Monday, 9 June 2025
ประเทศไทย

ยลความงาม 'โลหะปราสาท' วัดราชนัดดารามวรวิหาร หลังปรากฏในฉากของซีรีส์ดัง King The Land

(17 ก.ค. 66) เพจ 'โบราณนานมา' ได้โพสต์เนื้อหาตามรอยซีรีส์เกาหลี เรื่องดังอย่าง King The Land ที่นำแสดงโดย อี จุนโฮ และอิม ยุนอา ซึ่งตอนที่ 10 ของเรื่อง เป็นการมาเที่ยวประเทศไทย และสถานที่ที่จะนำเสนอวันนี้ คือ 'โลหะปราสาท' วัดราชนัดดารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร มีรายละเอียดดังนี้...

'โลหะปราสาท' เป็นโลหะปราสาทองค์แรกและองค์เดียวของไทย และถือเป็นองค์ที่ 3 ของโลก สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ตั้งอยู่ในพื้นที่วัดราชนัดดารามวรวิหาร และอยู่ในบริเวณลานพลับพลามหาเจษฏาบดินทร ยอดปราสาทประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ

และสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับ 'โลหะปราสาท' องค์นี้คือ การก่อสร้างและการบูรณะ

นับตั้งแต่รัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา ยังไม่เคยก่อสร้างให้แล้วเสร็จบริบูรณ์เลย ได้ก่อสร้างไว้แต่เพียงโครงก่ออิฐสลับศิลาแลง และยังปล่อยทิ้งให้ปรักหักพังตลอดมา จนถึงการบูรณะครั้งเมื่อปี 2506

ก่อนหน้าบูรณะครั้งใหญ่นี้ก็มีการบูรณะ 'โลหะปราสาท' มาเนือง ๆ แต่การบูรณะครั้งใหญ่เกิดขึ้นในปี 2506 สภาพโลหะปราสาท ณ เวลานั้น ชำรุดทรุดโทรมมาก ถูกทิ้งให้ปรักหักพังเรื่อยมาเป็นเวลานาน โดยการบูรณะได้รื้อตัวปราสาทเดิมออกทั้งหมด ทำตัวปราสาทเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก โดยพยายามรักษาแบบแผนดั้งเดิมของโลหะปราสาทในสมัยรัชกาลที่ 3 ไว้ให้มากที่สุด บูรณะโดยกรมโยธาเทศบาล การบูรณะครั้งนี้ใช้งบประมาณ 6 ล้านบาท บูรณะแล้วเสร็จในปี 2515 ใช้เวลาบูรณะทั้งสิ้น 9 ปี

เราเรียกว่า 'โลหะปราสาท' ก็จริง แต่ตอนนั้นทั้งปราสาทมีแต่ปูนไม่มีโลหะเลย จึงเกิดการบูรณะครั้งต่อมาในปี 2537 โดยจะบูรณะยอดมณฑปทั้ง 37 ยอด ให้เป็นโลหะและทองแดงรมดำ โดยรมดำเพื่อป้องกันการเกิดสนิม การบูรณะครั้งนี้ใช้งบประมาณ 155 ล้านบาท บูรณะแล้วเสร็จในปี 2550 ใช้เวลาบูรณะทั้งสิ้น 11 ปี ครั้งนี้ที่บูรณะนานกว่าครั้งไหน สาเหตุมาจากช่วงที่บูรณะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 จึงทำให้เกิดความล่าช้าในการบูรณะ

