Wednesday, 23 April 2025
ทนายความ

‘นิด้าโพล’ เผย!! ปชช. ยังเชื่อมั่นใน ‘ทนายความจิตอาสา’ ชี้!! ยังมีอยู่จริงแท้ แค่ไม่มากเท่าไร ยังคงไว้ใจได้อยู่

(3 พ.ย. 67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “ทนายความจิตอาสาจริง ๆ” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 28-30 ตุลาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อทนายความ การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงการมีอยู่จริงของทนายความจิตอาสาที่ช่วยเหลือประชาชนด้วยใจ ไม่สนใจผลประโยชน์หรือการสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 52.44 ระบุว่า มีจริง แต่ไม่มากเท่าไร รองลงมา ร้อยละ 26.56 ระบุว่า ไม่มั่นใจว่ามีจริง ร้อยละ 16.88 ระบุว่า ไม่มีจริง และร้อยละ 4.12 ระบุว่า มีจริง จำนวนมาก

ด้านบุคคลหรือหน่วยงานที่ประชาชนไว้ใจในการขอความช่วยเหลือหากไม่มั่นใจในความยุติธรรมจากคดีความที่ฟ้องร้องผู้อื่นหรือถูกผู้อื่นฟ้องร้อง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 42.06 ระบุว่า ศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย รองลงมา ร้อยละ 21.83 ระบุว่า ชมรม สมาคม มูลนิธิ องค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ที่เกี่ยวข้อง ร้อยละ 19.16 ระบุว่า สำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน สำนักงานอัยการสูงสุด ร้อยละ 13.44 ระบุว่า ไม่ไว้ใจใครเลย ร้อยละ 11.68 ระบุว่า ทนายอาสาจากสภาทนายความ ร้อยละ 11.37 ระบุว่า ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 1111 ร้อยละ 9.01 ระบุว่า ทนายทั่วไป ร้อยละ 8.17 ระบุว่า ทนายอาสาจากเนติบัณฑิตยสภา ร้อยละ 6.87 ระบุว่า ทนายที่มีชื่อเสียง ร้อยละ 1.60 ระบุว่า นักการเมือง และร้อยละ 4.96 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ สื่อโทรทัศน์ สื่อสังคมออนไลน์

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความไว้วางใจของประชาชนต่อความช่วยเหลือที่จะได้รับจากการใช้บริการหรือขอคำปรึกษาจากทนายความ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 42.06 ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ รองลงมา ร้อยละ 36.11 ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ ร้อยละ 12.52 ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย ร้อยละ 8.78 ระบุว่า ไว้วางใจมาก และร้อยละ 0.53 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.63 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.86 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.35 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.82 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.79 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง

ตัวอย่าง ร้อยละ 12.37 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.94 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 18.24 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.64 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 24.81 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 96.64 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 2.90 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.46 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ

ตัวอย่าง ร้อยละ 33.44 สถานภาพโสด ร้อยละ 63.89 สมรส และร้อยละ 2.67 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 0.53 ไม่ได้รับการศึกษา ร้อยละ 18.02 จบการศึกษาประถมศึกษา ร้อยละ 36.18 จบการศึกษามัธยมศึกษา หรือเทียบเท่า ร้อยละ 9.47 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 30.99 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 4.81 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี

ตัวอย่าง ร้อยละ 10.92 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 16.56 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 20.46 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 12.21 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 15.34 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 19.85 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 4.66 เป็นนักเรียน/นักศึกษา

ตัวอย่าง ร้อยละ 20.00 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 4.96 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 5,000 บาท ร้อยละ 13.66 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 5,001-10,000 บาท ร้อยละ 30.53 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 12.06 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 4.66 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 2.90 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001-50,000 บาท ร้อยละ 1.99 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 50,001-60,000 บาท ร้อยละ 0.38 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 60,001-70,000 บาท ร้อยละ 0.08 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 70,001-80,000 บาท ร้อยละ 0.69 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 80,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 8.09 ไม่ระบุรายได้

‘ผู้กองเบนซ์’ โพสต์เฟซบุ๊ก ฟาดใส่ ‘ทนายเด’ กับเพื่อนทนาย ไลฟ์สด!! อย่างเมามัน เอาเรื่องเท็จมาใส่ความ ทำให้เสียหาย

เมื่อวานนี้ (8 พ.ย. 67) ผู้กองเบนซ์ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก โดยมีใจความว่า ...

