านบทสัมภาษณ์เต็มได้ที่ : https://thestatestimes.com/post/2024082922 

'กองทุนน้ำมันฯ' พลังเดียวที่ 'พีระพันธุ์' ไว้ใช้แก้ปัญหาพลังงานในรอบ 1 ปี สู่การจัดตั้ง SPR เปลี่ยนหนี้หนุน ‘กองทุนฯ' ให้กลายเป็นทรัพย์สินของประเทศ

ท่ามกลางบรรยากาศของความรู้สึกคับข้องใจของบรรดาผู้ที่สนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติถึงการเข้าร่วมรัฐบาลแพทองธาร 1 แต่หลาย ๆ คนอาจ หลงลืม เพิกเฉย หรือละเลยต่อผลงานหนึ่งปีของ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ หัวหน้าพรรคฯ ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

เป็นหนึ่งปีในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของ ‘พีระพันธุ์’ ที่สร้างประโยชน์โภคผลอันมหาศาลให้เกิดกับพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งหมดทั้งมวล ด้วยการเดินหน้าเต็มที่ในการแก้ปัญหา ‘เชื้อเพลิงพลังงาน’ ที่หมักหมมมายาวนานกว่า 50 ปี ตั้งแต่วิกฤตการณ์น้ำมันของโลกในปี 1973 ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกในตอนนั้นสูงขึ้นเกือบ 300%

ด้วยตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบ กำกับ และดูแล ‘เชื้อเพลิงพลังงาน’ ไม่ได้ทำการศึกษาถึงต้นตอของปัญหาเพื่อทำการปรับปรุงแก้ไขอย่างจริงจัง อาทิ...

(1) ต้นทุนของน้ำมันเชื้อเพลิงที่แท้จริง ซึ่ง ‘พีระพันธุ์’ ได้ให้กระทรวงพลังงานออกประกาศของกระทรวงฯ ให้ผู้ค้าน้ำมันต้องรายงานข้อมูลรายละเอียดราคาและต้นทุนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการนำเข้าและการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงต่อกระทรวงฯ ทุกเดือน เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐสามารถรับรู้ต้นทุนที่แท้จริงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งระบบ 

(2) ‘ราคาน้ำมัน’ ต้องไม่ขึ้นลงรายวัน ‘พีระพันธุ์’ ได้สั่งให้มีการ ‘รื้อระบบการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง’ โดยผู้ค้าต้องแจ้งให้กระทรวงฯ ทราบก่อน และให้ผู้ค้าปรับราคาขายปลีกน้ำมันได้เพียงเดือนละหนึ่งครั้ง สิ้นสุด หมดยุคที่บรรดา ‘ผู้ค้าเชื้อเพลิงพลังงาน’ จะกำหนดราคาตามอำเภอใจ ‘พีระพันธุ์’ ได้สั่งให้มีการศึกษาข้อมูลของประเทศต่าง ๆ เพื่อเตรียม ‘สร้าง’ ระบบราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่เป็นธรรมและยั่งยืนเพื่อพี่น้องประชาชนคนไทย เพื่อนำผลสรุปการศึกษามาพิจารณาในการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ทั้งหมด

(3) แก้ไขปัญหา ‘กองทุนน้ำมัน’ ซึ่งเป็นภาระหนักของประเทศและพี่น้องประชาชนคนไทย เพราะที่มาทุกยุคทุกสมัยและทุกรัฐบาลต่างก็ใช้ ‘กองทุนน้ำมัน’ ในการอุดหนุนและชดเชยทำให้สามารถตรึงราคา ‘เชื้อเพลิงพลังงาน’ โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลและก๊าซ LPG เพราะเชื้อเพลิงทั้งสองชนิดนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ด้วยเป็นเครื่องมือในระยะสั้นเพียงชั่วคราวและต้องคำนึงถึงระเบียบวินัยทางการเงินการคลังเป็นสำคัญ แต่ในปัจจุบันการณ์กลับกลายเป็นว่า ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ ณ วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2567 ติดลบสุทธิถึง 106,843ล้านบาท

