Friday, 6 June 2025
ดิจิทัลวอลเล็ต

'เศรษฐา' ร่ายยาว!! ของบ 3.75 ลลบ.เติมเศรษฐกิจโตเต็มศักยภาพ พร้อมคำมั่น!! ปลายปี 'ดิจิทัลวอลเล็ต' ถึงมือประชาชน

(19 มิ.ย.67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร วาระการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท โดยในปีนี้ไม่มีการตั้งงบประมาณเพื่อชดใช้เงินคงคลัง

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ชี้แจงเหตุผลการของบประมาณว่า ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ 2568 เป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากปีงบประมาณฯ 2567 มีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้เต็มศักยภาพ สร้างรายได้ให้กับประชาชนและประเทศ ผ่านการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภา และวิสัยทัศน์ Ignite Thailand ซึ่งประกอบด้วยการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลาง 8 อุตสาหกรรม บนการพัฒนา 6 พื้นฐานสำคัญ มาเป็นแนวทางในการบริหารจัดการงบประมาณ ในการพัฒนาและจัดสรรทรัพยากรของประเทศให้บรรลุเป้าหมาย รวมทั้งคำนึงถึงความสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ รัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ ยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และแผนการปฏิบัติราชการของกระทรวง เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มที่จะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.5-3.5 มีการปรับลดลงจากประมาณการเดิมที่ประมาณการไว้ในแผนการคลังระยะปานกลาง ปีงบประมาณ 2568-2571 โดยมีแรงสนับสนุนจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการส่งออกสินค้าตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก การขยายตัวของการอุปโภคบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ จากความยืดเยื้อของความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และการดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้า ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก และสร้างความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุน สำหรับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในปี 2568  คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 2568 จะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.7–1.7 และดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลร้อยละ1.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ 

“ในช่วงปลายปี 2567 นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จะถึงมือคนไทย 50 ล้านคน เกิดเป็นพายุหมุนทางเศรษฐกิจ กระตุ้นเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงตั้งแต่ระดับฐานราก กระจายไปยังพื้นที่ทั่วประเทศ ก่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย การสั่งผลิตสินค้า การจ้างงาน และหมุนกลับมาเป็นเงินภาษีให้กับภาครัฐ เพื่อใช้ในการลงทุนเพื่อสร้างขีดความสามารถให้กับประเทศต่อไป” นายกฯ กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวว่า ช่วงต้นปี 2567 รัฐบาลได้ประกาศวิสัยทัศน์ Ignite Thailand เป็นเป้าหมายของการพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของ 8 ด้านได้แก่ ศูนย์กลางการท่องเที่ยว ศูนย์กลางการแพทย์
และสุขภาพ ศูนย์กลางเกษตรและอาหาร ศูนย์กลางการบิน ศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาค ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์แห่งอนาคต ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล และศูนย์กลางการเงิน บนการพัฒนา 6 พื้นฐานที่สำคัญได้แก่ การเป็นรัฐบาลดิจิทัลเพื่อความโปร่งใส ความเสมอภาคเท่าเทียม ความสะอาดและปลอดภัย ระบบขนส่งที่เข้าถึงและสะดวก การศึกษาและเรียนรู้สำหรับทุกคน พลังงานสะอาดและมั่นคง

กลยุทธ์ของการมุ่งไปสู่ 8 ศูนย์กลาง คือการต่อยอดจุดแข็งของประเทศด้านต่างๆ เช่น สถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม ทักษะของคนไทย โครงสร้างพื้นฐาน และอุตสาหกรรมในปัจจุบันที่รัฐบาลจะให้การสนับสนุนต่อยอดให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของภูมิภาคและของโลกได้ เช่น อุตสาหกรรมท่องเที่ยว, อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ, อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร, อุตสาหกรรมการขนส่งและการบิน เป็นต้น

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ครึ่งปีแรกของปี2567 แสดงให้เห็นว่าการท่องเที่ยว
เป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยมีเป้าหมายไว้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศทั้งปีมากกว่า 36.7 ล้านคน กลับไปสู่ระดับสูงใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด และรัฐบาลมีแผนที่จะทำให้ปี 2568 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวที่ยิ่งใหญ่ เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวให้มากยิ่งขึ้น และกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวผ่านการเฟ้นหาจุดเด่น จัดเทศกาล กิจกรรม คอนเสิร์ต หรือการแสดงต่างๆ เพื่อเพิ่มระยะเวลาการพำนัก และค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติให้มากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของนักท่องเที่ยวในอนาคต ซึ่งประเทศไทยจำเป็นต้องมีการขยายโครงสร้างพื้นฐานทางอากาศมากยิ่งขึ้น ทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางทางการบิน โดยรัฐบาลจะเดินหน้าขยายโครงข่ายสนามบินทั่วประเทศเพื่อให้รองรับผู้โดยสารได้มากขึ้น และขยายกำลังความสามารถในการขนส่งทางอากาศ การขนส่งควบคุมอุณหภูมิ และเชื่อมต่อไปยังการขนส่งทางรถ ราง และเรืออย่างครบวงจร ทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งจากไทยไปยังกลุ่มประเทศ CLMV และเชื่อมต่อ
ไปยัง Land Bridge เพื่อไปทั่วโลกได้ 

ส่วนเกษตรกรรมและอาหารเป็นอุตสาหกรรมที่สามารถยกระดับสู่อุตสาหกรรมมูลค่าสูง โดยรัฐบาลมีมาตรการที่จะดูแลภาคส่วนนี้ตั้งแต่ต้นน้ำโดยการบริหารจัดการน้ำ ดิน พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ การแปรรูป และดูแลบริหารอย่างครบวงจร ทำให้ภาคเกษตรและอาหารแข็งแรงยิ่งขึ้น

นายกฯ กล่าวอีกว่า ปัญหาหนี้สินยังเป็นปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะในภาคครัวเรือนที่มีภาระหนี้สินสูงกว่าร้อยละ 91.3 ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และยังมีภาระหนี้นอกระบบ โดยรัฐบาลได้มีมาตรการช่วยเหลือในการไกล่เกลี่ย และจับกุมเจ้าหนี้นอกระบบที่ทำผิดกฎหมาย เพื่อคืนอิสรภาพให้กับพี่น้องประชาชนที่เคยตกอยู่ในวังวนหนี้สินไม่รู้จบ ส่วนในภาคธุรกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประเมินว่าใน SMEs จำนวนกว่า 3.2 ล้านราย มีเพียงไม่ถึงครึ่งที่เข้าถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงิน ทำให้ต้องอาศัยแหล่งสินเชื่อที่ไม่เป็นธรรม ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ ด้านการใช้จ่ายจำเป็นในการหมุนเวียนประจำวัน และการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจ ส่งผลให้หลายบริษัทต้องปิดตัวลง การเจริญเติบโตในภาค SMEs อยู่ในระดับต่ำ สินเชื่อในกลุ่ม SMEs มีการขยายตัวติดลบร้อยละ 5.1 ในขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัวร้อยละ 3.3 ในไตรมาส 1 ของปี 2567

