Friday, 6 June 2025
นราธิวาส

สำนักงานตำรวจแห่งชาติแสดงความเสียใจเหตุครูโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน 2 นาย เสียชีวิตจากเหตุคนร้ายวางระเบิดในพื้นที่ จ.นราธิวาส พร้อมดูแลสิทธิประโยชน์และสวัสดิการอย่างเต็มที่

(15 ม.ค.68) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกรณีวันที่ 14 มกราคม 2568 เกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดแล้วจ่อยิงซ้ำเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน บนถนนสายศรีสาคร- ลูโบ๊ะยือริง ช่วงบริเวณบ้านไอร์กือแด หมู่ 4 ต.ศรีบรรพต อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนเสียชีวิต 2 นาย ได้แก่ พ.ต.ท.สุวิทย์ ช่วยเทวฤทธิ์ ครู (สบ 3) กก.ตชด.44 ครูใหญ่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านตืองอ อ.ศรีสาคร จว.นราธิวาส และบุตรชายคือ ด.ต.โดม ช่วยเทวฤทธิ์ ผบ.หมู่ กก.ตชด.44 ครูโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านตืองอ 

ทั้งนี้ ทางผู้บังคับบัญชาได้เคลื่อนย้ายศพ พ.ต.ท.สุวิทย์ฯ และ ด.ต.โดมฯ ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 49 หมู่ 1 ต.ซากอ อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส เพื่อนำร่างไปประกอบพิธีศาสนา ซึ่งทางญาติฝังศพที่กุโบร์บ้านหน้าวัง หมู่ 8 ต.คลองทรายขาว อ.กงหรา จ.พัทลุง 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอแสดงความเสียใจมา ณ โอกาสนี้ นับเป็นการสูญเสียกำลังพลตำรวจผู้ทรงคุณค่า ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ผู้มีใจที่ยิ่งใหญ่ เสียสละ ทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ด้วยความมุ่งมั่น มิเกรงกลัวภัย เพื่อเด็ก เยาวชน และพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนได้มีการศึกษา มีชีวิตที่ดี โดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่งการให้ดูแลสิทธิประโยชน์และสวัสดิการอย่างเต็มที่ให้สมเกียรติตำรวจกล้า และขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวมา ณ โอกาสนี้

สำหรับสิทธิประโยชน์กรณีข้าราชการตำรวจทั้ง 2 นาย เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ดังนี้
พ.ต.ท.สุวิทย์ ช่วยเทวฤทธิ์ ครู (สบ 3) กก.ตชด.44 ครูใหญ่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านตืองอ
- ได้รับเงินสวัสดิการและเงินช่วยเหลือ โดยประมาณ 3,519,970 บาท
- เลื่อนเงินเดือนกรณีพิเศษไม่เกิน 7 ขั้น และเลื่อนยศสูงขึ้นเป็น พล.ต.อ.

ด.ต.โดม ด.ต.โดม ช่วยเทวฤทธิ์ ผบ.หมู่ กก.ตชด.44 ครูโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน
- ได้รับเงินสวัสดิการและเงินช่วยเหลือ (โดยประมาณ) 2,722,970 บาท
- เลื่อนเงินเดือนกรณีพิเศษไม่เกิน 7 ขั้น และเลื่อนยศสูงขึ้นเป็น พล.ต.ต.

นราธิวาส-มทภ.4 นำความห่วงใยจากผู้บังคับบัญชา พร้อมเข้าเยี่ยมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บ ย้ำดูแลเร่งรัด สิทธิ์สวัสดิการอย่างดีที่สุด กำชับทหารเป็นที่พึ่งประชาชนทุกมิติ

(26 ม.ค. 68 ) เวลา 13.30 น. ที่ โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ตำบลบางนาค อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4/ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมคณะผู้บังคับบัญชา เข้าเยี่ยมให้กำลังใจและติดตามอาการของกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บ จากเหตุการณ์คนร้ายลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ทหารพรานชุดลาดตระเวน กองร้อยทหารพรานที่ 4511 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 45 บริเวณศาลาปฏิบัติธรรม บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 5 หมู่ที่ 9 ตำบลบองอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ทำให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ จำนวน 6 นาย เสียชีวิต 1 นาย เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันอยู่ในความดูแลของทีมแพทย์พยาบาลโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์อย่างใกล้ชิด จำนวน 4 นาย คือ 

1.จ่าสิบเอก ครรชิต เสนาะกรรณ อายุ 43 ปี ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดบริเวณหัวไหล่ขวา และใต้เข่าขวา มีอาการแน่นหน้าอก ปวดบริเวณหน้าอก
2. อาสาสมัครทหารพราน อดิศักด์ หนูเนตร อายุ 39 ปี มีอาการแน่นหน้าอก หูอื้อ มีอาการปวดตามร่างกาย 
3. อาสาสมัครทหารพราน ซาฮารี ยูเปาะนะ อายุ 34 ปี ได้รับบาดเจ็บถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณใบหน้า มีอาการระคายเคืองตาซ้าย มีแผลบริเวณเปลือกตาซ้ายและแขนซ้าย ปวดบริเวณหน้าอก มีอาการปวดตามร่างกาย
 4. อาสาสมัครทหารพราน อัมมัร รือราโพ อายุ 30 ปี ได้รับบาดเจ็บ มีอาการแน่นหน้าอก หูอื้อ ปวดตามร่างกาย