ปัจจุบัน ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ ยังเป็นเครื่องมือเพียงอย่างเดียวที่รัฐบาลใช้ในการแก้ไขปัญหาราคาเชื้อเพลิงพลังงาน เพราะไม่ว่าจะเป็น บทบาท อำนาจหน้าที่ และกฎหมายที่มีอยู่ไม่สามารถเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพได้ ‘พีระพันธุ์’ จึงจำเป็นต้องใช้ ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ เครื่องมือเดียวที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าจากวิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อเป็นการลดทอนและบรรเทาความเดือดร้อนจากราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซ LPG ของพี่น้องประชาชนคนไทยไปก่อน พร้อมกับเตรียมการจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันและก๊าซเพลิงยุทธศาสตร์ (SPR : Strategic Petroleum Reserve) ไปด้วย โดย ‘พีระพันธุ์’ จะเปลี่ยน ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ ที่ใช้เงินและสร้างหนี้สาธารณะ ให้กลายมาเป็นทรัพย์สินของประเทศ ต่อไปกองทุนน้ำมันฯ ที่มีน้ำมันสำรองของประเทศ จะเป็นทรัพย์สินของประเทศไม่ใช่ภาระหนี้สินอีกต่อไป

ทั้งนี้ SPR นอกจากจะทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านพลังงานจากการที่รัฐบาลเป็นผู้ถือครองน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองเพียงพอใช้ในประเทศได้ 50-90 วันแล้ว ยังเป็นการสร้างเสถียรภาพราคาเชื้อเพลิงอีกด้วย เพราะจะต้องมีการหมุนเวียน เข้าและออก มีการจำหน่ายถ่ายโอนให้โรงกลั่นและบริษัทที่จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงตลอดเวลา ด้วยปริมาณน้ำมันสำรองใน SPR เป็นทรัพย์สินที่รัฐบาลสามารถบริหารจัดการได้ 

ดังนั้นปริมาณน้ำมันสำรองใน SPR จะทำให้รัฐบาลมีอำนาจในการต่อรองและเพิ่มการถ่วงดุลให้กับระบบการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศอีกด้วย เพราะจะสามารถรู้ต้นทุนที่แท้จริงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาในประเทศได้ตลอดเวลา ราคาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศจะสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ณ เวลาที่ซื้อมาหรือจำหน่ายออกไป ซึ่งที่สุดจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติกับพี่น้องประชาชนคนไทยอย่างมากมาย

นอกจากนั้นแล้ว สิ่งต่าง ๆ ที่ ‘พีระพันธุ์’ ได้ทำ กำลังทำ และจะทำ อาทิ (1) ‘ค่าไฟฟ้า’ หากไม่สามารถลดราคาได้ ก็ตรึงราคาไว้ไม่ให้ขึ้น ‘ค่าไฟฟ้าในหอพัก’ ต้องเหมาะสมเป็นธรรม สนับสนุนการติด ‘โซลาร์ รูฟ’ เพื่อแก้ปัญหาค่าไฟแพงอย่างยั่งยืน (2) สนับสนุนสร้างนวัตกรรมพลังงานราคาถูก เช่น ไฮโดรเจนซึ่งจะเป็นพลังงานแห่งอนาคต (3) ‘ก๊าซหุงต้ม’ กระทรวงฯ ต้องมีอำนาจในการกำกับ ดูแล อย่างเต็มที่ (4) เปิดช่องให้ผู้ประกอบการขนส่ง ผู้ให้บริการสาธารณะกุศล รวมไปถึงสหกรณ์การเกษตร การประมง สามารถจัดหาแหล่งน้ำมันราคาถูกมาใช้ได้เอง

ระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา ‘พีระพันธุ์’ ได้พยายามทำงานอย่างหนักเพื่อพี่น้องประชาชนคนไทย ซึ่งหวังว่าจะสามารถ ‘รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง’ ปัญหา ‘เชื้อเพลิงพลังงาน’ ที่เหลือทั้งหมดให้เสร็จสิ้นได้ภายใน 1 ปี โดย ‘พีระพันธุ์’ ขอให้มั่นใจว่าจะพยายามปรับปรุงและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของพี่น้องประชาชนคนไทยในเรื่องของพลังงานให้ดีที่สุด โดยไม่กลัวอิทธิพลอะไรและไม่อยู่ใต้อิทธิพลใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ ‘พีระพันธุ์’ ฝากขอบคุณและขอให้พี่น้องของประชาชนคนไทยช่วยเป็นผนังกำแพงให้พิงเพื่อทำงานสำคัญนี้ให้สำเร็จแล้วเสร็จด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top