Saturday, 7 June 2025
บีโอไอ

บีโอไอ เคาะส่งเสริม รถไฟฟ้าสีส้ม – ดาต้า เซ็นเตอร์ ลงทุนกว่า 2 แสนล้าน ยกระดับนิเวศดิจิทัลรองรับยุค AI

(18 มี.ค. 68) บอร์ดบีโอไอ อนุมัติส่งเสริมลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 4 โครงการใหญ่ มูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท 
ทั้งรถไฟฟ้าสายสีส้ม และ Data Center 3 แห่งจากบริษัทไทย จีน และสิงคโปร์ เสริมแกร่งระบบนิเวศดิจิทัล รองรับยุค AI พร้อมสนับสนุนให้เอกชนร่วมลงทุนกิจการโรงพยาบาลของรัฐ ยกระดับบริการทางการแพทย์อย่างทั่วถึง

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 
17 มีนาคม 2568 การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายก รัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญขนาดใหญ่ 4 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 200,000 ล้านบาท ได้แก่ 

โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ของบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เงินลงทุน 109,210 ล้านบาท และโครงการ Data Center 3 โครงการจากประเทศไทย จีน และสิงคโปร์ ได้แก่ (1) บริษัท จีเอสเอ ดาต้า เซนเตอร์ 02 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่ม Gulf, Singapore Telecommunications และ AIS เงินลงทุน 13,480 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี  (2) บริษัท Beijing Haoyang Cloud Data Technology จากประเทศจีน เงินลงทุน 72,670 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง (3) บริษัทในเครือ Empyrion Digital ประเทศสิงคโปร์ เงินลงทุน 4,720 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร 

“Data Center ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น สำหรับรองรับความต้องการในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี AI การที่มีบริษัทระดับโลกเข้ามาลงทุนจัดตั้ง Data Center ในไทยก่อให้เกิดประโยชน์หลายด้าน นอกจากจะส่งเสริมให้ไทยเป็นดิจิทัลฮับของภูมิภาคแล้ว ยังช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการและประชาชนได้เข้าถึงบริการของศูนย์ข้อมูลและบริการคลาวด์ที่มีมาตรฐาน มีความปลอดภัยสูง และมีความเสถียรในการให้บริการดิจิทัล ลดต้นทุนบริษัทในการทำศูนย์ข้อมูลของตนเอง ช่วยรักษาข้อมูลสำคัญให้ถูกเก็บและประมวลผลในประเทศซึ่งจะเป็นประโยชน์ด้านความมั่นคง ช่วยสนับสนุนการใช้แอปพลิเคชันและเทคโนโลยีดิจิทัลในการยกระดับภาคส่วนต่าง ๆ อีกทั้งจะส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโทรคมนาคม สาธารณูปโภค พลังงาน อุปกรณ์ไอที บริษัทก่อสร้างและวางระบบขั้นสูง System Integrator ด้านต่าง ๆ รวมถึงช่วยสร้างงานที่มีคุณค่าสูงให้กับคนไทย เช่น ผู้ดูแลระบบโครงข่าย งานด้านวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาโปรแกรม ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และงานสนับสนุนด้านไอที” นายนฤตม์ กล่าว

ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2565-2567) มีโครงการที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนในกิจการ Data Center และ Cloud Service จำนวน 27 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 2.9 แสนล้านบาท

ส่งเสริมการร่วมลงทุนรัฐ-เอกชนในกิจการโรงพยาบาล
ตามที่รัฐบาลมีแนวทางส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในบริการด้านสาธารณสุขมากขึ้นในรูปแบบ PPP (Public-Private Partnership) เพื่อยกระดับมาตรฐานและเพิ่มขีดความสามารถทางการรักษาพยาบาล โดยลดภาระงบประมาณภาครัฐ แต่สามารถบรรลุเป้าหมายการเป็นโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยที่เป็นผู้ประกันตนได้จำนวนมาก โดยการผสานจุดแข็งของภาครัฐที่มีความเชี่ยวชาญของบุคลากรทางการแพทย์ ขณะที่ภาคเอกชนมีความคล่องตัว ในการบริหารจัดการและความพร้อมด้านการลงทุนเทคโนโลยี บอร์ดบีโอไอจึงได้เห็นชอบให้กำหนดสิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับกิจการโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีจำนวนเตียงรับผู้ป่วยไว้ค้างคืนตั้งแต่ 91 เตียงขึ้นไป ในกรณีที่มีการร่วมทุนในรูปแบบ PPP กับหน่วยงานรัฐ จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรเครื่องจักรและอุปกรณ์ และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 5 ปี (โรงพยาบาลทั่วไป จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี) 