ต่อมาเกิดการบูรณะครั้งล่าสุดในปี 2555 กรมศิลปากร ต้องการปิดทองยอดมณฑปทั้ง 37 ยอด เพราะเดิมรัชกาลที่ 3 มีพระราชดำริให้สร้างโลหะปราสาทหลังนี้ให้มียอดสีทอง ดูได้จากจิตรกรรมโลหะปราสาท ที่ฝาผนังวิหารพระพุทธไสยาส วัดโพธิ์ จิตรกรรมโลหะปราสาทนี้ เป็นประจักษ์พยานสำคัญอันหนึ่ง ที่สะท้อนถึงพระราชดำริที่จะปิด หรือหุ้มยอดโลหะปราสาทด้วยทอง อันเป็นโลหะที่มีค่าสูงที่สุดในหมู่โลหะทั้งปวง แต่เมื่อสิ้นรัชกาลจึงไม่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ โดยการปิดทองยอดมณฑปทั้ง 37 ยอดที่โลหะปราสาท บูรณะแล้วเสร็จในปี 2561 ใช้เวลาบูรณะทั้งสิ้น 6 ปี

HP แบรนด์ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่อันดับ 2 ของโลก  เตรียมย้ายกำลังการผลิตคอมฯ บางส่วนออกจากจีนมายังไทย

(18 ก.ค. 66) ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่จากสหรัฐอเมริกาอย่าง HP ล่าสุดได้เตรียมย้ายกำลังการผลิตสินค้าบางส่วนออกนอกประเทศจีน โดยย้ายมายังประเทศไทย เม็กซิโก เวียดนาม เนื่องจากต้องการให้ห่วงโซ่การผลิตของบริษัทไม่สะดุด

Nikkei Asia รายงานข่าวว่า HP ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ได้เตรียมย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย และประเทศเม็กซิโก และบริษัทยังเตรียมขยายกำลังการผลิตในประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน รวมถึงทั่วโลกหลังจากนี้

สื่อธุรกิจจากประเทศญี่ปุ่นได้รายงานว่า HP ได้ทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ในการย้ายฐานการผลิตมายัง 2 ประเทศนี้ โดยในประเทศไทย HP เตรียมที่จะผลิต Laptop สำหรับตลาดผู้บริโภค ขณะที่ Laptop ที่จำหน่ายให้กับองค์กรต่าง ๆ จะใช้ฐานการผลิตที่เม็กซิโก นอกจากประเทศไทยแล้ว HP ยังเตรียมย้ายกำลังการผลิตมายังเวียดนามในช่วงปีหน้าด้วย

ในปีที่ผ่านมา HP ได้ขายเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลไปมากถึง 55.2 ล้านเครื่อง และในจำนวนดังกล่าวมีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ผลิตนอกประเทศจีนอยู่ราว ๆ 3 ถึง 5 ล้านเครื่อง

สำหรับประเทศไทยนั้นมีซัพพลายเออร์ผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่หลากหลาย ทำให้ HP ตัดสินใจเลือกไทยเป็นฐานการผลิตอีกแห่ง ขณะที่เม็กซิโกถือเป็นฐานการผลิตสินค้าสำคัญในอเมริกาเหนือ และยังมีข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐอเมริกาและแคนาดา

ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาถือเป็นตลาดสำคัญของ HP เนื่องจากคำสั่งซื้อราวๆ 31% ขณะที่ตลาดในประเทศจีนนั้นมีสัดส่วนไม่ถึง 8% ของยอดขายของบริษัท เนื่องจากคู่แข่งอย่าง Lenovo รวมถึง Huawei ครองตลาดในประเทศจีนแทบเบ็ดเสร็จ

สาเหตุที่ทำให้ HP ต้องย้ายกำลังการผลิตบางส่วนออกนอกประเทศจีน บริษัทได้ให้เหตุผลเนื่องจากต้องการให้ห่วงโซ่การผลิตสินค้าของบริษัทมีความยืดหยุ่น เพื่อป้องกันการหยุดชะงักของภาคการผลิต และต้องการที่จะตอบสนองลูกค้าที่มีอยู่ทั่วโลก