4 ปีก่อน ผมเป็นคนนึงที่ได้รับผลกระทบจาก ‘ทนายเด’ กับทนายอีกคน เอาเรื่องเท็จมาใส่ความผมผ่าน live ของตัวเองอย่างเมามัน จนผมได้รับความเสียหาย ตอนนั้นผมเสียเปรียบทางสังคมอยู่ จึงไม่ได้ตอบโต้อะไร 

ตอนนี้กรรมตามทันมันแล้วครับ

เอวัง

‘สว.นันทนา’ โพสต์เฟซ!! วอนสังคมให้มีสติ หลังโซเชียลขุดภาพคู่ ‘ทนายตั้ม’ มาดิสเครดิต

เมื่อวานนี้ (8 พ.ย. 67) นางสาวนันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า 

ขอให้สังคมมีสติ และใช้วิจารณญาณ ต่อการขุดโพสต์ facebook เก่า มาดิสเครดิตกัน

ประการที่ 1 โพสต์เรื่องทนายตั้มรับโล่รางวัลนี้ เกิดขึ้นเมื่อ 6 ปีครึ่งมาแล้ว ตั้งแต่ 12 มีนาคม 2561 เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะที่ดิฉันดำรงตำแหน่ง คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง ไม่ได้ เป็นสว.

ประการที่ 2 การให้รางวัลศิษย์เก่าดีเด่นของวิทยาลัยสื่อสารการเมือง เป็นการให้รางวัลทุกปี ปีละ 5-6 คน เป็นรางวัลที่มอบให้กับศิษย์เก่าที่มีผลงานดีเด่นในรอบปีนั้นๆ เช่นมีผลงานทางสังคม มีผลงานด้านวิชาชีพ เช่นได้รับรางวัลจากต่างปท. ช่วยเหลือส่วนรวมในด้านต่าง ๆ ฯลฯ

ซึ่งในปี2561 ทนายตั้ม ได้มีผลงานในเรื่องของการทำคดีหวย ช่วยให้เจ้าของหวยตัวจริงได้รับความเป็นธรรม ทางคณะกรรมการชมรมสื่อสารการเมืองเห็นว่า เป็นคุณประโยชน์ต่อสังคม ก็มอบรางวัลให้พร้อมกับศิษย์เก่าอื่น ๆ อีก 5 คน

รางวัลของเรา คงไม่อาจจะรับประกันคุณภาพของผู้รับรางวัลว่า เขาจะรักษาคุณงามความดีไว้ตลอดไปตราบชีวิตจะหาไม่ แต่เราก็หวังว่า รางวัลจะช่วยเป็นเครื่องเตือนสติ ให้เค้ารักษาความดีงามนั้น แต่ถ้าเค้ารักษาไว้ไม่ได้ เราก็เสียใจ ผิดหวัง

อีกประการหนึ่ง ในขณะนี้ ดิฉันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับวิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริกแล้ว

จึงขอให้บรรดา ผู้ที่พยายามจะแชร์โพสต์นี้ ได้ใช้สติ ขณะเดียวกันประชาชนผู้รับสาร ก็ต้องมีวิจารณญาณ แยกแยะข้อมูล ว่าเรื่องการขุดโพสต์นี้ เป็นข่าวที่ควรค่าแก่การรับรู้ หรือเป็นเพียงข้อมูลที่ต้องการดิสเครดิตกัน

ในฐานะสมาชิกวุฒิสภา ดิฉันย่อมตั้งมั่นอยู่ในการทำงานเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน ย่อมไม่สนับสนุนคนที่ฉ้อฉล หลอกลวง และไม่เคารพกฎหมายอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส ได้โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อปี 2561 ระบุว่า ‘ทนายตั้มเป็นผู้ที่นำเอา องค์ความรู้ด้านสื่อสารการเมือง ไปต่อยอด ความรู้ด้านกฎหมาย และได้นำเอาความรู้เหล่านั้น ไปใช้ต่อสู้เพื่อผู้บริสุทธิ์ โดยมิได้หวังผลตอบแทน นับเป็นบุคคลตัวอย่าง ที่สังคมไทยต้องการ’

เปิดเส้นทางรัก ‘ทนายตั้ม - ปทิตตา’ รักกันมา 25 ปี สมัยจีบกัน คุยข้ามวัน 2 ทุ่ม ถึง ตี 2 ก่อนได้ครองคู่

(9 พ.ย. 67) ย้อนเรื่องราวเส้นทางความรัก 25 ปี ของ ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด กับ ภรรยาคนสวย คุณเดือน ปทิตตา เบี้ยบังเกิด ในรายการ 'ที่รัก เสือสิงห์ กระทิงแซ่บ' กับชื่อตอน เปิดคดีรัก 25 ปี เป็นเมียทนายต้องอดทน!! ทำคดีมามากมาย แต่ ทนายตั้ม ษิทรา กลับแพ้ให้คดีของ เดือน ปทิตตา ภรรยาคนสวยสุดแซ่บนี่เอง แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ภรรยาคนนี้ต้องสู้และอดทนแค่ไหน?

