Friday, 6 June 2025
ดิจิทัลวอลเล็ต

‘รมว.ดีอี’ เดินหน้า ปิดแพลตฟอร์ม ‘ทางรัฐปลอม’ 290 บัญชี แจ้งเตือนพี่น้องประชาชน อย่าเชื่อ-อย่าแชร์ ‘ข่าวปลอม’ ยุติโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

วันที่ 20 สิงหาคม 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย (Anti Fake New Center หรือ AFNC) สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และ เครือข่าย ได้ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินสถานการณ์การกระทำที่เข้าข่ายการก่ออาชญากรรมออนไลน์ พบว่า ตั้งแต่วันที่ 1-20 สิงหาคม 2567 ทีมปฏิบัติการได้ดำเนินการประสานปิดกั้นแพลตฟอร์ม ‘ทางรัฐ’ ปลอม 290 เพจ  โดยแบ่งเป็น แฟนเพจ Facebook จำนวน 284 เพจ และบัญชี Tiktok จำนวน 6 บัญชี  พร้อมเฝ้าระวังการกระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง 

นายประเสริฐ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังพบมิจฉาชีพ ใช้วิธีการหลอกลวงประชาชน ส่งข่าวปลอม และข้อมูลบิดเบือน โดยแอบอ้างโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet หรือ โครงการ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ อยู่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด พบกรณีการส่งข้อมูลต่อกันว่า ‘ผู้ที่ลงทะเบียนแอปทางรัฐ มีสิทธิ์ที่ข้อมูลจะตกไปอยู่กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์’ และ ‘ยุติโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ขายข้อมูลให้มิจฉาชีพ’

ทั้งนี้ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบร่วมกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA พบว่าประเด็นเรื่อง “ผู้ที่ลงทะเบียนแอปทางรัฐ มีสิทธิ์ที่ข้อมูลจะตกไปอยู่กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์” เป็นข้อมูลเท็จ โดยแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” และระบบงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องนั้นมีการดำเนินการตามมาตรการป้องกันการโจรกรรมข้อมูลอย่างรัดกุม มีความปลอดภัยสูง ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 27001:2013 ระบบการบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (Information Security Management Systems – ISMS) จึงมั่นใจได้ว่า ข้อมูลจะไม่ถูกเปิดเผยไปสู่ภายนอกได้

สำหรับ ‘แอปฯ ทางรัฐ’ เป็นเพียงช่องทางในการเชื่อมโยงข้อมูลและบริการจากหน่วยงานต้นทางให้แก่ผู้ใช้บริการเท่านั้น ไม่ได้มีการเก็บข้อมูลประชาชนจากหน่วยงานต้นทาง หรือของประชาชนที่ลงทะเบียนมาไว้ที่ แอปฯ ทางรัฐ แต่อย่างใด โดยข้อมูลส่วนบุคคลที่แสดงใน แอปฯ ทางรัฐ นั้น สามารถเข้าถึงได้เฉพาะเจ้าของข้อมูลและผู้มีอำนาจตามกฎหมายในการเข้าถึงข้อมูลเท่านั้น โดยสามารถดาวน์โหลดแอปฯ ‘ทางรัฐ’ ได้โดยตรงจากแอปฯ ‘App Store’ สำหรับระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) และแอปฯ ‘Google Play’ ในระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) เท่านั้น

ในส่วนของ ข่าวปลอม ‘ยุติโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ขายข้อมูลให้มิจฉาชีพ’ จากการตรวจสอบข้อมูลร่วมกับ สำนักงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการดิจิทัล (Digital wallet) กระทรวง ดีอี พบว่า เป็นข้อมูลเท็จ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการประกาศยุติโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (ข้อมูล ณ วันที่ 20 ส.ค. 2567) และข้อมูลการลงทะเบียนในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตมีการควบคุมกำกับดูแลที่มีความมั่นคงปลอดภัยสูง มั่นใจได้ว่า ข้อมูลจะไม่ถูกเปิดเผยออกไปภายนอก ซึ่งการขายข้อมูลหรือส่งต่อข้อมูลให้กับมิจฉาชีพเป็นความผิดตามกฎหมาย รัฐบาลไม่สามารถทำได้แต่อย่างใด 

“ดังนั้นจึงขอแจ้งเตือนไปยังพี่น้องประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมืออย่าเชื่อ อย่าแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในทุกช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยประชาชนสามารถรับข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับ “แอปฯทางรัฐ” ได้จากสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.dga.or.th หรือ โทร. 02-612-6060 และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเตรียมการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ได้ที่เว็บไซต์ www.digitalwallet.go.th หรือพิมพ์เป็นภาษาไทยว่า www.กระเป๋าเงินดิจิทัล.รัฐบาล ไทย หรือสามารถสอบถามผ่านศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (Call Center) สายด่วน โทร. 1111 ซึ่งกระทรวงดีอี มีความห่วงใยประชาชน ต่ออันตรายที่เกิดขึ้นจากภัยไซเบอร์ โดยโจรออนไลน์ได้อาศัยการเผยแพร่ข่าวปลอมและข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวข้องกับโครงการ ดิจิทัลวอลเล็ต และการลงทะเบียนผ่านแอปฯ ‘ทางรัฐ’ ซึ่งขณะนี้กระทรวงดีอีได้ทำการปิดกั้นแพลตฟอร์มปลอมแล้ว 290 บัญชี พร้อมกับการตรวจสอบข่าวปลอม และข้อมูลบิดเบือนที่เกี่ยวข้อง โดยถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรง และจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด เนื่องจากส่งผลกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง และขอให้ประชาชน ยึด ‘หลัก 4 ไม่ คือ 1. ไม่กดลิงก์ 2.ไม่เชื่อ 3.ไม่รีบ และ 4.ไม่โอน’ พร้อมกับไม่แชร์ข้อมูลที่บิดเบือนในทุกช่องทางสังคมออนไลน์” นายประเสริฐ กล่าวย้ำ 

หากประชาชนโดนหลอกออนไลน์ โทรแจ้งดำเนินการ ระงับ อายัดบัญชี AOC 1441 สอบถามข้อมูลข่าวสารโครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ต” โทรสายด่วน Digital Wallet 1111 (24 ชั่วโมง) แจ้งเบาะแส ข่าวปลอม และอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ โทรสายด่วน 1111 (24 ชั่วโมง) , Line ID: @antifakenewscenter และเว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com

'อดีตขุนคลัง' เชื่อ!! 'ดิจิทัลวอลเล็ต' คงปรับมาแจกเป็นเงินสด แต่กระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่เท่า 'คนละครึ่ง-เราเที่ยวด้วยกัน'

(21 ส.ค. 67) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'ดิจิทัลวอลเล็ตแปลงโฉม' ระบุว่า..

คอลัมน์คนปลายซอย ของเปลวสีเงิน 21 ส.ค. 2567

ทักษิณ 'หลุดปาก' บรรยายเป็นฉาก-เป็นช่อง ที่ทำการพรรคเพื่อไทยชั่วคราวเมื่อวาน จำเป็นบันทึกละเอียดไว้ซักนิด ดังนี้...

นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตตอนนี้ นายกฯ กับฝ่ายงบประมาณ ฝ่ายเศรษฐกิจ กำลังคุยกันอยู่

การกระตุ้นเศรษฐกิจต้องทำแน่นอน และต้องทำอย่างเร็วด้วย ช้าไม่ได้ เพราะถ้าเศรษฐกิจยิ่งไหลลงลึกเท่าไหร่ ก็ดึงขึ้นมายาก

นายกฯ กำลังวางแผนกันอยู่ ทำงานได้เมื่อไหร่ ก็คงสั่งการเลย

"คำว่าดิจิทัล วอลเล็ต มีอยู่ ๓ เรื่อง คือ..."

๑.การกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นหัวใจสำคัญและต้องทำ
๒.การให้ประชาชนมีโอกาสเรียนรู้เทคโนโลยีเพื่อใช้ประโยชน์ต่อไปข้างหน้า ก็ต้องทำต่อไป แต่ความเร่งด่วนอาจรอได้
๓.อนาคต 'ดิจิทัล วอลเล็ต' เมื่อวางไว้แล้ว สามารถใช้ประโยชน์กับประชาชนกับประเทศ ให้ประชาชนกับรัฐบาลเชื่อมต่อกันได้ทางเศรษฐกิจ

เป็นช่องหน้าต่างให้ประชาชนทำธุรกิจผ่านวอลเล็ต เป็นเรื่องเทคนิคที่ต้องมีต่อไป

“แต่ ๒-๓ รอได้ อันที่ ๑ รอไม่ได้ รูปแบบอาจจะอิงเทคโนโลยีบ้างหรือไม่ ไม่อิงบ้างก็ได้ แต่ต้องถูกกฎหมาย และไม่ขัดแย้งกับคนที่เห็นต่างเยอะเกินไป”

ส่วนเรื่องการอัดฉีด "เท่าที่เดินผ่านไปเห็นนายกฯ คุยกับฝ่ายงบประมาณ" ก็บอกว่า "ควรจะต้องทำ" ผมก็ช่วยให้คำแนะนำ แต่การตัดสินใจเป็นของนายกฯ และคณะรัฐมนตรี แต่ผมให้คำแนะนำได้

จะเปลี่ยนเป็น ‘แจกเงินสด’ หรือไม่?

ข้อดีแจกเงินสดคือมันเร็ว แต่ข้อเสีย กลัวว่าจะใช้ในสิ่งที่กระตุ้นเศรษฐกิจไม่เต็มที่

ผมขอให้ข้อคิดต่อไปนี้...

1.การกระตุ้นเศรษฐกิจเนื่องจากเงินที่ใช้แจก โยกมาจากงบประมาณอื่น ดังนั้น ผลบวกในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็จะต้องหักตัวเลขผลลบที่การใช้จ่ายงบประมาณอื่นจะกระตุ้นเศรษฐกิจออกไปเสียก่อน

ดังที่ ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม อดีตรมช.คลัง เคยอธิบายไว้ว่า...

ถ้าเปรียบเทียบเศรษฐกิจไทย เป็นคนไข้ที่ซูบซีด ขาดเลือด ที่ต้องฉีดเลือดเข้าไปเพิ่มเติมด้วยแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต คือสูบเลือดเข้าทางแขนซ้าย

แต่โครงการใช้เงินตามงบประมาณอื่นที่มีอยู่เดิม ที่ต้องชะลอไป เพราะถูกโยกเงินไปใช้แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตนั้น ก็จะทำให้ผลดีต่อการขยายตัวเศรษฐกิจในส่วนนี้ลดลง คือสูบเลือดออกทางแขนขวา

สรุปแล้ว สูบเลือดออกไป เพื่อสูบกลับเข้ามา ดังนั้น โดยตรรกะทางเศรษฐศาสตร์ จึงไม่มีผลกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีนัยสำคัญ

มีข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียว คือประชาชนกลุ่มที่ได้รับเงิน ที่โยกออกมาจากโครงการงบประมาณเดิม เมื่อได้รับเงินเข้าไปในกระเป๋า ก็จะรู้สึกดีขึ้น

แต่สำหรับโครงการงบประมาณเดิมที่ถูกชะลอไว้ก่อนนั้น ผลประโยชน์ที่จะเกิดแก่ประเทศและแก่ประชาชนโดยรวม ก็ถูกเลื่อนออกไป

2.การแจกเป็นเงินสด ผมเคยแสดงความเห็นชัดเจนว่า การแจกเงินเป็นดิจิทัลนั้น มีอุปสรรคทางเทคนิคที่ไม่สามารถแก้ไขได้หลายประการ (ก) ความมั่นคงปลอดภัยของระบบซูเปอร์แอป (ข) ปัญหาการไม่สามารถเชื่อมโยงกับระบบคอมพิวเตอร์ของธนาคารพาณิชย์ และ (ค) ปัญหาฝ่าฝืนกฎหมายเงินตรา เป็นต้น

และยังมีข้อวิจารณ์ อาจมีความเสี่ยงในการหาประโยชน์ส่วนตน ทั้งในการพัฒนาโปรแกรม ทั้งอาจมีการปั่นเงินดิจิทัล และอาจมีการนำเอาข้อมูลส่วนตัวของประชาชนหลายสิบล้านคนไปหาประโยชน์เชิงธุรกิจ

การแจกเป็นเงินสดโดยผ่านระบบเป๋าตัง จะไม่มีปัญหาข้างต้น แต่ไม่สามารถคุมวิธีการใช้เงินได้เลย

ถ้าเทียบกับโครงการในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ เช่น คนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน ถึงแม้รัฐเสียรายได้ในโครงการแบบนี้ แต่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่า เพราะกระตุ้นให้ประชาชนควักกระเป๋าออกมาใช้จ่ายสนับสนุนการใช้เงินของรัฐ

ยิ่งการแจกดิจิทัลวอลเล็ต ที่เปลี่ยนไปเป็นเงินสดฟรี ๆ นั้น ในส่วนที่เอาไปชำระหนี้นอกระบบ ในส่วนที่เอาไปซื้อสินค้านำเข้า เติมน้ำมัน ฯลฯ คงไม่สามารถหวังให้เกิดผลกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับเดียวกับโครงการในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์

นอกจากนี้ ผู้ที่คิดริเริ่มโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ควรจะคิดเตรียมหาคำตอบว่า โครงการเรือธงที่นำไปหาเสียงใหญ่โตนั้น มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ในขั้นตอนการคิดริเริ่ม ได้สืบค้นตรวจสอบวิธีการให้รอบคอบอย่างไร เพื่อเป็นบทเรียนแก่พรรคการเมืองที่จะเตรียมคิดนโยบายหาเสียงในอนาคต

‘นายกฯ อิ๊งค์’ เผย!! แถลง ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ 12 ก.ย.นี้ ยัน!! เงินหมื่นช่วยกระตุ้น-หมุน ศก.ไทยได้ทั้งระบบ

(11 ก.ย. 67) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าอาคารชินวัตร 3 โดยมี นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้ามาด้วยเพื่อเตรียมความพร้อมข้อมูลต่าง ๆ ในการแถลงนโยบายคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ในวันที่ 12-13 ก.ย.

