Sunday, 8 June 2025
ประเทศไทย

'ดร.ตั้น' ยัน!! 'โครงการแลนด์บริดจ์' ไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นเรื่องจริง เผย!! นักลงทุนสนใจมาก แต่ต้องใช้เวลาตัดสินใจที่ไม่ใช่แค่เดือนสองเดือน

(13 พ.ค. 67) นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคม ในฐานะโฆษกกระทรวงคมนาคม ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวโต้ นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ปมโครงการแลนด์บริดจ์ โดยยืนยันไม่ต้องนอนฝัน แต่เป็นเรื่องจริง!! ระบุว่า...

ผมเห็นข่าวที่นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีต สส.บัญชีรายชื่อ ออกมาโพสต์ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว โดยระบุว่า...

“แลนด์บริดจ์ ระนอง-ชุมพร ฝันที่ยากจะเป็นจริง” 

บอกได้เลยว่า เป็นการยุแยงที่อาจจะทำให้ประชาชนและนักลงทุนเข้าใจผิดไปกันใหญ่

ผมในฐานะโฆษกกระทรวงคมนาคม คิดว่าปล่อยไว้ไม่ได้ เลยต้องออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงกันสักหน่อย เพราะหลังจากที่ผมได้สัมผัส และเห็นข้อมูลจริง ประกอบกับสอบถามมาจากผู้รู้จริง พบว่า สันนิษฐานที่นายสามารถออกมาเผยแพร่นั้น ไม่สะท้อนกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เหมือนตั้งข้อสังเกตกันลอ ๆ และจะทำให้ประชาชนเข้าใจผิด!!

ผมอยากอธิบายผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ส่งต่อไปยังพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกท่านว่า โครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมทะเลอ่าวไทย-อันดามัน หรือที่เรารู้จักกันดีว่า 'โครงการแลนด์บริดจ์' เชื่อมต่อ 2 ท่าเรือ คือ 'ชุมพร-ระนอง' ที่รัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทย อยู่ระหว่างการผลักดันโครงการฯ นั้น เพราะมองเห็นว่า หากโครงการนี้ดำเนินการสำเร็จแล้ว จะช่วยสร้างประโยชน์ให้กับพี่น้องประชาชน และประเทศชาติอย่างสูงสุด

'โครงการแลนด์บริดจ์' ถือเป็นโครงการที่ออกแบบมาเพื่อลดระยะเวลาการขนส่งตู้สินค้าทางเรือ และสร้างผลกำไรให้กับผู้ประกอบการสายเรือ อีกทั้งผู้ประกอบสายเรือในแต่ละราย จะมีกลยุทธ์ต่าง ๆ รวมถึงศึกษาและวิเคราะห์เพิ่มเติม ก่อนตัดสินใจมาร่วมลงทุนในโครงการฯ อยู่แล้ว ทั้งในส่วนของระยะเวลา ต้นทุน และความคุ้มค่า โดยจากการคำนวณในทุกมิติอย่างครบถ้วนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยืนยันว่า สามารถช่วยลดต้นทุน และระยะเวลาในการขนส่งสินค้า หลีกเลี่ยงความแออัดของช่องแคบมะละกา ตามที่มีการคาดการณ์ที่เชื่อว่า ปริมาณการขนส่งจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

และที่เขาแจ้งว่า การขนส่งสินค้าจากเรือฝั่งหนึ่งขึ้นรถบรรทุกหรือรถไฟไปอีกฝั่งหนึ่ง พอไปถึงจะต้องขนจากรถบรรทุกหรือรถไฟลงเรืออีก จะทำให้เสียเวลานานมาก อันนี้ก็เกิดจากกรอบความคิดการขนส่งแบบเดิม ๆ ที่จะต้องขน ซึ่งจากการที่ท่านรองนายกรัฐมนตรี สุริยะฯ ได้เดินทางไปดูการขนถ่ายสินค้าด้วยระบบอัตโนมัติที่เกิดขึ้นจริงในท่าเรือและรถไฟนั้นสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ในปัจจุบัน

ไม่เพียงเท่านั้น 'โครงการแลนด์บริดจ์' ยังเป็นโอกาสครั้งสำคัญในการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ระดับภูมิภาค ทั้งในเชิงพาณิชย์ และเชิงยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงมหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดียเข้าด้วยกัน สามารถช่วยลดระยะเวลาการขนส่งทางทะเล และต้นทุนด้านโลจิสติกส์ เกิดเป็นศูนย์กลางการขนส่ง และการค้าแห่งใหม่ของโลกด้วย

อีกหนึ่งหัวใจที่สำคัญ คือ โครงการแลนด์บริดจ์ จะเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ต่อคนไทยทุกคน ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างความเจริญ เปิดโอกาสให้กับพื้นที่ภาคใต้ และภาคต่าง ๆ ของไทย รวมทั้งยังจะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่สามารถสร้างโอกาสให้กับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคด้วย

แล้วที่บอกว่า โครงการแลนด์บริดจ์ 'เนื้อหอม' ก็ต้องยอมรับว่า เนื้อหอมจริง ๆ หลังจากที่ท่านนายกฯ ท่านรองนายกฯ 'สุริยะ' ได้เดินหน้าไปโรดโชว์ และประชาสัมพันธ์โครงการให้นานาประเทศได้รู้จักโครงการฯ เพิ่มมากขึ้น พบว่า ขณะนี้มีนักลงทุนที่มีศักยภาพจากหลายประเทศ ต่างให้ความสนใจโครงการฯ อาทิเช่น สหรัฐอเมริกา, สหภาพยุโรป, ญี่ปุ่น, กลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง 

