Sunday, 8 June 2025
พิธาลิ้มเจริญรัตน์

'พิธา' โผล่!! เวทีประชุมความเป็นผู้นำแห่งเอเชีย ประเทศเกาหลีใต้ ย้ำ!! ‘ก้าวไกล’ เป็น ‘สะพาน’ เชื่อมช่องว่างความขัดแย้งของสังคม

เมื่อวานนี้ (23 พ.ค.67) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ขึ้นเวทีเสวนาในงานประชุม Asian Leadership Conference (งานประชุมความเป็นผู้นำแห่งเอเชีย) ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้

ทั้งนี้ ระหว่างเสวนา พิธาได้ตอบคำถามจากพิธีกรหลายคำถาม เริ่มด้วยการอธิบายแนวคิดและยุทธศาสตร์ของพรรคก้าวไกลที่ทำให้ชนะการเลือกตั้ง และเหตุการณ์ทางการเมืองต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงผลกระทบต่อการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศไทย เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และบทเรียนต่อนักการเมืองและผู้นำรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมฟังการเสวนาในวันนี้

โดยพิธายังได้อธิบายถึงการต่อสู้ของประชาชนต่อระบอบอำนาจของชนชั้นนำและผลพวงของระบอบรัฐประหาร พร้อมย้ำถึงความพยายามและความจริงใจของพรรคก้าวไกลในการหาฉันทามติใหม่ของสังคมไทย

พิธากล่าวถึงช่องว่างความขัดแย้งต่าง ๆ ในสังคมไทย และย้ำว่าพรรคก้าวไกลได้เสนอตัวและมองตัวเองเป็น ‘สะพาน’ ที่เชื่อมระหว่างความขัดแย้งเหล่านี้ โดยหวังให้ผู้มีอำนาจมองถึงความจริงใจ นอกจากนี้ พิธาได้กล่าวถึงความจำเป็นในการปฏิรูปสถาบันทางการเมืองต่าง ๆ ของการเมืองไทย ด้วยความหวังที่จะลดโอกาสของความรุนแรงและการสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น

เมื่อพิธีกรถามว่าเขามองความเปลี่ยนแปลงอย่างไรในเมื่อกลุ่มหนึ่งอยากให้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อีกกลุ่มหนึ่งอาจไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งพิธาตอบว่าการเปลี่ยนแปลงต้องมีจังหวะทั้งช้าทั้งเร็วเหมือนทำนองดนตรี บางอย่างที่สำคัญก็อาจต้องเปลี่ยนแปลงก่อน บางอย่างที่ต้องใช้ความรอบคอบและใช้เวลาก็อาจจะต้องใช้เวลานานกว่า และดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ให้ทุกคนรู้สึกมีส่วนร่วมต่ออนาคตของประเทศไทยอย่างแท้จริง

จากนั้นพิธาได้เน้นย้ำถึงความฝันของคนไทย เมื่อพิธีกรถามว่าเขามองอนาคตประเทศไทยอย่างไร พิธาตอบว่าความฝันของคนไทยนั้นเรียบง่าย คืออยากเห็นครอบครัวคนไทยที่สามารถมีชีวิตที่ดี มีปากท้องที่ดี สามารถทำงานและเลี้ยงครอบครัวได้ และคนรุ่นใหม่ก็ต้องมองเห็นอนาคตของตัวเองด้วย แต่ความฝันเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากการเมืองไทยยังไม่ดี

'พิธา' ดิ้นสู้คดียุบพรรค ยัน!! ไม่มีเจตนาล้มล้าง-เป็นปฏิปักษ์ อ้าง!! ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีเขตอำนาจพิจารณา-วินิจฉัยคดีนี้

(9 มิ.ย.67) ที่พรรคก้าวไกล นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล แถลงข้อต่อสู้คดียุบพรรคก้าวไกล ว่า จุดประสงค์ของการแถลงเพื่อเน้นข้อเท็จจริงของข้อกฎหมายและคดี เพื่อสอดคล้องกับสิ่งที่เป็นข้อกังวลของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะแบ่งเป็น 9 ข้อต่อสู้ 3 หมวดหมู่

หมวดหมู่ที่ (1.) เขตอำนาจและกระบวนการ 1.ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีเขตอำนาจพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ 2.กระบวนการยื่นคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

หมวดหมู่ที่ (2.) ข้อเท็จจริง 3.คำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 31 มกราคม 67 ไม่ผูกพันการวินิจฉัยคดีนี้ 4.การกระทำที่ถูกกล่าวหา ไม่ล้มล้าง ไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ 5.การกระทำตามคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 31 มกราคม 67 ไม่ได้เป็นมติพรรค