นอกจากนี้ บอร์ดบีโอไอ ได้อนุมัติหลักการในการส่งเสริม “โครงการโรงพยาบาลปลวกแดง 2 จังหวัดระยอง” ซึ่งจะเป็นการร่วมทุนรัฐ-เอกชนในรูปแบบ PPP ครั้งแรกของกระทรวงสาธารณสุข ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการนี้เป็นโครงการแรกด้วย  

สนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก
เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในภาคอุตสาหกรรม ที่ประชุมได้เห็นชอบให้กิจการที่มีการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เช่น ลมหรือแสงอาทิตย์ไปแล้ว แต่ต้องการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้า (Battery Energy Storage System: BESS) และเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) ของระบบ BESS เพิ่มเติม สามารถขอรับการส่งเสริมภายใต้มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานทดแทนได้ 

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมวัสดุ ลงทุนปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามแดน (CBAM) ที่ประชุมจึงได้เห็นชอบให้กิจการผลิตวัสดุก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง ผลิตภัณฑ์เซรามิกส์ในกลุ่ม Earthenware และกระเบื้องเซรามิกส์ ซึ่งเป็นกิจการที่มีปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง สามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ภายใต้มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 

บีโอไอ บุกแดนภารตะ ดึงลงทุนการแพทย์ – อีวี – เซมิคอนดักเตอร์ หลายบริษัทสนใจปักฐานในไทยรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

บีโอไอเผยผลการเยือนอินเดีย รุกดึงการลงทุน 3 อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เปิดโต๊ะเจรจากลุ่มอุตสาหกรรมยาและอุปกรณ์การแพทย์ชั้นนำแดนภารตะ เสริมแกร่ง 'เมดิคัล ฮับ' ของภูมิภาค พร้อมเจรจา TATA Motor ดึงลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ขณะที่ผู้ให้บริการออกแบบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงสนใจตั้งฐานในไทยรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยถึงผลการนำคณะบีโอไอเยือนเมืองไฮเดอราบัด และเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย ระหว่างวันที่ 24 – 27 มีนาคม ที่ผ่านมา เพื่อพบหารือและเจรจาแผนการลงทุนเป็นรายบริษัทกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทยักษ์ใหญ่อินเดียในอุตสาหกรรมยาและอุปกรณ์การแพทย์ รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ รวม 15 บริษัท โดยบีโอไอได้นำเสนอศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในฐานะแหล่งลงทุนที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง 3 กลุ่มหลัก ซึ่งบริษัทอินเดียมีความเชี่ยวชาญ และเป็นผู้นำเทคโนโลยีระดับโลก โดยบริษัทเหล่านี้มีความสนใจขยายธุรกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน และประเทศไทย

- กลุ่มอุตสาหกรรมยาและอุปกรณ์การแพทย์  บีโอไอได้จัดประชุมร่วมกับผู้ประกอบการอินเดียที่อยู่ในเขต Medical Device Park เพื่อนำเสนอข้อมูลการลงทุนและมาตรการสนับสนุนด้าน Medical Hub นอกจากนี้ ยังได้หารือรายบริษัท เช่น บริษัท Sahajanand Medical Technologies (SMT) ผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์สำหรับการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดอันดับ 1 ของอินเดีย มีแผนลงทุนในไทยเพื่อผลิตลิ้นหัวใจเทียมและอุปกรณ์ขดลวดถ่าง (Stent) สำหรับการรักษาหลอดเลือดหัวใจและการทำบอลลูน และมีแผนสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาในไทย  บริษัท MSN Laboratories ผู้ผลิตยารายใหญ่ของโลก ปัจจุบันมีฐานการผลิตและวิจัยในหลายภูมิภาค ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรปและเอเชีย โดยมีแผนลงทุนทำวิจัยในไทย และขยายตลาดเข้าสู่อาเซียน  บริษัท ACG Capsules ผู้ผลิตแคปซูล ยาเม็ด และเครื่องจักรบรรจุยารายใหญ่ของโลก ได้ลงทุนสร้างโรงงานที่จังหวัดระยอง มูลค่ากว่า 2,100 ล้านบาท เพื่อผลิตแคปซูลจากเจลาตินและพืชด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง โดยมีแผนตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาในไทยด้วย และบริษัท Natural Remedies ผู้ผลิตอาหารเสริมจากสมุนไพรสำหรับปศุสัตว์อันดับ 1 ของอินเดีย และอันดับ 3 ของโลก มีแผนลงทุนทำวิจัยและพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยในไทย และศูนย์วิจัยของบริษัทผลิตเนื้อสัตว์ชั้นนำ เช่น ซีพี, เบทาโกร และสหฟาร์ม เพื่อยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยของอาหารสัตว์  

- กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ คณะบีโอไอได้หารือกับบริษัท TATA Motor ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของอินเดีย มีแผนรุกขยายธุรกิจด้านรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ (รถบรรทุก และรถบัส) ในต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดรถยนต์พวงมาลัยขวา โดยเพิ่งมีการดึงผู้บริหารชาวอินเดียจากค่ายรถยนต์รายใหญ่ในประเทศไทย ให้ไปคุมทัพด้านการขยายธุรกิจรถยนต์นั่งของกลุ่ม TATA Motor ในต่างประเทศด้วย

- กลุ่มอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ คณะบีโอไอได้หารือกับนายกสมาคมอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ของอินเดีย (India Electronics and Semiconductor Association: IESA) ซึ่งมีสมาชิกกว่า 400 บริษัท โดยได้นำเสนอนโยบายรัฐบาลไทยและการจัดตั้งบอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ แผนพัฒนาบุคลากร และความพร้อมของระบบนิเวศ โดยบีโอไอจะจับมือสมาคมฯ จัดกิจกรรมดึงดูดการลงทุนร่วมกันที่เมืองบังกาลอร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ด้วย นอกจากนี้ ยังได้หารือแผนลงทุนของ บริษัท Tessolve Semiconductor ซึ่งทำตั้งแต่การออกแบบชิป (IC Design) การทดสอบชิป การออกแบบแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) และการให้บริการอบรมด้านวิศวกรรมแก่บริษัทผลิตชิปชั้นนำของโลก โดยภายในปีนี้ บริษัทมีแผนลงทุนจัดตั้งศูนย์ทดสอบชิปและให้บริการทางวิศวกรรมแก่บริษัทด้านเซมิคอนดักเตอร์ในไทยด้วย

“อินเดียเป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่มีอัตราเติบโตสูงที่สุดของโลก และเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีหลายสาขา เช่น ยาและอุปกรณ์การแพทย์ เทคโนโลยีชีวภาพ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ดิจิทัล และเคมีภัณฑ์ ขณะนี้อยู่ในช่วงเวลาสำคัญที่นักลงทุนอินเดียกำลังขยายการลงทุนในต่างประเทศ ภายใต้นโยบาย Act East Policy ของรัฐบาลอินเดีย ที่มุ่งขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจกับประเทศในอาเซียน การเยือนอินเดียครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อทำให้นักลงทุนอินเดียมองเห็นศักยภาพและความพร้อมของไทยในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และพิจารณาเลือกไทยเป็นฐานการลงทุนหลักในอาเซียน ทั้งด้านการผลิต การวิจัยและพัฒนา ศูนย์โลจิสติกส์ของภูมิภาค รวมถึงสร้างความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วย” นายนฤตม์ กล่าว

ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2558 - 2567) มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากกลุ่มนักลงทุนอินเดียจำนวน 161 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 13,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมยา อุปกรณ์การแพทย์ เคมีภัณฑ์ และเครื่องประดับ

บีโอไอ ปรับเงื่อนไขส่งเสริมการลงทุนรับมือการค้าโลก พร้อมไฟเขียว 7 โครงการ มูลค่าเฉียด 1 แสนล้านบาท

(19 พ.ค. 68) บอร์ดบีโอไอ อนุมัติมาตรการชุดใหญ่ เสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทย รับมือการค้าโลกยุคใหม่ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางความผันผวน มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน พร้อมออกมาตรการส่งเสริมกิจการท่องเที่ยวในเมืองรอง ฟื้นเที่ยวไทยทั่วประเทศ อนุมัติส่งเสริมลงทุน 7 โครงการ มูลค่าเฉียด 1 แสนล้านบาท

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้เห็นชอบ “มาตรการส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทยเพื่อรองรับโลกยุคใหม่” โดยมุ่งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ไทย รักษาสมดุลทางเศรษฐกิจ ภายใต้สภาวะตลาดที่มีความผันผวน เพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบจากมาตรการการค้าของสหรัฐอเมริกา และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยในหลากหลายอุตสาหกรรมได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain ระดับโลก โดยมีมาตรการสำคัญ 4 ด้าน ดังนี้