โดย พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้นำกระเช้าเยี่ยมแสดงความห่วงใยจาก ผู้บังคับบัญชามาถึงผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งหลังจากนี้ได้กำชับหน่วยงานต้นสังกัดและหน่วยที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ เรื่องสิทธิสวัสดิการของกำลังพลให้เร็วที่สุด พร้อมกล่าวชื่นชมในความกล้าหาญ ทุ่มเทและเสียสละ และในนามของรัฐบาลและกองทัพบก ตลอดจนผู้บังคับบัญชาทุกคน ขอนำความห่วงใยและความปรารถนาดี มาสู่เพื่อนข้าราชการและครอบครัวผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทุกนาย  พร้อมย้ำว่าผู้บังคับบัญชาพร้อมให้ความช่วยเหลือดูแลอย่างเต็มขีดความสามารถ และพร้อมจะอำนวยความสะดวกเมื่อเกิดปัญหา ทั้งนี้ขอให้กำลังพลรักษาสุขภาพ ร่างกายและจิตใจให้เข้มแข็งโดยเร็ว และขอให้หายจากการเจ็บป่วยในเร็ววัน ยืนยันรัฐบาล โดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้ามีความห่วงใยไม่ทอดทิ้งกำลังพลทุกนาย ย้ำทุกฝ่ายเร่งสืบสวน สอบสวน รวบรวมหลักฐานในการติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

นราธิวาส-ผู้ว่าฯ นราธิวาส มอบกระเช้าเยี่ยมให้กำลังใจและมอบเงินช่วยเหลือเยียวยา แก่เจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บ จากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ อำเภอระแงะ 

วันนี้ (31 ม.ค. 68) ที่ ตึกประชารักษ์ ชั้น 1 โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ อำเภอเมืองนราธิวาส ว่าที่ร้อยตรี ตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส พร้อมด้วย นายอำเภอระแงะ ,หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือเยียวยาฯ จังหวัดนราธิวาส ,รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 45 ,คณะกรรมการเหล่ากาชาดจังหวัดนราธิวาส และผู้อำนวยการโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ เยี่ยมให้กำลังใจ พร้อมมอบกระเช้าเยี่ยม อส.ทพ.มะรือซู มะดีเย๊าะ อายุ 29 ปี เจ้าหน้าที่ทหารพราน สังกัด ร้อย ทพ.4511 ซึ่งได้รับบาดเจ็บ จากเหตุคนร้ายไม่ทราบชื่อและจำนวน ลอบวางระเบิดศาลาสำนักสงฆ์บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 5 หมู่ที่ 9 ตำบลบองอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส เมื่อเวลา 09.55 น. วันที่ 23 ม.ค.68 ที่ผ่านมา ทำให้ได้รับบาดเจ็บมีแผลบริเวณขาทั้งสองข้าง แผลที่รักแร้ข้างซ้าย ไม่สามารถเดินได้ โดยรวมรู้สึกตัวดี  

จากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสและคณะ ได้เดินทางไปยังบ้านเลขที่ 17/2 ม.1 ตำบลโคกเคียน อำเภอเมืองนราธิวาส เพื่อมอบกระเช้าเยี่ยมให้กำลังใจ อส.ทพ.ศรนรินทร์ นันทจันทร์ อายุ 25 ปี เจ้าหน้าที่ทหารพราน สังกัด ร้อย ทพ.4511 ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากเหตุการเดียวกัน ทำให้มีบาดแผลจากสะเก็ดระเบิดบริเวณสะโพกซ้าย, ศรีษะ, ไหล่ซ้าย-ขวา, อวัยวะเพศ  และมีอาการแน่นหน้าอก ล่าสุดอาการโดยรวม ของเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 นาย ดีขึ้น ตามลำดับ

ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ได้เยี่ยมสอบถามอาการและมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาฯ แก่ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทั้ง 2 รายๆ ละ 30,000.- บาท และคณะกรรมการเหล่ากาชาดจังหวัดนราธิวาส มอบเงินช่วยเหลือเยียวยาจากเหตุการณ์ความไม่สงบฯ ของสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดนราธิวาส รายละ 3,000.- บาท ด้วย

‘กลุ่มก่อความไม่สงบ’ สร้างสถานการณ์!! ต้อนรับ ‘ทักษิณ’ ‘แยม ฐปณีย์’ หวิดโดนไปด้วย เผย!! เพิ่งออกมา แค่แป๊บเดียว

(23 ก.พ. 68) เจ้าหน้าที่สภ.เมืองนราธิวาส ได้รับแจ้งเกิดเหตุระเบิด บริเวณในพื้นที่ท่าอากาศยานนราธิวาส ต.โคกเคียน อ.เมืองนราธิวาส จ.นราธิวาส 