โดย น.ส.แพทองธาร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ได้กำชับรัฐมนตรีทุกกระทรวงชี้แจงทันทีในข้อสงสัยของสมาชิกรัฐสภาที่อภิปราย ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายฯเพื่อความเข้าใจ ว่า ใช่ เพราะจริง ๆ แล้วรัฐมนตรีทุกท่านตั้งแต่ตั้งรัฐบาลมา ก็ทำงานกันอยู่แล้ว จึงอยากให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบในเรื่องต่าง ๆ ได้ตอบเอง 

ในส่วนของนายกฯ ตอบภาพรวมได้ แต่ดีเทลการทำงานของแต่ละกระทรวง เขามีดีเทลที่เขาทำจริง ๆ ซึ่งจะชัดเจนกว่าและจะสามารถให้ข้อมูลประชาชนได้ชัดเจน และจะได้ไม่เกิดข้อสงสัยหรือเข้าใจผิดกัน จึงคิดว่าอยากให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบได้ตอบงานของตัวเอง

เมื่อถามว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะเกิดความชัดเจนจากเวทีนี้ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ใช่ แน่นอนวันที่ 12 ก.ย.แถลงแล้ว จะแถลงภาพรวมของนโยบาย แต่นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต รมว.การคลังจะเป็นคนแถลงรายละเอียดทั้งหมด

เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้ 10,000 บาทได้ทั้งหมดก้อนเดียวดิจิทัลวอลเล็ต แต่วิธีการทำกับการหาเสียงแตกต่างกัน จะสามารถอธิบายประชาชนอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า มันมีความแตกต่างแน่นอน พอได้ลงมือทำจริง ๆ เมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลมันมีเรื่องของระบบที่จะต้องติดตั้งอีกนาน ฉะนั้นเราคิดว่าเมื่อระบบและสิ่งอื่น ๆ ยังมีข้อพิพาทต่าง ๆ ซึ่งมันต้องรอ แต่เศรษฐกิจรอไม่ได้ประชาชนรอไม่ไหว ฉะนั้นต้องปรับเปลี่ยนในจุดนี้ให้ประชาชนก่อน เพราะเรื่องเศรษฐกิจเป้าหมายของเราในการทำดิจิทัลวอลเล็ตนั่นคือการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระบบ หากกระตุ้นไม่พอ เรายังพร้อมที่จะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในแบบดิจิทัลด้วย แต่ว่ามันมาช้ากว่า แต่เศรษฐกิจต้องถูกกระตุ้นก่อน เราทำอันนี้เสร็จไม่ใช่มีแค่นโยบายเดียว เรามีอีกหลายอันที่สามารถเศรษฐกิจได้ แต่อันนี้เป็นอันหลัก เร่งด่วนและเห็นผลทันทีจึงอยากรีบทำ

เมื่อถามว่า รัฐบาลวันนี้สานต่องานของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ ซึ่งเคยมีนโยบายจ่ายเงินดิจิทัล รอบเดียวไม่แบ่งจ่ายกระตุ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาพใหญ่ แต่วันนี้เปลี่ยนไปการกระตุ้นเศรษฐกิจจะเป็นตามเป้าหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า การวางแผนเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจมีหลายเฟสที่ต้องกระตุ้น อย่าง 10,000 บาท ที่ได้แถลงไปแล้วว่าจะจ่ายก่อน ก็เป็นการกระตุ้นอันหนึ่ง ภาพใหญ่หนึ่งภาพก่อน แต่ส่วนหลังจากนั้นก็ไม่ลืมทิ้งโครงสร้างดิจิทัลที่เราจะต้องทำต่อด้วย อันนี้สำคัญ ตอนแรกเราจะไม่ให้เป็นเงินสดเลยทั้งหมด จะเป็นเงินดิจิทัลทั้งหมด แต่อย่างที่บอกเศรษฐกิจรอไม่ได้ เราก็เลยต้องแบ่งเฟส ดิจิทัลยังอยู่แต่เราอาจจะเปลี่ยนเป็นว่า 5,000 บาทไหม หรืออย่างไร เดี๋ยวให้ รมว.การคลังแถลงรายละเอียด

เมื่อถามว่า พอแบ่งจ่ายอาจจะไม่ใช่พายุหมุนเหมือนที่เราตั้งใจไว้ หลายคนมองว่าเหลือเพียงแค่หย่อมความกดอากาศต่ำ นายกฯ กล่าวว่า มันเป็นการกระตุ้นแน่นอนแต่รูปแบบเปลี่ยนไป ฉะนั้นขอให้ รมว.การคลัง แจงในรายละเอียดอีกที

เมื่อถามว่าเป้าในการกระตุ้นเศรษฐกิจจะลดลงหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่ค่ะ เพราะเราแบ่งเฟสแล้วและอย่างที่บอกไม่ได้มีนโยบายเดียว ที่จะให้การกระตุ้นเศรษฐกิจเกิดขึ้น ฉะนั้นการแบ่งทีละเฟสควบคู่กับนโยบายอื่น ๆ ก็จะทำให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจดูดี

เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทยหาเสียงจ่ายเงินดิจิทัลขณะที่ยังไม่ศึกษารายละเอียดจึงทำให้การจ่ายเงินล่าช้า นายกฯ กล่าวว่า มันล่าช้าเพราะเราเข้ามาเราคิดว่าจริง ๆ แล้วระบบมันจะสามารถดำเนินไปได้เลย แต่มันต้องมีการรับฟัง แน่นอนถ้าไม่เกิดการรับฟังมีปัญหาอย่างแน่นอน ซึ่งต้องรับฟังหลาย ๆ ฝ่ายว่ามีข้อกังวลหรือข้อสงสัยอะไร อันนี้คือสิ่งที่เราพยายามทำให้รัดกุม และดีที่สุดสำหรับประเทศด้วย

เมื่อถามว่า ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภามีความมั่นใจเต็มที่หรือไม่ เนื่องจากทั้งฝ่ายค้านและ สว.จองคิวไว้เต็มที่ นายกฯ กล่าวว่า “เหรอคะ เราก็ทำเต็มที่ แต่จริง ๆ แล้วขอโฟกัสเรื่องน้ำท่วม หลังการแถลงก่อน”

เมื่อถามย้ำว่า จำเป็นถึงกับจะต้องมีองครักษ์พิทักษ์นายกฯ หรือไม่ นายกฯ ไม่ตอบได้แต่ร้องอ๋อ

เมื่อถามว่า ยังมีเสียงข้อครหารัฐบาลแพทองธาร ไม่ต้องนับปีเอาแค่นับเดือนจะรอดหรือไม่ นายกฯ ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ก็ช่วยกันนับ”

'รมว.คลัง' รับ!! ดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 แจกไม่ทันปี 67 ชี้!! ต้องดูหลายปัจจัย รวมถึงความพร้อมช่องทางการจ่าย