1. ส่งเสริมให้ SMEs ไทย ปรับปรุงประสิทธิภาพ โดยออกมาตรการพิเศษเพื่อกระตุ้นให้ SMEs ไทย ลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การปรับเปลี่ยนเครื่องจักร การใช้ระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีดิจิทัล การประหยัดพลังงาน การยกระดับสู่มาตรฐานเพื่อความยั่งยืนในระดับสากล รวมทั้งการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ SMEs ไทย จากเดิมยกเว้นภาษีเงินได้ 3 ปี ในวงเงินไม่เกินร้อยละ 50 ของเงินลงทุนในการปรับปรุงประสิทธิภาพ ปรับเพิ่มขึ้นเป็นยกเว้นภาษีเงินได้ 5 ปี ในวงเงินร้อยละ 100

2. งดให้การส่งเสริมกิจการที่อาจมีปริมาณผลิตเกินความต้องการ (Oversupply) หรือกิจการที่มีความเสี่ยงต่อมาตรการการค้าของสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ เช่น กิจการผลิตเซลล์และแผงเซลล์แสงอาทิตย์ แบตเตอรี่กลุ่มตะกั่ว-กรด อุปกรณ์เสริมและอุปกรณ์ตกแต่งยานพาหนะ กิจการตัดโลหะ กิจการคัดแยกวัสดุที่ไม่ใช้แล้วกรณีตั้งนอกนิคมอุตสาหกรรมและไม่มีกระบวนการรีไซเคิล นอกจากนี้ ยังจะงดส่งเสริมกิจการเหล็กขั้นปลายเพิ่มเติมจากเดิม ได้แก่ กิจการผลิตเหล็กทรงยาวทุกชนิด เหล็กทรงแบน (เฉพาะเหล็กแผ่นรีดร้อนและเหล็กแผ่นหนา) และท่อเหล็กชนิดต่าง ๆ

3. เพิ่มความเข้มข้นในการพิจารณากระบวนการผลิตที่เป็นสาระสำคัญ สำหรับบางกิจการที่มีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบจากมาตรการการค้าสหรัฐฯ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์โลหะ และอุตสาหกรรมเบา โดยกำหนดเป็นเงื่อนไขชัดเจนว่า ต้องมีกระบวนการผลิตที่เป็นสาระสำคัญ โดยมีการแปรสภาพวัตถุดิบหลักเป็นผลิตภัณฑ์อย่างเพียงพอ เช่น มีการเปลี่ยนพิกัดศุลกากรอย่างน้อยในระดับ 4 หลัก เพื่อให้การผลิตเพื่อส่งออกของไทยเป็นที่ยอมรับและเกิดประโยชน์ต่อประเทศชัดเจนมากยิ่งขึ้น

4. ปรับปรุงเงื่อนไขการจ้างงานบุคลากรต่างชาติ  สำหรับกิจการผลิตที่ขอรับการส่งเสริมลงทุนและมีการจ้างงานทั้งบริษัทตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป จะต้องมีการจ้างบุคลากรไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของการจ้างงานทั้งหมด นอกจากนี้ จะกำหนดรายได้ขั้นต่ำของบุคลากรต่างชาติที่จะขอใช้สิทธิด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงานกับบีโอไอ เช่น ถ้าเป็นระดับผู้บริหาร ต้องมีรายได้ 150,000 บาทขึ้นไป และระดับผู้เชี่ยวชาญ 50,000 บาทขึ้นไป เพื่อสร้างสมดุลการจ้างงานในประเทศให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงการแย่งงานบุคลากรไทย และกระตุ้นให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้แก่บุคลากรไทยมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศให้มาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มแก่เศรษฐกิจไทยได้

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้บีโอไอดำเนินการศึกษาแนวทางการกำหนดมาตรการเพื่อส่งเสริมให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศ และการส่งเสริมการร่วมทุน ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการต่างชาติร่วมมือกับผู้ประกอบการไทยและช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับคนไทยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกิจการที่มีความสำคัญต่อการสร้างห่วงโซ่อุปทาน และให้นำกลับมาเสนอบอร์ดอีกครั้ง