จากการตรวจสอบเบื่องต้นทราบว่า พบเป็นรถยนต์กระบะ ดีแม็ก สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน บฉ 6955 นราธิวาส ของ เจ้าหน้าที่หน่วยดับเพลิงประจำสนามบินนานาชาตินราธิวาส ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ 

ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างปิดกั้นจุดเกิดเหตุเพื่อทำพื้นที่ให้ปลอดภยก่อน นำกำลังเจ้าหน้าที่และหน่วยที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบอีกครั้ง 

ส่วนประเด็นและสาเหตุเจ้าหน้าที่เชื่อว่ากลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่สร้างสถานการณ์เพื่อต้อนรับดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ปรึกษาประธานสมาคมประชาชาติแห่งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) จะเดินทางลงมาในพื้นที่ ท่าอากาศยานนราธิวาส ในเวลา 09.50 น. 

ซึ่งงานนี้ก็ได้มีคณะสื่อมวลชน เดินทางติดตาม ลงพื้นที่ไปทำข่าวกันหลายสำนัก รวมทั้ง ‘แยม ฐปณีย์ เอียดศรีไชย’ ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าว ‘The Reporters TV’ 

งานนี้เรียกได้ว่า ‘เฉียดตาย’ เพราะระเบิดได้ดังสนั่นขึ้น หลังจากที่ แยม ฐปณีย์ นั้น ได้ออกมาจากจุดเกิดเหตุ ‘แค่แป๊บเดียว’ 

ล่าสุดอัพเดทแล้ว แยม ฐปณีย์ นั้น ‘ปลอดภัย’

ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาประธานอาเซียน ให้สัมภาษณ์ ขณะลงพื้นที่ รร.สัมพันธ์วิทยา อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส

(23 ก.พ. 68) ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาประธานอาเซียน ให้สัมภาษณ์ ที่ รร.สัมพันธ์วิทยา อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ถึงการลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในครั้งนี้ 
ว่า มีความตั้งใจที่อยากเห็นสันติสุขเกิดขึ้น

‘สว.สงขลา’ ฟันธง!! ระเบิดสนามบินที่นราธิวาส เป็นฝีมือของ ‘บีอาร์เอ็น’ ชี้!! ไม่ต้อนรับ การกลับมาแก้ปัญหาไฟใต้ ของ ‘อดีตนายกรัฐมนตรี’

(23 ก.พ. 68) นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวุฒิสภา เปิดเผยถึงระเบิดแสวงเครื่อง ที่เกิดขึ้นในสนามบินจังหวัดนราธิวาส ก่อนที่ คณะของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคณะจะเดินทางมาถึงประมาณ 50 นาทีว่า ประเด็นที่ 1 เป็นการแสดงออกจาก ขบวนการแบ่งแยกดินบีอาร์เอ็น ที่แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจ และไม่ต้อนรับการ เดินทางลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ บีอาร์เอ็น กล่าวหาว่า เป็นผู้จุดชนวนของไฟใต้ ในครั้งที่เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2547  และเป็นผู้ที่เรียก ขบวนการบีอาร์เอ็นว่าเป็นโจรกระจอก เป็นผู้ยุบ ศอ.บต. และ.พตท. 43  และก่อนหน้านี้ หลังจากที่นายทักษิณ ชินวัตร เดินทางไปพบกับ นายอันวาร์ อิบราฮิบ นายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซีย เพื่อขอความร่วมมือในการ ปราบปราม ขบวนการบีอาร์เอ็น ที่มีฐานที่มั่นอยู่ใน รัฐกลันตัน และรัฐตรังตานู ประเทศมาเลเซีย โฆษกบีอาร์เอ็น ก็ออกมา ข่มขู่ว่าหากมีการให้รัฐบาลมาเลเซียเข้ามากดดันบีอาร์เอ็น สถานการการณ์ของจังหวัดชายแดนภาคใต้อาจจะรุนแรงมากขึ้น

“เป็นที่น่าสังเกตว่า การวางระเบิดคาร์บอมบ์ ครั้งนี้ บีอาร์เอ็น ต้องการเพียงการแสดงถึงสัญลักษณ์ให้รู้ว่า ไม่ต้องการให้ ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นผู้กำกับการดับไฟใต้ คาร์บอมบ์ลูกดังกล่าว จึงเป็นเพียงระเบิดขนาดเล็ก ที่ไม่มี สะเก็ดระเบิด ไม่ต้องการทำลายล้างแต่ต้องการสื่อไปยัง ทักษิณ ชินวัตร และ รัฐลบาลเท่านั้น” นายไชยยงค์ ระบุ