และอย่างที่ท่านนายกฯ เศรษฐา ว่าโครงการขนาดใหญ่ขนาดนี้ นักลงทุนคงไม่ได้ตัดสินใจจะลงทุนในระยะเวลาเดือน สองเดือนครับ

ขอเน้นย้ำครับว่า การขับเคลื่อนโครงการแลนด์บริดจ์จะต้องคนที่มีวิสัยทัศน์ ที่จะสามารถมองภาพของการขนส่งทางทะเลของโลกทั้งระบบออก จึงจะเห็นถึงโอกาสมหาศาลของประเทศไทย ไม่ใช่คนที่มองแค่ภาพของการขนส่งภายในประเทศยึดติดความคิดเดิม ๆ ตามประสบการณ์ส่วนตัวที่แคบและขาดความเข้าใจเท่านั้นที่พูดอธิบายยังไงก็ ไม่มีวันเข้าใจเพราะไม่มีความรู้พื้นฐานดีเพียงพอ ซึ่งแตกต่างจากนักลงทุนต่างประเทศที่อยู่ในแวดวง อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ของโลก ต่างก็มองเห็นถึงโอกาสมหาศาลนี้ออก และรอเพียงแค่ว่าประเทศไทยจะมีความพร้อมที่จะประกาศเชิญชวนให้เข้ามาลงทุนเมื่อไหร่ ก็พร้อมจะเข้ามาเสนอตัวลงทุน

ปัญหาในปัจจุบันคงจะมีเพียงแต่คนในประเทศเท่านั้นที่พยายามจะด้อยคุณค่าของโครงการลง เพื่อประโยชน์ส่วนตน

และล่าสุด คือ ตามที่ท่านรองนายกฯ สุริยะ ได้เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นการ และได้โรดโชว์โครงการแลนด์บริดจ์ด้วยนั้น พบว่า บริษัท China Harbour Engineering ได้ให้ความสนใจเป็นอย่างมากถึงมากที่สุด เรียกได้ว่า “ไม่ได้เงียบกริบ” อย่างที่นายสามารถเข้าใจผิดอย่างแน่นอน งานนี้! อาจจะมีคนเงิบ และรอฟังข่าวดีได้เลย 

นอกจากนี้ ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นโครงการที่ถูกหยิบยกมาหาเสียงเมื่อถึงคราวเลือกตั้งเท่านั้น แต่เป็นโครงการที่รัฐบาลได้เร่งให้เกิดเป็นรูปธรรม แถมยังเคยมีนักวิชาการออกมายืนยันอีกว่า ประเทศไทยตั้งอยู่ใจกลางคาบสมุทรอินโดจีน และเมื่อโครงการแลนด์บริดจ์เกิดขึ้น จึงมีความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ และได้รับผลประโยชน์ด้านการขนส่งสินค้าของช่องแคบมะละกาที่ในปัจจุบันมีแนวโน้มการขนส่งเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ส่วนประเด็นโครงการและเกิดขึ้นหรือไม่นั้น จะขอนำกำหนดไทม์ไลน์ของโครงการฯ ที่ระบุไว้ชัดเจน มาเปิดเผยให้ดูว่า หลังจากนี้ จะมีการสรุปข้อมูลจากการเดินทางไปโรดโชว์ รวมทั้งขอเสนอแนะจากนักลงทุนจากทั่วทุกมุมโลกต่าง ๆ มาประกอบการจัดทำร่างประกวดราคา พร้อมทั้งจะมีการออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) และจัดตั้งสำนักงาน SEC โดยคาดว่า จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการฯ ได้ภายในไตรมาส 2/2569 ก่อนเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกผู้ลงทุน และเริ่มก่อสร้างระยะที่ 1 แล้วเสร็จภายในปี 2573

สรุป!!
การดำเนินโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล ได้พิจารณาถึงความเหมาะสม และความคุ้มค่าที่จะเกิดขึ้น อย่างละเอียดรอบคอบ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของพี่น้องประชาชน และประเทศชาติเป็นสำคัญ และผมมั่นใจว่า ‘โครงการแลนด์บริดจ์’ จะมีนักลงทุนต่างชาติ มาร่วมลงทุนอย่างแน่นอน เพราะเป็นโครงการสำคัญ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ผลักดันให้ 'ประเทศไทย' ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งและการค้าแห่งใหม่ของโลกครับ

‘ลัทธิบูชารัฐธรรมนูญ’ เมื่อกฎหมายสูงสุดกลายเป็น ‘ของขลัง’ แห่งยุคสมัย | THE STATES TIMES Story EP.148

ลัทธิบูชารัฐธรรมนูญ' เกิดขึ้นโดยการรังสรรค์ของคณะราษฎร ด้วยการทำให้รัฐธรรมนูญกลายเป็น 'ของขลัง' มีพิธีกรรมประกอบเฉพาะ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรบูชา มีสถานะที่สูงส่งกว่ากษัตริย์ เพื่อรองรับฐานอำนาจของระบอบใหม่ ทำทุก ๆ อย่าง เพื่อให้ประชาชนได้รู้จักรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ทำอย่างเดียวคือ ทำให้ประชาชนได้รู้ว่ารัฐธรรมนูญคือ 'กฎหมาย'