(13 ก.ย. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟสที่ 2 จะสามารถดำเนินการจ่ายได้วันไหน ว่า ขอดำเนินการเฟส 1 ให้เสร็จก่อน

ผู้สื่อข่าวถามว่า เฟสที่สองจะสามารถดำเนินการภายในปี 2567 ได้หรือไม่ นายพิชัยตอบว่า ”ไม่น่าจะทันครับ“

เมื่อถามว่า หากเป็นปี 2568 ในเฟสที่สอง จะสามารถดำเนินการได้ภายในเดือนใด นายพิชัย กล่าวว่า เราจะดูความต่อเนื่องอีก 2-3 เรื่อง โดยจะดูพร้อม ๆ กัน ว่าอันไหนดีที่สุด ส่วนจะได้ไตรมาสไหนนั้นจะต้องขอดูหลังจากนี้ก่อน

ส่วนการจ่ายเงินเฟสที่ 2 จะเป็นการแบ่งจ่ายอีกหรือไม่นั้น นายพิชัย กล่าวว่า ก็ต้องดูหลายปัจจัย ในความพร้อมทุก ๆ อย่าง รวมถึงความพร้อมของช่องทางการจ่ายด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า งบประมาณที่เหลือจะไปดำเนินในโครงการใด หากว่าไม่นำมาใช้ในโครงการนี้ หรือมีโครงการอื่นรองรับแล้ว อย่างเช่นเรื่องการลงทุนต่าง ๆ นายพิชัย กล่าวว่า เรื่องนั้นเราถือว่ามีความสำคัญ ถ้าอะไรตัดปัญหาและสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศก็ต้องมาที่หนึ่ง

เมื่อถามย้ำว่า การสร้างความเข้มแข็งคือ การลงทุนในระดับฐานรากใช่หรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า วิธีการจัดเงินก็คงต้องจัดอะไรที่สำคัญ และให้ผลต่อเนื่องอย่างเร็วที่สุด

เมื่อถามย้ำว่า เหตุใดถึงไม่สามารถจ่ายเงินในเฟสที่ 2 ได้ภายในปีนี้ นายพิชัยไม่ตอบ ก่อนเดินขึ้นตึกบัญชาการทันที

นายกฯ อิ๊งค์ 'ผ่าน' แต่อนาคตน่าห่วง รุ่นใหม่ พท. ยกระดับเบียดขยี้พรรคส้ม

มีสถานการณ์ที่เกี่ยวกับเหตุบ้าน 'การเมือง' มากมายหลายประเด็นที่อยากจะเขียนเป็นรายงานสัก 3-4 หน้ากระดาษ  แต่ด้วยพื้นที่เล็กๆ ของ 'เลียบการเมือง' ขอใช้วิธีสรุปไฮไลต์ที่อยากหมายเหตุเอาไว้โดยเฉพาะการแถลงนโยบายของรัฐบาลเมื่อ 12-13 ก.ย.ที่ผ่านมาให้เป็นที่ประจักษ์ ณ วันนี้ ดังนี้...

1) กรณีแถลงนโยบาย
- นโยบายเร่งด่วน 10 ประการของรัฐบาลไม่มีอะไร 'ว้าว' กลางสภาฯ เพราะทักษิณ ชินวัตร เปิดว้าวไปก่อนแล้วเมื่อ 22 ส.ค.67 แต่ที่น่าจับตานโยบายเร่งด่วนร้อนๆ อย่าง เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์, พลังงาน และพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา, แลนด์บริดจ์...จะเป็นองศาเดือดทางการเมือง ทำให้รัฐบาลเอียงกะเท่เร่หรือไม่? อย่างไร?

- กรณีนโยบาย ดิจิทัล วอลเล็ต แจก 1 หมื่นบาท ได้บทสรุปว่าจะแจกเฟสแรก 14.2 ล้านคนกลุ่มเปราะบาง จากงบฯ 2567 จำนวน 1.45 แสนล้านบาทที่มีอยู่ภายในวันที่ 25 ก.ย.67 ส่วนเฟสสองคำตอบจากในสภาและนอกสภาพอจะอนุมานสรุปได้ว่า...ไม่น่าจะมี รัฐจะช่วยเหลือในรูปแบบอื่น กรณีนี้จะกลายเป็นการ 'เสียรังวัด' ครั้งสำคัญของรัฐบาลนายกฯ อิ๊งค์

- ภาพรวมการแถลงนโยบาย นายกฯ อิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร สอบผ่านแบบหวุดหวิด ถ้าไม่มีเหตุต้องไปตรวจอุทกภัยภาคเหนือต้องอยู่ในสภาฯ สองวันอาจสอบตกก็เป็นได้...และน่าเสียดายที่ยังไม่ใช้เวลาสภาในวันแรกให้เป็น 'นาทีทอง' ในการโชว์กึ๋น โชว์วิสัยทัศน์แบบชัดๆ ให้ขาเชียร์ได้กรี๊ดซักกรี๊ด...การพูดถึง...วาทกรรมเกลียดชัง ฝ่ายค้านเป็นฝ่ายแค้น...นั้น ถึงที่สุดมันก็คือ 'การเมืองเรื่องวาทกรรม' เหมือนกัน...

- ซีก สส.ฝ่ายค้าน พรรคประชาชน ที่นำโดยณัฐวุฒิ เรืองปัญหาวงษ์ หน.พรรค, ศิริกัญญา ตันสกุล รองหน.พรรค อภิปรายได้ตามมาตรฐานของตัวเองและพยายามเชื้อเชิญนายกฯ อิ๊งค์ ออกมาทำยุทธหัตถี (แต่ไม่ประสบความสำเร็จ) ฝ่ายค้านอีกหลายคนก็ได้ยกระดับฝีมือของตัวเองได้อย่าง น่าจับตา เช่น ศุภโชติ ไชยสัจ (เรื่องพลังงาน), ภคมน หนุนอนันต์ (เรื่องแลนด์บริดจ์) ฯลฯ

- ขณะที่ซีกรัฐบาล ต้องยอมรับว่ารอบนี้ สส.คนรุ่นใหม่พรรค เพื่อไทย ได้ยกระดับ-ทำการบ้านมาอภิปรายได้น้ำได้เนื้อดีกว่าอภิปรายเรื่องงบประมาณฯหรือรอบอื่นๆ ไม่ว่า นิกร โสมกลาง  สส.โคราช, ขัตติยา สวัสดิผล (บัญชีรายชื่อ), รวี  เล็กอุทัย (อุตรดิตถ์), ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ (บัญชีรายชื่อ) ฯลฯ ... จากนี้ไปน่าจะได้เห็น 'รุ่นใหม่เพื่อไทย' ประชันขันแข่ง 'รุ่นใหม่พรรคส้ม' ได้แบบน่าดูชม เหลือแต่ 'รุ่นใหม่ภูมิใจไทย' ที่จะต้องรีบโชว์กึ๋นอีกหน่อย...

