Monday, 9 June 2025
ประเทศไทย

4 ปัจฉิมบท 'นายกรัฐมนตรีไทย' ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวาระยาวนานที่สุด

ทุกจุดเริ่มต้นของหนังทุกเรื่อง ซีรีส์ทุกภาค ย่อมต้องมีฉากจบ ส่วนจะจบสวยงาม หรือจบแบบให้ตั้งคำถามต่อก็อยู่ที่แต่ละแพลตเรื่อง

...แต่ฉากทัศน์การเมืองไทยมากกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา มีฉากจบที่แตกต่างกันไป โดยเฉพาะกับตัวละครอย่าง ‘นายกรัฐมนตรี’ ของไทย ที่ฉากจบสุดท้ายมักจะลงเอยจากการกระทำของตน ซึ่งจะกำหนดทิศทางอนาคตหลังพ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้เดินต่อไปแบบใด

...และนี่คือ 4 นายกรัฐมนตรีไทยที่อยู่ในตำแหน่งนานที่สุด ภายใต้ฉากจบที่แตกต่างกันไป ที่ THE STATES TIMES อยากนำมาบอกเล่า ส่วนจะมีใครบ้าง และแต่ละท่านมีซีนจบแตกต่างกันอย่างไร ไปรับชมกัน!!

สื่อญี่ปุ่น เผย ‘Isuzu’ เตรียมเปิดตัวรถกระบะไฟฟ้ารุ่นแรก เล็งใช้ ‘ไทย’ เป็นฐานการผลิตใหญ่ เพื่อส่งออกสู่ตลาดโลก

เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 66 สำนักข่าว ‘nikkei’ ของญี่ปุ่น รายงานว่า ‘อีซูซุมอเตอร์’ วางแผนที่จะเปิดตัวรถกระบะไฟฟ้าในประเทศไทยและที่อื่นๆ ในช่วงต้นปี 2025 โดยตั้งเป้าที่จะรักษาส่วนแบ่งการตลาดในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยขณะนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ของจีนเป็นผู้นำการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยแล้ว

สำนักข่าว nikkei  ระบุว่า กระบะไฟฟ้ารุ่นแรกของแบรนด์จากมาจากพื้นฐานของ ISUZU D-MAX ของบริษัท จะผลิตในประเทศไทยสำหรับการเปิดตัวในปี 2025 สำหรับอีซูซุ ครองตลาดรถกระบะในประเทศไทยประมาณครึ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนมากกว่า 40% ของยอดขายรถยนต์ในประเทศ

ด้านยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยก็เพิ่มขึ้นมาก ในเดือนกรกฎาคม มียอดขายถึง 5,014 คัน คิดเป็นประมาณ 8% ของยอดขายรถยนต์ใหม่

ทั้งนี้ ISUZU วางแผนใช้ประเทศไทย เป็นฐานในการผลิต กระบะไฟฟ้าอย่าง ISUZU D-MAX เพื่อส่งขายในยุโรปด้วย เบื้องต้น prototype หรือต้นแบบ กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา นอกจากนี้คู่แข่งอย่าง TOYOTA HILUX REVO ที่จะเปิดตัวไฮบริดปีหน้า อาจเห็น ISUZU D-MAX HYBRID ในเวลาไล่เลี่ยกัน

นาย ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ เปิดเผยถึงแผนพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าว่า…

“แม้ว่าอีซูซุได้เปิดตัว Elf EV ที่ญี่ปุ่นเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่การเปิดตัวยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศอื่นๆ ต้องคำนึงถึงความต้องการลูกค้าเป็นหลัก สำหรับการเปิดตัว Elf EV รถบรรทุกไฟฟ้าในไทยอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา

สำหรับ ISUZU D-MAX EV อยู่ในขั้นตอนการพัฒนารถต้นแบบจะประกอบที่ไทย และส่งออกไปขายที่ทวีปยุโรป เนื่องจากเราได้ย้ายฐานการผลิตมาที่ไทยทำให้การที่จะประกอบในประเทศญี่ปุ่นเป็นเรื่องยากมาก ซึ่งเราไม่สามารถระบุระยะเวลาที่ชัดเจนได้ว่า จะดำเนินการเมื่อไร เพราะยังอยู่ในกระบวนการขั้นตอนการพัฒนา

การใช้ประเทศไทย เป็นฐานการผลิต ถามว่าต้องลงทุนเพิ่มหรือไม่ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาด หากความต้องการเพิ่ม เราจำเป็นต้องขยายโรงงาน ส่งผลให้ต้องเพิ่มการลงทุนเพิ่มขึ้น หากชิ้นส่วนกระบะไฟฟ้าคล้ายกับ D-MAX ปัจจุบันก็สามารถใช้สายการผลิตเดิมได้ มีเพียงชิ้นส่วนแบตเตอรี่ มอเตอร์ไฟฟ้า ที่แตกต่าง และต้องเพิ่มสายการผลิตใหม่”

29 สิงหาคม พ.ศ. 2483  สภาผ่านกฎหมาย เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ไทย จากวันที่ 1 เม.ย. เป็น 1 ม.ค. แบบสากล

วันนี้เมื่อ 83 ปีก่อน สภาฯ ได้มีมติเห็นชอบ แก้ไขวันขึ้นปีใหม่ จาก ‘1 เมษายน’ เป็น ‘1 มกราคม’

สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เห็นว่าการกำหนดวันขึ้นปีใหม่ของไทยไม่เหมาะสม เพราะประเทศต่าง ๆ ส่วนใหญ่ต่างถือวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ และเพื่อสะดวกในการติดต่อกับประเทศต่าง ๆ

ดังนั้น รัฐบาลจึงได้มีแต่งตั้งคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญในวิชาการที่เกี่ยวกับเรื่องปีปฏิทิน ทำการศึกษาค้นคว้าและจัดทำรายงานเสนอต่อรัฐบาล โดยมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนจากวันที่ 1 เมษายน เป็น 1 มกราคม เพื่อให้สอดคล้องกับนานาประเทศ จึงได้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติปีปฏิทิน พ.ศ. .... ในวันที่ 1 สิงหาคม 2483 โดยมีเหตุผลว่า เพื่ออนุโลมตามปีประเพณีของไทยแต่โบราณที่ถือวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่และให้ตรงกับที่นิยมใช้ในต่างประเทศที่เจริญแล้ว จากนั้นที่ประชุมรับหลักการวาระที่ 1 และมีมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปีปฏิทิน พ.ศ. ...

ต่อมาในวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2483 มีการพิจารณาวาระที่ 2 และ 3 โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว และประกาศใช้พระราชบัญญัติปีปฏิทิน พุทธศักราช 2483 เมื่อวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2483 ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงปีปฏิทิน โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคมของทุกปีเป็นวันขึ้นปีใหม่ และให้ถือเป็นจารีตประเพณีของชาติ โดยให้หน่วยงานราชการหยุดทำการ 2 วัน คือ วันที่ 31 ธันวาคม เป็นวันสิ้นปี และวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ประเทศไทยจึงมีวันขึ้นปีใหม่ตรงกับนานาประเทศ เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2484 และเป็นการเปลี่ยนการใช้ปีปฏิทินของประเทศไทยครั้งแรกเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน

มั่นใจ!! 'แลนด์บริดจ์' พาไทยสู่จุดศูนย์กลางของโลกในการขนส่งสินค้า ลดต้นทุนมหาศาล ผ่านเส้นทางเดินเรือใหม่ จูงใจเหล่าผู้ประกอบการ

(28 ส.ค. 66) จากเฟซบุ๊ก 'KUL' โดย กุลวิชญ์ สำแดงเดช ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับโครงการแลนด์บริดจ์ ระบุว่า...