ส่งเสริมท่องเที่ยวเมืองรอง

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบ “มาตรการส่งเสริมการลงทุนกิจการด้านการท่องเที่ยวในเมืองรอง” ตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ในเมืองรอง เพื่อส่งเสริมการกระจายตัวของนักท่องเที่ยว และเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้มากขึ้น โดยสำหรับกิจการด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ กิจการสร้างแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพ สวนสนุก ศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรมไทย ศูนย์หัตถกรรมไทย พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์เปิด ศูนย์แสดงสินค้านานาชาติ หอประชุมขนาดใหญ่ ท่าเรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) บริการที่จอดเรือท่องเที่ยว สนามแข่งขันยานยนต์ กระเช้าไฟฟ้าและรถรางไฟฟ้าเพื่อการท่องเที่ยว หากเป็นการลงทุนตั้งสถานประกอบการในเมืองรอง 55 จังหวัด จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม จากเดิม 5 ปี เป็น 8 ปี  และสำหรับกิจการโรงแรม หากตั้งในเมืองรอง 55 จังหวัด จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม จากเดิม 3 ปี เป็น 5 ปี

ปรับปรุงกิจการ Data Center, Data Hosting และ Cloud Service

บอร์ดบีโอไอ ได้อนุมัติการปรับปรุงการส่งเสริมการลงทุนกิจการ Data Center, Data Hosting และ Cloud Service ให้มีความเหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจในปัจจุบัน โดยจะเน้นให้สิทธิประโยชน์ระดับสูงกับกิจการที่ใช้อุปกรณ์ที่มีความสามารถในการประมวลผลขั้นสูง (Advanced Computing Capabilities) และมีการใช้พลังงานไฟฟ้าและน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งได้เพิ่มเงื่อนไขให้โครงการที่จะขอรับการส่งเสริม ต้องเสนอแผนพัฒนาบุคลากรไทย เช่น การจัดทำหลักสูตรร่วมกับสถาบันการศึกษา การวิจัยและพัฒนา การพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs หรือการใช้อุปกรณ์ที่ผลิตในประเทศ โดยต้องดำเนินการตามแผนที่เสนอให้แล้วเสร็จก่อนการใช้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้ ทั้งนี้ เพื่อให้การลงทุนในกลุ่มธุรกิจนี้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลแก่ประเทศไทยให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

ไฟเขียวลงทุน 7 โครงการ มูลค่าเฉียดแสนล้าน

ที่ประชุมได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนกิจการ Data Center และพลังงานหมุนเวียน รวม 7 โครงการ มูลค่าลงทุนประมาณ 1 แสนล้านบาท ประกอบด้วย กิจการ Data Center 5 โครงการ ได้แก่ (1) บริษัท วิสตัส เทคโนโลยี จำกัด เงินลงทุน 6,854 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี (2) บริษัท บริดจ์ ดาต้า เซ็นเตอร์ ไอไอไอ (ประเทศไทย) จำกัด เงินลงทุน 14,452 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี (3) บริษัท กาแล็คซี่ พีค ดาต้า เซ็นเตอร์ จำกัด เงินลงทุน 23,553 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง (4) บริษัท กาแล็คซี่ ดาต้า เซ็นเตอร์ จำกัด เงินลงทุน 22,313 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง และ (5) บริษัท ดิจิทัล เอดจ์ ดีซี (ประเทศไทย) จำกัด เงินลงทุน 24,522 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี

กิจการพลังงานหมุนเวียน 2 โครงการ ได้แก่ (1) บริษัท อัลฟ่า วัน โปรเจค จำกัด ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม เงินลงทุน 3,195 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชุมพร และ (2) บริษัท อัลฟ่า ทู โปรเจค จำกัด ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม เงินลงทุน 4,838 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

บีโอไอ ร่วมพิธีเปิดอาคาร True IDC พร้อมมอบบัตรส่งเสริมการลงทุน

เมื่อวันที่ (22 พ.ค.68) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (ขวา) เข้าร่วมพิธีเปิดอาคาร Data Center True IDC East Bangna Campus และมอบบัตรส่งเสริมการลงทุนแก่ บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์ จำกัด (True IDC) ในกิจการ Data Center เพื่อให้บริการด้าน Data Center และ Cloud Service และถือเป็นผู้ให้บริการด้าน Data Center ระดับ Hyperscale รายแรกของประเทศไทย โดยมีนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) (ซ้าย) เป็นผู้รับมอบอาคาร Data Center ระดับ Hyperscale แห่งนี้ เป็นก้าวสำคัญของบริษัทไทยและประเทศไทยในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาค เป็นประเทศที่พร้อมรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัลและอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีในอนาคต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top