หมวดหมู่ที่ (3) สัดส่วนโทษ 6.โทษยุบพรรคต้องเป็นมาตรการสุดท้ายเมื่อจำเป็น ฉุกเฉิน ฉับพลัน และไม่มีวิธีแก้ไขอื่น 7.ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีอำนาจตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค 8.จำนวนปีในการตัดสิทธิทางการเมือง ต้องได้สัดส่วนกับความผิด 9.การพิจารณาโทษต้องสอดคล้องกับชุดกรรมการบริหารพรรคในช่วงที่ถูกกล่าวหา

เมื่อถามว่าในข้อต่อสู้มีข้อไหนที่ไม่มั่นใจ นายพิธา กล่าวว่า มั่นใจทุกข้อทั้ง 9 ข้อ แต่ละข้อก็เหมือนด่าน บันไดที่ใช้ต่อสู่ตั้งแต่ของเขตอำนาจของศาล จนถึงบทลงโทษกรรมการบริหาร แต่เรายังเชื่อว่าทั้งเจตนา และการกระทำของ สส.ในการเข้าชื่อแก้กฎหมาย ไม่ได้เป็นการล้มล้าง และไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ รวมถึงการกระทำต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเป็นนายประกัน สันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน การที่มีผู้ต้องหามาตรา 112 เป็นสมาชิกพรรค เป็น สส.ก็ยังไม่สิ้นสุดคดี รวมถึงการแสดงออกเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ก็กระทำทั่วไปโดยนักการเมืองในตอนนั้น โดยสภาพบังคับที่มีเรื่องเกี่ยวข้องอยู่แล้ว

“สุดท้ายการกระทำทุกอย่างเป็นเรื่องของรายบุคคลที่ขยุมรวมกันเป็นข้อกล่าวหา ไม่ได้มาจากมติพรรค ไม่ได้เป็นเรื่องของนิติบุคคล แต่เป็นเรื่องของปัจเจก ไม่ได้มีความเห็นที่ออกมาจากกรรมการบริหารว่าทั้งหมดเป็นการกระทำของพรรค ต้องแยกระหว่างบุคคลธรรมดากับนิติบุคคล นั้นต่างกัน ซึ่งที่มีเป็นมติของพรรคออกมาคือการบรรจุเป็นนโยบายหาเสียง แต่ไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ได้ เพราะกกต.เองก็อนุญาต ซึ่งหลักเดียวกับตอนที่ยุบพรรคไทยรักษาชาติ ก็ไม่ได้มีจดหมายเตือน ไม่มีคำถามมาว่านโยบายนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรอย่างที่พรรคอื่นโดน” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวว่า ยืนยันตรงนี้ว่าไม่ได้มีเจตนา และไม่มีข้อกฎหมายที่เอาผิดทั้ง 44 คนที่เข้าชื่อในการแก้ไขกฎหมาย ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นจริง และไม่ได้เข้าสภา และถึงแม้จะได้เข้าสภา ระบบนิติบัญญัติก็มีการเช็คแอนด์บาลานซ์เบรคในตัวเองอยู่ จะเบรคโดยกกต.ก็ได้ จะเบรคโดยสภาในการโหวตวาระ 1 , 2 , 3  หรือขั้น สว. และยังมีเวลาให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในตอนสุดท้าย เพราะฉะนั้นไม่มีความเร่งด่วนสำคัญอะไรที่ต้องใช้มาตรการรุนแรงอย่างนี้ 

‘พิธา’ ไม่กังวล กระแสแก้รัฐธรรมนูญให้เป็น สส. เขตล้วน 500 คน เพื่อสกัด ‘ก้าวไกล’ ลั่น!! ไม่ว่าเกมจะเป็นยังไง เราก็ชนะ ในเกมที่เขาดีไซน์ให้เราแพ้มาโดยตลอด

(23 มิ.ย.67) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.แบบบัญชีรายชื่อและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทยระบุว่ามีความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ สส. มีที่มาจากระบบเขตทั้งหมด 500 ที่นั่ง ตัดระบบบัญชีรายชื่อออกไปทั้งหมดเพื่อสกัดพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งเป็นข้อมูลจากเพื่อนฝูงในพรรคเพื่อไทย