แลนด์บริดจ์
ได้ คุ้ม เสีย

โครงการแลนด์บริดจ์ คือ ภาคต่อของการขุดคอคอดกระ หรือคลองไทย สร้างเส้นทางเดินเรือแห่งใหม่ ที่แม้ว่า ไทยจะได้ประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ การสัญจรทางเรือ จะเปลี่ยนมาใช้ช่องทางนี้ แทนช่องแคบมะละกา

แต่ชัดเจนว่า ทำไม่ได้ เนื่องจากปัญหาเรื่องความมั่นคง จากการแยกไทยเป็น 2 ส่วน และเรื่องสิ่งแวดล้อม จากการ ปล่อยกระแสน้ำจากอ่าวไทย และทะเลอันดามัน ไหลมาบรรจบ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์มหาศาล

ที่สุดแล้วโปรเจกต์แลนด์บริดจ์ จึงถือเกิดขึ้น

แลนด์บริดจ์ คือ การสร้างเส้นทางสัญจรจากฝั่งอันดามัน ไปฝั่งอ่าวไทย พร้อมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออำนวยความสะดวกด้าน Logistic อย่างเต็มรูปแบบ

มีความพยายามหาพื้นที่ในการสร้างมาอย่างยาวนาน กระทั่งมาเคาะว่าสมควรจะเป็น คือ บริเวณแหลมริ่ว จังหวัดชุมพร และแหลมอ่าวอ่าง จังหวัดระนอง ขีดความสามารถรองรับตู้สินค้า ฝั่งละ 20 ล้านทีอียู (หน่วยนับขนาดตู้คอนฯ ขนาด 20 ฟุต/20 ฟุต = 1 TEU) รวมถึงแนวเส้นทางการพัฒนาระบบเชื่อมโยง ระยะทาง 93.9 กิโลเมตร (กม.) โดยเป็นระยะทางบนบก 89.35 กม. ระยะทางในทะเลสู่ท่าเรือระนอง 2.15 กม. ระยะทางในทะเลสู่ท่าเรือชุมพร 2.48 กม.

ประกอบด้วย ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) และรถไฟทางคู่ ขนาดรางมาตรฐาน (1.435 เมตร) รองรับการขนส่งสินค้า และรางขนาด 1 เมตร เพื่อเชื่อมการเดินทางขนส่งผู้โดยสารในโครงข่ายรวมของประเทศอีกด้วย โดยมีรูปแบบทั้งทางยกระดับ ทางระดับพื้น และอุโมงค์ จำนวน 3 แห่ง

หลักการง่าย ๆ คือ เมื่อเรือมาเทียบที่ท่าฝั่งอ่าวไทย ก็จะขนไปขึ้นเรือที่รออยู่ฝั่ง อันดามัน (หรืออันดามัน ไป อ่าวไทย) ในเวลาที่รวดเร็ว

หากทำสำเร็จ จะเป็นจุดศูนย์กลางแห่งหนึ่งของโลกในการขนส่งสินค้า และจะเป็นเส้นทางเดินเรือใหม่ ที่มีแรงจูงใจผู้ประกอบการ คือ ลดระยะเวลาการขนส่งเส้นทาง จากที่ผ่านช่องแคบมะลากาจาก 9 วัน เหลือ 5 วัน ทำให้ประหยัดต้นทุน และเป็นประตูการค้าเชื่อมต่อระหว่างเส้นทางมหาสมุทรอินเดีย ไปยังทะเลจีนใต้ ซึ่งสามารถกระจายสินค้าไปได้ทั่วโลก

จะเป็นการขนส่งสินค้า ระหว่างสหภาพยุโรป, ตะวันออก, อินเดีย, บังกลาเทศ, เวียดนาม, จีน โดยลูกค้าหลัก จะเป็นเรือสินค้า ฟีดเดอร์ ขนาด 5,000-6,000 ทีอียู และเป็นทางเลือกของสินค้าถ่ายลำ (Transshipment) การขนส่งสินค้าระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก

โดยเชื่อมต่อทางรางและทางถนน และเกิดอุตสาหกรรมหลังท่า (Port Industry) มีการตั้งเขตพื้นที่เศรษฐกิจเสรี ดึงดูดนักลงทุน เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมหลังท่าเรือระนอง และท่าเรือชุมพรส่งเสริมแลนด์บริดจ์ และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้

การพัฒนาแลนด์บริดจ์ประมาณมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 1.001 ล้านล้านบาท ถือเป็นเม็ดเงินมหาศาล แต่ก็คุ้มค่า หากไทยคิดจะลงทุน โดยที่ผ่านมาโปรเจคในลักษณะของการพัฒนาพื้นที่ ในเชิงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่  เราไม่เคยเห็นความล้มเหลวเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นอิสเทิร์น ซีบอร์ด หรือ อีอีซี ก็ตาม นี่จึงเป็นความเสี่ยงที่คุ้มเสี่ยง

อย่างไรก็ตาม มีแรงต้านแน่นอน โดยเฉพาะกลุ่มนักสิ่งแวดล้อม และนักอนุรักษ์วิถีดั้งเดิม เพราะโครงการขนาดนี้ ลงไปที่ไหน ย่อมสร้างความเปลี่ยนแปลงระดับพลิกฝ่ามือ วัฒนธรรมชาวบ้าน ย่อมได้รับแรงสะเทือน วิถีชุมชน ต้องมีการปรับเปลี่ยน สิ่งแวดล้อม ได้รับผลกระทบ

ทว่าหากมองมุมของเศรษฐกิจ แล้ว ผมย้ำคำเดิม

ได้คุ้มเสีย #KUL

‘สาวไทย’ แชร์ประสบการณ์ใช้ชีวิตในเกาหลีใต้ ‘ของแพง-สังคมเร่งรีบ’ เหมาะแค่มาเที่ยวระยะสั้น

(29 ส.ค. 66) ในโลกโซเชียล ผู้ใช้งานบัญชีติ๊กต็อกชื่อ ‘monajung23’ ได้โพสต์วิดีโอบรรยายถึงประสบการณ์ใช้ชีวิตที่เกาหลีใต้ ซึ่งมีหลายแง่มุมที่รู้ว่า ‘ประเทศไทย’ ดีกว่า ผู้ใช้ติ๊กต็อกรายนี้ระบุในวิดีโอว่า

“ประเทศเกาหลีน่าอยู่จริงป่าว??? ความคิดเห็นส่วนตัว เป็นประเทศน่าอยู่ระยะสั้นๆ (ไม่ใช่ตลอดชีวิต) มาเรียน มาเที่ยว มาลองอยู่สัก 2 ปีได้ แต่ไม่ได้ถึงกับน่าอยู่ตลอดชีวิต ค่าครองชีพที่เกาหลีแพงมาก เรียกว่าทำงานเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถซื้อบ้านได้ ส่วนเรื่องการแต่งงานก็ใช้เงินสูงมากเช่นกัน”

“ส่วนอาหารการกินก็ถือว่ากินได้ แต่อร่อยสู้ประเทศไทยไม่ได้ คนแปลกที่เกาหลีเยอะมาก โดยเฉพาะบนรถไฟ ใครมาเกาหลีก็ต้องระวังตัวมาก ๆ (เพิ่งจะมีข่าวสุ่มแทงไป ต้องระวังขึ้นอีก) อากาศดีกว่าประเทศไทย แต่ถ้าหนาวก็หนาวมาก ร้อนก็ร้อนมาก เรียกว่าอากาศแปรปรวนและ PM2.5 ก็เยอะเอาเรื่อง”

“การคมนาคมถือว่าดี แต่ต้องรีบร้อนไปทั้งหมด ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเหตุผลที่ทำให้รู้สึกว่าอยู่เมืองไทยก็ไม่ได้แย่เนาะ”