นายเศรษฐา กล่าวว่า ภายใต้สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องดำเนินนโยบายงบประมาณขาดดุล เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้มีความต่อเนื่อง โดยประมาณการจัดเก็บรายได้จากภาษีอากร (สุทธิ) การขายสิ่งของและบริการ รายได้จากรัฐพาณิชย์ และรายได้อื่น รวมสุทธิทั้งสิ้น จำนวน 3,022,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 จากปีก่อน และหักการจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามพ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวน 135,700 ล้านบาท คงเหลือเป็นรายได้สุทธิที่สามารถนำมาจัดสรร
เป็นรายจ่ายของรัฐบาล จำนวน 2,887,000 ล้านบาท ประกอบกับเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 865,700 ล้านบาท รวมเป็นรายรับทั้งสิ้น 3,752,700 ล้านบาท เท่ากับวงเงินงบประมาณรายจ่าย การจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล จึงมีความสำคัญและจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวอย่างเชื่องช้าให้เติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเม็ดเงินจำนวนมากจะไหลจากภาครัฐไปสู่ภาคเอกชน ก่อให้เกิดการสั่งซื้อสินค้า การบริการ และหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

นายกฯ กล่าวอีกว่า ฐานะการคลังนั้น หนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 มีจำนวน 11,474,154.0 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 63.37 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะ ตามกฎหมาย
ว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ที่กำหนดไว้ต้องไม่เกินร้อยละ 70 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ปัจจุบันฐานะเงินคงคลัง ณ วันที่ 30 เมษายน 2567 มีจำนวน 430,076.3 ล้านบาท โดยรัฐบาลจะบริหารเงินคงคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม บริหารรายรับและรายจ่ายของรัฐให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด 

ทั้งนี้ ฐานะการเงินด้านต่างประเทศของไทยในปัจจุบัน อยู่ในเกณฑ์ดี มูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 มีจำนวน 224,483.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2.5 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ซึ่งจัดว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งมาก                         

นายเศรษฐา กล่าวว่า ร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 มีวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 3,752,700 ล้านบาท จำแนกเป็นรายจ่ายประจำ จำนวน 2,704,574.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 72.1 รายจ่ายลงทุน จำนวน 908,224 ล้านบาท หรือร้อยละ 24.2 ซึ่งเป็นสัดส่วนการลงทุนที่สูงที่สุดในรอบ 17 ปี และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 150,100 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.0 ทั้งนี้รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้เป็นรายจ่ายลงทุนกรณีการกู้เพื่อการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ จำนวน 10,198.7 ล้านบาท 

นอกจากนี้ ในส่วนของยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ได้กำหนดไว้ผ่าน 6 ยุทธศาสตร์ ดังนี้...

ยุทธศาสตร์ ที่ 1 ด้านความมั่นคง รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 405,412.8 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.8 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อพัฒนาความมั่นคง เช่นการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้  เสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ 

ยุทธศาสตร์ที่ 2 ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 398,185.9 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.6 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโต และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้มีเสถียรภาพและยั่งยืน ผลักดันการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเป็นศูนย์กลางการขนส่ง และขยายโอกาสทางการค้า การลงทุน 
 

ยุทธศาสตร์ที่ 3 ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 583,023.4 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15.5 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน ปฏิรูประบบการศึกษาและสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต พัฒนาระบบบริการสาธารณสุขให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกพื้นที่ ส่งเสริมการอนุรักษ์และพัฒนามรดกทางศิลปวัฒนธรรมสู่อุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ พัฒนาศักยภาพการกีฬาสู่ความเป็นเลิศและได้มาตรฐานสากล ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีสามารถพึ่งพาตนเองได้ รวมทั้งพัฒนาและยกระดับทักษะฝีมือแรงงานไทยให้ได้มาตรฐานรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายและการแข่งขันในตลาดโลก  

ยุทธศาสตร์ที่ 4 ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 923,851.4 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 24.6 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อให้คนไทยได้รับสวัสดิการพื้นฐาน บริการสาธารณะอย่างทั่วถึงเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ สนับสนุนการเตรียมความพร้อมสังคมไทยในการรองรับสังคมสูงวัย เพิ่มศักยภาพและยกระดับผู้ประกอบการธุรกิจ ส่งเสริมสภาพแวดล้อมและกลไกการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เร่งดำเนินการให้ประชาชนมีสิทธิในที่ดินทำกิน พัฒนาระบบสาธารณสุข ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาที่มีคุณภาพและมาตรฐาน รวมทั้งสร้างหลักประกันสวัสดิการ สำหรับแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ

ยุทธศาสตร์ที่ 5 ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย  จำนวน 137,291.9 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.7 ของวงเงินงบประมาณ เพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน และสร้างการเติบโตบนสังคมเศรษฐกิจสีเขียว 

และ ยุทธศาสตร์ที่ 6 ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 645,880.9 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17.2 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อให้ระบบการบริหารราชการมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มุ่งผลสัมฤทธิ์และผลประโยชน์ส่วนรวม

นายกฯ กล่าวอีกว่า ส่วนการดำเนินการภาครัฐนั้นรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้ จำนวน 659,053.7 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17.6 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายรองรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยมิได้คาดหมายสำหรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และการบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ  แบ่งเป็นแผนงานบริหารเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจะเป็นจำนวน 248,800.0 ล้านบาท เพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น การเยียวยาหรือบรรเทาความเสียหายจากภัยพิบัติสาธารณะร้ายแรง ภารกิจที่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนของรัฐ และเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้าง รวมถึงการกระตุ้นและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงวินัยทางการคลัง และแผนงานบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ จำนวน 410,253.7 ล้านบาท เพื่อให้การบริหารจัดการหนี้และการชำระหนี้ภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจ

“งบประมาณฯ 2568 จำนวน 3,752,700 ล้านบาท มีที่มาจากรายได้ที่คาดว่าจะจัดเก็บได้ จำนวน 2,887,000 ล้านบาท และเป็นการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล จำนวน 865,700 ล้านบาท แม้ว่างบประมาณปีนี้จะมีการขาดดุลเพิ่มขึ้น แต่รัฐบาลได้จัดสรรรายจ่ายลงทุนไว้ จำนวน 908,224 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 24.2 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 27.9 และเป็นอัตราที่สูงที่สุดในรอบ 17 ปีที่ผ่านมา การบริหารงบประมาณรายจ่ายทั้งหมดนี้ จะเป็นการใช้จ่ายเพื่อดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล และกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลจะดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ ใช้จ่ายเงินภาษีของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด กระตุ้นเศรษฐกิจให้เม็ดเงินไหลไปสู่ประชาชนและภาคธุรกิจ สร้างการเจริญเติบโตให้กับประเทศ พัฒนาศักยภาพอย่างยั่งยืน และเป็นไปตามกฎหมาย” นายเศรษฐากล่าว