นอกจากผู้ผลิตอย่าง HP แล้ว Dell ซึ่งเป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่อีกรายก็ได้เตรียมที่จะย้ายกำลังการผลิต 20% ของสัดส่วนการผลิตทั้งหมดมายังประเทศเวียดนาม รวมถึงเปลี่ยนผ่านการผลิตสินค้าที่พึ่งพาชิปจากประเทศจีนด้วย ขณะที่ผู้ผลิตรายอื่น เช่น Apple เองก็ตั้งเป้าที่จะกระจายกำลังการผลิตไปยังเวียดนามหรืออินเดียด้วย

อย่างไรก็ดีบริษัทได้กล่าวว่ายังให้ความสำคัญกับฐานการผลิตในเมืองฉงชิ่งของจีนอยู่ โดยฐานการผลิตนี้เปิดตัวในช่วงปี 2008 และเป็นฮับในการผลิต Laptop สำคัญของบริษัทด้วย

ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทหลายแห่งได้เตรียมการที่จะย้ายฐานการผลิต หรือแม้แต่ย้ายกำลังการผลิตออกนอกประเทศจีน หลังจากที่จีนได้ใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าทั่วโลก ตั้งแต่รถยนต์ไปจนถึงของใช้ในชีวิตประจำวัน และยังรวมถึงความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา ที่เป็นปัจจัยสำคัญที่อาจกระทบกับการทำธุรกิจหลังจากนี้ได้

สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 คืบหน้า 82.5%  คาด!! พร้อมเปิดให้บริการ ภายในปี 2567

(19 ก.ค. 66) สำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศไทยทั้ง 4 มิติ (บก ราง น้ำ และอากาศ) ให้เชื่อมโยงการเดินทางสู่ภูมิภาคอาเซียนอย่างไร้รอยต่อ ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการท่องเที่ยวในภูมิภาค ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้สามารถเข้าถึงการเดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ด้วยระบบการคมนาคมขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จึงได้เร่งขับเคลื่อนโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5  เชื่อมระหว่างบึงกาฬ และแขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว ซึ่งมีความคืบหน้ามาโดยลำดับ แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคจากวิกฤติโควิด แต่ล่าสุด โครงการมีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 82.550% คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการประชาชนของทั้งสองประเทศได้ในปี 2567

สำหรับโครงการดังกล่าว คณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ได้มีมติอนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ว่าด้วยการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 ในปี 2562 

ต่อมาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2565 พล.อ.ประยุทธ์ได้เข้าร่วมพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5  ที่อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ และแขวงบอลิคำไซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือ สปป.ลาว

รูปแบบการก่อสร้างของโครงการนี้ กรมทางหลวงออกแบบเป็นสะพานขึงคอนกรีตอัดแรงรูปกล่อง ขนาด 2 ช่องจราจร ความยาว 1,350 เมตร พร้อมอาคารด่านพรมแดนสำหรับกระบวนการข้ามแดน และถนนเชื่อมต่อโครงข่ายของทั้งสองฝั่ง โครงการมีระยะทาง 16.18 กม. วงเงิน 4,010.067 ล้านบาท โดยฝ่ายไทยมีกรมทางหลวง (ทล.) เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการ วงเงิน 2,630 ล้านบาท (ค่าก่อสร้าง 2,553 ล้านบาท และค่าควบคุมงานก่อสร้าง 77 ล้านบาท) ฝั่ง สปป.ลาว โดยกระทรวงโยธาธิการและขนส่ง (MPWT) เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการ วงเงิน 1,380.067 ล้านบาท (ค่าก่อสร้าง 1,256 ล้านบา ท ค่าที่ปรึกษา 44 ล้านบาท ค่าบริหารจัดการ 15 ล้านบาท ค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด 63 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมบริหารของ สพพ. 2.067 ล้านบาท)

ทั้งนี้เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ จะเป็นประตูเชื่อมโยงระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม และมณฑลกว่างสีของประเทศจีน เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการค้าการลงทุนระหว่างประเทศไทย กับ สปป.ลาว ทำให้การขนส่งสินค้าจากไทยไปสู่ตลาดในจีนตอนใต้ เชื่อมโยงการขนส่งสินค้าจากภาคกลางของ สปป.ลาว สู่ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังของไทย เพื่อส่งออกทางทะเลต่อไปยังภูมิภาคอื่น ๆ เพื่อเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน

เชื่อม ‘ขนส่ง-ลงทุน’ จากซีกโลกถึงซีกโลกผ่านไทยแลนด์ โปรเจกต์เปลี่ยนไทยให้เนื้อหอมที่ ‘จีน-สหรัฐฯ’ จ้อง!!