- ในขณะที่พรรคอื่นๆ เช่น รวมไทยสร้างชาติ บทบาทเด่น กลับไปโฟกัสอยู่ที่คนรุ่นใหม่อย่าง เอกนัฏ พร้อมพันธ์ เลขาธิการพรรค ในฐานะรมว.อุตสาหกรรม และสส.บัญชีรายชื่อ...ที่ประกาศนโยบายและปณิธานการทำงาน...

2) สงครามสองบ้าน-อนาคตอิ๊งค์...
- สรุปสั้นๆ ได้เพียงว่า กรณี 'คลิปลุง' หลุดออกมานั้น เป้าหมายหลักก็เพื่อหยุดและบดขยี้แนวรบบ้านในป่าที่เป็นเสมือนเสี้ยนหนามในรองเท้ารัฐบาลให้สิ้นซาก...เป็นสงครามบ้านจันทร์ส่องหล้า-บ้านในป่า ภาคสุดท้าย...หมัดเด็ดของบ้านในป่าคือ การใช้กฎหมายที่เรียกว่า 'นิติสงคราม'...ล่าสุดไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค พรรคพลังประชารัฐ ตอบโต้เรื่องคลิปด้วยการฟ้องเรียกค่าเสียหาย 50 ล้าน และให้ กสทช.ยุบรายการ 'เจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์' ทางช่อง 9 อสมท.ของ 'หมาแก่'...

- แม้ขณะนี้จะมีเรื่องร้องเรียน กล่าวหารัฐบาล-ตัวนายกฯ และพรรคเพื่อไทยสารพัดสารพัน แต่กว่าเรื่องราวต่างๆ จะตั้งแฟ้มตั้งเรื่องว่าจะปัดตกหรือเดินหน้าต่อไป อย่างเร็วก็อีก 3-4 เดือนข้างหน้า...นายกฯ ไม่ต้องมาเสียสมาธิกับเรื่องราวเหล่านี้ เพราะมีทีมงานที่จะดำเนินการอยู่แล้ว...โจทย์ใหญ่ของนายกฯ อิ๊งค์คือ ใน 2-3 เดือนนี้ ต้องแสดงฝีมือการทำงาน-โชว์กึ๋นให้เป็นที่ประจักษ์สักเรื่องสองเรื่อง...แม้ว่ารอบนี้เข้ามาทำงานโดยไม่มีกติกา 'ทดลองงาน' หรือ Probation ก็ตาม...

- 'เล็ก เลียบด่วน' ทำโพลส่วนตัวมาแล้ว...พบว่านับจากวันถวายสัตย์ปฏิญาณตน จนถึงวันที่ 14 ก.ย.ที่เขียนต้นฉบับ...หากใช้ระบบทดลองงานโอกาสที่จะผ่านโปรฯ อยู่ที่ 50/50...ต้องฮึดและปรับกระบวนท่ามีสมาธิอีกพอประมาณ !!

'นายกฯ' คิกออฟ!! โอน 'เงินหมื่น' กระตุ้นเศรษฐกิจ หวัง!! พายุหมุนลูกนี้จะทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น

(25 ก.ย. 67) ที่ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในงานเปิดตัว (Kick Off) การโอนเงินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ โดยมีคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมในงานอย่างพร้อมเพรียง

ซึ่งวันเดียวกันนี้เป็นจ่ายเงินในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท กระตุ้นเศรษฐกิจ สำหรับกลุ่มเปราะบางจำนวน 14.5 ล้านคน ซึ่งเป็นเฟสแรก แบ่งเป็นผู้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐและผู้พิการ เริ่มโอนตั้งแต่วันที่ 25-30 ก.ย.นี้ เป็นการโอนเงินเข้าสู่ระบบพร้อมเพย์ที่เชื่อมเลขบัตรประชาชน ซึ่งวันนี้ (25 ก.ย.) กรมบัญชีกลาง โอนเงินเข้าบัญชีผู้พิการ 2.1 ล้านคน และผู้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เลขหลังบัตรประชาชน 0 วันที่ 26 ก.ย. / ผู้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เลขหลังบัตรประชาชน 1, 2, 3 วันที่ 27 ก.ย. / ผู้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เลขหลังบัตรประชาชน 4, 5, 6, 7 และวันที่ 30 ก.ย. ผู้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เลขหลังบัตรประชาชน 8, 9

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยประสบกับปัญหาทางเศรษฐกิจมาอย่างเรื้อรังนานหลายปี และปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจเหล่านี้ไม่ได้มาจากปัจจัยภายในประเทศเท่านั้นยังมีปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก เศรษฐกิจทั่วโลกนั้นยังฟื้นฟูได้ช้ากว่าปกติและมากไปกว่านั้นยังมีเรื่องของปัญหาความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ในหลาย ๆ ภาค และยังไม่รวมปัญหาสิ่งแวดล้อมในตอนนี้ที่ทวีคูณความรุนแรงขึ้น ก็จะเห็นได้จากประเทศไทยของเราเองอย่างปัญหาอุทกภัยในปีนี้ที่เป็นปัญหารุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เลย 

ซึ่งปัจจัยที่กล่าวมาเป็นเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้เศรษฐกิจฝืดเคืองและไม่สามารถที่จะเพิ่มการลงทุนได้เราจะเห็นได้ชัดว่าเงินในระบบของเราก็หายไปตอนนี้เงินหมุนเวียนแทบจะเป็นสิ่งหายาก เงินไม่หมุน เศรษฐกิจฝืดเคือง ทำให้การลงทุนน้อยลง อุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยก็เกิดขึ้นน้อยลง

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือกลุ่มเปราะบางที่มีรายได้น้อยรวมถึงผู้พิการ ประเทศไทยต้องเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งระบบ ทำให้ประเทศไทยต้องมีความพร้อมต่อการลงทุนและอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยและเราเองก็จะต้องสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาวเพื่อที่จะให้คนไทยมีความมั่นคงและหารายได้อย่างยั่งยืน

นโยบายต่าง ๆ ที่รัฐบาลเน้นย้ำที่ผ่านมาตั้งแต่รัฐบาลของนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน 1 ปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้เรายังเน้นย้ำเรื่องนโยบายด้านเศรษฐกิจเป็นสำคัญ เพราะเราทราบว่าเป็นสิ่งที่จะทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่และมีความสุขมีสิ่งที่ดีขึ้น ทำให้ชีวิตพัฒนาได้มากขึ้น แต่นโยบายหลายนโยบายอาจจะต้องใช้เวลาเป็นเดือน หรือบางนโยบายต้องใช้เป็นปีและต้องใช้เสถียรภาพทางการเมืองด้วย เพื่อทำให้นโยบายนั้นต่อเนื่องและพัฒนาไปถึงมือของพี่น้องประชาชนจริง ๆ

ทั้งหมดนี้คือความท้าทายของรัฐบาลและที่จะต้องเปลี่ยนทั้งหมดเป็นโอกาสเพื่อประชาชน ที่ผ่านมารัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องเศรษฐกิจและมีหลายนโยบายที่ออกไปแล้ว อย่างเช่น นโยบายพักหนี้เกษตรกร และเมื่อวานนี้ในที่ประชุมครม. ต่อนโยบายอีกหนึ่งปีเป็นปีที่สอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลดดอกเบี้ย รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านนโยบายฟรีวีซ่า ก็จะเห็นได้ชัดว่าตัวเลขการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปีที่ผ่านมา แต่การกระตุ้นการท่องเที่ยวยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งประเทศได้