จนกระทั่ง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้นำบ้านเมืองของเราเข้าสู่ยุค 'เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย' การยึดเอา 'รัฐธรรมนูญ' เป็นของขลัง ของสำคัญจึงค่อย ๆ มลายหายไป

'นทท.ญี่ปุ่น' โดนชาร์จค่า 'ตุ๊กตุ๊ก' จากเหมา 1,500 เป็น 1,500 ต่อคน ด้านกรมขนส่งฯ เรียกตัวผู้ก่อเหตุ ปรับ 2,500 พักใบอนุญาตขับขี่ 90 วัน

(14 พ.ค.67) จากเพจ 'World Forum ข่าวสารต่างประเทศ' ได้โพสต์ข้อความโดยอิงจากแอปพลิเคชัน X (ทวิตเตอร์) ของชาวญี่ปุ่นที่ชื่อ 'Ryo Ishii' ซึ่งมีเนื้อหาโดยสรุป ว่า...

🛺 ค่าตุ๊ก ๆ 6,000 บาท
จากอโศก มา ถนนธนิยะ
ตุ๊ก ๆ เรียกคนละ 1,500 บาท
รวม 4 คน 6,000 บาท

#เจ้าหน้าที่ตรวจสอบด่วน

**ตุ๊ก ๆ และ แท็กซี่ มักเรียกเหมาเกินจริง

ปัญหาใหญ่ของการท่องเที่ยวไทย ในกลุ่มท่องเที่ยวมักรีวิวให้เลี่ยงการใช้บริการ และให้ใช้ผ่านแอปพลิเคชันแทน (กระทบแท็กซี่ตุ๊ก ๆ ที่ดี)

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางกรมการขนส่งทางบก ได้เปิดเผยว่า ตามที่มีสื่อสังคมออนไลน์ชื่อ Ryo Ishii ผ่านแอปพลิเคชัน x ลงข้อความว่าได้ใช้บริการรถสามล้อรับจ้าง (ตุ๊กตุ๊ก) โดยเรียกรถจากสุขุมวิท ซอย 18 ไปยังห้างธนิยะ พลาซ่า (สีลม) โดยผู้ขับรถได้เรียกเก็บค่าโดยสาร จำนวน 4 คน เป็นเงิน 6,000 บาท โดยอ้างว่าฝนตกจึงเรียกราคาดังกล่าว เหตุเกิดเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2567 เวลาประมาณ 19.00 น. https://twitter.com/peronen/status/1789996247530545329 นั้น

กรมการขนส่งทางบกได้ดำเนินการตรวจสอบแล้ว พบว่ารถที่ถูกร้องเรียนเป็นรถสามล้อรับจ้างหมายเลขทะเบียน สก 4727 กท มีสหกรณ์สามล้อรัตนโกสินทร์ จำกัด เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ มีนายภูมิมเรศ ผารัตน์ เป็นผู้ขับรถในวันเกิดเหตุ โดยในวันนี้ (14 พ.ค. 67) กรมการขนส่งทางบกได้เรียกตัวผู้ขับรถได้มารายงานตัวเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริง โดยผู้ขับรถให้การยอมรับว่า ได้กระทำการตามที่ปรากฏตามสื่อจริง

กรมการขนส่งทางบกพิจารณาแล้ว เห็นว่าเป็นการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 จึงลงโทษดังนี้...

1. ความผิดเกี่ยวกับการเก็บค่าโดยสารตามมาตรา 22 ประกอบมาตรา 60 เปรียบเทียบปรับ เป็นเงิน 2,000 บาท (สองพันบาทถ้วน)

2. ความผิดเกี่ยวกับการแต่งกาย ตามมาตรา 5(15) ประกอบมาตรา 58 เปรียบเทียบปรับ เป็นเงิน 500 บาท (ห้าร้อยบาทถ้วน)

3. พักใช้ใบอนุญาตขับรถ เป็น ระยะเวลา 90 วัน

4. ส่งตัวเข้ารับการอบรมจิตสำนึกการให้บริการที่ดีแก่ผู้โดยสาร จำนวน 3 ชั่วโมง

'นักข่าวเทวดา' กระตุกสังคมถึงคนที่เรียกร้องความเป็นคนจากอีกฝ่าย  ทั้งๆ ที่ฝ่ายตนเอง ไม่เคยนึกถึงด้านมืดที่พวกตนเคยทำมาก่อน

(15 พ.ค.67) นายประวิตร โรจนพฤกษ์ นักเคลื่อนไหว และผู้สื่อข่าวข่าวสดภาคภาษาอังกฤษ เจ้าของฉายานักข่าวเทวดา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Pravit Rojanaphruk' ระบุว่า...

วันนี้เห็นหลายคนฝั่งต้าน 112 เรียกร้องให้อีกฝั่งมีความเป็นมนุษย์ในการแสดงปฎิกริยาต่อการตายของบุ้ง 

แต่หลายคนกลับมองไม่เห็นตอนที่ฝ่ายตนจำนวนหนึ่งแสดงออกโดยการหัวเราะสะใจต่อการตายหรือเจ็บปางตายของคนที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมเขาเทิดทูน 

>> เมื่อไหร่เราจึงจะสามารถเลิกปิดตาข้างหนึ่ง มองด้านเดียว เวลาเรียกร้องความเป็นคนจากอีกฝ่าย หรือทำเป็นมองไม่เห็นด้านมืดของฝั่งตนเอง 

#ป #บุ้งทะลุวัง #ม112

‘ดร.เอ้’ มอง ‘สิงคโปร์’ ใต้การนำของนายกฯ เจนสี่ ‘ลอว์เรนซ์ หว่อง’ ‘สร้างคน-ชาติ-สังคม’ ใต้ข้อจำกัด เชื่อ!! ไทยก็ทำได้ อยู่ที่ ‘ผู้นำ’

(16 พ.ค. 67) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ‘ดร.เอ้’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม. ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก 'เอ้ สุชัชวีร์' ในหัวข้อ 'ผู้นำไทย ควรเรียนรู้จากสิงคโปร์' ระบุว่า...

