Sunday, 20 April 2025
ชลบุรี

นายกฯ ตรวจราชการ จ.ชลบุรี ติดตามการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ รองรับการลงทุนชาวต่างชาติในพื้นที่ EEC ยัน ต้องเร่งผลักดัน รถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินให้เกิดในปี 71

วันนี้ (23 มิถุนายน 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายสุริยะ รุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายจุลพรรณ อมรวิวัฒน์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ลงพื้นที่ตรวจราชการ จังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง โดยเฉพาะภารกิจสำคัญในการติดตามการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ของสนามบินอู่ตะเภา และตรวจติดตามโครงการสำคัญตามนโยบายของรัฐบาล เช่น ด้านมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก Eastern Economic Corridor (EEC)

ทั้งนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมประชุมหารือกับผู้แทนของการท่าอากาศยานอู่ตะเภาและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยรอบ ซึ่งประเด็นการพูดคุยส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องโครงการพัฒนาและ ส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจรวมทั้งระบบโลจิสติกส์ที่สำคัญได้แก่โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินที่ปัจจุบันพบว่ามีความล่าช้าหลังจากมีกำหนดเสร็จเดิมภายในช่วงสิ้นปี 67 นี้แต่ปัจจุบันยังไม่ได้ดำเนินการซึ่งจากการรับรายงานทราบว่าช่วงเริ่มโครงการก็ติดปัญหา การแพร่ระบาดของโรค โควิด-19 รวมไปถึงสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ทำให้ขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก อีกทั้งยังมีเรื่องของ BOI ที่ดำเนินการยังไม่แล้วเสร็จ อย่างไรก็ตามกรณีกรณีดังกล่าวนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวชี้แจงว่าได้มีการหารือกับบริษัทผู้รับจ้างแล้วและมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกันโดยคาดว่า จะสามารถได้ผลสรุปภายในเดือนกรกฎาคมนี้แน่นอนจากนั้นก็จะดำเนินการก่อสร้างตามเป้าหมาย

ซึ่งนายกรัฐมนตรีระบุว่าควรจะกรรมการให้แล้วเสร็จภายในปี 71 เพราะโครงการนี้มีความสำคัญนอกจากเป็นเรื่องของการขนส่งการแล้ว ยังมีเรื่องของการลงทุน รวมทั้งเรื่องของการท่องเที่ยวที่เข้ามามีส่วนร่วมอีกด้วย  ขณะที่ในส่วนของท่าอากาศยานเองก็กำลังดำเนินการในส่วนของการสร้างรันเวย์เพิ่มก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่การจัดจัดทำพื้นที่สำหรับคาร์โก้ศูนย์ซ่อมอากาศยานและโรงเรียนการบิน ในอนาคตด้วย

กองเรือยุทธการ จัดพิธีเปิดการฝึกผสม SINGSIAM 21/2024

(9 ก.ค.67) พลเรือเอกชาติชาย ทองสะอาด ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ มอบหมายให้ พลเรือตรี ณัฐพงศ์ ปานโสภณ ผู้บัญชาการกองเรือฟริเกตที่ 2 กองเรือยุทธการ เป็นผู้แทนเป็นประธานฝ่ายไทย พร้อมด้วย พันเอกหญิง ซิสวี เฮอรินี่ ผู้บัญชาการกองเรือที่ 3 กองทัพเรือสิงค์โปร์ เป็นประธานฝ่ายสิงคโปร์ ในพิธีเปิดการฝึกผสม SINGSIAM 21/2024 อย่างเป็นทางการ ณ ท่าเรือแหลมเทียน ฐานทัพเรือสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมีกำลังพลฝ่ายไทยและสิงค์โปร์ เข้าร่วมการฝึกในครั้งนี้ รวม 750 นาย  

การฝึกผสม SINGSIAM 21/2024 เป็นการฝึกผสมแบบทวิภาคี ระหว่างกองทัพเรือไทย กับกองทัพเรือสิงคโปร์ ในปีนี้เป็นครั้งที่ 21 มีวัตถุประสงค์การฝึก เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพเรือทั้งสองประเทศ รวมทั้งพัฒนาขีดความสามารถของกำลังพลในการปฏิบัติการทางเรือร่วมกันในทุกระดับ และเสริมสร้างการตระหนักรู้ภาพสถานการณ์ทางทะเล ให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกในปัจจุบัน

การฝึกผสม SINGSIAM ในครั้งนี้ กองทัพเรือได้มอบหมายให้กองเรือฟริเกตที่ 2 กองเรือยุทธการ เป็นหน่วยรับผิดชอบหลักในการฝึก โดยมี พลเรือตรี ณัฐพงศ์ ปานโสภณ ผู้บัญชาการกองเรือฟริเกตที่ 2 กองเรือยุทธการ เป็นผู้อำนวยการกองอำนวยการฝึกผสม จัดกำลังเข้าร่วมการฝึก ประกอบด้วย เรือในกองเรือฟริเกตที่ 1 เรือในกองเรือฟริเกตที่ 2 กองเรือยกพลขึ้นบกและยุทธบริการ อีกทั้งหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน สนับสนุนกำลังในการฝึกการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกองทัพเรือทั้งสองประเทศ โดยมีกำลังที่เข้าร่วมการฝึกของฝ่ายไทย ประกอบด้วย เรือหลวงตากสิน เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช อากาศยาน และอากาศยานไร้คนขับ กำลังฝ่ายสิงค์โปร์ เข้าร่วมการฝึก ประกอบด้วย เรือปฏิบัติภารกิจชายฝั่งชั้น Independence 1 ลำ และเรือคอร์เวตชั้น Victory 1 ลำ 

โดยมีห้วงเวลาการฝึก ระหว่าง 9-16 ก.ค.67 ทำการฝึกในท่าเรือพื้นที่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี และการฝึกในทะเลบริเวณอ่าวไทยตอนบน ทั้งนี้ สามารถติดตามการฝึก SINGSIAM ในท่าเรือและการฝึกในทะเลต่อไป ในห้วงระยะเวลา 9-16 ก.ค.67 นี้

'โซเชียล' ยกย่อง ‘ลุงเจี๊ยบใจดี’ ให้โอกาสคนทุกข์ยากทำงาน-สร้างรายได้ หวังให้พวกเขามีชีวิตใหม่และสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ในสังคม

(16 ก.ค.67) รายงานข่าวระบุว่า ผู้ใช้ติ๊กต็อกชื่อ ‘putonyourhair’ หรือ ‘ลุงเจี๊ยบ คับผม’ เป็นเจ้าของร้านอาหารชื่อ ‘ครัวลุงเจี๊ยบ’ ตั้งอยู่ที่ถนนบ้านสวน ซอย 11 ต.หนองข้างคอก อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี ได้โพสต์คลิปช่วยชายรายหนึ่งที่มาขอข้าว ของานทำ เพื่อจะได้มีเงินไว้ซื้อข้าวกิน หรือทำงานเพื่อแลกข้าว

อย่างไรก็ตาม หากใครที่ติดตามลุงเจี๊ยบจะรู้ว่าลุงเป็นคนจิตใจดี มีเมตตา ให้ข้าวคนไม่มีจะกิน ให้โอกาสคนยากไร้ คนเร่ร่อนได้มีงานทำ จนมีชีวิตที่ดีขึ้นมาแล้วหลายคน 

ล่าสุด ได้ให้โอกาสกับ ‘น้องเอก’ เหตุเพราะอยู่ลำพังคนเดียว ที่บ้านพักคนพิการที่ทรุดโทรม เนื่องจากพ่อกับแม่เสียชีวิตไปหมดแล้ว เห็นชีวิตกำลังลำบาก จึงมอบโอกาสให้ได้มาทำงานที่ร้านอาหารของตัวเอง มีข้าวกินทุกมื้อ มีชีวิตที่ดีขึ้น หน้าตาสดใสขึ้น ได้กินอิ่ม ได้นอนหลับ นอกจากให้งานทำที่ร้าน ยังพาไปตัดผมอีกด้วย ซื้อข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า รองเท้าให้ และให้เงินค่าแรง