ถูกพูดถึงมาได้พักใหญ่กับโครงการเชื่อมระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน หรือ ‘แลนด์บริดจ์’ (LandBridge) ของประเทศไทย ภายใต้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ซึ่งเป็นโปรเจกต์ท่าเรือนํ้าลึกฝั่งอ่าวไทย ในจังหวัดชุมพร เเละท่าเรือนํ้าลึกฝั่งอันดามัน จังหวัดระนอง โดยมีเส้นทางเชื่อมโยงท่าเรือทั้ง 2 เเห่ง ระยะทางประมาณ 90 กิโลเมตร 

แน่นอนว่าในโครงการนี้ ได้มีการวิเคราะห์ถึงโอกาสมหาศาลของไทย หากทำได้สำเร็จ โดยรายการหนุ่ยทอล์ก ดำเนินการโดยคุณหนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ พิธีกรไอทีและผู้ผลิตคอนเทนต์ชาวไทย ซึ่งได้พูดคุยกับแขกรับเชิญอย่างคุณกวี ชูกิจเกษม นักลงทุน VI / นักเขียน และนักวิเคราะห์ที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 9 ก.ค.66 นั้น ได้ทำให้เห็นถึงความสำคัญของโครงการนี้มากยิ่งขึ้น ภายใต้ความขัดแย้งของ 2 ขั้วมหาอำนาจ ‘จีน-สหรัฐฯ’ ที่ยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง

ทั้งนี้จากการสรุปคร่าว ๆ แล้ว ทั้งสองท่านได้พูดคุยกันถึงมูลเหตุแห่งความขัดแย้งในโลกของกลุ่มมหาอำนาจ ตั้งแต่เรื่องของพลังงานที่แย่งชิงกันมายาวนาน จนถึงวันนี้ได้พัฒนามาสู่การแย่งชิง ‘แร่หายาก’ (Rare Earth) ซึ่งเป็นความขัดแย้งใหม่เชิงภูมิศาสตร์ และนั่นก็ทำให้การมองหาพิกัดในการได้มาและถ่ายเทไปซึ่งทรัพยากรเหล่านี้ที่ตนมีไปสู่ประเทศอื่น ๆ จึงสำคัญมาก โดยเฉพาะในเรื่องของการขนส่ง

โครงการเชื่อมระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน หรือ ‘แลนด์บริดจ์’ (LandBridge) ของประเทศไทย จึงถูกหยิบยกขึ้นมาถกกัน โดยทั้ง 2 ท่านได้ชี้ให้เห็นว่า แต่เดิมในอาเซียนจะมี ‘ช่องแคบมะละกา’ ที่เป็นพิกัดในการขนส่งสินค้ามาลงประเทศสิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็น พลังงาน สินค้าเกษตร หรือแม้แต่แร่หายาก 

แต่หากมีการขยายรากฐานเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยกับทะเลอันดามัน ต่อยอดประโยชน์ที่ไทยตั้งอยู่ใจกลางคาบสมุทรอินโดจีนมาเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งและการค้าของเอเชีย ผ่านโครงการแลนด์บริดจ์นี้ รับรองได้ว่า ‘ไทย’ จะได้รับโอกาสใหม่ ๆ อย่างมหาศาล