นายไชยยงค์ ระบุว่า ประเด็นที่ 2 ระเบิดแสวงเครื่อง ที่เป็นคาร์บอมบ์ สามารถหลุดรอดจากการตรวจของเจ้าหน้าที่ แสดงให้เห็นความหย่อนยาน ความบกพร่อง ของท่าอาการยานและหน่วยงานความมั่นคง ที่มีหน้าที่ในการ รักษาความปลอดภัย ที่ปล่อยให้รถยนต์ของเจ้าหน้าที่ท่าอากาศยาน ซึ่งแนวร่วมของบีอาร์เอ็น ได้นำระเบิดแสวงเครื่อง ไปติดตั้งไว้ในขณะที่รถยนต์คันนี้ จอดอยู่นอกพื้นที่ของท่าอากาศยาน ระเบิดที่แนวร่วม นำมาติดตั้งในรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ท่าอากาศยาย จึงเป็นระเบิดขนาดเล็กที่ต้องการให้เกิดเสียงดัง แต่ไม่ต้องการสร้างความเสียหายให้เจ้าหน้าที่ จึงมีเพียงเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บจากการ หูอื้อ แน่นหน้าอกเพียง 4 ราย

“ถ้าแนวร่วมบีอาร์เอ็น ติดตั้งระเบิดแสวงเครื่อง ที่มีน้ำหนัก 20 กิโลกรัม และมีการใส่สะเก็ดระเบิด อานุภาพการทำลายล้างก็จะทำให้รถยนต์ที่เป็นคาร์บอมบ์แหลกและต้องมีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บล้มตายหลายคนและต้องมี เจ้าหน้าที่ทั้งท่าอากาศยานและกอ.รมน.ภาค 4 ต้องกลายเป็นเป้าหมายในความสูญเสียที่เกิดขึ้น การวางระเบิดเพื่อต้อนรับ ทักษิณ ชินวัตร และคณะในครั้งนี้จึงเป็นการส่งเสียงเตือนให้อดีตนายกรัฐมนตรี ถอยจากการเข้ามาวุ่นวายในจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น” นายไชยยงค์ ระบุ

นายไชยยงค์ ระบุด้วยว่า ประเด็นที่ 3 การเดินทางลงพื้นที่ จ.นราธิวาส โดยมี หมุดหมายที่โรงเรียนสัมพันธ์วิทยา อ.เจาะไอร้อง เพราะในปี 2547 ที่ ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี มีการจับกุม มะแซ อุเซ็ง อดีต เลขาธิการ บีอาร์เอ็น เจ้าของแผน บันได 7 ขั้นได้ที่นี้ โดยยึดเอกสารได้ที่โรงเรียนแห่งนี้ พร้อมทั้งการออกหมายจับนายมะแซ อุเซ็ง ในข้อหา อั้งยี่ ซ่องโจร และแบ่งแยกดินแดน ดังนั้นโรงเรียนแห่งนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ ที่เคยเป็นศูนย์รวมการ แบ่งแยกดินแดน การนัดหมาย พบปะกับผู้นำศาสนา ณ โรงเรียนสัมพันธ์วิทยาของทักษิณ ชินวัตร จึงมีนัยทางการเมืองของการดับไฟใต้ในครั้งนี้

นายไชยยงค์ ระบุว่า เช่นเดียวกับการเดินทางไปยังวัดประชุมชลธารา อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส เนื่องจากวัดดังกล่าวเจ้าอาวาสซึ่งดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของเจ้าคณะภาค 18 เป็น ที่เคารพของชาวไทยพุทธและมุสลิมในพื้นที่เป็น ศูนย์รวมของพี่น้องชาวไทยพุทธ การเดินทางมานมัสการเจ้าอาวาสวัดประชุมชลธารา พบพบปะชาวไทยพุทธ จึงเป็นการได้คะแนนเสียงและได้รับการต้อนรับจากประชาชนในพื้นที่ค่อนข้างมาก

นราธิวาส-รองนายกฯ ควง ทักษิณ ทปษ.ประธานอาเซียน ลงพื้นที่ปลายด้ามขวาน ย้ำพัฒนา แก้ปัญหา ในมิติคง ด้านศาสนา ด้านการศึกษา เพื่อความมั่นคงพื้นที่ในพื้นที่ และขอชาวไทยมุสลิม สู่รอมฎอนสร้างสันติ

(23 ก.พ. 68) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี / ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) พร้อมด้วย ดร.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน และพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ นราธิวาส ปัตตานี และยะลา เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในหลายมิติ ได้แก่ ด้านความมั่นคง ด้านศาสนา และด้านการศึกษาของประชาชนในพื้นที่ โดยมี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส รวมถึงประชาชนมารอต้อนรับ ณ สนามบินนราธิวาส

การลงพื้นที่ครั้งนี้ คณะฯ ได้เปิดเวทีรับฟังข้อเสนอแนะจากภาคประชาชน ผู้นำศาสนา ข้าราชการ นักวิชาการ ภาคธุรกิจ และองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหา อุปสรรค รวมถึงแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ชายแดนใต้ โดยจะนำข้อมูลที่ได้ไปประมวลผลและผลักดันแนวทางการแก้ไขในระดับพื้นที่และระดับอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความร่วมมือกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงและสนับสนุนกระบวนการพัฒนาพื้นที่      รองนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยที่ปรึกษาประธานอาเซียน ถึงสนามบินนราธิวาสแล้วเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งในมิติด้านความมั่นคง ด้านศาสนา ด้านการศึกษาของประชาชนในพื้นที่ 

รองนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยที่ปรึกษาประธานอาเซียน ถึงสนามบินนราธิวาสแล้วเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งในมิติด้านความมั่นคง ด้านศาสนา ด้านการศึกษาของประชาชนในพื้นที่ (เวลา 10.00 น.) พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และหัวหน้าพรรคประชาชาติ ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พา ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี/ที่ปรึกษาประธานอาเซียน และ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้ากราบนมัสการพระธรรมวัชรจริยาจารย์ เจ้าอาวาสวัดประชุมชลธารา/ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 18 ณ วัดประชุมชลธารา (วัดสุไหงปาดี) ตำบลสุไหงปาดี อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส โดยมีประชาชนในพื้นที่เดินทางมาต้อนรับ กว่า 2 พัน คน

การลงพื้นที่ครั้งนี้ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพระภิกษุสงฆ์และพี่น้องประชาชนในพื้นที่ทั้ง 13 อำเภอของจังหวัดนราธิวาส โดยก่อนการพบปะพูดคุยกับประชาชน คณะฯ ได้ร่วมชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน อาทิ การแสดงรำหมอลำจากกลุ่มสตรีในพื้นที่ สะท้อนถึงอัตลักษณ์ท้องถิ่นและความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน

ภายหลังการเยี่ยมเยียนและพบปะประชาชน ดร.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน ได้กล่าวถึงแนวทางในการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และการร่วมมือกันแก้ไขปัญหายาเสพติดที่เป็นภัยต่อสังคม โดยระบุว่า "ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน ผมเห็นว่าการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ควบคู่ไปกับการจัดการปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบ ซึ่งหัวใจสำคัญของการแก้ไขปัญหาคือ การเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายได้หันหน้าเข้าหากัน พูดคุย และร่วมกันหาแนวทางแก้ไขอย่างสันติ การสื่อสารและความร่วมมือคือกุญแจสำคัญของความสำเร็จ"

จากนั้น คณะฯ มีกำหนดการเดินทางไปยังโรงเรียนสัมพันธ์วิทยา ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เพื่อพบปะผู้บริหารสถานศึกษาและหารือถึงการพัฒนาด้านการศึกษาในพื้นที่เพื่อวางแนวทางพัฒนาพื้นที่ชายแดนใต้ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนพร้อมทั้งรับประทานอาหารเที่ยง

รองนายกรัฐมนตรีนำคณะเยี่ยมโรงเรียนสัมพันธ์วิทยา ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส หารือถึงการพัฒนาด้านการศึกษาในพื้นที่

ต่อมา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) พร้อมด้วย ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษาประธานอาเซียน พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เดินทางมายังโรงเรียนสัมพันธ์วิทยา ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เพื่อพบปะผู้บริหารสถานศึกษาและหารือถึงการพัฒนาด้านการศึกษาในพื้นที่เพื่อวางแนวทางพัฒนาพื้นที่ชายแดนใต้ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนพร้อมทั้งรับประทานอาหารเที่ยง โดยมี ผู้บริหารโรงเรียน คณะครูอาจารย์ ตลอดจนนักเรียน และบัณฑิตอาสา ร่วมให้การต้อนรับ
โอกาสนี้คณะฯได้เยี่ยมชมนิทรรศการผลงานนักเรียนและกิจกรรมแต่ละระดับชั้นที่ให้นักเรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้พร้อมต่อยอดในการเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้น จากนั้นคณะได้เข้ารับฟังข้อเสนอแนะ ปัญหาอุปสรรคจากผู้แทนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ผู้นำศาสนา ข้าราชการ เพื่อเดินหน้าแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายด้านการศึกษาในพื้นที่พร้อมกันนี้ผู้แทนสถานศึกษาได้ให้ข้อเสนอแนะในด้านการพัฒนาการศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มค่าตอบแทนครู บุคลากรทางศึกษา ซึ่งครูถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญในการพัฒนาศักยภาพเด็กนักเรียน

ดร.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวตอนหนึ่งว่า จังหวัดนราธิวาสมีหลายอย่าง ซึ่งควรที่จะได้รับการผลักดัน เลยลงมาดู เพื่อนำข้อมูลไปหารือกับ นายอันวา อิบรอฮิม นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย  และกลุ่มประเทศอาเซียน  เพื่อเตรียมที่จะนำของดีเหล่านี้กลับมาพัฒนาและส่งเสริมอีกรอบหนึ่ง “เด็กเปรียบเหมือนผ้าขาวขึ้นอยู่กับการหล่อหลอมของผู้ใหญ่อยากให้เด็กทุกคนเติบโตขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาของพื้นที่ส่วนเรื่องการศึกษาคือหัวใจของการพัฒนาในปัจจุบัน  การสร้างแรงจูงใจให้เด็กคือสิ่งที่เราต้องทำผมอยากเห็นสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีศักยภาพสูงในด้านทรัพยากรทางธรรมชาติ และได้รับการพัฒนาในทุกด้าน”