โดยมีคลิปหนึ่งที่ลุงเจี๊ยบได้ลงไว้ตอนที่ น้องเอกได้เข้าไปขอข้าวของานทำ จึงทำให้ลุงตัดสินใจรับน้องมาทำงาน และก่อนหน้านี้ลุงก็ได้ให้งานน้องอีกคนทำชื่อน้องแบงค์ ซึ่งน้องตั้งใจทำงานและขยันมาก ๆ ส่วนน้องเอกนั้น น้องได้เลี้ยงไก่ไว้ด้วย ทำให้ชาวเน็ตเห็นถึงความขยันและแววตาที่มุ่งมั่นของน้อง ทั้งนี้ ยังเข้ามาชื่นชมลุงเจี๊ยบที่ให้โอกาสทั้ง 2 คน เหมือนได้มีชีวิตใหม่และสามารถใช้ชีวิตได้ในสังคม

‘ตำรวจ’ ระเบิดสะพานโจร บุกจับแก๊งคอลเซนเตอร์ ตั้งออฟฟิศในชลบุรี หลังมีบอสใหญ่เป็นคนจีน ตุ๋นเหยื่อให้รัก - หลอกช่วยเหลือผ่านเฟซบุ๊ก

(7 ส.ค.67) ตามนโยบายของทางรัฐบาล ได้มีข้อสั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทำการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยให้สืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิด และเร่งแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนโดยด่วน ภายใต้อำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. / ผอ.ศปอส.ตร. , พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.2 , พล.ต.ต.ฉัตรชัย สุรเชษฐพงษ์ รอง ผบช.ภ.2 , พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รอง ผบช.ภ.2 และ พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2 ได้ทำงานสนองตามนโยบาย และได้มีการสืบสวนจับกุมอย่างต่อเนื่อง

ตามที่ได้มีมาตรการ ‘ระเบิดสะพานโจร ตัดซิม เสา สาย ตามแนวชายแดน’ ที่กลุ่มมิจฉาชีพแก๊งคอลเซนเตอร์ใช้ในการหลอกลวงเหยื่อทั่วประเทศ จนทำให้สัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตในต่างประเทศที่แก๊งคอลเซนเตอร์ใช้หมดลง หรือไม่สะดวกต่อการใช้งาน แก๊งคอลเซนเตอร์จึงปรับตัว โดยลักลอบนำอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และพนักงานในแก๊ง มาตั้งเป็นออฟฟิศคอลเซนเตอร์หลอกลวงประชาชนในประเทศไทย ซึ่งการจับกุมครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่มีการจับกุมแก๊งคอลเซนเตอร์หลอกลวงประชาชนชาวไทย โดยตั้งฐานออฟฟิศอยู่ในประเทศไทย

เมื่อวันที่ 5 ส.ค.67 เวลาประมาณ 16.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.ภ.2 ได้สืบทราบว่า มีขบวนการแก๊งคอลเซนเตอร์ ใช้บ้านภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ตั้งเป็นออฟฟิศทำงาน ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.ภ.2 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ได้เดินทางไปตรวจสอบบ้านหลังดังกล่าว พบชายไทย 4 คน ทราบชื่อภายหลัง คือ นายชนาภัทรฯ (สงวนนามสกุล) , นายโชคชัยฯ (สงวนนามสกุล) , นายชิชณุพงษ์ฯ (สงวนนามสกุล) และนายจีรวัฒน์ฯ (สงวนนามสกุล) จากการตรวจค้นพบว่าภายในบ้านมีคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะจำนวน 10 เครื่อง และพบข้อมูลการหลอกลวงประชาชนผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งทั้งหมดรับว่าตนเองและพวกร่วมกันเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยตั้งเพจเฟซบุ๊กในการหลอกช่วยเหลือเหยื่อ มีการยิงแอดโฆษณา หลอกว่าเป็นตำรวจไซเบอร์ หรือทนายความ ที่สามารถช่วยเหลือเหยื่อในการทำเรื่องฟ้องร้องได้ และทำให้ได้เงินที่ถูกหลอกไปกลับคืนมา โดยหลอกซ้ำเติมเหยื่อให้โอนเงินเข้ามาเพื่อลงทะเบียนในการช่วยเหลือ และยังมีการหลอกลวงในรูปแบบโรแมนซ์สแกม (หลอกให้รัก) ซึ่งจะมีสคริปต์การพูดหลอกลวงเหยื่อให้หลงเชื่อและโอนเงินมาให้ โดยภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมดพบว่ามีการสนทนากับเหยื่อในแอปพลิเคชันเมสเซ็นเจอร์เฟซบุ๊ก และแอปพลิเคชันไลน์ออฟฟิศเชียลเป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจยึดคอมพิวเตอร์ทั้งหมดไว้เพื่อทำการตรวจสอบ นอกจากนี้ยังพบการกระทำความผิด ครอบครองอาวุธปืนพกสั้นแบบกึ่งอัตโนมัติ , เครื่องกระสุนปืน และเสพยาเสพติด ซึ่งได้ทำการจับกุมและแยกดำเนินคดีที่ สภ.ศรีราชา จ.ชลบุรี 