ทนายตั้มเล่าว่า รักกันมา 25 ปี ช่วงแรกไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องครอบครัวให้ใครรู้เลย แต่ช่วงหลัง ๆ พอทนายตั้มเริ่มมี FC มากขึ้น คุณเดือนเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ ก็เลยต้องแสดงตัวว่า ทนายตั้มมีครอบครัวแล้วนะ

“เจอกันครั้งแรกในงานประกวดนางนพมาศ ตั้งใจจะไปจีบเพื่อนของคุณเดือน แต่เพื่อนเขามีแฟนแล้ว ก็เลยเบนเข็มไปจีบเขาแทน โดยโทรไปหาเขาหลายวันติดต่อกัน จนคุณเดือนเริ่มรู้สึกแปลกๆ เพราะเริ่มไม่ได้ถามเรื่องเพื่อนแล้ว แต่ถามเรื่องคุณเดือนอย่างเดียวเลย จนฝ่ายคุณเดือนต้องถามว่า ‘พี่ตั้มคิดอะไรกับหนูหรือเปล่า’ จะได้ทำตัวถูก ก็เลยบอกว่า คุยกันตั้งแต่ 2 ทุ่ม ถึง ตี 2 ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ” ทนายตั้มย้อนเล่า

แต่ก็ไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะคุณเดือนเป็นลูกหลานบ้านนายตำรวจใหญ่ของจังหวัด จะเข้าไปจีบก็เหมือนเข้าถ้ำเสือ จนต้องเข้าทางคุณย่าแทน มาถึงช่วงที่หัวเลี้ยวหัวต่อ กำลังจะจบ ม.6 ที่บ้านจะส่งไปเรียนเมืองนอก แต่ทนายตั้มเชื่อว่าถ้าคุณเดือนไปเมืองนอกจะต้องเลิกกันแน่นอน ก็เลยตัดสินใจ ไปที่บ้านเข้าไปขอลูกสาวเขาเลย ตอนนั้นคุณเดือนเพิ่งจบ ม.6 ตัวเองก็เพิ่งเรียนมหาวิทยาลัยปี 2

คุณเดือนบอกว่า ช่วงที่คบกับทนายตั้มแรกๆ ลำบากมาก ทนายตั้มเรียน ม.ราม ได้เงินวันละ 200 บาท บางวันได้ 50 บาท ลงเรือ เดินเท้า ทุกอย่างผ่านมาด้วยกันหมดแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ เรามั่นใจว่าคิดไม่ผิดจริง ๆ ที่เลือกเขาเป็นคู่ชีวิต เรารู้ว่าเขาทำงานเสี่ยง ๆ เพื่อครอบครัวทุกอย่าง

คุณเดือนยังถูกถามคำถามในรายการว่า จริงหรือไม่ที่ เป็นเมียทนายตั้มต้องอดทน เพราะ ทนายตั้ม HOT เกินต้าน จนเมียหัวจะปวด ซึ่งคุณเดือนบอกว่า สำหรับสามีคนนี้ ช่วงแรก ๆ ต้องเช็กทุกอย่าง เพราะเขาชอบตีเนียน บอกว่าคุยเรื่องงาน พอทนายตั้มหลับ ก็จะต้องเอามือถือมาเช็ก เช้ามาถ้าหน้านิ่วคิ้วขมวด แปลว่าเจออะไรแปลก ๆ แน่นอนแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการแชตคุยที่ไม่เหมือนลูกความกับทนายคุยกัน เช่น “กินข้าวหรือยังคะ” อะไรแบบนี้

ทนายตั้มก็ตอบว่า จริง ๆ เป็นเรื่องงาน เป็นบรรดา FC ที่เขาติดตามเรา บางคนส่งอาหาร ส่งของมาให้กินที่สำนักงานเลยก็มี

‘นิพิฏฐ์’ สงสาร!! ทนายตั้มจูบหน้าผากลา ‘เมียรัก’ ฝากเพื่อนทนาย ให้กำลังใจเพื่อน ขอให้เขาเข้มแข็ง

(10 พ.ย. 67) นาย นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ และทนายความ โพสต์ภาพของนาย ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ผู้ต้องหาในคดีฉ้อโกงและฟอกเงิน กำลังหอมหน้าผากของนาง ปทิตตา เบี้ยบังเกิด หรือ เดือน ภรรยาคนสวย ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาในคดีร่วมกันฟอกเงิน บนรถตู้ ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำตัวไปขออำนาจศาลเพื่อฝากขัง พร้อมข้อความลงในเฟซบุ๊ก ‘นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ’ ระบุว่า …