การสร้างคน สร้างชาติ สร้างสังคม ภายใต้ข้อจำกัด อย่างมหัศจรรย์ #เราทำได้

'ลอว์เรนซ์ หว่อง' ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเจนสี่ ของสิงคโปร์ ประกาศต่อยอด 'คัมภีร์สร้างชาติ' จากผู้นำ 3 รุ่นที่ผ่านมา โดยเฉพาะจาก 'รัฐบุรุษลี กวนยู'

นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ทุกรุ่น เน้นการ 'สร้างคน' สำคัญที่สุดเสมอ โดย 'ลอว์เรนซ์ หว่อง' จะทำอะไรต่อจากนี้ น่าเรียนรู้ยิ่ง...

1. 'แสวงหาคนเก่ง' จากทั่วโลก
ลีกวนยู นายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์ ได้นักเศรษฐศาสตร์ชาวเนเธอร์แลนด์ ช่วยวางรากฐานทางเศรษฐกิจ ได้นักการทหารอิสราเอล ช่วงวางรากฐานกองทัพ ขณะเริ่มสร้างประเทศสิงคโปร์

'คนเก่ง' มาจากชาติไหนไม่สำคัญ ขอให้มาอยู่ มาช่วยพัฒนาสิงคโปร์ ชาติก็เจริญ

อีกทั้ง จำนวนประชากรสิงคโปร์ เติบโตไม่ทัน 

ลอว์เรนซ์ หว่อง จึงมุ่งให้ทุนการศึกษาเด็กมัธยมต้น จากชาติอาเซียน โดยเฉพาะ 'เด็กไทยชั้นยอด' ให้ไปเรียนมัธยมปลาย มหาวิทยาลัย จบออกมาทำงานในสิงคโปร์ และให้สิทธิ์เป็นพลเมือง พร้อมพ่อแม่ 

แม้ประเทศไทย อาจน่าอยู่ แต่คุณภาพการศึกษา สิ่งแวดล้อม และโอกาสได้งานที่ท้าทาย อาจไม่โดนใจคนรุ่นใหม่ เท่ากับสิงคโปร์ เราจึงสูญเสียยอดเด็กไทยไปอยู่สิงคโปร์เพิ่มขึ้นทุกปี

2. 'เน้นปัจจัยสี่' สำคัญที่สุด
อาหาร เครื่องนุ่งห่ม บ้าน และยารักษาโรค คือ ปัจจัยสี่ คือ พื้นฐานของชีวิต แต่ความท้าทาย คือ แม้พลเมืองจะมีรายได้สูง แต่อาหารและค่าครองชีพสูงขึ้นทุกวัน รัฐบาลสิงคโปร์จะลดค่าครองชีพได้อย่างไร 

คนรุ่นใหม่ก็ไม่มีกำลังซื้อบ้าน เพราะที่ดินมีจำกัด ทำให้บ้านราคาสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก 

ลอว์เรนซ์ หว่อง เกิดในบ้านการเคหะ ที่ริเริ่มโดย ลี กวนยู เมื่อ 50 ปีก่อน ผมเคยไปเยี่ยมเมื่อครั้งเป็นประธานการเคหะแห่งชาติ หลายปีก่อน บ้านการเคหะสิงคโปร์แม้ห้องขนาดเล็ก แต่น่าอยู่ สิ่งแวดล้อมดี แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ และบ้านการเคหะสิงคโปร์ก็ไม่ได้ราคาถูกในวันนี้

ลอว์เรนซ์ หว่อง สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ มีบ้านของตนเอง ไม่เป็นหนี้เยอะ โดยให้แต้มต่อ คนเพิ่งเริ่มต้นทำงาน ได้ผ่อนบ้านในราคาพิเศษ ที่รัฐช่วยอุดหนุน

ด้านสาธารณสุข สิงคโปร์ประกาศเป็นผู้ผลิตเทคโนโลยีการแพทย์ และยารักษาโรค พึ่งพาตนเองและส่งออกได้ เพื่อความมั่นคงทางสุขภาพ และลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้ามหาศาล

เมื่อคนรุ่นใหม่มีบ้านของตนเอง ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ไม่ก่อหนี้เกินตัว ย่อมมีพลังในการทำงาน สร้างเศรษฐกิจเข้มแข็ง

3. 'สิ่งแวดล้อมดี คุณภาพชีวิตดี' คือ ลมหายใจของเมือง
สิงคโปร์ มีโรงงาน มีท่าเรือ มีโรงเผาขยะ แต่แทบไม่มี PM 2.5 จากภายในประเทศ และพื้นที่สีเขียว 66 ตารางเมตรต่อคน มากกว่ากทม. 10 เท่า! 