นายพิธา กล่าวว่า ก่อนจะตอบต้องบอกว่า เมื่อวานนี้ตนปฎิบัติภารกิจที่จังหวัดอุดรธานี และยังไม่มีโอกาสได้ฟังข้อมูลดังกล่าว จึงยังไม่ทราบบริบททั้งหมด แต่ในหลักการคือการแก้รัฐธรรมนูญจะต้องแก้โดยให้ประโยชน์ตกอยู่ที่ประชาชน ไม่ควรแก้เพื่อให้ประโยชน์ตกอยู่ที่นักการเมือง เป็นหลักที่สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นต้องเน้นว่า “การแก้รัฐธรรมนูญคือการคืนอำนาจให้กับประชาชนในระยะยาว” และทำให้ประชาชนมีสิทธิ์มีเสียงมากที่สุด ไม่ใช่แก้เพื่อให้พรรคหนึ่งได้ประโยชน์กับการแก้รัฐธรรมนูญ

เมื่อถามว่าการแก้ไขไปในทิศทางดังกล่าว มีความเป็นไปได้มากน้อยขนาดไหน นายพิธา กล่าวว่า สิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริงในสมัยที่แล้ว คือการแก้ไขสัดส่วน สส.แบบแบ่งเขต จาก 350 คนเป็น 400 คน และปรับสัดส่วน สส.แบบบัญชีรายชื่อจาก 150 คน เหลือ 100 คน และมีการปรับวิธีการคำนวณ 

“เพราะฉะนั้นผมไม่ได้กล่าวหาว่าจะทำให้พรรคได้พรรคหนึ่งได้ประโยชน์ เพราะยังไงที่ผ่านมาพรรคของเราก็ชนะอยู่ดีถึงแม้ว่าจะมีการแก้ ดังนั้นถ้าหลังจากนี้จะมีการปรับสัดส่วนจาก 400 คนให้มีมากขึ้นไปอีก ผมมองว่ามีความเป็นไปได้ในสภา” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวว่า ตนขอยึดหลักสำคัญว่าการแก้รัฐธรรมนูญมีความจำเป็น รัฐธรรมนูญปี 2560 คือระเบิดเวลา หากจะแก้ต่อไปต้องเอาประชาชนเป็นตัวหลักและให้ประชาชนได้ประโยชน์ อย่าให้พรรคใดพรรคหนึ่งได้ประโยชน์มากกว่ากัน หากกฎหมายสูงสุดของประเทศทำให้การเลือกตั้งหรือการเข้าสู่อำนาจไม่ยุติธรรมและเอนเอียง จะกลายเป็นระเบิดเวลาลูกต่อไป แทนที่จะสามารถแก้ระเบิดเวลาได้ก็จะก่อให้เกิดความขัดแย้งใหม่ในที่สุด

นายพิธา กล่าวว่า สำหรับพรรคก้าวไกล ไม่กังวลใจอะไร เพราะเอาประชาชนและประเทศเป็นที่ตั้งมาก่อนความสามารถในการแข่งขันของพรรคเสมอ

“เราเชื่อในตัวเราว่า ในอดีตที่ผ่านมาไม่ว่ารูปแบบเกมจะเป็นยังไง เราก็ชนะในเกมที่เค้าดีไซน์ให้เราแพ้มาโดยตลอด” นายพิธา กล่าวทิ้งท้ายes

‘พิธา’ ปลื้ม ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ ยกเป็นผู้ทำคุณูปการให้ชาติ  ชี้!! เป็นการแสดงออกให้ชาติอื่น ได้รู้ถึงความสามารถของคนไทย

(30 มิ.ย.67) ที่อาคารอนาคตใหม่ ที่ทำการพรรคก้าวไกล นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึง MV ของ ‘ลิซ่า’ ที่โด่งดังจนทำเยาวราชแตก ว่า ตนได้ฟังแล้ว ทุกอย่างเป็นระดับโลกทั้งหมด ทั้งคำร้องที่เป็นภาษาอังกฤษและคำแร๊ป รวมไปถึงเทคนิคการถ่ายทำ ถือเป็นผลงานระดับโลกที่ตนในฐานะคนไทยก็ภูมิใจ ขณะเดียวกัน ก็มี ‘Local Content’ จำนวนมาก และแม้เป็นผลงานระดับโลก แต่การประสานงาน การเต้นหรือคนที่อยู่ในภาพประกอบ ของ Music Video ก็เป็นคนไทยทั้งนั้น ต้องขอชื่นชมไปยังคุณลิซ่าและบริษัทด้วย ที่ทำให้ประเทศไทยได้รับความสนใจ อย่างน่าเหลือเชื่อ และที่ผ่านมาไม่มีบุคคลใดทำได้เท่านี้ ซึ่งน่าจะทำให้เกิดการรับรู้ เพราะการที่คุณลิซ่า ร้องว่า Can you teach me Japanese? I said, ไฮ ไฮ