สำหรับอยากโรงเรียนสัมพันธ์วิทยาเป็นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามควบคู่สามัญ มีนักเรียนทั้ง 3 ระดับ ระดับอนุบาล ระดับประถามศึกษาและระดับมัธยมศึกษา ปัจจุบันมีนักเรียนทั้งสิ้น 2,020 คน มีบุคลากรทั้งหมด 150 คน เป็นโรงเรียนที่มุ่งเน้นพัฒนาการศึกษาให้มีคุณภาพเพื่อให้เยาวชนเป็นคนดี คนเก่ง กล้าคิด กล้าแสดงออกและเป็นการเรียนรู้ที่พร้อมปลูกฝังด้านคุณธรรมจริยธรรมเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของอิสลามและมีความเจริญก้าวหน้าทันต่อยุคเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพราะโรงเรียนเชื่อมั่นว่าการศึกษาเท่านั้นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของคนให้มีอนาคตที่ดี เพื่อไปพัฒนาตนเองและประเทศชาติให้มีความเจริญยิ่งขึ้นต่อไป

ทักษิณลงปัตตานีหารือผู้นำศาสนาหาแนวทางใหม่ดับไฟใต้  นิรโทษกรรม VS คืนศักดิ์ศรี หรือแก้มาตรา 21 พ.ร.บ.ความมั่นคง

วันเดียวกัน 13.30 น. ที่ร.ร.สายบุรีอิสลามวิทยา อ.สายบุรี จ.ปัตตานี  ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษาปธ.อาเซียน พร้อมกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รมต.ว่าการกระทรวงกลาโหมและพัน ต.อ ทวี สอดส่อง รมต.ว่าการยุติธรรม พร้อมคณะ ในโอกาสเป็นตัวแทนรัฐบาลเดินหน้าหาแนวทางแก้ปัญหาและการพัฒนาในจังหวัดชายแดนภาคใต้  ซึ่งมีนางพาตีเมาะ สะดียามู ผวจ.ปัตตานี หัวหน้าส่วนราชการ นายนิเดร์ วาบา บริหารสถานศึกษา ผู้นำศาสนา  ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น ภาคประชาสังคมและประชาชน นักเรียนให้การต้อนรับ กว่า1,000 คน  บรรยากาศเต็มไปด้วยความยิ้มแย้ม เด็กๆ นักเรียนทั้งหญิงและชายต่างขอถ่ายรูปเซลฟี่กันอย่างคับคั่ง

โดยการลงมาเยือนชายแดนใต้ครั้งนี้ มีวาระประเด็นสำคัญว่า มีแนวคิดอ้างอิงจาก "โมเดล 66/2523" ซึ่งเคยใช้แนวทาง "นิรโทษกรรม" ต่ออดีตผู้ก่อความไม่สงบในช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จะกลับมาใช้อีกครั้ง หรือไม่ ซึ่งกำลังดำเนินการทำรายละเอียด ทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ย้ำว่าแนวทางใหม่นี้จะไม่ใช่การนิรโทษกรรมโดยตรง แต่จะมีหลักเกณฑ์ชัดเจน และใช้แนวคิด "การเมืองนำการทหาร" ในการดำเนินการ

โดยล่าสุด นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้แต่งตั้ง นายทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาประธานเลขาธิการอาเซียน ซึ่งส่งผลต่อยุทธศาสตร์ทางการเมืองในพื้นที่ตอนเหนือของมาเลเซียที่ติดกับจังหวัดชายแดนใต้ของไทย คือปัญหาความไม่สงบ นายอันวาร์ อิบริฮิม หวังใช้โอกาสนี้ขยายฐานเสียงในพื้นที่พรรคอิสลามแห่งมาเลเซีย (PAS) ซึ่งมีอิทธิพลในรัฐที่ติดกับชายแดนไทยด้วยเช่นกัน

ครั้งนี้ยังถูกจับตาว่า นายทักษิณ อดีตนายกฯ ต้องการรักษาฐานเสียงของพรรคประชาชาติ ซึ่งเป็นพันธมิตรของพรรคเพื่อไทยในพื้นที่ชายแดนใต้ด้วย ท่านได้พบปะหารือกัน มีการแลกเปลี่ยน พูดคุยก่อนรับฟังข้อเสนอ และได้กล่าวว่า

ดร.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า วันนี้ยินดีมากที่ได้กลับมา พบกับท่านนิเดร วาบา เพื่อนเก่า ผมเคยมาที่นี้ 20 กว่าปีที่แล้ว และออกไปอยู่ในตะวันออกกลางและในหลายประเทศ เข้าใจพี่น้องมุสลิมเป็นอย่างดี ผมได้โอกาสได้ฟังความคิดเห็นิหารือจากเพื่อนๆต่างประเทศมานานแล้วต้องการให้ช่วยแก้ปัญหาพัฒนาเรื่องเศรษฐกิจ แก้ปัญหาอื่นๆ ทั้งความรุนแรง ผมสมัยเคยเป็นนายกรัฐมนตรี เคยทำงานอาจจะใจร้อน มีข้อผิดพลาดบ้าง ก็ขอกราบขอโทษทุกๆท่านมา ณที่นี้