ลอว์เรนซ์ หว่อง ประกาศว่า คุณภาพชีวิตของคนสิงคโปร์ ตื่นนอนสดชื่น เดินมาขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้า ไม่เกิน 5 นาที กลับบ้านตรงเวลา รถไม่ติด 'น้ำไม่ท่วม' มีเวลากับลูกและครอบครัว ความปลอดภัยต้อง 100% 

เพราะถึงแม้มีเงิน แต่หากสิ่งแวดล้อมไม่ดี คุณภาพชีวิตก็ไม่ดี สิ่งแวดล้อมดีจึงทำให้สิงคโปร์เป็นเมืองที่น่าอยู่ น่าทำงาน

4. 'สร้างสังคมนวัตกรรม' คือ ความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ
ลอว์เรนซ์ หว่อง จะต่อยอดนโยบาย ตามอดีตนายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง ในการเปลี่ยนเศรษฐกิจของสิงคโปร์ จากเมืองท่าสู่บริการการเงิน จากบริการการเงินสู่การส่งออกเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยมุ่งสร้างคนจำนวนมาก ด้าน AI คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการแพทย์ และพลังงานทดแทน อย่างจริงจัง

เพราะเศรษฐกิจในอนาคต จะรุ่งเรืองได้ ต้องมาจาก 'เศรษฐกิจนวัตกรรม' ที่อาศัยพลังสมองชั้นยอดของพลเมือง สิงคโปร์จึงต้องเน้นเรื่องการสร้างคน

แม่ของ ลอว์เรนซ์ หว่อง เป็นครูประถม ผู้ทุ่มเทกับการเรียนของลูก จนลูกได้เรียนปริญญาตรีและปริญญาโท ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐ ก่อนกลับมาทำงานการเมือง เป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษา เป็นนายกรัฐมนตรี

จึงมั่นใจการขับเคลื่อน เรื่องการศึกษา ในยุคนายกฯ ลอว์เรนซ์ หว่อง น่าจะก้าวกระโดดเช่นกัน

เมื่อเรียนรู้จากสิงคโปร์แล้ว นายกรัฐมนตรีประเทศไทย ควรเร่งทำ 4 เรื่องนี้เช่นกัน ต้องไม่ทำงาน 'ฉาบฉวย' แม้แต่เรื่องเฉพาะหน้า ยังแก้ปัญหาไม่เบ็ดเสร็จ

'การศึกษาไทย' ยังวังเวง แทบไม่มีการพัฒนา เพราะนายกฯ ไม่ใส่ใจ 'โรงงานสารเคมี' ถูกปล่อยไว้ ไฟไหม้ซ้ำซาก ทำลายสิ่งแวดล้อม 'บ่อนเสรี' มีเมื่อไม่พร้อม จะกำลังจะมาทำลายอนาคตลูกหลาน 'ยาเสพติด' เต็มเมือง เปิดร้านขายกัญชาได้ที่หน้าโรงเรียน 

อนาคตไทย อยู่ที่ 'ผู้นำ' จะทำเพื่อชาติ หรือ ทำเพื่อตนเองและพวกพ้อง

ด้วยความห่วงใย และรักชาติยิ่ง

'CHANGAN' ตั้งเป้าปีหน้าใช้ชิ้นส่วนในไทย 60% ป้อนโรงงาน คว้า 'ไทยซัมมิท-ซัมมิท-อาปิโก้' รับงานล็อตแรก 2 หมื่นล้าน

เมื่อวานนี้ (16 พ.ค.67) นายเซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซาท์อีสเอเชีย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อฉางอาน (CHANGAN) เปิดเผยว่า ได้จับมือกับผู้ผลิตชิ้นส่วนของไทย เช่น ซัมมิท, ไทยซัมมิท และอาปิโก้ โดยได้มีการวางแผนจัดซื้อรวมกว่า 20,000 ล้านบาท สำหรับการผลิตรถไฟฟ้ารุ่นแรกของเรา ซึ่งจะเริ่มผลิตในประเทศไทยตั้งแต่ต้นปีหน้าด้วย

ล่าสุดบริษัทเข้าร่วมงาน Subcon Thailand 2024 เพื่อช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศ โดยเฉพาะ SMEs ไทย ให้เข้าไปสู่ซัพพลายเชนกลุ่มอุตสาหกรรมของฉางอาน เพื่อยกระดับให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของโลกอีกด้วย

โดยงาน Subcon Thailand 2024 เป็นงานแสดงชิ้นส่วนอุตสาหกรรม และจับคู่ธุรกิจชั้นนำของอาเซียน โดยปีนี้ถือเป็นก้าวสำคัญสู่การเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรม โดยทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ได้นำ 7 ค่ายรถยนต์ไฟฟ้า รายใหญ่ที่ลงทุนในไทยเข้าร่วมงาน และฉางอานได้มีโอกาสร่วมแชร์ประสบการณ์ และเผยถึงทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าผ่านกิจกรรม 'BOI Symposium : EV Supply Chain'

ปัจจุบันฉางอานมีการจัดตั้งบริษัทในประเทศไทย 3 แห่ง มีการลงทุนมูลค่าสูงถึง 8.8 พันล้านบาท ในส่วนฐานการผลิตจังหวัดระยอง ซึ่งจะครอบคลุมกระบวนการการผลิตยานยนต์ทั้งหมดตั้งแต่การเชื่อม การพ่นสี การประกอบแบตเตอรี่ไปจึงถึงการประกอบขั้นสุดท้าย โดยระยะที่ 1 มีกำลังการผลิตอยู่ 100,000 คันต่อปี ในไตรมาสแรกของปี 2025 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 200,000 คันในปีถัดไป