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ประเทศไทยจะถูกกระตุ้นครั้งใหญ่ เงินสดถึงมือคนไทย ระบบเศรษฐกิจจะถูกเติมเงินหมุนเวียนกว่า 145,552.40 ล้านบาท สร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจลูกใหญ่ครั้งแรก ที่ทำให้คนไทยได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในภาพใหญ่ ต่อลมหายใจให้พี่น้องประชาชนรายเล็กที่กำลังเดือดร้อน

“นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรอบนี้จะถึงมือพี่น้องประชาชนกลุ่มเปราะบาง จำนวน 14.55 ล้านคน โดยแบ่งเป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 12.40 ล้านคน และกลุ่มคนพิการจำนวน 2.15 ล้านคน ทุกคนจะได้รับเงินสดคนละ 10,000 บาท ผ่านบัญชีพร้อมเพย์ของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผ่านช่องทางการรับเบี้ยเดิมของผู้พิการ ไม่ว่าจะเคยได้รับเงินผ่านบัญชีธนาคาร หรือได้รับเงินสดผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็จะได้รับเงินในวิธีการเดิม ที่สำคัญเงินจำนวนนี้ไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ในการใช้ เมื่อเงินเข้าบัญชีสามารถนำไปใช้จ่ายได้ทันที เป็นวิธีการที่ง่ายที่สุด และถึงมือพี่น้องประชาชนมากที่สุด ซึ่งการโอนเงินจะทยอยโอนให้ถึงมือพี่น้องประชาชนภายใน 4 วัน โดยเริ่มที่วันนี้เป็นวันแรก” นายกรัฐมนตรีกล่าว

นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า นโยบายนี้จะช่วยกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจให้พี่น้องประชาชน สร้างโอกาส สร้างความหวัง นำไปสู่การพัฒนาเพื่อต่อยอดคุณภาพชีวิต ทำให้พี่น้อง มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี อย่างที่ได้เคยกล่าวไว้ เงินหนึ่งหมื่นบาทเป็นจำนวนที่จะทำให้พี่น้องประชาชนหลายคนมีโอกาสสร้างชีวิตใหม่มากพอ รัฐบาลหวังว่าจะใช้เงินนี้มีประโยชน์ หรือบางครอบครัวที่มีมากกว่าหนึ่งคนก็นำเงิน 10,000 มารวมกัน ต่อยอดธุรกิจ สร้างธุรกิจ สร้างโอกาสใหม่ ๆ รัฐบาลมีความเชื่อมั่นว่าพี่น้องประชาชนจะสามารถใช้เงินนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และขอเน้นย้ำว่านโยบายนี้เป็นหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมาอีกมากมาย

“แน่นอนสิ่งที่ทุกคนรอคอยและถามถึง รัฐบาลยังคงเดินหน้าโครงการ Digital Wallet ต่อเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับคนไทย ให้ประชาชนมี Digital ID เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างรัฐบาลและประชาชน ทำให้การทำธุรกรรมต่าง ๆ กับหน่วยงานรัฐสะดวกขึ้น โปร่งใสตรวจสอบได้ เป็นการวางรากฐานตั้งแต่วันนี้เรากำลังพัฒนาระบบนี้อยู่ อีกหน่อยจะใช้เรื่องของการเยียวยารัฐจะสามารถโอนตรงสู่ประชาชนได้นี่คือสิ่งที่เราวางดิจิทัลเอาไว้เพื่อให้ประชาชนสะดวกสบายมากขึ้นและรวดเร็วในการรับจากรัฐบาลได้ง่ายขึ้น และพี่น้องประชาชนสามารถติดตามข่าวสารและตรวจสอบข้อมูลได้ที่ทุกช่องทางของกระทรวงการคลัง และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทั้งหมดนี้เพื่อเป้าหมายสำคัญ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่จะเอื้อให้พี่น้องประชาชนใช้ชีวิตอย่างมีความหวัง มีรอยยิ้ม และเป็นการต่อยอดให้พี่น้องประชาชนมีโอกาสในชีวิตเพิ่มมากขึ้น รวมถึงสร้างความเท่าเทียมทางโอกาส และหวังเป็นอย่างยิ่งว่านโยบายนี้และอีกหลายนโยบายของรัฐบาลจะพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมาดีเหมือนเดิมให้พี่น้องประชาชนกลับมามีความสุขอีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเปิดงานได้นายกฯ ได้มีการพูดคุยกับประชาชนที่วิดีโอคอลมาจากจังหวัดต่าง ๆ เริ่มจากจังหวัดเชียงใหม่, สมุทรสาคร, มุกดาหาร และอุตรดิตถ์ โดยนายกฯ ได้มีการสอบถามว่า "ได้เงิน 10,000 หรือยัง ได้ตั้งแต่เวลาเท่าไหร่" ซึ่งส่วนใหญ่ประชาชนกลุ่มแรกได้รับเงินกันตั้งแต่ช่วงกลางดึกหลังเที่ยงคืน โดยตัวแทนภาคประชาชนขอบคุณนายกฯ และรัฐบาล โดยระบุว่า จะนำเงินไปใช้ของสำหรับประกอบอาชีพของตัวเอง การศึกษาของบุตรและเครื่องอุปโภคบริโภค

จากนั้นได้วิดีโอคอลพูดคุยกับกลุ่มผู้พิการจากจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมสอบถามว่า "ได้เงิน 10,000 เวลาเท่าไหร่" ผู้พิการจึงตอบว่า ตีสามสิบห้า นายกฯ จึงแซวกลับว่า "เลขเด็ดหรือไม่" พร้อมสอบถามว่าจะนำเงินไปทำอะไร และถามว่ามีอะไรอยากจะบอกรัฐบาลเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งตัวแทนผู้พิการระบุว่า จะนำเงินที่ได้ไปซื้อเกี่ยวกับของอุปโภคบริโภคสำหรับผู้พิการ

ผู้สื่อข่าวถามว่าสำหรับโครงการเฟสสองและเฟสสาม เราจะเริ่มต่อทันทีเลยหรือไม่? นายกฯ กล่าวว่า "ตอนนี้กำลังวางเรื่องของระบบอยู่ ซึ่งทางกระทรวงการคลังจะเป็นผู้ชี้แจงในรายละเอียดทั้งหมด"

เมื่อถามย้ำว่ารู้สึกอย่างไรที่ประชาชนตั้งตารอตั้งแต่เที่ยงคืนเพื่อเช็กเงินหมื่น ถือเป็นพายุหมุนทางเศรษฐกิจหรือไม่? นายกฯ กล่าวว่า "รู้สึกดีใจกับประชาชนด้วยและกับรัฐบาลทั้งหมดอยากให้พายุหมุนลูกนี้ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น"