‘กระทรวงการคลัง’ เล็งพิจารณา ‘แพลตฟอร์มออนไลน์’ หลัง ‘Shopee-Lazada’ ขอร่วม ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ด้วย

(19 มิ.ย.67) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า แพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ อาทิ ช้อปปี้ (Shopee) ลาซาด้า (Lazada) แสดงความสนใจอยากเป็นร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งแพลตฟอร์มยืนยันว่าสามารถทำได้ โดยมีกลไกการันตีว่าของส่งได้ในพื้นที่ต่างๆ ตามที่กำหนดตำแหน่งได้ และการันตีได้ว่าไม่มีการทุจริตเกิดขึ้นแน่นอน

ทั้งนี้ นายจุลพันธ์กล่าวว่า กระทรวงการคลังก็จะไปดูรายละเอียดในส่วนนี้ให้ อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขในปัจจุบันนี้ ดิจิทัลวอลเล็ต ยังไม่สามารถซื้อสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ เนื่องจากมีการควบคุมโลเคชั่น และยังเป็นการใช้จ่ายรูปแบบเผชิญหน้ากัน (face to face) เท่านั้น

นายจุลพันธ์กล่าวว่า นอกจากนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับสินค้าต้องห้าม โดยเป็นห่วงเรื่องการไหลสินค้านำเข้า ขณะที่โทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟนเป็นสินค้าที่นำเข้า มีแต่ที่ผลิตจากต่างประเทศเท่านั้น ดังนั้นต้องดูมิติการผลิต และจ้างงานภายในประเทศ จึงได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ไปสรุปรายละเอียด เพื่อให้มีความชัดเจน และอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่จะใช้ รวมทั้งต้องดูรายละเอียดว่าจะสามารถกำกับ ควบคุมการใช้จ่ายได้จริงหรือไม่

“เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ ก็ไม่สามารถระบุได้ว่า สามารถซื้อได้เฉพาะยี่ห้อที่ผลิตในไทย แต่เรื่องสมาร์ทโฟนสามารถตอบได้อย่างชัดเจนว่าผลิตในต่างประเทศเท่านั้น ส่วนในเรื่องกลไกการกำหนดเรื่องร้านค้าก็มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เป็นผู้กำหนด” นายจุลพันธ์กล่าว

นายจุลพันธ์กล่าวว่า ส่วนความคืบหน้าการส่งหนังสือให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความเรื่องการใช้งบประมาณเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้น ยังมีระยะเวลาในการดำเนินการ อย่างไรก็ตาม ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นหน่วยงานของรัฐ ฉะนั้น กลไกในการขับเคลื่อนนโยบาย หากอยู่ในกรอบหน้าที่ ก็เป็นภาระหน้าที่ที่ ธ.ก.ส.ต้องดำเนินการ เราก็ดำเนินการตามกฎหมาย ธ.ก.ส.ก็ยินดีดำเนินการ ยืนยัน ว่าสภาพคล่องของ ธ.ก.ส.ไม่ได้มีปัญหา

‘อรรถวิชช์’ ชี้!! รัฐบาลจัดงบฯ ขาดดุลเต็มพิกัด เข็น ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ แต่คุ้มไหมกับหนี้สาธารณะ?

(19 มิ.ย.67) นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีต สส.กรุงเทพฯ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ‘สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง’ ทางช่องยูทูบ ‘แนวหน้าออนไลน์’ ในประเด็น (ร่าง) พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท ที่มีข้อสังเกตเรื่องการจัดสรรงบฯ สำหรับโครงการ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ หรือการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ไว้เป็นพิเศษ ว่าเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว เพราะการจัดงบฯ ครั้งนี้หัวใจจะไปอยู่ที่โครงการดังกล่าว ในขณะที่เรื่องอื่น ๆ ไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไร จะคล้ายกับที่ทุก ๆ รัฐบาลทำกันมา เช่น โครงสร้างพื้นฐานก็เดินต่อในกรอบเดิม

ทั้งนี้ ต้องเริ่มต้นจากการอธิบายก่อนว่า การจัดทำงบประมาณมี 3 รูปแบบ คือ 1.สมดุล หมายถึงรายรับ-รายจ่ายอยู่เท่ากัน 2.เกินดุล หมายถึงรายจ่ายจะน้อยกว่ารายรับ และ 3.ขาดดุล หมายถึงรายรับน้อยกว่ารายจ่าย ซึ่งโดยทั่วไปประเทศไทยจัดทำงบประมาณขาดดุลกันมาตลอด แต่การขาดดุลก็มีการจำกัดไว้ กำหนดเส้นว่าห้ามขาดดุลเกินเท่าไร โดยมีกฎหมายกำหนดว่าห้ามเกินร้อยละ 20 ของงบประมาณรายจ่าย บวกกับอีกร้อยละ 80 ของการชำระคืนเงินต้น ซึ่งล่าสุดรัฐบาลใช้โควตาแบบเต็มแม็กซ์ คือราว 8 แสนล้านบาท

“ปกติรัฐบาลอื่น ๆ เขาจะเกือบ ๆ เพราะเขาจะเว้นช่องไว้หน่อย ถ้าเกิดระหว่างปีมันมีเรื่องโน้นเรื่องนี้เกิดขึ้น เขาอาจจะของบประมาณเพิ่มเติมเข้าสภา เขาเรียกงบประมาณประจำปีฉบับเพิ่มเติม แต่เที่ยวนี้รัฐบาล งบ’68 กดเต็มแม็กซ์เลย คือต้องการขาดดุลแบบเต็มเพดาน เพราะเขาต้องการเอาทำเงินดิจิทัล ผมถึงบอกว่าดิจิทัลแจกใช้เงิน 5 แสนกว่าล้าน ในขณะที่ขาดดุลงบประมาณเต็มปีได้แค่ 8 แสนกว่า แต่ 8 แสนกว่าก็ต้องเอาไปจ่ายพวกเงินเดือนประจำ โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เลยทำให้โครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะต้องใช้เงิน 3-4 แหล่งที่มาด้วยกัน” นายอรรถวิชช์ กล่าว