ทั้งนี้ฉางอานวางเป้าหมายในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเปิดตัวยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่มากกว่า 15 รุ่นให้กับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าชาวไทย ภายใต้ยุทธศาสตร์ ในการขับเคลื่อนธุรกิจ คือการสร้างระบบห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นซึ่งมุ่งเน้นไปที่การทำธุรกิจในต่างประเทศ มีความเปิดกว้าง และโปร่งใส เป้าหมาย คือ เพื่อให้ห่วงโซ่อุปทานสามารถให้บริการทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

บริษัทตั้งเป้าในการใช้ชิ้นส่วนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมากกว่า 60% และสนับสนุนผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย และทำให้ประเทศไทยกลายเป็นห่วงโซ่อุปทานรถที่ใช้พลังงานใหม่ (New Energy Vehicle-NEV) ในอุตสาหกรรมนี้ด้วย

อ.พงษ์ภาณุ ชี้!! 'ก๊าซเรือนกระจก-คาร์บอน' กำลังมีค่าเสมือนทองคำ แนะรัฐบาลเร่งส่งเสริมสังคมไทยเปลี่ยนคาร์บอนให้กลายเป็นเงิน

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'เปลี่ยนคาร์บอนให้เป็นเงิน' เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

วันนี้คาร์บอนฯ ไม่ได้เป็นเพียงของเสียที่ทำให้โลกร้อนอีกต่อไป...

ความพยายามของประชาคมโลกในการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยอิงกลไกตลาดในการกำหนดราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) ได้ทำให้ก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งคาร์บอนมีคุณค่าเสมือนทองคำ หน่วยงานต่าง ๆ ทั่วโลก รวมทั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ของประเทศไทย มีการจัดตั้งขึ้นมาเพื่อรับรองคาร์บอนเครดิต ซึ่งมีผลเท่ากับเป็นการเปลี่ยนสภาพคาร์บอนให้เป็นเงินตราและ/หรือหลักทรัพย์

เป็นที่น่ายินดีที่วันนี้เทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมได้ช่วยให้โครงการลดก๊าซเรือนกระจกเกิดขึ้นมากมายทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย เทคโนโลยีดูดกลับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage-CCS) ได้แสดงให้เห็นศักยภาพในการลดคาร์บอนในปริมาณมาก แม้จะยังคงมีต้นทุนค่อนข้างสูงอยู่ บริษัท ปตท.สผ. ได้ลงทุนจำนวนมหาศาลจัดทำระบบ CCS ที่แท่นขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ แหล่งอาทิตย์ กลางอ่าวไทย ซึ่งคาดว่าจะสามารถลดคาร์บอนไดอ็อกไซด์ได้ถึงประมาณ 700,000 ถึง 1 ล้านตันต่อปี นับเป็นโครงการ CCS โครงการแรกของประเทศไทย

โครงการภูมิปัญญาผ้าไทยลดโลกร้อน เป็นอีกโครงการที่สมควรกล่าวถึง ผ้าไทยทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นผ้าไหมหรือผ้าฝ้ายไทย ที่เกิดจากการถักทอของชาวบ้านทั่วประเทศ จากนี้ไปจะใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดเลิกการใช้สารเคมี และได้รับการรับรอง Carbon Footprint โดย อบก. (องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก) จะสามารถนำไปแสดงและวางขายในงานแสดงสินค้าในสหรัฐอเมริกาและยุโรปได้ ซึ่งจะเป็นช่องทางการตลาดและรายได้ของชาวบ้านอย่างมากมาย นอกจากนี้ กระบวนการถักทอผ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสามารถทำเป็นโครงการลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อสร้างคาร์บอนเครดิตเป็นรายได้เสริมให้ชาวบ้านอีกด้วย

เมื่อเร็ว ๆ นี้ สถาบันคาร์บอนแห่งเอเชีย (Asia Carbon Institute-ACI) ซึ่งมีถิ่นฐานอยู่ที่สิงคโปร์ ได้ทำความร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และบริษัท Green Standards เพื่อวิจัยและพัฒนา Biochar ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ผ่านกระบวนการทางเคมี และเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงในการดูดซับคาร์บอนจากอากาศและสามารถฝังลงใต้ดินเพื่อกักเก็บได้เป็นระยะเวลายาวนาน โครงการนี้นอกจากจะช่วยลดเลิกการเผาซากวัสดุการเกษตร ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาฝุ่น PM 2.5 แล้ว ยังจะช่วยสร้างคาร์บอนเครดิตและรายได้เสริมให้เกษตรกรอีกด้วย

สิงคโปร์ภายใต้ทีมบริหารชุดใหม่ นำโดยนายกรัฐมนตรี Lawrence Wong ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วสู่การเป็นศูนย์กลางการซื้อขายคาร์บอน (Carbon Trading Hub) ของเอเชีย 

ประเทศไทยซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานในด้านนี้ที่ดีพอสมควร ก็ไม่ควรที่จะรีรอที่จะเดินหน้าสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในเอเชียในเรื่องการลดคาร์บอน รวมทั้งรัฐบาลให้การส่งเสริมในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการลด/ยกเว้นภาษี การให้เงินอุดหนุน รวมทั้งการออกกฎหมายภาคบังคับ และการเก็บภาษีคาร์บอน ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้ไทยเดินหน้าไปกับสิงคโปร์ในฐานะ Carbon Hub แห่งเอเชีย