“มันก็เป็นการแสดงให้คนภูมิภาคอื่น รู้ว่าในเอเชียมีหลายเชื้อชาติ มีความเป็นคนไทยอยู่ด้วย เป็นการเอาคนไทย เอาความสามารถไทย เอานักเต้นไทย ได้ข่าวว่า ช่างทำเล็บหรือช่างแต่งหน้าก็เป็นคนไทยด้วย” นายพิธา กล่าว

เมื่อถามว่ารัฐบาลสามารถนำโมเดลของลิซ่ามาผลักดันเป็น Soft Power ได้หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า การที่ Power จะเป็น Power ที่ Soft ได้มันยัดเยียดหรือประดิษฐ์ประดอยไม่ได้ และอย่างที่ 2 ถ้าอยากถอดบทเรียน คือคุณลิซ่ารู้ว่าโลกต้องการอะไร แล้วย้อนกลับมา เขาเป็น Outside in ไม่ได้เป็น Inside out แบบที่เรานิยามความเป็นไทยกัน บังคับให้ทุกคนเสพความเป็นไทยตามที่เราต้องการ แต่เขาดูว่าความต้องการของโลกและเทรนโลกเป็นอย่างไร แล้วเขาค่อยกลับมาทำในมุมมองของเขา แล้วค่อยนำเสนอ เลยกลายเป็นอำนาจที่อ่อนจริงๆ

เมื่อถามว่า ในมุมของพรรคก้าวไกล จะเอาปรากฏการณ์นี้ไปต่อยอดให้เกิดประโยชน์อย่างไร นายพิธา กล่าวว่า ในระยะสั้น เมื่อลิซ่าทำคุณูปการให้กับประเทศไทย ขนาดนี้แล้ว ดังนั้นต้องไปเตรียมเรื่องการท่องเที่ยวให้ดี เพราะในส่วนของ Demand ไม่มีปัญหาคนอยากมาท่องเที่ยวอยู่แล้ว คนนิยมชมชอบกรุงเทพฯอยู่แล้ว อย่างสมุยก็เป็นเกาะระดับต้นๆของโลก อาหารก็เป็นระดับต้นๆ แต่สิ่งที่ต้องเตรียมคือ Supply ดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว และการให้ข้อมูลหลายภาษา ทำให้ไกด์ไทย มีโอกาสเข้าไปอยู่ในโซ่มูลค่า เราว่าต้องมานั่งคิดแล้วในเมื่อคุณลิซ่าทำคุณูปการ รัฐบาลจะรับลูกอย่างไร อย่าทำให้สาธารณูปโภค หรือการท่องเที่ยวเข้มแข็ง และทำให้เม็ดเงินการท่องเที่ยวกระจายออกไม่ใช่กระจุกตัว

การวางเส้นทาง ถ้าคุณจะมา Rock Star Tour ต้องมาเริ่มต้นที่เยาวราช เสร็จแล้วจะเอาสตอรี่อะไรต่อ ให้เขาสามารถไปที่อื่น ที่เขาจะไม่ไปตั้งแต่ตอนแรก ทำให้เขาอยู่ได้นานขึ้น ไม่ใช่อยู่แค่ 3-4 วันแล้วกลับ รวมถึงมีสินค้าท้องถิ่นให้นักท่องเที่ยวซื้อกลับ ไม่เช่นนั้นเวลากินเบียร์ก็กินเบียร์ฝรั่ง โซ่มูลค่าไม่ตกถึงคนไทย ตนเชื่อว่า กทม. รัฐบาล ก็รับลูกทำอยู่

นายพิธา ยังกล่าวว่า สิ่งที่ลิซ่าทำถือเป็นพรสวรรค์ และพรแสวง เพราะกว่าจะมาถึงวันนี้ได้เขาต้องต่อสู้มาอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นภาษาทักษะการร้องเต้น เวลามองตัวไม่ได้มองแค่ปลายทางที่เขาประสบความสำเร็จ แต่ขอชื่นชมเขาในสิ่งที่ต่อสู้และผลักดันมาตลอด จนกระทั่งมาเป็นแบบนี้ ยืนยันว่า ตนไม่ได้โหน แต่คิดว่าทั้งหมดทั้งมวล ควรจะสร้างระบบนิเวศให้พรสวรรค์ไทย ที่มาจากบุรีรัมย์ มาจากสตูล มาจากเชียงใหม่ สามารถอยู่ในประเทศแล้วประสบความสำเร็จได้ นักการเมืองควรจะคิดเช่นนั้นมากกว่า

เมื่อถามว่า ‘เขาว่าทำถึง’ นายพิธา ยิ้มแล้วกล่าวว่า ‘ทำเกิน’