อุตรดิตถ์-บรรยากาศประชาชนเดินทางมารับเงินโอนตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ อย่างคึกคัก 

(25 ก.ย.67) ที่บริเวณหน้าธนาคารกรุงไทย สาขา ม.ราชภัฏอุตรดิตถ์ นายศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ ผู้ว่าฯจ.อุตรดิตถ์ พร้อมด้วยส่วนราชการสังกัดกระทรวงการคลัง จ.อุตรดิตถ์ และ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดอุตรดิตถ์ ติดตามการโอนเงิน10,000 บาท ตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 วันแรก นอกจากนี้ยังได้โฟนอิน กับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หลังเปิดงาน (Kick Off) โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ของ จ.อุตรดิตถ์ คือ นางชัยศรี (สงวนนามสกุล) อายุ 64 ปี ชาวบ้านหมู่ 5 ต.ท่าเสา อ.เมืองอุตรดิตถ์ ที่ได้รับเงิน 1 หมื่นบาทเป็นที่เรียบร้อย โดยกล่าวว่าจะนำเงินดังกล่าวเป็นทุนต่อยอดการขายข้าวหมกไก่ ที่เปิดร้านอยู่ริมคลองเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ ดีใจและขอบคุณรัฐบาลที่มอบโครงการดีๆให้กับชาวบ้าน 

นายศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ ผู้ว่าฯจ.อุตรดิตถ์ กล่าวว่าสำหรับ จ.อุตรดิตถ์ มีประชาชนที่ได้รับเงินในวันแรกมีโอกาสได้พูดคุย(โฟนอิน)กับท่านนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้ประชาชนที่ได้รับสวัสดิการดังกล่าว จังหวัดอุตรดิตถ์มีประชาชนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 112,084 ราย และ ผู้พิการ 22,342 ราย จะมีการแบ่งทยอยโอน 4 วัน เข้าบัญชีพร้อมเพย์ และบัญชีธนาคารที่แจ้งไว้ ระหว่างวันที่ 25-30 กันยายน 2567 

ผู้สื่อข่าวรายงานสำหรับวันแรกนั้น เป็นในส่วนของประชาชนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีเลขประจำตัวบัตรประชาชนลงท้าย เลข 0 และผู้พิการ ซึ่งกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้โอนจ่ายเงินให้กับผู้มีสิทธิรับเงิน 10,000 บาท ตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567

‘นิด้าโพล’ เผยผลสำรวจ ‘โกรธไหมถ้าเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 ไม่ตรงปก’ ปชช. ชี้!! รับได้ หากแบ่งจ่าย 5,000 บาท 2 งวด แต่โกรธมาก หากยกเลิก

(13 ต.ค. 67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘โกรธไหมถ้าเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 ไม่ตรงปก’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 7-9 ตุลาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาคระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,000 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อรูปแบบการจ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0 

จากการสำรวจเมื่อถามถึงสถานะการได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 ของประชาชน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 56.95 ระบุว่า อยู่ในกลุ่มที่จะได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ต ในเฟสที่ 2 รองลงมา ร้อยละ 23.95 ระบุว่า อยู่ในกลุ่มที่จะไม่ได้รับเงินใด ๆ ร้อยละ 17.00 ระบุว่า อยู่ในกลุ่มที่ได้รับเงินสด 10,000 บาท ไปเรียบร้อยแล้ว และร้อยละ 2.10 ระบุว่า ไม่แน่ใจ 

เมื่อสอบถามผู้ที่ระบุว่าอยู่ในกลุ่มที่จะได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ต ในเฟสที่ 2 และผู้ที่ระบุว่าไม่แน่ใจ (จำนวน 1,181 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับความรู้สึกที่มีต่อรูปแบบการจ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 ดังนี้ 

รัฐบาลตัดสินใจยกเลิกโครงการ ไม่มีการจ่ายเงินไม่ว่าจะเป็นเงินสดหรือเงินดิจิทัล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 41.58 ระบุว่า โกรธมาก รองลงมา ร้อยละ 34.38 ระบุว่า ไม่โกรธเลย ร้อยละ 14.56 ระบุว่า ค่อนข้างโกรธ ร้อยละ 9.14 ระบุว่า ไม่ค่อยโกรธ และร้อยละ 0.34 ระบุว่าไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ 

หากเป็นการจ่ายในรูปของเงินดิจิทัลวอลเล็ต แต่น้อยกว่า 10,000 บาท เช่น จ่ายแค่ 5,000 บาท พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 40.30 ระบุว่า 
ไม่โกรธเลย รองลงมา ร้อยละ 24.47 ระบุว่า โกรธมาก ร้อยละ 21.25 ระบุว่า ค่อนข้างโกรธ ร้อยละ 13.64 ระบุว่า ไม่ค่อยโกรธ และร้อยละ 0.34 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ 

หากเป็นการจ่ายในรูปของเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 60.54 ระบุว่า ไม่โกรธเลย รองลงมา ร้อยละ 17.53 ระบุว่า ไม่ค่อยโกรธ ร้อยละ 12.11 ระบุว่า ค่อนข้างโกรธ ร้อยละ 9.31 ระบุว่า โกรธมาก และร้อยละ 0.51 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ 

หากเป็นการแบ่งจ่ายในรูปของเงินดิจิทัลวอลเล็ต เช่น งวดละ 5,000 บาท จำนวนสองงวด พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 60.88 ระบุว่า ไม่โกรธเลย รองลงมา ร้อยละ 20.07 ระบุว่า ไม่ค่อยโกรธ ร้อยละ 10.58 ระบุว่า ค่อนข้างโกรธ ร้อยละ 8.30 ระบุว่า โกรธมาก และร้อยละ 0.17 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ 

ท้ายที่สุดเมื่อสอบถามความคิดเห็นของผู้ที่ระบุว่าอยู่ในกลุ่มที่จะไม่ได้รับเงินใด ๆ (จำนวน 479 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับการแจกเงิน 10,000 บาท ของรัฐบาล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 29.44 ระบุว่า รัฐบาลควรแจกเงินให้กับทุกกลุ่ม ไม่ว่ากลุ่มนั้นจะมีรายได้หรือทรัพย์สินเท่าไรรองลงมา ร้อยละ 25.47 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับการแจกเงินให้แก่กลุ่มใด ๆ ร้อยละ 25.25 ระบุว่า เห็นด้วยเฉพาะการแจกเงินสด 10,000 บาทแก่กลุ่มผู้เปราะบาง ผู้พิการ เท่านั้น ร้อยละ 15.66 ระบุว่า เห็นด้วยกับการแจกเงินทั้งแบบเงินสดแก่ผู้เปราะบาง ผู้พิการ และแบบเงินดิจิทัลวอลเล็ต ในเฟสที่ 2 ร้อยละ 2.30 ระบุว่า เห็นด้วยเฉพาะการแจกเป็นรูปแบบเงินดิจิทัลวอลเล็ต ในเฟสที่ 2 เท่านั้น และร้อยละ 1.88 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังไม่เป็นผล!! ประชาชนเริ่ม ส่ายหน้า เสื่อมศรัทธา รัฐบาล ไทยเดินหน้า ‘คาสิโน’ แต่ ‘เวียดนาม’ เตรียมเป็นผู้ผลิต ‘เซมิคอนดักเตอร์ชิป’ รายใหญ่