ขี้สงสาร ผมน่าจะมีจุดอ่อนอยู่เรื่องหนึ่ง คือ ขี้สงสาร เห็นใครทุกข์ลำบากไม่ว่าเขาเป็นคนดีหรือไม่ดี ผมสงสารไปหมด ขอเขียนอีกครั้งเถอะ แม้จริตผมไม่ตรงกับทนายตั้ม ผมเคยเขียนต่อว่าเขาครั้งหนึ่ง ตอนเขาไปทำบุญ และอธิษฐานให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงโทษใครคนหนึ่ง (ผมจำไม่ได้แล้วว่าเขาให้ลงโทษใคร) ผมขึ้นเฟซบุ๊กต่อว่าเขาทันทีว่า จะบ้ารึ!! การอธิษฐานขอพร เขาไม่อธิษฐานขอพรให้พระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงโทษใคร มีแต่ขอพรให้ตัวเองและผู้อื่นพ้นทุกข์ ได้วิชานี้มาจากไหนวะ!!! นี่มันวิชามารนะ!! 

หลังจากนั้นทนายตั้ม ลงเฟซบุ๊กขอถอนคำอธิษฐาน ด้วยความขี้สงสารของผม เห็นภาพทนายตั้มโอบกอดภรรยาแ ละจูบที่หน้าผากภรรยา ผมก็สะท้อนใจ ผมบ่นกับภรรยาว่า สงสารเขา ปกติคนเป็นสามีต้องปกป้องภรรยา เขาคงปวดใจที่ปกป้องภรรยาไม่ได้ ทำให้ภรรยาต้องมารับวิบากด้วย

ภรรยาผมสวนขึ้นมาว่า ดีนะขนาดอยู่ในรถควบคุมผู้ต้องหา เขายังจูบหน้าผากภรรยา แต่เธอไม่เคยจูบหน้าผากฉันนานแล้ว เป็นงั้นไปอีก!!!

ยิ่งอ่านข่าวว่า เขาไม่ขอประกันตัวเอง แต่ขอให้ภรรยาได้ประกันตัว ผมก็ยิ่งเห็นใจเขาเข้าไปอีก ประกันออกมาแล้วผิดเงื่อนไข ค่อยถอนประกันก็ได้

ผมฝากเพื่อนทนายตั้ม จะช่วยเขาหรือไม่ช่วยเขาก็ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและรูปคดี แต่การให้กำลังใจให้เขาเข้มแข็ง ไม่ผิดอะไรหรอก เขาเรียกว่าเพื่อนแท้มิใช่เพื่อนกิน จำหลักไว้นะครับผู้ต้องหาหรือจำเลย ไม่ว่าเขาผิดหรือถูก เขา ‘จำเป็น’ ต้องมีทนายความเป็นที่ปรึกษา ผิด-ถูกก็ว่าไปตามข้อเท็จจริง เหมือนผู้ป่วยไม่ว่าเป็นโจรหรือพระ หมอก็ต้องรักษาอาการเจ็บป่วยให้

เพื่อนทนายความคนไหนไปเยี่ยมเขา ก็ซื้อหนังสือปรัชญา สโตอิก (Stoicism) เล่มดี ๆ ไปฝากเขาสักเล่มสองเล่ม เพื่อให้เขาอยู่ได้โดยมีหลักคิด ที่ไม่ทุกข์จนเกินไป ใครไม่ชอบใจข้อเขียนผมก็เมตตาผมเถอะ ผมเหมือนผลไม้ที่หมดรสฝาด หมดรสเปรี้ยวแล้ว มีแต่รสหวาน ที่อยากให้เพื่อนร่วมโลกอยู่กันอย่างมีความสุข ไม่เบียดเบียนกันเท่านั้น

‘ทนายเดชา’ ลั่น!! ใครมีปัญหากับ ‘สนธิ’ โทรมาหาได้ 24 ชม. ชี้!! ความจริงมีสิ่งเดียว

(10 พ.ย. 67) ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ โพสต์เฟซบุ๊ก ‘ทนายคลายทุกข์’ ระบุว่า ...

เรียนพี่น้องประชาชน ใครที่มีปัญหากับคุณสนธิ ให้ติดต่อมาหา ‘ทนายเดชา’ ได้นะครับ เบอร์โทร 081-6252161 หรือ 081-6161425 ยินดีรับใช้ 24 ชั่วโมง

ความจริงมีสิ่งเดียว

‘ทนายนิด้า’ โพสต์!! ยินดีรับทนายที่ลาออกจาก ‘ษิทราลอว์เฟิร์ม’ ลั่น!! พร้อมถ่ายทอด ‘วิชาที่ถูกที่ควร’ ให้อย่างเต็มความสามารถ

(10 พ.ย. 67) จากกรณีตำรวจสอบสวนกลาง จับกุม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม พร้อมภรรยา ตามหมายจับของศาลอาญาในข้อหาฉ้อโกง ฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน

ล่าสุดวันนี้ น.ส.ศรันยา หวังสุขเจริญ หรือ ทนายนิด้า โพสต์เฟซบุ๊กระบุข้อความว่า 

ทนายความที่เคยทำงานกับบริษัท ษิทรา ลอว์เฟิร์ม จำกัด ที่ลาออกเพราะหัวเรือไม่อยู่แล้ว มาสมัครที่ บริษัท ทนายนิด้า จำกัดได้นะคะ ยินดีรับไว้แล้วถ่ายทอดวิชาที่ถูกที่ควรให้อย่างเต็มความสามารถ ที่สำคัญพี่นิด้าว่าความเอง สอนวิชาว่าความได้ค่ะ

อัยการ เผย!! ‘ทนายตั้ม’ โดน ‘ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ’ ชี้!! ข้อหานี้ หาดูได้ยาก เพราะอยู่ในกฎหมายฟอกเงิน

(10 พ.ย. 67) ความคืบหน้ากรณีที่มีการยื่นคำร้องฝากขัง นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกง, ฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (18), มาตรา 5, มาตรา 9 วรรคสอง และมาตรา 60 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83

โดยมีรายงานว่า ในคำร้องฝากขังทนายตั้มได้มีการบรรยายว่า การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 (ทนายตั้ม) เป็นความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 อยู่ด้วยนั้น

สำหรับ ‘ความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ’ นั้นแหล่งข่าวจากสำนักงานอัยการสูงสุด ให้ความเห็นทางกฎหมายว่า คดีของทนายตั้มถือเป็นคดีแรกเท่าที่ตนเคยพบ ซึ่งไม่ค่อยพบว่าที่ผ่านมามีคนเคยถูกแจ้งข้อหาดังกล่าว การดำเนินคดีอาญาข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระ ถือว่าเป็นก้าวย่างที่สำคัญของการนำกฎหมายทั้ง 2 ฉบับมาผสมผสานกัน กล่าวคือ ข้อหาฉ้อโกงเป็นความผิดที่อยู่ในกฎหมายอาญา โดยมีแต่เฉพาะการฉ้อโกงบุคคลทั่วไป มาตรา 341 กับการฉ้อโกงประชาชนตามมาตรา 343

โดยคำว่า ‘การฉ้อโกงเป็นปกติธุระ’ จะอยู่ในกฎหมายฟอกเงิน ซึ่งเป็นมาตรการในการดำเนินคดีกับผู้โอน รับโอน ทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด และการยึดอายัดทรัพย์สิน

ทั้งนี้ คำว่า ‘เป็นปกติธุระ’ อาจมีความหมายความว่า เป็นบุคคลผู้มีหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการมรดกหรือผู้จัดการทรัพย์สิน แล้วกระทำการฉ้อโกง โดยหลอกลวง แล้วเอาไปซึ่งทรัพย์สินของบุคคลอื่น ไปจำนวนหลายครั้งหลายครา ‘เป็นอาจิณ’

กรณีที่เกิดขึ้นเป็นข่าวทางสื่อมวลชนในประเด็นที่ทนายความ ซึ่งถือว่าเป็นบุคคลซึ่งลูกความให้ความไว้วางใจมอบหมายให้ทำหน้าที่ในทางกฎหมายเกี่ยวกับคดีความของตน แต่ทนายความดังกล่าวกลับกระทำการผิดหน้าที่ หลอกลวงเอาทรัพย์สินของลูกความไปเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การกระทำการดังกล่าวจึงถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมาย และเป็นการกระทำที่ผิดมรรยาททนายอีกด้วย

การดำเนินคดีกับทนายความในข้อหาดังกล่าวจึงถือว่าเป็นก้าวย่างสำคัญ เป็นปรากฏการณ์ทางกฎหมาย ด้วย ในอันที่จะตัดวงจรอาชญากรรม และบังคับใช้กฎหมาย เพื่อคุ้มครองและให้ความเป็นธรรมกับสุจริตชนด้วย

หลังจากนี้ก็จะต้องมีการยึดอายัดทรัพย์สินตามพระราชบัญญัติการฟอกเงินต่อไปอีก

‘อาจารย์อ๊อด’ ร่วมด้วย!! ช่วยแฉ ชี้!! ทนายกร่าง ทำแสบไว้หลายเรื่อง

(16 พ.ย. 67) อาจารย์อ๊อด หรือ อ.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์เคมีชื่อดัง ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในรายการ ‘SondhiX’ ซึ่งดำเนินรายการโดย นายนพรัฐ พรวนสุข บรรณาธิการอาวุโส สื่อเครือผู้จัดการ-News1 โดยได้พูดถึงประเด็นที่สังคมไทย กำลังให้ความสนใจ เกี่ยวกับ ทนายชื่อดัง โดยเนื้อหาในการพูดคุยกันนั้น มีดังนี้ ...