แน่นอนว่า โครงการนี้จะทำให้ประเทศไทยได้เปรียบในเรื่องของการขนส่งสินค้าจากกลุ่มประเทศมหาอำนาจ ที่จะใช้เป็นทางลัดจาก ตะวันตก / ตะวันออกกลาง ไปเอเชียหรือไปสู่จีนได้ใกล้กว่ามะละกา แล้วก็สามารถแก้ปัญหาการแออัดของช่องทางคลองสุเอช รวมถึงช่องทางระหว่างแดนต่างๆ จากยุโรปไปถึงตะวันออกกลางและเอเชียภายใต้กรณีพิพาทจากสงคราม 

การเคลื่อนไหวตามข่าวที่เราได้เห็นกันชัดเจนแล้ว คือ ซาอุดีอาระเบีย ที่ได้มาคุยเจรจากับไทย ในการตั้งคลังน้ำมันขนาดใหญ่เทียบเท่าสิงคโปร์ รวมถึงการลงทุนในโครงการนี้ที่จะตามมาอีกมาก คือสัญญาณว่า ‘แลนด์บริดจ์’ ไม่ใช่แค่โครงการในประเทศไทย แต่เป็นโครงการที่โลกต้องใส่ใจ ภายใต้คำตอบที่ง่ายดายว่า โครงการนี้ขนส่งใกล้กว่าสิงคโปร์ และมีการโอกาสในการต่อยอดด้านการลงทุน สาธารณูปโภค และการขนส่งระหว่างสองซีกอ่าวอย่างมโหฬาร

ฉะนั้นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องทำให้แลนด์บริดจ์เกิด คือ สร้างถนน สร้างรถไฟ สร้างท่อน้ำมัน กระจายต่อไปทางจีนได้เร็วเท่าไร โอกาสก็ยิ่งชัดขึ้น เพียงแต่ตอนนี้ก็คงไม่รู้ว่าจะเสร็จเมื่อไร แต่โครงการนี้เดินหน้าได้ไม่ยาก เนื่องจากถ้าเราสร้างคลังน้ำมันใหญ่ตรงนี้ได้ การสร้างท่อน้ำมันจากตรงนี้ไปยังประเทศที่โฟกัส ก็จะไม่ยาวมาก

ทั้งสองท่านมองอีกว่า นี่คือความสำคัญของประเทศไทย ในขณะที่จีนกับอเมริกาเขาทะเลาะกัน เพราะพิกัดบริเวณแลนด์บริดจ์ ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง ถ้าหากอเมริกามาคุมตรงนี้ได้ ก็เหมือนกับได้ศูนย์กลางของโลกไปเลย นำเศรษฐกิจวิ่งไปอาเซียนได้ ไป EEC ได้ ไปจีนได้ ซึ่งตอนนี้ก็มีการสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง วิ่งไปที่จีนข้างบนแล้วด้วย

ขณะเดียวกัน หากมองประเทศไทยที่กำลังจะเข้าสู่การเป็นฮับของอุตสาหกรรม EV ในย่านนี้ การมีแร่พลังงาน หรือแม้แต่แร่หายากใหม่ ๆ จากประเทศจีน ก็จะไหลมาหาไทยได้ง่ายขึ้น เพราะตรงนี้ก็จะอยู่ไม่ไกลจากเรา อีกทั้งไทยเรามี FTA กับจีน ก็ขนแร่มามาทางนี้ ผ่านรถไฟความเร็วสูงที่สามารถทำเชื่อมต่อได้เลย ซึ่งนี่ก็เหตุผลที่ทำไมรถไฟฟ้าจีนถึงได้มาเมืองไทย

แล้วนั่นก็เป็นเหตุผลที่ว่า ทําไมบรรดาค่ารถยนต์จีนอย่าง MG หรือแม้แต่ GWM ถึงเริ่มแห่มาไทย เพราะในอนาคตนอกจากที่ว่าไปข้างต้นแล้ว เขายังสามารถขนเอาแร่ลิเธียมจากอินโดนีเซีย และเวียดนาม มาบริเวณนี้ได้อีกด้วย