‘พิธา’ ลงพื้นที่ ‘ชุมชนบุญร่มไทร’ รับฟังปัญหาเช่าที่การรถไฟ ชี้!! ควรให้ระยะผ่อนนานกว่านี้ เปรียบต่างชาติยังได้สิทธิ 99 ปี

(26 ก.ค. 67) ที่ชุมชนบุญร่มไทร กทม. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย สส.พรรคก้าวไกล อาทิ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ, นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร, นางสาวธิษะณา ชุณหะวัณ และ นายเอกกวิน โชคประสบรวย สก.เขตราชเทวี พรรคก้าวไกล ลงพื้นที่ชุมชนบุญร่มไทร เขตราชเทวี ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายชุมชนคนเมืองผู้ได้รับผลกระทบรถไฟ เพื่อรับฟังปัญหา

โดยนายพิธา ระบุว่า ต้องการผลักดันการแก้ปัญหาการเช่าที่ดินกับรัฐ มองว่าควรจะได้เช่าระยะยาว เพราะขนาดคนต่างชาติยังได้เช่า 99 ปี และ กทม.นั้นทำงานได้อย่างไร้รอยต่อ ระหว่างท้องถิ่น สามารถทำงานร่วมกับ สส.ในการผลักดันปัญหาในระดับชาติได้

"ผมเสียดายที่ไม่ได้เข้าทำเนียบรัฐบาล ไม่ได้มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ไม่มีรัฐมนตรี ไม่มีอำนาจบริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ไม่เช่นนั้นก็พอจะแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้"

นายพิธา กล่าวต่อว่า การให้เช่าที่การรถไฟโดยผ่อน 3,000 บาทต่อปี ถือว่าสั้นเกินไป เมื่อเทียบกับต่างชาติอยู่ได้ 99 ปี ขณะที่ชนชั้นกลางทั่วไป สามารถผ่อนบ้านที่อยู่อาศัยได้ 30 ปี จนถึงเกษียณ แต่ตรงกันข้ามคนที่ถูกไล่ที่ ควรที่จะให้ระยะเวลาผ่อนยาว และยืดหยุ่นให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ ซึ่งก็เข้าใจวิถีชีวิตของชาวบ้านถ้าให้ไปอยู่ตึกสูงของการทำมาหากิน การค้าขายเป็นปัญหา

ด้านตัวแทนชุมชน ระบุว่า ชุมชนนี้ได้รับการแก้ปัญหา เพราะขณะนี้สามารถเช่าที่การรถไฟบริเวณริมบึงมักกะสันได้ทั้งหมดกว่า 7 ไร่แล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนการขออนุญาตก่อสร้างและขอใบอนุญาตเข้าพื้นที่ โดยจัดตั้งสหกรณ์เรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดเป็นความสำเร็จจากการผลักดันของเครือข่ายชุมชนคนจนเมืองผู้ได้รับผลกระทบรถไฟ และพีมูฟที่ช่วยผลักดันเรื่องนี้

‘ช่อ พรรณิการ์’ ชี้!! 18 ทูตต่างชาติ รู้มารยาททางการทูตดี ฟาก ‘รัชดา’ โต้กลับ รู้มารยาท แต่ก็ต้องใช้อยู่บนพื้นฐานความเข้าใจบริบททางสังคมนั้นๆ ด้วย

(6 ส.ค. 67) จากรายการ ‘กรรมกรข่าว คุยนอกจอ’ ดำเนินรายการโดย ‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา’ ได้สัมภาษณ์ ‘ช่อ-พรรณิการ์ วานิช’ กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า และอดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ และต่อสายสนทนาสดกับ ‘รัชดา ธนาดิเรก’ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ถึงกรณี ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล มีภาพถ่ายร่วมกับทูตต่างประเทศ และมีข้อมูลว่าจะเชิญทูตจำนวน 18 ประเทศมาร่วมฟังการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรค 

โดยในบางช่วงบางตอน ช่อ-พรรณิการ์ ได้กล่าวถึงประเด็นการมีมารยาททางการทูตว่า “ในเรื่องความรู้อันเกี่ยวกับมารยาททางการทูต ดิฉันเชื่อว่าบรรดาทูต 18 ประเทศมีไม่น้อยกว่าคุณรัชดาหรอก และมีมากกว่าดิฉันแน่นอน…

“ดิฉันก็ไม่คิดว่าดิฉันมีความรู้เรื่องมารยาท หรือวิธีการอันนุ่มนวลในการดําเนินการระหว่างประเทศเทียบเท่ากับทูต 18 ประเทศนี้ เพราะนั่นเป็นอาชีพของเขา ไม่ใช่อาชีพของดิฉัน เพราะฉะนั้นดิฉันว่าเรื่องมารยาท ทุกคนโดยเฉพาะคนที่เขาเป็นเอกอัครราชทูตของประเทศ ที่เป็นประเทศชนชั้นนําระดับโลกเขาทราบ…