ผมก็ประกาศว่าเอาให้สุด ไม่เหมือนคุณอา (นายสนธิ) ส่วนนี้นะ คือสุดซอยของผมนี่คือจนตรอก ตรอกนี่จะเล็กกว่าซอยเอาให้จนตรอกไปเลย ไม่ว่าจะเป็นผมหรือเขานะ

ทำไมถึงแค้นขนาดนั้น?

มันเริ่มจากผมไปนั่งเป็นที่ปรึกษาให้กับ บริษัทของ ‘เสี่ยเปี๊ยก’ ที่เพชรบุรี ผู้รับเหมาก็ฟ้องเสี่ยเปี๊ยก เสี่ยเปี๊ยกก็ฟ้องผู้รับเหมา ก็ฟ้องกันไปฟ้องกันมา แล้วปรากฏว่า ผมก็มีชื่อติดไปด้วย โดนฟ้องเป็นคดีแพ่งนะครับ ไม่ใช่คดีอาญา ซึ่งผมโดนหางเลขเพราะว่าผมก็ขอลาออกไปช่วยผู้รับเหมานะครับ ก็เลยโดนกล่าวหาว่าเห้ยเราไปฮั้วกับผู้รับเหมาอะไรประมาณเนี้ย มันก็เป็นเรื่องของการผิดสัญญาธรรมดา หลังจากนั้นเนี่ยทางเสี่ยเปี๊ยก เค้าก็มีทนายเค้าอยู่ละครับมันก็เป็นเรื่องภายในอะครับ

ปรากฏว่าสํานวนฟ้องมันหลุดไปได้ยังไงไม่รู้นะครับ แล้วก็ไปถึงมือหลายคน ซึ่งมาถึงบางอ้อหลังจากที่อาจารย์อ๊อดได้มีโอกาสไปกินข้าวกับทนายตั้ม ตั้มก็บอกว่าเรื่องพี่อ๊อดน่ะมาที่ผมเยอะมากเลย อ้าวแล้วทําไมตั้มไม่ทํา ตั้มไม่ทําตั้มส่งให้คนอื่นต่อเราก็เลยถึงบางอ้อไงเพราะว่าเรื่องเนี้ยก็ไปโผล่ที่ facebook ของทนายคนนึง

โพสต์เลย อาจารย์ชื่อดังที่มีความเชี่ยวชาญด้านกัญชงกัญชาโกงหลอกนักลงทุนร้อย 150 ล้านโหตรงเป๊ะเลยนะกับคําฟ้อง

จนในที่สุดเขาก็พยายาม สโคปเข้าเรื่อยๆ ให้นึกถึงเป็น ‘อาจารย์อ๊อด วีระชัย’ เนี่ย!!

หลังจากนั้น ช่วงประมาณ 25 ตุลาคม 2565 สื่อก็รุมกันเล่น อาจารย์ก็สู้แหลกเลย ทำให้ต้องทะเลาะกับทุกคนเลย ก็มีที่มาจาก ‘ทนายพม่า’ คนนี้แหละ ‘ดำรัฐฉาน’

ทนายคนนี้ เขาเอาไปเล่นใหญ่เลย อ.อ๊อด โกง 150 ล้าน 

ไม่ได้มีข้อเท็จจริงอะไรเลย จนในที่สุดเสี่ยเปี๊ยก ก็ไปจ้างคนนี้มาเป็นทนาย อ.อ๊อด ก็สู้เลยทีนี้ มาด่าว่าเราโกง สุดท้ายอาจารย์ก็โดนไป 44 คดี 

ส่วนใหญ่เป็นหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา คืออาจารย์อ๊อดพยายามโพสต์อธิบายครับมันก็ต้องพาดพิง แล้วเราไม่รู้ข้อกฎหมาย เราก็พูดชื่อเค้าตรง ๆ เค้าก็ฟ้องเลยแต่ศาลยกฟ้อง ก็ด้วยบอกว่าเรามีส่วนคือเราอธิบายความ ผมก็เพิ่งมารู้ข้อกฎหมายตอนหลัง เราเป็นอาจารย์เคมีไม่รู้เรื่องกฎหมาย 

มันเป็นกลยุทธ์ของเขา เพื่อที่จะหลอกให้เราไปตกหลุมพราง พอเราตอบโต้เขา ก็กลายเป็นหมิ่นประมาท จัดการเล่นเราตรงนั้น เรียกค่าเสียหายคดีละ 3 แสนบาท  วางศาลแค่ พันเดียว แต่เรียกเรา 3 แสน