ดังนั้น หมากเกมนี้ รัฐบาลลุงตู่ เหมือนจะวางไว้เพื่อรับโอกาสหลายมิติ แต่มิติที่ใกล้สุดก็คือการให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางโรงผลิตรถไฟฟ้าโดยธรรมชาติ และเราจะกลายเป็นประเทศที่มีค่าเงินแพงกว่าสิงคโปร์ได้ในอนาคต หากเราทำพิกัดนี้สำเร็จ ถึงบอกว่าประเทศไทยเรามีความหวังมากเลยกับโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งจะบอกเลยว่า อาจจะเจ๋งกว่า EEC เสียอีก 

ลุงตู่นี่แกก็ใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ย
 

"ผมรอประเทศไทยเจริญไม่ทัน" ประโยคหดหู่ของเด็กไทยใน ตปท.

(20 ก.ค. 66) นายวรา ตั้งทัศนา คอนเทนต์ครีเอเตอร์ชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Slang A-hO-lic’ ที่มีผู้ติดตามกว่า 1.6 ล้านคน เกี่ยวกับเรื่องมุมมองของคนรุ่นใหม่ในต่างประเทศต่อประเทศไทย โดยระบุว่า…

“ผมรอประเทศไทยเจริญไม่ทัน!” 😔นี่คือ ประโยคนึงที่ผมฟังแล้วสะอึกมาก 

ตอนสัมภาษณ์เด็กไทยที่ต่างประเทศ ถึงสาเหตุว่า…ทำไมตัดสินใจย้ายประเทศมาที่นี่ คือมันเป็นทั้งความเศร้า สะอึก ท้อแท้ แต่เต็มไปด้วยความรู้สึก 108 เลยแบบ…

คืออย่าเข้าใจผิดนะ (คนให้สัมภาษณ์บอกว่า..) “ผมก็รักประเทศไทยนะเว้ยยยย” ผู้คนน่ารัก เป็นมิตร อาหารอร่อยยย แต่ถ้าเราจะต้องมีครอบครัว มีลูกสักคน มันต้องดูคุณภาพชีวิตด้วยปะ

- การที่ลูกได้เรียนโรงเรียนใกล้บ้าน
- การที่ลูกเดินไปโรงเรียนได้
- การที่ไม่ต้องทนรถติด
- การที่มีรถขนส่งมวลชนทั่วถึง
(ผมก็ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการจราจร จริงมั้ย?)

- การที่ทุกคนมีน้ำสะอาดกินฟรี/ มีอากาศดี ๆ หายใจ
คือ เรื่องพวกนี้(แม่ง)เป็นเรื่องที่เรียบง่ายมากเลยนะ แต่ที่ไทยกลับให้ไม่ได้ 😔

“ผมรอประเทศไทยเจริญไม่ทันจริง ๆ พี่”

เป็นประโยคที่เศร้า หดหู่ ได้ยินแล้วท้อแท้  และน่าเสียดายมากเลยย แต่ทั้งหมด มันคือความจริง…

ที่ เ ถี ย ง ไ ม่ อ อ ก ! 🥲

นอกจากนี้เจ้าของโพสต์ยังได้เขียนข้อความเพิ่มเติมใต้คอมเมนต์อีกว่า…

ความรู้สึกทุกครั้งที่กลับจากต่างประเทศ ก่อนขึ้นเครื่องต้องถอนหายใจ 1 เฮือก อารมณ์แบบ กลับสู่ความเป็นจริงแล้วสินะ…

ทำไมการได้เดินริมฟุตบาทกว้าง ๆ อากาศดี ๆ น้ำสะอาดดื่มฟรี ระบบขนมวลชนที่เข้าถึงทุกที่ มันถึงกลายเป็น honeymoon period ไปได้(วะ)

(ตัดเรื่องอากาศเย็นออกไปละกันนะ) คือบ้านเรา มันก็ควรจะทำได้ปะวะ มันควรเป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนควรได้สัมผัส ใช้ได้จนชิน ได้รู้สึกว่ามันคือเรื่องปกติ