ตอนนี้เหตุการณ์สถานการณ์ดีขึ้นมากแล้ว เราคุยกันรู้เรื่องมากขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีทรัพยากร และมีศักยภาพพัฒนาไปข้างหน้าให้ดีกว่านี้ การพูดคุยสันติสุข สมัยนายกปู นายกยิ่งลักษณ์   ผมมีโอกาสได้ช่วยเหลือและริเริ่ม เข้าลงไปช่วยอยู่บ้าง ซึ่งได้คุยกับคนที่อยู่ต่างประเทศ ว่าทุกคนอยากกลับบ้านของตนเอง ตอนนี้ผมกลับบ้านได้แล้ว แต่อีกหลายๆคนยังไม่ได้กลับ ต้องถึงเวลสที่ผมมาช่วยให้ทุกคนได้กลับบ้านด้วยเช่นกัน และในโอกาสอีกไม่กี่วัน พี่น้องมุสลิมจะเข้าสู่เดือนรอมฎอนแล้ว ขอให้ทุกคนได้ทำบุญ ทำกุศล เข้าทำความดีสู่เดือนรอมฎอนด้วยสันติ พระเจ้าทรงรับผลงามความดีของทุกๆท่าน ผมขอสันติสุขแก่พี่น่องมุสลิม ณที่นี่ และทั่วประเทศด้วยขอบคุณครับ

นราธิวาส-ผู้ว่าฯ นราธิวาส มอบเงินช่วยเหลือเยียวยาฯ แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่อำเภอแว้ง 

(13 มี.ค. 68) ที่ หอประชุมที่ว่าการอำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส ว่าที่ร้อยตรีตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส พร้อมด้วย ทันตแพทย์หญิง ปิยนาถ บุณฑริก รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดนราธิวาส, นางเปรมวดี ขวัญเพชร ผู้ช่วยเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้, หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ เดินทางไปมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาฯ แก่ผู้ที่ได้รับผล กระทบ จากเหตุความไม่สงบในพื้นที่อำเภอแว้ง จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 68 เวลา 19.09 น. มีคนร้ายไม่ทราบชื่อ จำนวน 2 คน ขับรถพ่วงข้างบรรทุกวัตถุระเบิด มาจอดใกล้บริเวณกองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอแว้งที่ 3 หมู่ที่ 2 ตำบลแว้ง อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส ต่อมาได้เกิดระเบิดขึ้น เป็นเหตุให้สมาชิกกองอาสารักษาดินแดนอำเภอแว้งที่ 3 และประชาชนได้รับบาดเจ็บ จำนวน 30 ราย  เป็นสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนอำเภอแว้งที่ 3 จำนวน 16 นาย  และประชาชน 14 ราย 

ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส  ได้มอบเงินช่วยเหลือเยียวยาฯ แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ในพื้นที่อำเภอแว้ง จำนวน 30 รายๆ ละ 10,000.- บาท และมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ของสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดจังหวัดนราธิวาส  จำนวน 15 รายๆ ละ 2,000.- บาท 

โอกาสนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ได้พบปะพูดคุยและให้กำลังใจสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนฯ และประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ฯ ในครั้งนี้ ด้วย


 

นราธิวาส-คณะตัวแทนรัฐ 3 ฝ่าย ห่วงใยร่วมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บเหตุระเบิด – 2 เยาวชนยังอาการน่าห่วง นักเรียนหญิงหวั่นกระทบการสมัครเรียน

ที่บรรยากาศที่ตึกกัญญารัตน์ โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เมือง จ.นราธิวาส เต็มไปด้วยความห่วงใยและอบอุ่น เมื่อคณะตัวแทนจากภาครัฐ 3 ฝ่าย ร่วมลงพื้นที่เข้าเยี่ยมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากเหตุลอบวางระเบิดบริเวณหลังสถานีตำรวจภูธรเมืองนราธิวาสในวันที่20 เมษายน ที่ผ่านมา

โดยเหตุการณ์ลอบวางระเบิดในครั้งนี้ สร้างแรงสั่นสะเทือนในพื้นที่ใกล้เคียงเพราะเป็นชุมชนที่หนาแน่นและประชาชนได้มาจับจ่ายใช้สอยเนื่องจากบริเวณที่เกิดเหตุเส้นทางไปตลาดนัดบ้านทอนซึ่งตรงกับทุกวันอาทิตย์ของสัปดาห์ เหตุการณ์ดังกล่าว หลายหน่วยงานรีบเข้าเยี่ยมผู้ป่วย เพื่อเยียวยาและสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนอย่างรวดเร็ว การเข้าเยี่ยมครั้งนี้นำโดย นายซาฟีอี เจ้ะเลาะ ประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส, นางซารีนา เจ้ะเลาะ พร้อมกับนายอับดุลอาซิซ เจ้ะมามะ ในนามที่ปรึกษาศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ฝ่ายสตรีนางประนอม คำจุ่นประธานโฆษกชาวบ้านนางปารีดะ อารีซู รองประธานศูนย์สภาพัฒนาการเมืองพลเมืองพระปกเกล้าจังหวัดนราธิวาส , พร้อมด้วย พ.ท.ปรีชา รุ่งเมือง และ นายสุกรี มะดากะกุล กรรมการกองอำนวยการตัวแทนคณะขับเคลื่อนสันติสุขชายแดนใต้ และคณะกว่า10 ท่านต่างพร้อมใจเข้าพบครอบครัวผู้ได้รับบาดเจ็บ ให้กำลังใจอย่างใกล้ชิด ซึ่งขณะนี้ยังมีเยาวชน 2 รายที่แพทย์ยังต้องเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด คือ ด.ช.อัสมิน ดือเระ ชาว ต.ลุโบะสาวอ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ซึ่งได้รับบาดแผลจากสะเก็ดระเบิดบริเวณกรามและคอ และ นส .นัชมีย์ ศรีมารักษ์ อายุ 15  ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดบริเวณใต้ราวนมขวา บาดแผลลึกและยังอยู่ในความดูแลของทีมแพทย์อย่างต่อเนื่อง 