เท่านั้นยังไม่พอ ใครมีเรื่องกับอ.อ๊อด ก็ไปเรียกเขามารวมกัน จะว่าความให้อีก อ.อ๊อด ก็ได้แต่ตั้งการ์ดรับอย่างเดียวเลย เหมือนนักมวยอ่ะ มาตุ๊บตั๊บ กันเต็มไปหมดเลย

จนในที่สุดผมก็ได้รับคำแนะนำที่ดีจาก ท่านอดีตศาลที่ท่านได้เกษียณไปแล้ว ผมถึงได้โต้กลับแล้วผมก็ชนะ

พฤติกรรมที่ทํากับผม ผมร่างหนังสือร้องสภาทนายความ ผมร่างก็คือขอให้สภาทนายความเนี่ยลบชื่อออกเลยนะ ผมก็เอาจากที่ให้คําสัมภาษณ์สื่อทุกวันเนี่ย ร้องต่อสภาทนายความ

ปรากฏว่าวันดีคืนดี มีหมายศาลครับมาที่บ้านบอกว่าเราไปร้องเรียนที่สภาทนายความเนี่ยร้องเท็จ

จาก ‘ทนายดํารัฐฉาน’ ฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท แล้วก็แจ้งเท็จ ร้องเท็จ ร้องเท็จเนี่ยหนักโทษหนักนะครับ ฟ้องที่ศาลแขวงดอนเมือง 

แต่ก่อนที่หมายศาลจะมา มีจดหมายจากสํานักงานทนายเดรัจฉาน มาที่บ้านครับจะเราก็งง เอ๊ะเขามีหน้าที่อะไรส่งหมายศาลมาให้เราก่อน ก่อนที่หมายศาลจริงจะมาส่งจดหมายมาก่อน ว่าคุณถูกฟ้องนะมันเหมือนข่มขู่เราอะแต่เราก็งงมากได้รับมา แต่ว่าเผอิญอาจารย์อ๊อดเนี่ยโดนฟ้องมาเกือบทั้งชีวิต เราก็เลยเฉย ๆ นะ รับมาปุ๊บก็สู้คดีครับสู้ไปจนศาลก็ตัดสินให้เราชนะ ก็ชนะเค้าก็อุทธรณ์ ศาลไม่รับอุทธรณ์ เมื่อไม่รับอุทธรณ์ก็ไม่ถึงฎีกา คดีก็ถึงที่สุดเลย หมายความว่า เราชนะทั้งสามศาล

ทีนี้พอมาเห็นคุณอาสนธิโดนเนี่ย เราก็เลยมองแล้วว่าเอ๊ะมันคล้าย ๆ กัน เขาจะประกาศหาแนวร่วมแล้วเขาก็จะใช้ความรู้ทางกฎหมาย บิดข้อเท็จจริง แล้วเขาก็จะไม่เอ่ยชื่อ ซึ่งลักษณะนี้มันก็จะคล้ายกับของ อ.อ๊อด ไง

อาจารย์อ๊อตเป็นที่ปรึกษา แล้วก็ถูกฟ้องพ่วงไปกับผู้รับเหมาเป็นเรื่องของการผิดสัญญาการก่อสร้าง แต่ไปบอกคนอื่นว่า อาจารย์ชื่อดัง ม.เกษตร หลอกลงทุน จนอาจารย์ต้องตกเป็นจำเลยของสังคม 

เขาจะถล่มใคร คนๆ นั้นต้องตายภายใน 3 วัน 7 วัน คือไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอะ
เป็นภัยสังคมนะอย่างนี้

เพราะว่าไม่ได้สู้ตามกระบวนการปกติ

ไปด่าคนอื่นว่าใช้ศาลเตี้ย ตัวเองน่ะเป็นศาลเลยเอาโซเชียลตัดสินเขาจนเขาต้องเข้าโรงพยาบาลคือเขาจะผิดจะถูกอะไรต้องให้ศาลตัดสินใช่ไหมครับแล้วที่สําคัญเนี่ยเขาจะยียวนกวนประสาท อาจารย์อ๊อด ต้องตั้งสติ ต้องไม่ตอบโต้เขา แต่ก็ยังงงอยู่ว่าทำไมเขาถึงกร่างได้ แล้วเขาก็ทำแบบนี้กับทุกคน แล้วก็บิดเล็กบิดน้อยทั้งจิตวิทยาทั้งโซเชียลทั้งกฎหมาย

เอาให้สุดซอย และสุดตรอก จนตรอกเลยละกันนะ

คุณอาสนธิบอกว่า ‘คลานเข่า’ มาที่บ้านพระอาทิตย์ ก็ไม่เปิดให้ ของอาจารย์อ๊อดเนี่ย คลานมาหน้า ม.เกษตร อาจารย์ ‘เตะเสย’ เลยนะ!!