นายอรรถวิชช์ กล่าวต่อไปว่า แหล่งเงินที่จะนำมาใช้ทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ไล่ตั้งแต่งบประมาณฯ 2568 นอกจากนั้นยังดึงงบกลางที่นายกฯ สามารถใช้ได้ ของปีงบประมาณ 2567 มาใช้ด้วย อีกทั้งยังจะออก พ.ร.บ.งบประมาณ 2567 ฉบับเพิ่มเติม โดยก่อนหน้านั้น ร่างงบฯ’67 ทำค้างไว้ตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งยังขาดดุลไม่เต็มโควตา ก็จะจัดให้เต็มในช่วงปลายปีงบประมาณ สุดท้ายคือไปดึงเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยจะรวม ๆ จากแหล่งเหล่านี้มาให้ครบ 5 แสนล้านบาท

ส่วนที่บางคนไม่เชื่อว่าจะดึงเงิน ธ.ก.ส. มาได้ ก็ต้องบอกว่ามีช่องทางให้ทำได้ เช่น จัดโปรแกรมช่วยเหลือเกษตรกร โดยการแจกเงินดิจิทัล หากเป็นประชาชนทั่วไปก็แจกได้เลย แต่สำหรับเกษตรกรซึ่งลงทะเบียนไว้กับ ธ.ก.ส. ก็แจกโดยให้เข้ากับกรอบกฎหมาย ธ.ก.ส. อาทิ การใช้เงิน 1 หมื่นบาทของเกษตรกร อาจไปใช้พัฒนาพันธุ์ข้าว หรือไปใช้ซื้อปุ๋ย ซื้อยาฆ่าแมลง ฯลฯ เป็นการลากผลสู่เหตุ-ลากเหตุสู่ผล เพื่อให้ใช้เงินได้ในกรอบของ ธ.ก.ส. เพราะหากจะใช้เงินของ ธ.ก.ส. ก็ต้องเขียนให้เชื่อมโยงกัน นักกฎหมายก็ต้องแฉลบให้มันลง

“ปกติโครงการจำนำข้าวก็ดี ประกันรายได้ก็ดี ไม่ว่าของเพื่อไทยหรือประชาธิปัตย์ มันคือการแจกเงินทั้งสิ้น ประกันก็แจก จำนำก็แจก แจกอยู่รอบหนึ่งก็ประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาทต่อปี ต่อ Crop (การปลูก) ละกัน เขากะว่าก็เหมือนกัน แต่อาจจะไม่ทำจำนำ ทำน้อยหน่อย หรือทำประกันน้อยหน่อย แต่เอาเงินมาจ่ายตรงนี้แทน คือมันเป็นการ Frame (วางกรอบ) นโยบายใหม่ แต่แจกเหมือนเดิม” นายอรรถวิชช์ ระบุ

นายอรรถวิชช์ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับตนการทำอย่างอื่นคุ้มกว่าโครงการนี้ แต่หากไม่ทำพรรคเพื่อไทยก็เสียคน ดังนั้นก็ต้องดันกันสุดลิ่มทิ่มประตูเพื่อให้ออกมา โดยในทางเศรษฐศาสตร์ ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) การทำให้เจริญเติบโต มีเครื่องยนต์ 4 ตัว คือ 1.การบริโภคภายในประเทศ ยิ่งบริโภคเยอะ เงินหมุนเยอะ GDP ก็โต 2.การลงทุน หากมีต่างชาติเข้ามาลงทุน เกิดการลงทุนใหม่ ๆ 3.รายจ่ายภาครัฐ ยิ่งเยอะ GDP ก็โต และ 4.ดุลการค้า ต้องส่งออกมากกว่านำเข้า ทั้ง 4 ตัวนี้ หากโตพร้อมกัน GDP ก็ขึ้น

แต่สิ่งที่ทำง่ายที่สุดคือการแจกเงิน หรือการจ้างคนเดินงบหลวงไปขุดดิน ขุดแล้วก็ฝัง ทำเท่านี้ GDP ก็ขึ้นแล้ว เพราะเกิดการจ้างงาน เป็นการนำงบประมาณลงไป ซึ่งก็ทำกันบ่อย ๆ มาหลายรัฐบาล ไม่ต้องคิดอะไรมาก ดัมพ์เงินแจกเงินลงไป เงินก็หมุน แต่ที่ชั่วหนักคือ หากมีการโกงเกิดขึ้น เพราะเงินจะไปอยู่ในกระเป๋าคนอื่น เงินไม่ได้ไปหมุน การบริโภคในประเทศก็จะไม่เกิด แต่หากแจกตรง ๆ ไม่มีการโกง รายจ่ายภาครัฐก็จะเกิด การบริโภคหมุน ดังนั้นโครงการดิจิทัลวอลเล็ตก็จะคิดอยู่ใน 2 มุมเท่านั้น คือภาครัฐจ่ายเงินลงไปแล้วเกิดการบริโภคภายในประเทศ

“มันง่ายไปไหม? แต่เขาก็คิดแบบนั้น แล้วเขาคงต้องทำเดินไปแบบนั้น สิ่งที่ตามมาก็คือหนี้สาธารณะที่จะเพิ่มมากขึ้น แล้วก็ภาระที่เราต้องจ่าย รัฐบาลต้องมีการจ่ายรายปีในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย คราวนี้เวลาหนี้สาธารณะมัน อันนี้ผมพูดแย้งกันในคนเดียวกันนะเพื่อให้เห็นภาพมุมลบและมุมบวก คือรัฐบาลเขาบอกว่าหนี้สาธารณะต่อ GDP มันอาจจะน้อยก็ได้ เพราะอะไร? เพราะถ้าเกิดผมอัดเงินลงไปแล้ว GDP มันก็ต้องขึ้น พอขึ้นตัวหารมันก็ทำให้หนี้สาธารณะต่อ GDP อาจจะลดลงก็ได้นะ เขาก็พูดในมุมนั้น แต่ถ้าพูดถึงในมุมยอดหนี้มันขึ้น ให้เห็นภาพว่าเขาคิดกันแบบนี้” นายอรรถวิชช์ กล่าว

‘เด็จพี่’ ฟาด ‘ก้าวไกล’ ค้านแบบขวางโลก ชี้!! กลัวรัฐบาล ‘เพื่อไทย’ จะได้ผลงาน

(22 มิ.ย.67) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ที่ปรึกษาของรองนายกฯ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีฝ่ายค้านก้าวไกล มีมติไม่รับหลักการร่างงบฯ ปี 68 วาระแรก อ้างเหตุรัฐบาลเบียดบังงบดัน ดิจิทัลวอลเล็ต เกินไป แถมขู่ร้องศาลระงับไม่ให้โครงการแจกเงินดิจิทัลให้ประชาชนเกิด เป็นการค้านแบบไม่มีสติหรือไม่ เหมือนไม่อยากให้ประเทศเจริญ ทั้งที่ตามระบอบประชาธิปไตย เสียงประชาชนเป็นใหญ่ วันนี้เมื่อเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาล ก็สมควรที่จะทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชน

ประกอบกับวันนี้เศรษฐกิจกำลังแย่ หุ้นตก เพราะพิษการเมือง ประชาชนลำบากยากจน เป็นหนี้ ไม่มีรายได้ ไม่มีเงิน ในการดำรงชีพ ขาดสภาพคล่อง ขาดเงินสดหมุนเวียนในระบบ ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบรุนแรง ทำให้โรงงานทยอยปิดตัวไปเยอะ คนต้องตกงาน ครอบครัวต้องลำบาก ยากจน รัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยไว โดยอัดฉีดตรงให้ประชาชนเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจพร้อมกันทั่วประเทศ เติมเงินในระบบ โดยเงินดิจิทัลวอลเล็ตให้ประชาชนโดยตรง คนละหมื่นบาท 50 ล้านคน ถ้าโครงการสำเร็จ จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัว ประชาชนมีเงิน กำลังซื้อจำนวนมหาศาลจะกลับมา รัฐบาลเชื่อมั่นว่าสิ่งที่คิดทำจะสำเร็จอย่างแน่นอน

"แต่วันนี้ก้าวไกลค้านสุดขั้ว ค้านแบบขวางโลก น่าจะเป็นเพราะกลัวรัฐบาลที่เพื่อไทยเป็นแกนนำจะได้ผลงาน ได้คะแนน โดยไม่สนความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน ก้าวไกลอ้างการเมืองใหม่ รับฟังเสียงประชาชน ก็ควรให้ประชาชนตัดสิน โครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตดีไม่ดี อีก 3 ปี ประชาชนจะให้คำตอบผ่านการเลือกตั้ง ถ้าดิจิทัลวอลเล็ตไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ประชาชนต้องจดจำว่าพรรคไหนบ้าง มีส่วนค้านการช่วยเหลือประชาชน ที่กำลังลำบาก ยากจน สมัยหน้าควรพิจารณาลงโทษ ให้เป็นฝ่ายค้านตลอดไป" นายพร้อมพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย

‘คลัง’ แย้ม!! ก.ค.นี้ เล็งเคาะวันลงทะเบียน ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ พร้อมเปิดให้ ‘ปชช.-ร้านค้า’ ยืนยันสิทธิ์ ผ่านแอปฯ ‘ทางรัฐ’

(3 ก.ค. 67) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง เปิดเผยว่า ภายในเดือน ก.ค. นี้ กระทรวงการคลังจะประกาศวันเปิดให้ประชาชน และร้านค้าที่มีสิทธิ์ลงทะเบียนเพื่อยืนยันการรับสิทธิ์เข้าร่วมโครงการดิจิทัล วอลเล็ตอย่างเป็นทางการ ผ่านแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ โดยจะเปิดให้ผู้มีสิทธิ์ลงทะเบียนภายในระยะ 2 เดือนนับจากวันประกาศ ส่วนกำหนดวันแจกเงิน หรือ โอนเงินในโครงการดิจิทัล วอลเล็ตนั้น ขณะนี้เริ่มเห็นวันที่ชัดเจนแล้ว รอเพียงระบบการโอนเงินมีความพร้อม ก็จะประกาศวันโอนเงินอย่างเป็นทางการต่อไป

“ภายในเดือนนี้ กระทรวงการคลังจะประกาศวันลงทะเบียนอย่างเป็นทางการ สำหรับประชาชน และร้านค้า โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนประมาณ 2 เดือน เชื่อว่ามีเวลาเพียงพอ ส่วนกำหนดวันรับเงินที่ชัดเจนนั้น คงต้องรอดูว่าระบบจะพร้อมเมื่อไหร่ แต่ขอเวลาทำงานอีกนิดหน่อย ใกล้ ๆ วันอีกหน่อย เพื่อความชัดเจน เพื่อที่วันจะได้ไม่เลื่อนไหลไปอีก” นายจุลพันธ์ กล่าว

ส่วนความคืบหน้า กรณีที่คณะกรรมาธิการ วิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 แขวนการพิจารณาจัดสรรงบกลางรองรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 152,700 ล้านบาทนั้น นายจุลพันธ์ ในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ ระบุว่า หลังจากที่ได้มอบหมายให้นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กลับไปจัดทำเอกสารงบฯ เพิ่มเติม ขณะนี้ ยังไม่ได้รับรายงานความคืบหน้ากลับมา แต่อย่างไรก็ตามหากแล้วเสร็จจะกำหนดวันที่ชัดเจน เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาต่อสภาฯ ต่อไป

“คาดว่าจะผ่านพิจารณาของสภาฯ ได้ไม่มีไรน่าตื่นเต้น เพราะการแขวนงบไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น เป็นเรื่องปกติ สุดท้ายก็เป็นเรื่องของเสียงข้างมาก เพราะเราชี้แจงได้ และทำให้งบประมาณตัวนี้เข้าสู่วาระ 2 ได้ และมั่นใจว่า จะผ่านวาระ 3 ได้ 100%” นายจุลพันธ์ กล่าว

‘จุรินทร์’ จวก!! รัฐบาลให้ความหวังแจก ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’ ไปวันๆ อ้างรอรายละเอียด แต่ไม่ถามกฤษฎีกา ปมดึงเงิน ธกส. มาใช้สักที

(10 ก.ค. 67) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นถึงกรณี ‘เงินดิจิทัล วอลเล็ต’ อีกครั้ง ว่า จนถึงวันนี้รัฐบาลยังไม่ถามกฤษฎีกาเรื่องการจะเอาเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ซึ่งมีไว้เพื่อดูแลเกษตรกรมาแจก ตามนโยบาย ดิจิทัล วอลเล็ต สามารถทำได้และถูกกฎหมายหรือไม่ 

ส่งผลให้ประชาชนยังไม่มีหลักประกันใด ๆ ว่าจะได้รับเงินคนละ 10,000 บาท ตามที่นายกรัฐมนตรีหาเสียงไว้ แม้รัฐบาลจะพยายามบอกว่าจะจัดให้มีการลงทะเบียนภายในเดือนกรกฎาคม และแจกได้ทันทีในไตรมาส 4 ของปีนี้ หรือตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 67 เป็นต้นไปก็ตาม แต่เป็นแค่ไทม์ไลน์ที่รัฐบาลกำหนดขึ้นบนพื้นฐานว่าสามารถเอาเม็ดเงิน 172,300 ล้านบาทจาก ธกส. มาแจกได้ แต่ถ้าเกิดทำไม่ได้เพราะผิดกฎหมาย รัฐบาลจะทำอย่างไร 