ในช่วงท้ายของวิดีโอ ผู้ใช้บัญชีติ๊กต็อกรายนี้ได้ทิ้งข้อความไว้ด้วยว่า “ถ้าไม่ติดเรื่องเงิน อยู่ไทยก็ถือว่าไม่ได้แย่ เพราะอยู่เกาหลีได้เยอะกว่าก็จริง แต่ก็ต้องใช้เยอะด้วยเช่นกัน”

ต่อมาได้มีผู้ใช้งานบัญชีติ๊กต็อกรายอื่น ๆ เข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก เช่น 

-มหาเศรษฐีบางท่านที่เคยอยู่ต่างประเทศสุดท้ายก็ต้องกลับประเทศไทยประเทศไทยน่าอยู่ที่สุดแล้วล่ะครับ

-เคยถามคนเกาหลีที่มาอยู่ไทยเขาบอกอยู่ไทยเพราะชีวิตไม่เหนื่อยเหมือนอยู่ประเทศเขา

-ชอบมาก พูดมีเหตุผล ไม่อวยเกิน ขอบคุณค่ะ 🙏

-จริงค่า ทั้งเกา ญี่ปุ่น งงมากเหมือนต้องรีบเดินตาม ๆ เขา ตาลาย 5555

-มาเรียน 4 ปี สนุกมากค่ะ แต่อยู่ไทยสนุกกว่า😂

-จริงไปเที่ยวเกาหลีทุกปี รอบล่าสุดอยากอยู่นาน ๆ จัดไป 19 วัน อยู่ไป 7 วันอยากกลับบ้านแล้ว ยิ่งอยู่นานยิ่งไม่ชอบ แต่ชอบไปเที่ยวไม่เกินอาทิตย์ แพงทุกอย่าง

-จากใจคนอยู่เกาหลี คถ.ไทยทุกวันค่ะ อาหาร ที่เที่ยว ทะเล

-จริงมาก เรามีสามีเกาหลี ทุกวันนี้สามีอยากย้ายไปไทยตลออด แต่ตอนนี้ตั้งใจเก็บเงินกลับไปไทย เราดีที่สุด ขนาดคนเกา ยังอยากไปอยู่ไทยค่ะ

-จริงค่ะ เหมาะกับการไปเที่ยวแต่ไม่น่าใช้ชีวิตอยู่จริง ๆ แต่แอบชอบการทำงานจริงจังของ ตร. กม. บ้านเขามาก ๆ การคมนาคมดี แต่ค่าครองชีพแพง

-จริงค่ะ สามีเคยพาไปอยู่ช่วงโควิด ระหว่างไทยกับเกาหลี สามีเลือกไทยเพราะค่าครองชีพไทยยังสามารถประหยัดได้ อยู่ไทย 7 ปี แต่เกาหลีอยู่ได้ 1 ปี😅😅

ย้อน 12 ผลงานเด่น ในยุค ‘รัฐบาล คสช.’

ภายหลังจาก ‘คณะรักษาความสงบแห่งชาติ’ หรือ คสช. อันมี ‘พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ เป็นหัวหน้าคณะ ทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 ในระยะเวลาต่อเนื่องกว่า 5 ปีก่อนจะมีการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2562 รัฐบาล คสช. ได้บริหารประเทศภายใต้วิสัยทัศน์ที่มุ่งสร้างความ ‘มั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน’ โดยพยายามดำเนินมาตรการต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ

เนื่องจากเป็นรัฐบาลที่ไม่มีพรรคฝ่ายค้านในสภา และสามารถออกคำสั่งตามมาตรา 44 ได้ ทำให้รัฐบาลสามารถผลักดันนโยบายต่าง ๆ ออกมาได้มาก 

วันนี้ THE STATES TIMES จะพาย้อนดู 12 ผลงานรัฐบาล คสช. ที่เป็นประโยชน์และเป็นพื้นฐานต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว เช่น

1.จัดการปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย และขาดการควบคุม (IUU) 
รัฐบาล คสช. สามารถแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วตามแรงกดดันของสหภาพยุโรป ทำให้ไทยสามารถส่งออกสินค้าประมงไปสหภาพยุโรปได้ต่อเนื่อง พร้อมทั้งแสดงความมุ่งมั่นในการป้องกันและแก้ปัญหาการบังคับใช้แรงงานและการค้ามนุษย์ ปรับปรุงภาพลักษณ์ภาคการประมงของไทยให้ดียิ่งขึ้น