ไม่ใช่บอกว่าสเน่ห์เมืองคือ อาหารริมฟุตบาทที่เละเทะ ยิ่งสกปรกยิ่งอร่อย และรบกวนคนเดินทางเท้าแบบทุกวันนี้ คือมันกลายเป็นฟีลว่า คนไทยต้องทน ๆ กันไป เก็บเงินสักก้อนแล้วสิ้นปีค่อยไปหาหาความสุขสั้น ๆ ใหม่

ทั้ง ๆ ที่…เราควรได้รับความสุขนั้นทุกวัน ในบ้านของเราเอง…
 

จับตา!! เศรษฐกิจจีนซบเซา สะเทือนเศรษฐกิจโลก ชี้!! หากหวัง ศก.หวนคืน ต้องปรับท่าทีแบบ 'เติ้ง เสี่ยวผิง

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่พูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็นของเศรษฐกิจจีนที่เริ่มอ่อนแอลง ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยหรือไม่อย่างไร โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

นับจากจีนภายใต้การนำของประธานเติ้ง เสี่ยวผิงปฏิรูปและเปิดเสรีประเทศตั้งแต่ปี ค.ศ. 1978 เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะเมื่อจีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) ในปี ค.ศ. 2001 การค้าการลงทุนระหว่างประเทศได้เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนให้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี ถือเป็นความสำเร็จที่ทำให้จีนกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ เทียบเคียงได้กับสหรัฐอเมริกา จนทำให้ความสัมพันธ์ของสองประเทศนี้ได้เปลี่ยนจากมิตรมาเป็นคู่แข่งและศัตรูอย่างที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ความตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจทางเศรษฐกิจทั้งสองได้ทวีความรุนแรงขึ้นภายใต้การบริหารประเทศของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง โดยตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา สี จิ้นผิง ดำเนินนโยบายแข็งกร้าวกับตะวันตก และเพิ่มบทบาทภาครัฐและพรรคคอมมิวนิสต์ในการแทรกแซงการทำธุรกิจของภาคเอกชน 

อย่างไรก็ตาม การเติบโตของเศรษฐกิจจีนในระยะหลัง เริ่มลดต่ำเหลือเพียง 5% ต่อปี และยิ่งเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็มีการปิดประเทศเกือบ 3 ปี ทำให้เศรษฐกิจจีนอ่อนแอลงอย่างมาก ถึงแม้จะเร่งเปิดประเทศเมื่อต้นปีนี้ จีนก็ไม่สามารถกลับมาเข้มแข็งได้เหมือนเดิม อุตสาหกรรมสำคัญหลายอุตสาหกรรมมีแนวโน้มไม่ดีนัก อาทิ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ตลอดจนปัญหาหนี้สินที่ยังเป็นตัวถ่วงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลายฝ่ายเริ่มมีความเห็นว่าจีนน่าจะอยู่ในช่วงขาลงและไม่สามารถคงความยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจได้อีกต่อไป

อ.พงษ์ภาณุ กล่าวต่อว่า หากจีนจะกลับมาเติบโตเหมือนเดิม และทำให้โลกสามารถลดความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ด้วยได้นั้น จำเป็นที่สี จิ้นผิง จะต้องปรับเปลี่ยนแนวนโยบายของจีนใหม่ ตามแนวที่เติ้ง เสี่ยวผิง และประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน ก่อนหน้า 2-3 คนได้วางไว้ กล่าวคือ เคารพกฎกติกาสากลและระเบียบโลก รวมทั้งลดการแทรกแซงของภาครัฐและดำเนินนโยบายที่เป็นมิตรกับตลาดมากขึ้น 

ทั้งนี้ในส่วนของประเทศไทยเอง ก็เรียกได้ว่า พึ่งพาจีนค่อนข้างมากเป็นพิเศษ ทั้งในด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ซึ่งตรงนี้ไทยก็จำเป็นต้องบริหารความเสี่ยง และปรับเปลี่ยนนโยบายการทูต การต่างประเทศให้มีความสมดุลต่อไปด้วย