“คุณสรยุทธ คุณไบร์ท เป็นนักข่าวก็ย่อมรู้เรื่องจรรยาบรรณวิชาชีพนักข่าว ดิฉันเป็นนักการเมืองก็รู้เรื่องจรรยาบรรณวิชาชีพของนักการเมือง นักการทูตย่อมรู้จรรยาบรรณวิชาชีพของนักการทูต อนุสัญญากรุงเวียนนาทุกคนก็ต้องอ่านว่าหน้าที่ทางการทูตมันมีอะไรบ้าง”

ต่อมาทางด้าน ‘รัชดา ธนาดิเรก’ ก็ได้กล่าวตอบกลับระหว่างสนทนากันว่า “ประเด็นที่คุณช่อบอกว่าทูตเจ้าหน้าที่ทูต 18 ประเทศ เขารู้ดีอยู่แล้วว่ามารยาททางการทูตคืออะไร ความรู้ที่ใช้บนอคติ ใช้บนฐานความคิดของเขาเพียงด้านเดียว ไม่เอามาประยุกต์ใช้กับบริบทสังคมไทย วัฒนธรรมไทย กฎหมายไทย อันนี้ดิฉันก็ไม่เชื่อว่าความรู้ในเรื่องมารยาทจะสามารถนํามาใช้ได้อย่างถูกต้องและเป็นที่ยอมรับ…

ประเด็นมันอยู่ที่ว่าวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญกําลังวินิจฉัยว่าพฤติกรรมของพรรคก้าวไกล ที่ศาลท่านเคยวินิจฉัยไปแล้วว่าเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทําลายสถาบัน ซึ่งอันนั้นคือสถาบันหลักในระบอบประชาธิปไตย ศาลกําลังจะวินิจฉัยในทางใดทางหนึ่ง ไม่มีใครรู้ แต่ท่านเคยวินิจฉัยไปแล้วว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทําลาย ดังนั้นจึงจําเป็นที่จะต้องมีการวินิจฉัย ทําไมต่างชาติไม่เข้าใจในเรื่องตรงนี้ พฤติกรรมที่เคยเกิดขึ้นในอดีตมันเซาะกร่อนบ่อนทําลายเสาหลักของประชาธิปไตย…

“แล้ววันนี้ศาลรัฐธรรมนูญคืออํานาจตุลาการเป็นอํานาจอธิปไตย เรากําลังจะใช้ คุณมายุ่งอะไร ดิฉันย้ำไม่ใช่ปฏิเสธสิทธิในการเห็นต่างของชาติอื่น ๆ เห็นต่างได้ แต่ไม่ใช่หน้าที่ที่จะต้องมาแสดงออกในสถานการณ์วันนี้ แบบนี้ โพสต์เช่นนี้ อันนี้แย่หนักเข้าไปใหญ่ คุณจะเอาข้อมูลที่คุณได้รับทราบจากการพูดคุยกับนักการเมือง และไปประเมินสถานการณ์กับรัฐบาลของคุณ ทําได้ เป็นสิ่งที่ต้องทําอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่มาโพสต์ว่าการที่ศาลรัฐธรรมนูญกําลังจะวินิจฉัย ใช้อํานาจศาลตัดสินคดีที่มันเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญเป็นวิกฤติ อันนี้มันไม่ใช่เรื่องจะต้องทํา”

'อี้-แทนคุณ' เห็นใจ 'พิธา' ในฐานะหัวอกคนเป็นพ่อ ห่วงอนาคตลูก แต่คิดอะไรอยู่? ตอนฉวยอนาคตลูกคนอื่นให้ไปด่าพ่อของแผ่นดิน

(8 ส.ค. 67) ดร.แทนคุณ จิตต์อิสระ อดีตประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกบทความถึงกรณีที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้ให้สัมภาษณ์หลังพรรคก้าวไกลถูกยุบพรรคและกรรมการบริหารถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี ว่า...