‘ศูนย์วิจัยกสิกรไทย’ ฟัน!! ศก.ไทย ปี 67 พ้นจุดต่ำสุดแล้ว คาด!! ‘งบรัฐฯ-ท่องเที่ยว-ส่งออก’ ดัน ศก. ครึ่งปีหลังขยายตัว

(21 พ.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘BTimes’ ได้โพสต์ข้อความ “ฟันธงเศรษฐกิจไทยไม่แย่ไปกว่านี้แล้ว เศรษฐกิจไทยปี 67 พ้นต่ำสุดแล้ว แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ลดเป้าคาดการณ์ปี 67 ลงเหลือ 2.6%” พร้อมระบุเนื้อหาเพิ่มเติมว่า…

ไม่มีแย่! กสิกรไทยฟันธงเศรษฐกิจไทยปี 67 พ้นต่ำสุดแล้ว เปิด 3 ปัจจัยดันเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง แต่ลดเป้าคาดการณ์ปี 67 ลงเหลือ 2.6%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/2567 ขยายตัวที่ 1.5% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีผ่านมา และหากเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าขยายตัวที่ 1.1% เมื่อเทียบช่วงไตรมาสก่อนหน้านี้ โดยแม้ว่าจะออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด แต่ก็ถือขยายตัวอยู่ในระดับต่ำ โดยปัจจัยกดดันหลักมาจากการลงทุนภาครัฐที่หดตัวลงอย่างมากเนื่องจากการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้าถึงเดือนเม.ย. 2567 ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาคก่อสร้างและภาคอุตสาหกรรม โดยภาคการผลิตอุตสาหกรรมยังคงชะลอลงต่อเนื่อง

ขณะที่ผลผลิตทางการเกษตรออกสู่ตลาดน้อยกว่าช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้าจากผลกระทบของสภาพอากาศที่ร้อนจัดและภัยแล้ง ขณะที่การส่งออกไทยหดตัวจากปีก่อนหน้าเนื่องจากปัจจัยฐานสูง ประกอบกับการสูญเสียความสามารถทางการแข่งขันของสินค้าไทยที่ส่งผลให้การส่งออกไทยฟื้นตัวช้า 

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/2567 มาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ขยายตัวดีต่อเนื่อง โดยส่วนหนึ่งได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ

ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและมีแนวโน้มทยอยขยายตัวในอัตราที่เร่งขึ้นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากการเบิกจ่ายงบประมาณจากทางภาครัฐที่มีทิศทางเร่งตัวขึ้นหลังจากงบประมาณปี 2567 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนเม.ย. 2567 นอกจากนี้ การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีนี้

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยปีนี้ที่ 36 ล้านคน ขณะที่แม้ว่าการส่งออกมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า แต่เนื่องจากผลจากปัจจัยฐานที่อยู่ในระดับสูงของปีก่อนหน้าคงมีลดลง ส่งผลให้การส่งออกไทยมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้ในไตรมาสที่เหลือของปีนี้

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2567 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีมุมมองต่อเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอลงกว่าที่ประเมิน โดยปรับลดคาดการณ์การขยายตัวเติบโตจาก 2.8% มาอยู่ที่ 2.6% จากปัจจัยดังต่อไปนี้ การลงทุนและการบริโภคภาครัฐมีแนวโน้มหดตัวมากกว่าที่เคยคาด จากตัวเลขในไตรมาส 1/2567 ที่หดตัวลึกกว่าคาด แม้จะมีการเร่งเบิกจ่ายในช่วงที่เหลือของปีนี้ แต่คาดว่าจะไม่เร่งตัวมากพอที่จะชดเชยการหดตัวในช่วงไตรมาส 1/2567 ได้

การส่งออกไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่เคยคาด ตามทิศทางการค้าโลก ท่ามกลางภาคการผลิตทั่วโลกที่ยังอ่อนแรง ประกอบกับมีความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ อีกทั้งการส่งออกไทยเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างจากความสามารถทางการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลกที่ลดลง ส่งผลให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับลดคาดการณ์ลงจาก 2.0% เป็น 1.5% ด้านภาคการผลิตยังมีแนวโน้มอ่อนแรงต่อเนื่อง จากอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอลงและอุปสงค์นอกประเทศที่ฟื้นตัวช้า ประกอบกับการเข้ามาตีตลาดของสินค้าราคาถูกจากจีน

ผลผลิตทางการเกษตรได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่รุนแรง สภาพอากาศที่ร้อนจัดได้ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรในไตรมาส 1/2567 และคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางเกษตรบางส่วนในไตรมาส 2/2567 ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลังภาวะลานีญาอาจส่งผลให้เกิดฝนตกชุกและอุณหภูมิปรับลดลง แต่ก็มีความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดภาวะน้ำท่วมขังได้ในบางพื้นที่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรได้

ติดตามผลกระทบหากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาททั่วประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของผู้ประกอบการ และอาจมีผลต่อไปยังการจ้างงานและการลงทุนในประเทศ ส่วนมาตรการกระตุ้นทางการคลังในประเทศยังมีความไม่แน่นอน โดยแม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่ภาครัฐอาจออกมาตรการกระตุ้นในช่วงปลายปีนี้ แต่ผลต่อเศรษฐกิจไทยยังคงมีความไม่แน่นอน ทั้งนี้ ประมาณการเศรษฐกิจไทยของศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้คำนึงถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของภาครัฐไปบางส่วนแล้ว