(2 ก.พ. 68) ผลการเลือกตั้ง นายก อบจ. 47 จังหวัด ประกาศครบถ้วนไปแล้ว พรรคการเมืองครอบครองพื้นที่ไหน คงมีหลายๆ สื่อนำเสนอไปแล้ว แต่คงพอให้เห็นความนิยมบางอย่าง ที่เปลี่ยนแปลงจากเวทีใหญ่

ภาพใหญ่จากความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจไทย โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่แจกเฟส 2 ก่อนสนามการเมืองระดับท้องถิ่น เหมือนจะสร้างความเชื่อมั่นไม่ได้มาก เพราะตั้งแต่แจกเงินเฟสแรก เศรษฐกิจไทย ก็ยังไม่กระเตื้องขึ้น แถมใช้เม็ดเงินงบประมาณเป็นจำนวนมาก ซึ่งหากนับรวมเฟส 3 ที่จะแจกประชาชนทั่วไปอายุ 16-60 ปี ประมาณ 16 ล้านคน จะใช้งบประมาณราว 334,500 ล้านบาท มากกว่างบประมาณรวมจากหลายๆ โครงการ ที่อาจเป็นรูปธรรมมากกว่า 

บริษัทจากประเทศญี่ปุ่น เริ่มทยอยเพลี้ยงพล้ำ ถอนธุรกิจจากประเทศไทย ล่าสุด Z.Com ยุติให้บริการโบรกเกอร์ในไทย เริ่มปิดบัญชีลูกค้า 3 มีนาคม นี้  ทั้งค่ายรถยนต์ ที่เจอคู่แข่งรถไฟฟ้าสัญชาติจีน โรงงานผลิตชิ้นส่วนอีกหลายแห่ง ที่จำเป็นต้องซาโยนาระ (ลาก่อน) จากประเทศไทย

แถมมีข่าว 7-11 ญี่ปุ่น ทาบทาม 'เครือซีพี' ของไทย ร่วมลงทุนในดีลใหญ่ ซื้อหุ้นคืน 9 ล้านล้านเยน สู้ศึกเทกโอเวอร์จากกลุ่มแคนาดา ศักยภาพผู้นำเศรษฐกิจในไทยยังคงแข็งแกร่ง ส่วนผู้นำอุตสาหกรรมโลก เห็นภาพชัดว่าจีน แข็งแกร่งมากเพียงใด 

แต่รัฐบาลไทย กลับจะปั้นเศรษฐกิจประเทศด้วย “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘คาสิโน’ แทนที่จะเร่งต่อยอดโครงสร้างพื้นฐาน และส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ที่ตอนนี้ กลายเป็น ‘เวียดนาม’ เตรียมขึ้นแท่นก้าวเป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ชิปรายใหญ่ของโลก

กำลังซื้อยังไม่ฟื้น ถึงจะแจกเงินดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ประชาชนยังคงมีรายได้จำกัด ยังตกงานอีกเป็นจำนวนมาก เลือกตั้งการเมืองท้องถิ่น อาจเป็นภาพเล็กๆ ที่สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชน เริ่มมีความไม่เชื่อมั่นทีมการเมืองจากพรรคแกนนำรัฐบาล

ฝุ่นพิษ PM 2.5 กรุงเทพ ก็ยังไม่ลด ผู้นำที่เคยขายภาพฝัน ‘ถ้าทำไม่ได้ ก็อย่าอาสามาเป็นผู้ว่า’ ยังแก้ไขอะไรไม่ได้ ปริมาณฝุ่นลดลง 2 วัน ฝ่ายรัฐบาลเคลมทันที ว่าเป็นเพราะนโยบายขึ้นรถไฟฟ้า-รถเมลล์ ฟรี โดยใช้งบประมาณ 140 ล้านบาท ทั้งที่เป็นเพราะมีลมมรสุมพัดเข้ามา แถมเตรียมของบประมาณเพิ่มเป็น 329 ล้านบาท ดันนโยบายต่อ!!  

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เร่งศึกษาตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน มูลค่า 3 แสนล้านบาท ซื้อคืนทรัพย์สินเดินรถของเอกชน ผลักดันนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย สำหรับการลงทุนเพื่อซื้อสินทรัพย์การเดินรถในส่วนที่เอกชนเป็นผู้ลงทุน ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้

เม็ดเงินที่จะใช้เพื่อตรึงราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้า ก็น่าจะใช้งบประมาณอุดหนุนใส่กองทุนค่อนข้างมาก เอกชนหรือประชาชน จะสนใจการลงทุนนี้ไหม เพราะหากมีเพียงโครงการรถไฟฟ้า ภาพขาดทุนแทบจะชัดเจน เพราะกว่าที่จะเพิ่มยอดผู้โดยสารได้ถึงจุดคุ้มทุน ก็น่าจะอีกหลายปี 

แต่ละนโยบาย แต่ละโครงการ ใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก คงได้แต่หวังว่า งบประมาณที่จัดเก็บภาษีในแต่ละปีจะเพียงพอ หวังว่าประชาชนผู้เสียภาษีรายได้ส่วนบุคคล จะไม่ท้อไปซะก่อน 

‘จุลพันธ์-พิชัย’ สองรมต.คลังร่วมย้ำ โครงการแจกเงิน 10,000 บาท ยังเดินตามแผน กลุ่มวัยรุ่น 16-20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคน เริ่มจ่าย เม.ย.-มิ.ย. นี้ ตรวจสอบสิทธิผ่านแอป ‘ทางรัฐ’

(23 เม.ย. 68) รัฐบาลยังคงเดินหน้าโครงการ 'ดิจิทัลวอลเล็ต' แจกเงิน 10,000 บาท ตามกำหนดเดิม โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2568 ซึ่งมีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่าที่ประชุมมีมติเห็นชอบโครงการเฟส 3 สำหรับประชาชนกลุ่มอายุ 16-20 ปี รวม 2.7 ล้านคน

ผู้มีสิทธิจะได้รับเงินดิจิทัลภายหลังช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยวางแผนทยอยโอนผ่านระบบดิจิทัลวอลเล็ต ระหว่างเดือนเมษายนถึงมิถุนายน 2568 ทั้งนี้ จะมีการเปิดให้ตรวจสอบสิทธิผ่านแอป 'ทางรัฐ' และสามารถใช้จ่ายในพื้นที่ที่กำหนดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานราก

ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่าโครงการยังเป็นไปตามกำหนดการเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง และจะเร่งเสนอรายละเอียดเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า

ส่วนเฟสถัดไป ซึ่งครอบคลุมกลุ่มอายุ 21-59 ปีนั้น จะเร่งดำเนินการหลังระบบมีความเสถียรและปลอดภัย โดยตั้งเป้าเสนอ ครม. ภายในเดือนกันยายน 2568 เพื่อให้ประชาชนกลุ่มใหญ่ได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top