‘ทนายรณณรงค์’ เข้าให้ปากคำคดี ‘ทนายตั้ม’ ย้ำ!! ห่างกันนานแล้ว ยัน!! ไม่รู้จัก ‘เจ๊อ้อย’

(16 พ.ย. 67) ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พนักงานสอบสวนได้เรียก นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ หรือ ทนายรณณรงค์ เข้าให้ปากคำเกี่ยวกับคดีของทนายตั้ม ก่อนเข้าให้ปากคำทนายรณรงค์ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า ตำรวจสอบสวนกลางเรียกมาสอบพยานคดีทนายตั้ม ยังไม่รู้ว่าจะถามประเด็นอะไรบ้าง แต่น่าจะเป็นคดีทั้งหมดที่เกิดขึ้น อาจจะปมเงินเรื่องของเงิน 71 ล้านด้วย ตนกับทนายตั้มห่างกันแล้ว ตั้งแต่ทนายตั้มเริ่มรวยขึ้น ก็ไม่ได้กินข้าวด้วยกัน ไม่รู้เป็นโชคดีหรือโชคร้าย

นายรณณรงค์ กล่าวว่า ทนายตั้มได้ชวนตนไปบ้าน ชวนไปกินไวน์และกินข้าว แต่ตนยังไม่เคยได้ไป มีการบอกและเล่าให้เพื่อนฟังว่าบ้านที่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ และตกแต่งบ้านไปกี่บาท รู้สึกแปลกใจเรื่องราคาบ้าน แต่ไม่เคยถามว่าเอาเงินมาจากไหนเพื่อซื้อบ้านหลังนี้ เพราะค่าจ้างทนายตั้มมีราคาที่ค่อนข้างแพง

เมื่อถามว่า ผิดปกติกับการทำอาชีพทนายความหรือไม่เพราะร่ำรวยผิดปกติ นายรณณรงค์ ระบุว่า ถึงจะค่าจ้างแพงแต่เงินมันกระโดดไปหน่อย ถ้าทำสำนักงานและมีเรทราคาค่อนข้างสูงและเปิดเป็น10 ปี จะไม่แปลกใจ แต่ถ้าหากเพิ่งเปิดสำนักงานแต่รับเรทขนาดนี้เลย แต่เปิดมาไม่กี่ปีตนก็มองว่ามีความแปลก แต่อยู่ในวิสัยที่ซื้อบ้านได้ในราคานี้ ถ้าหากดูจากค่าจ้างของทนายตั้ม

ถามต่อว่า มีการพูดถึงเรื่องเจ๊อ้อยให้ฟังบ้างหรือไม่ นายรณณรงค์ ย้ำว่า จำไม่ได้ ไม่ได้สำคัญ ยืนยันว่าไม่ได้รู้จักเจ๊อ้อยมาก่อน มารู้จักพร้อมนักข่าว ถ้าหากตำรวจถามเรื่องอะไรก็จะตอบให้หมดเพราะตนเป็นพลเมืองดี ส่วนที่เข้ามาให้ปากคำในวันนี้อาจจะเป็นไทม์ไลน์ที่เกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงในคดีที่เกิดขึ้นหรือไม่ ทางทนายรณณรงค์ ระบุว่า ต้องเกี่ยวแหละ ไม่งั้นทางตำรวจคงไม่เรียกมา

ไม่ได้กังวลและไม่แปลกใจที่ต้องมาสอบปากคำในวันนี้ แค่แปลกใจว่าทำไมเพื่อนสนิทคนอื่นไม่โดนบ้าง ผมห่างกับทนายตั้มที่สุดแล้ว

เมื่อถามว่าในกลุ่มเพื่อนมีใครคุยกับเรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่ว่า ให้ข้อมูลว่าอย่างไร นายรณณรงค์ บอกว่า ไม่มีใครมีข้อมูล และไม่มีใครรับรู้ด้วย ถ้ารู้คงไม่ได้มายืนในจุดนี้

ส่วนจะมีโอกาสเข้าไปเยี่ยมเพื่อนบ้างหรือไม่ นายรณณรงค์ เผยอีกว่า ยังไม่ใช่ช่วงเวลาแบบนี้ รอให้สถานการณ์นิ่ง ไม่มีนักข่าวมาเฝ้า ให้เป็นเรื่องของอนาคต

ทั้งนี้ นายรณณรงค์ เชื่อว่า ตนเชื่อว่าในวันที่ทนายตั้มถูกจับแล้วอ้างว่าไปปฏิบัติธรรมนั้นเป็นความจริง เพราะเวลาที่มีเรื่องทนายตั้มมักชอบไปปฏิบัติธรรม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top