2.ทวงคืนผืนป่าจากนายทุนได้ โดยในปี 2559 สามารถทวงคืนผืนป่าจากนายทุนได้ 1.4 แสนไร่ และถือเป็นพันธกิจที่ต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ยังมีการจัดสรรพื้นที่ทำกินให้แก่ประชาชนด้วย

3.ประกาศแก้ปัญหาหนี้นอกระบบอย่างครบวงจร ตั้งแต่เจ้าหนี้และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ โดยให้เจ้าหนี้ที่ปล่อยกู้นอกระบบจัดตั้งเป็นธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์)

4.ขจัดปัญหามาเฟีย ปราบปรามผู้มีอิทธิพลใช้อำนาจในทางผิดกฎหมาย กวาดล้างอาวุธสงคราม ปืน ระเบิด รวมถึงจับตาเครือข่ายและผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง

5.ผลักดันระบบ ‘พร้อมเพย์’ เพื่อช่วยลดต้นทุนในการชำระเงินและโอนเงินของประชาชน และเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

6.เดินหน้าจัดระเบียบสังคม จัดการหาบเร่แผงลอยผิดกฎหมาย ร้านค้าริมถนน ขึ้นทะเบียนวินจักรยานยนต์ และจัดระเบียบแรงงานข้ามชาติ

7.แก้ปัญหาข้าวค้างสต็อกจากโครงการรับจำนำข้าว โดยใช้วิธีประมูลอย่างโปร่งใส ซึ่งช่วยลดภาระการขาดทุน และลดแรงกดดันราคาข้าวไทยให้อยู่ในระดับต่ำ

8.ปลดธงแดง ICAO ได้เป็นผลสำเร็จ ถอดชื่อประเทศไทยออกจากรายชื่อประเทศที่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยด้านการบินพลเรือน

9.ประกาศปราบปรามการทุจริต-คอร์รัปชันในระบบราชการทุกระดับชั้น รัฐบาล คสช. รับโครงการสร้างมาตรฐานความโปร่งใสในระดับสากลอย่างน้อย 4 โครงการ มาใช้ในประเทศไทย  ซึ่งจะทำให้เกิดการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะและการตรวจสอบโดยประชาชน ได้แก่

- โครงการ ‘ข้อตกลงคุณธรรม’ (Integrity Pact) ซึ่งผลักดันโดยองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) โดยถูกบัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้างฯ และถูกนำไปใช้กับโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่ประมูลและทำสัญญา

-โครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST)

-โครงการรัฐบาลโปร่งใส (Open Government Partnership)

-โครงการความโปร่งใสในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ (EITI)

10.ออกมาตรการแก้ไขปัญหาความยากจน ช่วยเหลือทั้งการให้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การสร้างอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้

11.ลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์ ออก พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน สนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือมาบตาพุด และท่าเรือแหลมฉบัง ส่งเสริมการพัฒนา และดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve industries)

12.สานสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เดินทางเยือนสหราชอาณาจักร พบ ‘เทเรซา เมย์’ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรในขณะนั้น 

‘อ.ธรณ์’ ฝากรัฐบาลใหม่ใส่ใจท้องทะเลไทย 7 เรื่อง หวังทำผลงานเกรด A ให้เป็นที่ประจักษ์ในเวทีโลก

(4 ก.ย. 66) ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก ฝากถึงรัฐบาลใหม่ ในประเด็นการทำงานกับทะเลไทย โดยมีเนื้อหาต่อไปนี้