นส .นัชมีย์ ศรีมารักษ์ อายุ 15 กล่าวว่า ตอนนี้รู้สึกเสียใจมากและตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้ก็ยังอยู่ในความหวาดผวาอยู่ ขอบคุณทุกท่านที่มาให้กำลังใจและอีกเรื่องหนึ่งคือตนอยู่ระหว่างจะไปสมัครสอบเข้าเรียนชั้นม 4 ด้วยแต่ยังไม่ทันได้เข้าสมัครกังวลว่าจะได้เข้าโรงเรียนต่อหรือไม่ถึงฝากผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องช่วยดำเนินการเรื่องนี้ด้วยค่ะ

เหตุการณ์ลอบวางระเบิด ยังคงเกิดเหตุ อย่างต่อเนื่องกันทุกวันหลายฯหน่วยงานเกิดความวิตกกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ชาวบ้าน และหลายๆฝ่ายออกมาเรียกร้องขอให้ยุติความรุนแรงโดยเร็วที่สุด เพราะมีผลประทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันโดยมาก ขณะที่ภาครัฐไม่ได้นิ่งนอนใจ พร้อมทั้งเดินหน้าดูแลผู้ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ เพื่อเยียวยาและสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนในพื้นที่ชายแดนใต้ที่ยังคงเผชิญความไม่สงบอย่างต่อเนื่อง

นราธิวาส-แม่ทัพภาคที่ 4 เปิดกิจกรรม 'Open House เปิดประตูสู่สถาบันศึกษาปอเนาะ' ยกย่องเป็นต้นแบบการศึกษา สานพลังสร้างสันติสุขชายแดนใต้

เมื่อวานนี้ (30 เม.ย.68) เวลา 11.00 น. ที่สถาบันศึกษาปอเนาะแสงอรุณศาสตร์ หมู่ที่ 3 ตำบลฆอเลาะ อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม “Open House เปิดประตูสู่สถาบันศึกษาปอเนาะ” ภายใต้โครงการ “ปอเนาะสานใจ สู่การพัฒนา” โดยมีผู้นำภาครัฐ ภาคศาสนา และภาคประชาชนเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนรับรู้บทบาทของสถาบันศึกษาปอเนาะในการส่งเสริมการเรียนรู้ ศาสนา วัฒนธรรม และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมพหุวัฒนธรรม ตลอดจนเป็นเวทีให้เยาวชนและผู้เรียนได้แสดงความสามารถและศักยภาพ โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 200 คน จากสถาบันศึกษาปอเนาะในอำเภอแว้ง และพื้นที่ใกล้เคียง

นายภิญญา รัตนวรชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า สถาบันศึกษาปอเนาะแสงอรุณศาสตร์เป็นแบบอย่างของการจัดการศึกษาคุณภาพ มีบทบาทเด่นทั้งด้านการเรียนการสอนและการพัฒนาท้องถิ่น ได้รับรางวัลหลายรายการ และได้รับการคัดเลือกเป็นสถาบันนำร่องภายใต้โครงการ “ปอเนาะสานใจ สู่การพัฒนา” โดยกิจกรรม Open House ครั้งนี้ถือเป็นการสื่อสารและสร้างความเข้าใจในบทบาทของสถาบันปอเนาะในสังคมร่วมสมัย โดยภายในงานมีการจัดนิทรรศการจากหน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนที่ร่วมกันสนับสนุนการจัดการศึกษา การสร้างอาชีพ และโอกาสในอนาคตให้แก่ผู้เรียน

ด้าน พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า รู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเยี่ยมเยียนและพบปะโต๊ะครูของสถาบันแห่งนี้ พร้อมยกย่องสถาบันศึกษาปอเนาะแสงอรุณศาสตร์ว่าเป็นปอเนาะต้นแบบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

“กิจกรรม Open House ครั้งนี้ เป็นโอกาสอันดีในการเปิดบ้านแห่งการเรียนรู้ เสริมสร้างความเข้าใจระหว่างสถาบันการศึกษากับชุมชน และขอยืนยันว่า กองทัพบก โดยเฉพาะแม่ทัพภาคที่ 4 จะสนับสนุนและเสริมสร้างพลังให้กับภาคประชาชน ภาคการศึกษา และภาคศาสนา เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนสังคมชายแดนใต้ไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” พลโท ไพศาล ฯ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top