‘ไทย’ ขึ้นแท่น ‘ฐานการผลิตรถยนต์’ เบอร์ 1 ของอาเซียน ผลพวงจากการส่งเสริมของภาครัฐที่มีมาอย่างต่อเนื่อง

เมื่อวานนี้ (20 พ.ค.67) ดร.เกรียงศักดิ์ วงศ์พร้อมรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา ตลาดยานยนต์ในไทยมีมูลค่ารวมกว่า 3 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 18% ของ GDP ของประเทศ การส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ของภาครัฐที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์อันดับ 10 ของโลก อันดับ 5 ของเอเชีย และอันดับ 1 ของอาเซียน

โดยเฉพาะยานยนต์สันดาปภายใน ที่ไทยเป็นฐานการผลิตมายาวนานและภาครัฐให้ความสำคัญ โดยมุ่งเน้นการผลิตยานยนต์สันดาปภายในที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงสูงและมีอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับต่ำ พร้อมตั้งเป้าหมายภายในปี 2030 ไทยจะมีสัดส่วนการผลิตยานยนต์สันดาปภายใน 70% และจะเป็นฐานการผลิตยานยนต์สันดาปภายในแห่งสุดท้ายของโลก

สำหรับการส่งออก ประเทศไทยมีปริมาณการส่งออกรถยนต์ใน 3 ภูมิภาคหลัก คือ เอเชีย โอเชียเนีย และตะวันออกกลาง มากกว่าร้อยละ 70 ของปริมาณการส่งออกรวม สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศได้อย่างมาก โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา ไทยมีมูลค่าการส่งออกรถยนต์ถึง 19,776.19 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 688,531.24 ล้านบาท จากแนวโน้มการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของการส่งออกรถยนต์ของไทย ทำให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศที่มีมากกว่า 2,300 ราย มีการขยายตัวไปด้วยเช่นกัน

ปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากการผลิตยานยนต์แบบดั้งเดิมมาเป็นการผลิตยานยนต์สมัยใหม่ที่เน้นด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยมลพิษและก๊าซเรือนกระจกสูง ภายใต้นโยบายของภาครัฐที่มุ่งเน้นและผลักดันให้ยานยนต์ที่ผลิตในประเทศเป็นยานยนต์ที่สะอาด ประหยัด และปลอดภัย เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ควบคู่ไปกับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน

จากมาตรการการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ครอบคลุมตั้งแต่การผลิต การใช้งานและโครงสร้าง พื้นฐานเพื่อรองรับการใช้งานที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของไทยขยายตัวอย่างวรวดเร็ว โดยปัจจุบันมีค่ายรถยนต์ทั้งจากประเทศจีนและญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนและมีแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า BEV ในประเทศไทยในปี 2567 กว่า 9 ราย

นำโดย BYD, MG, Changan, NETA, GAC, Nissan ฯลฯ และมีกำลังการผลิตรวมกว่า 596,000 คันต่อปี ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 ไทยเริ่มมีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า BEV ในประเทศ โดยมีปริมาณการผลิตรวม 2,466 คัน นำโดย ค่าย GWM, MG และ Honda (ผลิตรถยนต์ BEV HRV-en1 จำนวน 30 คัน ในเดือน มกราคม 2567 ที่ผ่านมา)

ขณะเดียวกันตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2566 ที่ผ่านมาไทยมีปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า BEV ทั้งสิ้น 73,568 คัน อัตราการขยายตัว 694% ขณะที่ในช่วงไตรมาสแรกของ ปี 2567 มีปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า BEV กว่า 19,131 คัน ซึ่งหากพิจารณาตามข้อมูลสถิติปริมาณการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าสะสมในประเทศไทยพบว่า จนถึงปัจจุบันมีจำนวนรถไฟฟ้า BEV ที่จดทะเบียนแล้วกว่า 113,435 คัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

'ปราชญ์ สามสี' ตั้งข้อสังเกต 2567 คืนชีพขบวนการล้มเจ้าด้วยทริกใหม่ 'ตัดสิ่งที่ไม่ได้ใช้-สิ่งที่เสียหาย-ควบคุมไม่ได้' ออกจากขบวนการ

(21 พ.ค.67) เพจ 'ปราชญ์ สามสี' ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

จับได้สถานการณ์หลังจากนี้นะครับ

เราจะเห็นได้ว่าแม้ว่าตัวแปรทางการเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง จะย้ายค่ายย้ายสี

แต่จะเห็นชัดในปี 2567 นี้คือการก่อร่างสร้างตัวของขบวนการโจมตีสถาบัน ให้เกิดขึ้นอีกครั้ง

"มีการโอนถ่ายอำนาจเปลี่ยนจากผู้นำทำความคิดรุ่นเก่าไปสู่ผู้นำทางความคิดรุ่นใหม่..."

ถ้าเปรียบเป็นบ้านก็คือมีการเดินสายไฟใหม่
เปลี่ยนหม้อแปลงจ่ายไฟ...หันมาใช้เงินภาษีมากขึ้น

"ตัดสิ่งที่ไม่ได้ใช้ สิ่งที่เสียหาย หรือสิ่งที่ควบคุมไม่ได้...ออกไปจากขบวนการ"

ทั้งในเรื่องการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ และการเคลื่อนไหวเพื่อฟื้นฟูซ้ำรอยด้านประวัติศาสตร์จะมีให้เห็น

โดยมีฐานเชิงสัญลักษณ์อยู่ที่ฝรั่งเศสนั่นแหละ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top