“จึงมีคำถามว่าทำไมรัฐบาลไม่เร่งทำความชัดเจนให้เกิดขึ้นเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ปล่อยให้คลุมเครืออยู่เพื่ออะไร เพราะข้ออ้างรอความชัดเจนรายละเอียดปฏิบัติฟังไม่ขึ้น หรือรัฐบาลรู้อยู่แก่ใจว่ามันมีความเสี่ยงผิดกฎหมาย จึงใช้เทคนิคหาเสียงด้วยการซื้อเวลาช่วงนี้ เพื่อสร้างความหวังให้ประชาชนไปพลางก่อน แล้วค่อยไปเสี่ยงตายเอาวันข้างหน้า ซึ่งก็เหมือนซื้อเวลาสร้างความหวังให้ประชาชนไปวัน ๆ” นายจุรินทร์ กล่าว

‘คลัง’ ยัน!! หั่นงบ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ เหลือ 4.5 แสนล้าน สอดคล้องข้อเท็จจริง ประเมินจาก 'เราเที่ยวด้วยกัน-ชิมช้อปใช้' พบคนใช้อยู่ราว 80% ไม่ถึง 100%

(11 ก.ค.67) นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวถึงการกำหนดวงเงินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตไว้ที่ 4.5 แสนล้านบาทนั้น สืบเนื่องมาจากในการประเมินโครงการเก่า ๆ ที่ภาครัฐได้ดำเนินการ อาทิ เราเที่ยวด้วยกัน ชิมช้อปใช้ พบว่า ประชาชนไม่ได้มาลงทะเบียนใช้สิทธิเต็ม 100% โดยจะอยู่ที่ราว 80% เท่านั้น ดังนั้นจึงเห็นว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ก็ควรตั้งงบประมาณให้เพียงพอและสอดคล้องข้อเท็จจริง จึงออกมาเป็นงบประมาณที่ 4.5 แสนล้านบาท อีกทั้งเนื่องจากมีข้อกังวลจากหน่วยงานตรวจสอบภาครัฐ ที่มองว่ารัฐบาลไม่ควรจะตั้งงบประมาณสูงเกินไป เพราะจะทำให้เป็นการเสียโอกาสของประเทศด้วย

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของผลต่อเศรษฐกิจนั้น ยืนยันว่าตั้งแต่แรกรัฐบาลได้ใช้ตัวเลขคาดการณ์ผู้มาใช้สิทธิในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่ 40 กว่าล้านคน เป็นตัวเลขเพื่อประเมินผลต่อเศรษฐกิจอยู่แล้ว ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ราว 1.3-1.8% แต่หากท้ายสุด มีผู้มาใช้สิทธิมากกว่าที่ประเมินไว้ ก็เชื่อว่าจะมีผลดีกับเศรษฐกิจมากขึ้นด้วยเช่นกัน

“ตัวเลขกรอบคนที่จะเข้าโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ที่ 80-90% เป็นตัวเลขที่อยู่ในฐานการประมาณการอยู่แล้ว เวลาเราประมาณการเศรษฐกิจ เราไม่ได้ประมาณการว่าจะเข้าโครงการทั้ง 50.7 ล้านคน มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และถ้าใครประเมินเศรษฐกิจจากสิ่งนี้ ก็ต้องถือเป็นการประเมินจากสิ่งที่เว่อร์เกินกว่าความเป็นจริง เราประเมินจากสิ่งที่ควรจะเป็น สิ่งที่เป็นกรอบการศึกษามาอยู่แล้ว เพียงแต่ครั้งนี้ สิ่งที่เปลี่ยน คือ เราก็ไม่ตั้งงบประมาณเกิน เพื่อไม่เป็นการเสียประโยชน์ของประเทศ แต่ถ้ามีคนมาลงทะเบียนเกิน กลไกงบประมาณก็สามารถรองรับได้” นายเผ่าภูมิ กล่าว

สำหรับประเด็นเรื่องผลกับเศรษฐกิจนั้น ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า อยู่ที่เงื่อนไขว่าจะต้องทำให้เงื่อนไขมีผลเชิงบวกกับเศรษฐกิจมากที่สุด อย่างที่เห็นก็ได้มีการเปลี่ยนเงื่อนไขเรื่องเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องมือสื่อสาร ซึ่งต้องยอมรับว่าทำให้ประชาชนใช้ยากขึ้น จุดนี้เป็นข้อเสีย แต่ข้อดี คือ เงินจะถูกหมุนในประเทศมากขึ้น เพราะสินค้าเหล่านี้เป็นสินค้า Import Content สูง เงินไหลสู่นอกประเทศทันที ไม่ก่อให้เกิดการจ้างงานและการผลิตในประเทศ

ดังนั้นคณะอนุกรรมการกำกับโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต จึงมีการเปลี่ยนเงื่อนไข เพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต ในวันที่ 15 ก.ค. นี้ พิจารณาตัดกลุ่มสินค้าเหล่านี้ออก เพื่อให้เป็นเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศสูงสุด

ส่วนเรื่องการใช้เงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อรองรับโครงการนั้น นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า หากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต ในวันที่ 15 ก.ค.นี้ มีมติเห็นชอบตามที่คณะอนุกรรมการฯ เสนอเรื่องการใช้งบประมาณปี 2567-2568 แทน ดังนั้น เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ ธ.ก.ส. แต่อย่างใด

‘นายกฯ’ เคาะ!! 'ดิจิทัลวอลเล็ต' เปิดลงทะเบียน 1 ส.ค.นี้ ยัน!! กรอบเวลาโอนเงินให้ประชาชน 45 ล้านคน สิ้นปี 67

(15 ก.ค.67) ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ครั้งที่ 4/2567 พร้อมด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์, นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง, นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง, นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง, นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานเกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

ภายหลังการประชุม นายเศรษฐา แถลงว่า “ผลการประชุมวันนี้ยาว มีเรื่องของรายละเอียดที่เรามาชี้แจงทำให้กระจ่างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประเภทของสินค้าหรือหลายๆ อย่าง ซึ่งนายจุลพันธ์ จะเป็นผู้แถลง”

เมื่อถามว่าจากการประชุมวันเดียวกันนี้นายกฯ ได้สั่งการอะไรเป็นพิเศษหรือไม่? นายกฯ กล่าวว่า “ไม่มี เป็นการตอกย้ำเรื่องความชัดเจนและเรื่องการป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบ ซึ่งสื่อก็เห็นว่า พล.ต.ท. สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. มาด้วย”

เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้เริ่มมีการออกมาแอบอ้างเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับเงินในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตโดยอ้างว่าเป็นลิงก์ของรัฐบาล ตรงนี้ได้สั่งให้มีการดำเนินการอย่างไร? นายกฯ กล่าวว่า “เรื่องนี้ยังไม่มี เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เป็นความจริงใช่หรือไม่ ซึ่งทางภาครัฐคงต้องมีการแจ้งว่าเป็นเรื่องของการแอบอ้าง คอยฟังประกาศจากรัฐบาลอย่างเดียวดีกว่า” 

เมื่อถามว่าแหล่งเงินของดิจิทัลวอลเล็ตได้ซักกระทรวงการคลังหรือไม่ว่าทำไมเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเกี่ยวกับแหล่งเงิน ทำไมถึงไม่เอาเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แล้วกลับไปใช้งบฯปี 67-68? นายกฯ กล่าวว่า “เดี๋ยวจะมีการชี้แจง ซึ่งตนได้เรียนไปแล้ว”

เมื่อถามอีกว่าอยากให้นายกฯ พูดในฐานะที่เป็นผู้นำ? นายกฯ นิ่งสักครู่พร้อมหันหน้าไปอีกทาง ก่อนกล่าวว่า “เรียนไปแล้ว แจ้งไปเรียบร้อยแล้วครับ” 

เมื่อถามความคืบหน้าซุปเปอร์แอป เป็นอย่างไรบ้าง? นายกฯ กล่าวว่า “เดี๋ยว รมช.คลังจะเป็นคนชี้แจง 

เมื่อถามอีกว่าสามารถที่จะเปิดใช้ทันไตรมาส 4 หรือไม่? นายกฯ กล่าวว่า “ขอบคุณมากครับสวัสดีครับ” และทำท่าเดินออกจากวงให้สัมภาษณ์ 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามอีกว่า สรุปแล้วแหล่งที่มาของเงินได้ข้อสรุปเรียบร้อยใช่หรือไม่? นายกฯ ไม่ตอบ พร้อมกล่าวว่า “ขอบคุณครับ สวัสดีครับ”

ล่าสุดนายเศรษฐา ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า “ดิจิทัลวอลเล็ตพร้อม เปิดลงทะเบียน 1 ส.ค. นี้ครับ การประชุมวันนี้ ถือเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดลงทะเบียน และการดำเนินการในภาพรวมที่จะรองรับการใช้งานของประชาชนและร้านค้า โดยมีการมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ รวมไปถึงการลงรายละเอียดเงื่อนไขของการรับสิทธิ์ และมาตรการป้องกันการทุจริต การเรียกเงินคืนให้ชัดเจนขึ้นครับ โครงการดิจิทัลวอลเล็ต คือ โครงการใหญ่ของภาครัฐที่จะเติมเงินกระเป๋าพี่น้องประชาชน ผู้ประกอบการ และระบบเศรษฐกิจในภาพรวม เพื่อความละเอียดรอบคอบทั้งทางกฎหมาย และทางเทคนิค โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยของผู้ใช้งาน ทำให้ใช้เวลาดำเนินการมากหน่อย แต่พี่น้องไม่ต้องคอยเก้อแน่นอนครับ” 

ขณะที่ด้าน นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวถึงรายละเอียดของผลการประชุมบอร์ดดิจิทัลวอลเล็ตว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบแหล่งที่มาของเงินที่ใช้ในโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ครั้งใหม่ โดยจะตัดแหล่งเงินจากมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินและการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และใช้เงินจากงบประมาณปี 2567 และงบประมาณปี 2568 รวม 4.5 แสนล้านบาท เพื่อแจกให้กับ 45 ล้านคน

สำหรับสาเหตุของการปรับที่มาของแหล่งวงเงินโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ครั้งนี้ นายจุลพันธ์ ยอมรับว่า รัฐบาลได้ดำเนินการตามข้อห่วงใยของหน่วยงานต่างๆ ที่ตรวจสอบแหล่งที่มาของเงิน ซึ่งในอดีตการดำเนินโครงการของรัฐไม่มีโครงการใดที่มีคนลงทะเบียนร่วมโครงการเกิน 90% กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ จึงได้หารือร่วมกันและเห็นชอบกับการตั้งงบประมาณให้สอดคล้องกัน โดยปรับลดลงมาจากเดิม 5 แสนล้าน เหลือ 4.5 แสนล้าน

“โครงสร้างกรอบแหล่งเงินโครงการครั้งใหม่ จะไม่มีเงินจากมาตรา 28 แต่จะใช้งบประมาณปี 2567 และงบประมาณปี 2568 ซึ่งเพียงพอและสามารถดำเนินการได้ภายในกรอบของงบประมาณ และถ้าคนลงทะเบียนน้อยกว่าหรือมากกว่า รัฐบาลจะใช้กลไกในการบริหารงบประมาณ เพื่อให้มีเงินทุกบาททุกสตางค์เพียงพอกับการใช้ในโครงการนี้ และรายละเอียดทั้งหมดจะเสนอที่ประชุมครม.เห็นชอบในสัปดาห์หน้า” นายจุลพันธ์ ยืนยัน

ทั้งนี้ ในแหล่งเงินของโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 รอบใหม่ วงเงิน 450,000 แสนล้านบาทนั้น มีที่มาจาก 2 แหล่ง คือ งบประมาณปี 2567 ทั้งการตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม วงเงิน 122,000 แสนล้านบาท และการบริหารจัดการงบประมาณอีก 43,000 ล้านบาท โดยไม่ใช่แค่งบกลางอย่างเดียว ส่วนงบประมาณปี 2568 วงเงิน 152,700 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณางบประมาณ และการบริหารจัดการงบประมาณอีก 132,300 ล้านบาท

ส่วนไทม์ไลน์โครงการนั้น ที่ประชุมได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับโครงการฯ ไปพิจารณากรอบรายละเอียดวันเวลาของการเริ่มต้นโครงการ และวันเปิดลงทะเบียน ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดนายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้แถลงในวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 นี้ อีกครั้ง เบื้องต้นกรอบของโครงการยังไม่เปลี่ยน คือ ลงทะเบียนในไตรมาสที่ 3 และ โอนเงินให้ประชาชนในไตรมาสที่ 4 ปี 2567

‘รัฐบาล’ ตัดสิทธิ ‘ร้านค้า-ประชาชน’ อดรับเงินดิจิทัล หากเคยโกงโครงการรัฐมาก่อน หวั่นกระทำความผิดซ้ำ 

(15 ก.ค.67) ณ ทำเนียบรัฐบาล นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยมติที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet หรือ บอร์ดเงินดิจิทัลวอลเล็ต วันนี้ ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบการกำหนดเงื่อนไข และรายละเอียดของร้านค้า รวมถึงสินค้าที่จะเข้าร่วมในโครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ ที่ประชุมบอร์ดเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ยังมีความเห็นเพิ่มเติมด้วยว่า ได้ให้กระทรวงพาณิชย์ พิจารณาความยืดหยุ่นของการจัดทำรายการข้อห้าม/ข้อจำกัด (Negative List) ของสินค้าที่จะเข้าร่วมในโครงการให้เหมาะสมกับสถานการณ์และความจำเป็น