รัฐบาลใหม่เข้าทำงาน จึงขอเสนอ 7 ประเด็นใหญ่ในทะเลไทยให้เพื่อนธรณ์ลองคิดตาม

หนึ่ง คือปะการังฟอกขาวที่อาจแรงในต้นปีหน้า ต้องเร่งเตรียมพร้อมสำรวจติดตามและออกมาตรการให้ทันท่วงที รวมถึงมีทางเลือกหากจำเป็นต้องปิดท่องเที่ยวในแนวปะการังบางแห่งที่ฟอกขาวรุนแรง

สอง คือปรากฏการณ์น้ำเปลี่ยนสี (น้ำเขียว) ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลกระทบต่อพี่น้องชายฝั่งทะเล เราต้องหายกระดับการเก็บข้อมูลเพื่อการเตือนภัย รวมถึงหาแนวทางในการแก้ต้นเหตุที่เกิดจากมนุษย์

สาม คือการส่งเสริมสนับสนุนระบบนิเวศทางทะเลเพื่อดูดซับ/กักเก็บคาร์บอน เป็นประเด็นใหม่และละเอียดอ่อน ต้องทำความเข้าใจให้ดีและมีมาตรฐานที่ยอมรับได้ รวมถึงกระจายการมีส่วนร่วมไปหาชุมชนให้มากที่สุด

สี่ คือการใช้เทคโนโลยีและแนวทางใหม่ ๆ ในการสำรวจติดตาม ลาดตระเวนปกป้องธรรมชาติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ เช่น Smart Patrol ทั้งในทะเลและบนบก

ห้า คือความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะสัตว์ทะเลหายาก เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับกฎกติกาของโลกในการส่งออกสินค้าประมง อีกทั้งยังเกี่ยวกับการกู้เงินเพื่อการพัฒนาต่าง ๆ เช่น โลมา/สะพานทะเลสาบสงขลา

หก คือการสนับสนุนอันดามันมรดกโลก ติดค้างมาเกือบ 20 ปี ตอนนี้ต้นเรื่องเข้าไปที่ยูเนสโกแล้ว รอแค่เขามาเช็ค เราเตรียมพร้อมแค่ไหน

นี่จะเป็นจุดพลิกผันที่สำคัญ และจะเกี่ยวข้องตรง ๆ กับการท่องเที่ยวที่รัฐบาลตั้งเป้าจะยกระดับเพื่อหารายได้เข้าประเทศ

เจ็ด คือโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ต่าง ๆ ที่เราคิดจะลงทุน ผลกระทบจะมีมากไหม ? คุ้มค่าหรือเปล่า ? เป็นเรื่องที่ต้องมีข้อมูลเพียงพอและใช้เหตุผลในการตัดสินใจ

ยังมีอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ขอเน้นย้ำไว้แค่ 7 เรื่องใหญ่ไว้ก่อน

2 ผลงานที่ชี้วัดในระยะ 3-6 เดือนคือบทบาทของไทยในการประชุมโลกร้อน COP28 ธันวาคมปีนี้ และการรับมือเอลนีโญที่มาแล้วและจะแรงขึ้นไปจนถึงสิ้นปี/ปีหน้า

ผมไม่ทราบว่าเขาตัดเกรดกระทรวงกันตรงไหน ? แต่ถ้าวัดจากประเด็นที่ทั่วโลกพูดกันในตอนนี้ นี่คือกระทรวงเกรด A แน่นอน

จึงอยากเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่เข้ามารับงานดูแลทรัพยากร/สิ่งแวดล้อมของประเทศชาติ เพื่อทำผลงานเกรด A ครับ

‘เศรษฐา’ ย้ำ!! ครม. ทำงานเพื่อประชาชน ในฐานะรัฐบาลของทุกคน เน้นโปร่งใส!! ภารกิจใดทำได้โดยไม่ติดข้อกฎหมายให้เร่งทำทันที