ฟังคลิปนี้ของคุณพิธาแล้วเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อที่รักและห่วงลูกที่สุด ถึงขนาดหลั่งน้ำตาเมื่อคิดถึงอนาคตของลูกเขา ห่วงเรื่องสิทธิเด็ก ห่วงนั่นห่วงนี่ห่วงยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง ผมเข้าใจความรู้สึกตรงนี้ของพ่อทิม พิธาดีครับ และขอให้กำลังใจในส่วนนี้ รวมทั้งผมได้เคยแสดงจุดยืนว่าไม่เคยเห็นด้วยกับการยุบพรรคใด ๆ เลย 

แต่ถ้าได้ฟังแล้วได้คิด คิดก่อนว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้างนะ ความห่วงใยที่ต้องมีถึงลูกของพ่อแม่คนอื่นที่เขาต้องเป็นห่วงลูกของเขาไหม ว่าจะเป็นอย่างไรกับการที่มีกระบวนการทางการเมืองแบบของคุณหรือไม่ที่ไปนำ 'เด็ก ๆ' ออกจากอ้อมกอดของพ่อแม่ ด้วยการผลิตสื่อ การสนับสนุนจัดชุมนุม การชี้นำประเด็นการเมืองตามใจที่คุณต้องการโดยเฉพาะการดูหมิ่น ด้อยค่า อาฆาตมาดร้ายต่อผู้ที่หลายคนสถาปนาให้เป็น 'พ่อ' ของแผ่นดิน พ่อของชาติ ไปจนถึงกลายเป็นการลดทอนความมั่นคงของชาติที่ควรปกป้องคุ้มครองให้ถึงที่สุดจากลูก ๆ เหมือนกัน

คุณและพวกคุณทำอย่างไรกับลูกของครอบครัวพวกเขาบ้างหรือ คุณนำเด็ก 10 ขวบขึ้นเวทีปราศรัย พูด Hate Speech คุณและพวกของคุณทำอย่างไรกับ 'หยก' ยังไม่นับรวมเยาวชนกลุ่มต่าง ๆ ที่ควรจะมีอนาคตที่สดใสหากไม่มีความพยายามทำการเมืองแบบมุ่งเป้าไปที่เด็กและเยาวชน 

'น้ำตา' ของคุณมันน่าจะมีส่วนผสมของความเป็นมนุษย์ มีจิตวิญญาณแห่งความรักและห่วงใยลูกในฐานะพ่อแม่ อย่างเต็มเปี่ยม ไม่ต่างจาก น้ำตาของพ่อแม่คนอื่น ๆ ที่รินไหลหลั่งรินออกมาเมื่อเวลาที่เขาห่วงใยลูกหลานของเขา 

มีไหมนะประเทศไหนในโลกที่ปล่อยให้มีการเมืองแบบสุดโต่ง โยงลงไปหาเด็กเยาวชนแบบเกลียดชังต่อสถาบันหลักของชาติจนแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างวัยภายในครอบครัว จนเกิดผลกระทบเมื่อต้องมีคดีเพราะทำผิดกฎหมายแบบที่มีอยู่

พวกคุณรู้อยู่แก่ใจว่าหลายเรื่องผิดกฎหมายคุณทำอะไรให้พวกเขาบ้าง นอกจากปลุกปั่นพวกเขาต่อไป สนับสนุนการทำผิดจนต้องติดคุกบ้าง หนีไปบ้าง หมดอนาคตบ้าง และตายบ้าง เว้นพวกเขาบ้างไม่ได้หรือ

หรือเขาไม่ใช่ลูกคุณ เพียงเพราะคุณไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี คุณต้องร้องไห้ ลูกของคนที่ต้องติดคุก ต้องตาย (อย่างบุ้ง ขออภัยเอ่ยถึง) และอีกหลาย ๆ คน คุณทำอะไรได้บ้าง

คนของคุณเอาเงินยัดใส่มือ ไปประกัน ไปเชียร์ไปเป่าหู ไปปลุกปั่นสนับสนุนแกนนำเยาวชน ให้เขาสู้เพื่อกระแสพวกคุณหรือไม่ผมไม่อยากวิจารณ์อีก เพราะผมตั้งใจถอยจากการเมืองแล้ว

แต่ผมอินกับเรื่องเด็กและเยาวชนมาก ผมไม่อยากว่าหรือซ้ำเติมคุณและพวกของคุณแต่หวังว่าบทเรียนครั้งนี้จะสร้างสำนึกใหม่ของพวกคุณว่า...