รวมทั้งยังกำหนดเงื่อนไขของผู้เข้าร่วมในโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต ทั้งร้านค้า และประชาชน หากเป็นผู้ที่เคยกระทำความผิดในโครงการรัฐโครงการใดโครงการหนึ่งมาก่อน หรือถูกฟ้องร้องเรียกเงินคืนจะถูกตัดออกจากโครงการทันที เพราะถ้าให้สิทธิไปก็มีความเสี่ยงที่จะกระทำความผิดซ้ำได้

“การกำหนด Negative List ของสินค้า กระทรวงพาณิชย์ต้องมาคุยในคณะอนุกรรมการกำกับโครงการฯ ก่อน โดยให้นำเสนอเข้ามา เพราะวันนี้มีบางหน่วยงานนำเสนอรายการเข้ามา เช่น การห้ามสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอาวุธและยุทโธปกรณ์ ที่ผ่านมาไม่ได้คิด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่จะนำมาไว้ในรายการ โดยให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณา” นายจุลพันธ์ ระบุ

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ในรายละเอียดทั้งหมดนั้น จะมีการนำเสนอให้กับที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในสัปดาห์หน้า จากนั้นในวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 นายกรัฐมนตรี จะแถลงรายละเอียดที่ชัดเจนของโครงการต่อไป

เช็กเสียง!! ‘โหวต - ไม่โหวต’ วาระพิจารณางบ 67 อุ้ม ‘เงินดิจิทัล’ พบ 4 สส. ก้าวไกล ไม่ลงมติ!! 2 ใน 4 'แด๊ดดี้' กับ ‘จิรัฏฐ์’

เมื่อวานนี้ (18 ก.ค.67) สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า สำหรับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวาระพิเศษ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 พ.ศ.... วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ เพื่อใช้ในโครงการเติมเงินหมื่นบาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เมื่อวันที่ 17 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยในการลงมติรับหลักการร่างพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ปรากฏว่ามีจำนวนผู้เข้าร่วมประชุม 461 เสียง ผลการลงมติเห็นด้วย 297 เสียง ไม่เห็นด้วย 164 เสียง งดออกเสียงและไม่ลงคะแนนไม่มี 

โดยจากการตรวจสอบพบว่าเสียงของพรรคฝ่ายค้านที่หายไป คือ พรรคก้าวไกล มีผู้ที่ไม่ได้กดบัตรลงคะแนน 4 คน ประกอบด้วย ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ สส.บัญชีรายชื่อ, ‘จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์’ สส.ฉะเชิงเทรา, ‘จุฬาลักษณ์ ขันสุธรรม’ สส.เชียงราย และ ‘ปรีดี เจริญศิลป์’ สส.นนทบุรี

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ที่ไม่ได้ร่วมโหวต 10 คน อาทิ ‘เดชอิศม์ ขาวทอง’ สส.สงขลา และเลขาธิการพรรค, ‘ชัยชนะ เดชเดโช’ สส.นครศรีธรรมราช รองหัวหน้าพรรค  

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ไฮไลต์ที่สำคัญพบว่า มี สส.ฝ่ายค้านโหวตสวนมติของพรรค ได้แก่ 3 สส.ของพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) ซึ่งก่อนหน้านี้มีพฤติการณ์โหวตลักษณะนี้มาแล้วหลายครั้ง และมีข่าวที่จะย้ายไปอยู่พรรคเพื่อไทย ประกอบด้วย ‘สุภาพร สลับศรี’ สส.ยโสธร, ‘หรั่ง ธุระพล’ สส.อุดรธานี และ ‘อดิศักดิ์ แก้วมุงคุณทรัพย์' สส. อุดรธานี รวมถึงยังมี ‘ปรีดา บุญเพลิง’ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคครูไทยเพื่อประชาชน ‘สุรทิน พิจารณ์’ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปไตยใหม่ และ ‘กฤดิทัช แสงธนโยธิน’ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคใหม่ ที่โหวตเห็นด้วยกับร่างพ.ร.บ.ของรัฐบาล 

ส่วนพรรคร่วมรัฐบาล พบว่าพรรคเพื่อไทย มี สส. 7 คน ไม่ได้โหวต อาทิ ‘สุทิน คลังแสง’ รมว.กลาโหม, ‘เกรียง กัลป์ตินันท์’ รมช.มหาดไทย, ‘ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง’ สส.บัญชีรายชื่อ, ‘พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์’ สส.บัญชีรายชื่อ, ‘วันนิวัติ สมบูรณ์’ สส.ขอนแก่น, ‘วิลดา อินฉัตร’ สส.ศรีสะเกษ  

ด้าน พรรคภูมิใจไทย ไม่ได้โหวต 2 คน ได้แก่ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย, ‘สุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล’ สส.พระนครศรีอยุธยา รมช.ศึกษาธิการ สำหรับพรรคพลังประชารัฐ มีผู้ไม่ได้มาร่วมโหวต 6 คน ได้แก่ ‘พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ’ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ, ‘ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า’ รมว.เกษตรและสหกรณ์  เลขาธิการพรรค, ‘ขวัญเรือน เทียนทอง’ สส.สระแก้ว, ‘สะถิระ เผือกประพันธุ์' สส.ชลบุรี, ‘นเรศ ธำรงทิพยคุณ’ สส.เชียงใหม่ และ ‘ทวี สุระบาล’ สส.ตรัง  

พรรครวมไทยสร้างชาติ 4 คน คือ ‘สุชาติ ชมกลิ่น’  รมช.พาณิชย์, ‘อนุชา นาคาศัย’ สส.ชัยนาท, ‘จิรวุฒิ สิงห์โตทอง’ สส.ชลบุรี และ ‘นิติศักดิ์ ธรรมเพชร’ สส.พัทลุง และพรรคชาติไทยพัฒนา 1 คน คือ ‘พาณุวัฒณ์ สะสมทรัพย์’ สส.นครปฐม และพรรคประชาชาติ 1 คน คือ ‘พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง’ รมว.ยุติธรรม พรรคเสรีรวมไทย 1 คน ได้แก่ ‘มังกร  ยนต์ตระกูล’  

นอกจากนี้ ประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ ทั้ง 3 คน ก็ไม่ได้ร่วมโหวต ประกอบไปด้วย ‘วันมูหะมัดนอร์ มะทา’ สส. พรรคประชาชาติ ในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎร ‘ปดิพัทธ์ สันติภาดา’ สส.พิษณุโลก พรรคเป็นธรรม ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ‘พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน’ สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top