(6 ก.ย. 66) ที่ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (นัดพิเศษ) โดยช่วงหนึ่งระหว่างการประชุม นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงแนวทางในการทำงานให้กับรัฐมนตรี ว่า ในฐานะรัฐบาลของประชาชนคนไทยทุกคน ซึ่งได้พูดไปแล้วในหลายเวที ว่าจะเป็นรัฐบาลของประชาชน จะทำงานเพื่อประชาชน ที่ปฏิบัติตัวเคร่งครัดตามรัฐธรรม และตามกฎหมาย มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำ และปัญหาสังคม รวมถึงปัญหาความแตกแยกทางด้านความคิดทั้งหลาย

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลจะพยายามทำงานแก้ไขปัญหาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ อะไรที่ทำได้ก่อนโดยไม่ติดข้อกฎหมาย ขอให้ทุกท่านรีบทำ รีบสร้างผลงานออกมา เพราะว่าพี่น้องประชาชนทุกคนกำลังเดือดร้อน กำลังรอคอยการทำงานของรัฐบาล เมื่อทุกท่านเข้ากระทรวงแล้วขอเก็บรวบรวมข้อมูลมาประกอบการทำงาน พร้อมกับเน้นย้ำเรื่องการโปร่งใสในการทำงาน โดยเฉพาะเรื่องการโยกย้ายข้าราชการซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ ขอให้เข้าใจเห็นใจข้าราชการที่ตั้งใจทำงานมาตลอดทั้งชีวิต ต้องการความก้าวหน้าทางด้านการงาน เรื่องซื้อขายตำแหน่งไม่ต้องการให้เอาเปรียบข้าราชการ ขอให้ทุกท่านให้เกียรติข้าราชการ ส่วนการจัดเตรียมงบประมาณประจำปี ขอให้คณะรัฐมนตรีช่วยไปดูกระทรวงในกำกับว่าจะสามารถทำอะไรได้บ้างให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่จะมีการแถลงนโยบายฯ

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า ขอให้คณะรัฐมนตรีตระหนักว่าเป็นรัฐบาลเพื่อประชาชน ขอให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อย่าให้มีการแบ่งแยกพรรคพวก เป็นรัฐบาลที่ทำงานเพื่อประชาชนจริง ๆ 

“ทุกคน ในฐานะที่เป็นรัฐบาลของประชาชนคนไทยทุกคน ก็ขอให้ทำงานเพื่อประชาชน โดยยึดหลักของกฎหมายและรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด เพื่อมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ความเดือดร้อน สังคม และความแตกแยกทางความคิด ยืนยันว่ารัฐบาลจะพยายามแก้ไขปัญหาให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ สิ่งใดที่สามารถทำได้ก่อนโดยไม่ติดข้อกฎหมาย ก็จะเร่งดำเนินการ ขณะเดียวกันขอเน้นย้ำในเรื่องของความโปร่งใสในการทำงาน โดยเฉพาะเรื่องการโยกย้ายข้าราชการ เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ” นายเศรษฐา กล่าว

ส่อง 4 มรดกโลก ใกล้รถไฟความเร็วสูงยิ่งกว่า 'อยุธยา' แต่!! ไม่เดือดร้อน ไม่ถูกถอดถอนจากลิสต์!!

ประเด็นความกังวลเรื่องการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เริ่มมีมากขึ้น หลังจากมีกลุ่มคนออกมาคัดค้านพร้อมแจงเหตุผลว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงนี้อยู่ใกล้กับอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ซึ่งได้รับประกาศเป็นมรดกโลก เกรงว่าหากมีการก่อสร้างจะสั่นคลอนถึงตำแหน่งมรดกโลก แม้ตัวโครงการรถไฟความเร็วสูงและอุทยานฯ จะอยู่ห่างกันประมาณ 2 กิโลเมตรก็ตาม…

วันนี้ THE STATES TIMES ได้รวบรวม 4 สถานที่ในโลกที่ได้ขึ้นชื่อเป็น ‘มรดกโลก’ แต่ก็ยังมี ‘สถานีรถไฟ’ อยู่ใกล้ ๆ แถมยังไม่ถูกปลดออกจากตำแหน่งด้วย จะมีที่ไหนบ้าง ไปดูกัน…


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top