รู้หรือไม่!? ‘ประเทศไทย’ ติดอันดับ 11 ของโลก ประเทศที่มี ‘ทอง’ และ ‘เงินทุนสำรอง’ มากที่สุด

🔍 รู้หรือไม่!? ‘ประเทศไทย’ ติดอันดับ 11 ของโลก ประเทศที่มี ‘ทอง’ และ ‘เงินทุนสำรอง’ มากที่สุด✨✨

ชวนส่อง 4 เรื่อง ที่ทำให้ ‘เมืองไทย’ ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่สะดวกสบาย จนแซงหน้า ‘ประเทศเยอรมนี’

🔍 ชวนส่อง 4 เรื่อง ที่ทำให้ ‘เมืองไทย’ ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่สะดวกสบาย จนแซงหน้า ‘ประเทศเยอรมนี’ จะมีอะไรบ้าง มาดูกันเลย!!

1.) การโอนเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ ที่ประเทศไทยจะสามารถโอนเงินให้ผู้รับได้ทันที ในขณะที่ประเทศเยอรมนี ต้องรอประมาณ 1 อาทิตย์ หรืออาจนานกว่านั้น
2.) การขอบัตร ATM ใบใหม่ ที่ประเทศไทยสามารถทำเรื่องขอรับได้ทันที ในขณะที่ประเทศเยอรมนี ต้องรอประมาณ 1 อาทิตย์ หรืออาจนานกว่านั้น
3.) การขอซิมการ์ด ที่ประเทศไทยสามารถหาซื้อซิมการ์ดได้ทันที ในขณะที่ประเทศเยอรมนี ต้องรอประมาณ 1 อาทิตย์ หรืออาจนานกว่านั้น
4.) การรับชมช่องโทรทัศน์ของรัฐบาล ที่ประเทศไทยสามารถรับชมได้ฟรี ในขณะที่ประเทศเยอรมนี ต้องเสียเงินประมาณ 670 บาทต่อเดือน

‘ม.เกษตร’ ออกแถลงการณ์ เห็นด้วยกับวิถีประชาธิปไตย แต่ไม่สนับสนุนการแสดงออกที่ไม่เคารพเกียรติ-สัญลักษณ์ชาติไทย

เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 66 จากกรณีมีการชักธงดำขึ้นสู่ยอดเสาหน้าหอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน เมื่อช่วงเย็นวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมีการทำกิจกรรมปราศรัยโจมตี ส.ว. ที่ไม่สนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี

ล่าสุดเพจเฟสบุ๊ก ‘มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์’ ได้ ออกแถลงการณ์ มีข้อความว่า…

“มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เห็นด้วยกับการแสดงออกในวิถีทางประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เห็นชอบในความกลมกลืนบนความหลากหลายทางความคิด เพื่อความถูกต้องเหมาะสมตามแนวทางประชาธิปไตยแบบไทย

แต่ไม่เห็นด้วยกับการแสดงออกที่ไม่เคารพเกียรติและสัญลักษณ์ของประเทศชาติ ธงชาติไทยเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทย แสดงถึงเอกลักษณ์และศักดิ์ศรีในความเป็นไทย มีความหมายถึงความเป็นเอกราช สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นความภาคภูมิใจของคนในชาติ ที่รักษาเอกราช มายั่งยืนถึงทุกวันนี้

ขอให้ทุกฝ่ายได้มีการแสดงออกในแนวทางที่ถูกต้องและเหมาะกับเกียรติภูมิของคนไทย เคารพกฎ ฟังความคิดเห็นของกันและกัน ปฏิบัติตามกติกา การอยู่ร่วมกันและเข้าใจความรู้สึกของคนในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ของสังคม และของประเทศชาติ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top