"อย่าเล่นการเมืองแบบสุดโต่งกับเด็ก ๆ จนกลายเป็นลัทธิคลั่งความก้าวร้าว"

เพื่อพ่อแม่คนอื่นจะไม่ต้องร้องไห้แบบที่คุณร้องอีกต่อไป

‘พิธา’ เริ่มบทบาทใหม่ที่ ‘Harvard’ ในฐานะ Visiting Democracy Fellows ลั่น!! ไม่ได้หายไปไหน แค่รอวันกลับมาเป็นนักการเมืองที่ดีกว่าเดิม

(21 ส.ค. 67) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีต สส. และหัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Pita Limjaroenrat - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ พร้อมแนบลิงก์บทสัมภาษณ์จากเว็บไซต์ BLOOMBERG.COM โดยระบุว่า…

"ก้าวต่อไป กับ บทบาทใหม่ของผมที่ Harvard ในฐานะ Visiting Democracy Fellows หวังว่าจะไปแชร์ประสบการณ์การเมืองให้คนรุ่นใหม่ และ เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ รอวันกลับมาเป็นนักการเมืองที่ดีกว่าเดิมครับ ไม่ได้หายไปไหนนะ ไป ๆ มา ๆ ระหว่าง บางกอก กับ บอสตัน ครับ"

'เพจดัง' ขยายความ Visiting Democracy Fellowship ที่ Harvard ของ 'พิธา' สรุปแล้ว ไปเป็นนักเรียน ไม่ได้ไปเป็นอาจารย์ และไม่น่าใช่การถูกเชิญ

(21 ส.ค. 67) เพจ 'วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

#ทุกคนคะ ขอกันเข้ามาเยอะ ประเด็น คุณพิธา ในฐานะ Visiting Democracy Fellowship ที่ Harvard หมายความว่าอะไร 

#หนูจะเล่าให้ฟัง

1. ต้องสมัครค่ะ เท่าที่อ่านดู ไม่มีอธิบายเรื่องการเชิญ โดยทั่วไปคือต้องสมัคร มีค่าใช้จ่าย ไม่แน่ใจว่าจะมีกรณีเชิญพิเศษหรือไม่นะคะ

2. ต้องเป็นนักเรียน ป.เอก หรือ PhD Vandidate (คือนักเรียน ป.เอก ที่สอบ Proposal ผ่านแล้ว) หรือ มีประสบการณ์ (Professional Experienc

3. Consider เป็น Full-Time Student ค่ะ จะสมัครเรียนได้ ต้องติดต่ออาจารย์ที่มหาลัยก่อน ให้อาจารย์รับ ถึงจะสมัครได้ แล้วจะขึ้นตรงกับภาควิชาใดภาควิชานึงของมหาลัย (Process แบบนี้ถือเป็นวิธีการสมัครเรียน ป.เอก ของอเมริกาแบบปกติค่ะ)

4. ไม่ต้องลงเรียนวิชาใดแล้ว (แต่ถ้าอยากเรียน ก็สามารถลงเรียนแบบ Audit ได้) ให้ทำเฉพาะงานวิจัยของตัวเอง เป็น Independent Research ในหัวข้อของตัวเอง จะถูก Required ให้เข้าฟังสัมมนาของมหาลัย (ซึ่งเป็นปกติของ นร. ป.เอก เช่นกัน)

5. เป็นโปรแกรมระยะสั้น ไม่เกิน 1  ปี หากครบกำหนดต้องสมัครใหม่เอง ไม่ต่อโปรแกรมอัตโนมัติ ไม่ได้วุฒิ ป.เอก แต่ได้ประกาศนียบัตร

#สรุปสั้นๆ

คุณพิธา สมัครเรียน Graduate Student ค่ะ เหมือน นักเรียน ป.เอก/PhD candidate ที่เรียน coursework ครบหมดแล้ว หรือ Postdoc และ ทำแต่งานวิจัยของตัวเองค่ะ เป็นโครงการทำวิจัยระยะสั้น และ มีกิจกรรมทำตามที่ Harvard จะให้ทำ และเป็น Non-Degree ค่ะ

ทั้งนี้ ทางเพจ ได้ตรวจสอบ พบอีกว่า นานพิธา น่าจะสมัครไว้ก่อนแล้ว เพราะถ้าไปปีนี้ ก็จะตรงกับเปิดเทอมเดือน ก.ย.ที่จะถึงนี้ (Fall: Sep 2024 - May 2025)

‘ผู้ว่าฯ ชัชชาติ’ เจอ!! ‘พิธา’ โดยบังเอิญ ขณะปั่นจักรยาน เลียบริมคลองแสนแสบ

เมื่อวานนี้ (22 พ.ย. 67) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊ก ‘ชัชชาติ สิทธิพันธุ์’ ขณะออกจากบ้านย่านทองหล่อเพื่อไปประชุมที่ มศว.ประสานมิตร ด้วยการปั่นจักรยานเลียบคลองแสนแสบ โดยในระหว่างทักทายประชาชนริมทางไปด้วย แต่ที่เซอร์ไพรส์ คือเจอกับ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ที่ปั่นจักรยานไปส่งลูกเหมือนกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top