จากการขยายผลทำให้ทราบว่าขบวนการแก๊งคอลเซนเตอร์นี้ มีหัวหน้ากลุ่มเป็นชาวจีน คือ Mr.ZHOU หรือ นายเจ้า สัญชาติจีน , มีรองหัวหน้า คือ Mr.CHEN หรือ ปีเตอร์ สัญชาติจีน และมีเลขาเป็นคนไทย คือ นายภาวัตฯ หรือ เหว่ย มีพฤติกรรมทำธุรกิจเกี่ยวกับคอลเซ็นเตอร์ , ค้ามนุษย์ , บ่อนการพนัน และฟอกเงินฯ ซึ่งต่อมาได้มีการขยายผลและขออนุมัติศาลขอหมายค้นอีก จำนวน 3 จุด ในกรุงเทพมหานคร เพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม โดย ณ ปัจจุบันทราบว่าหัวหน้าและรองหัวหน้าคนจีนได้หลบหนีออกนอกประเทศแล้ว ซึ่งกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ได้ขยายฐานออฟฟิศมาในประเทศไทย เนื่องจากความไม่สะดวกเรื่องการติดต่อสื่อสารและสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ต่างประเทศ จึงกล้าเสี่ยงมาเปิดออฟฟิศในประเทศไทย

โดย บก.สส.ภ.2 จะทำการสืบสวนและขยายผลผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด เพื่อดำเนินคดีในข้อหา ‘นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชน’ มีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และจะติดตามผู้เสียหายซึ่งถูกแก๊งคอลเซนเตอร์นี้หลอกลวง เพื่อดำเนินคดีเพิ่มเติมในข้อหาฉ้อโกงประชาชน และความผิดฐานฟอกเงินต่อไป ซึ่งหากใครเป็นผู้เสียหายที่ถูกแก๊งคอลเซนเตอร์นี้หลอก สามารถให้ข้อมูลได้ที่ บก.สส.ภ.2 หมายเลขโทรศัพท์ 038 276 724 เพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีต่อไป

จับกุมแก๊งคอลเซนเตอร์ เหิมเกริมตั้งออฟฟิตหลอกลวงประชาชนใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี

ตามนโยบายของทางรัฐบาล ได้มีข้อสั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทำการปราบปรามอาชญากรรม ทางเทคโนโลยี โดยให้สืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิด และเร่งแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนโดยด่วน ภายใต้อำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. / ผอ.ศปอส.ตร. , พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.2 , พล.ต.ต.ฉัตรชัย สุรเชษฐพงษ์ รอง ผบช.ภ.2 , พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รอง ผบช.ภ.2 และ พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2 ได้ทำงานสนองตามนโยบาย และได้มีการสืบสวนจับกุมอย่างต่อเนื่อง

ตามที่ได้มีมาตรการ “ระเบิดสะพานโจร ตัดซิม เสา สาย ตามแนวชายแดน” ที่กลุ่มมิจฉาชีพแก๊งคอล เซนเตอร์ใช้ในการหลอกลวงเหยื่อทั่วประเทศ จนทำให้สัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตในต่างประเทศที่แก๊งคอลเซนเตอร์ใช้หมดลง หรือไม่สะดวกต่อการใช้งาน แก๊งคอลเซนเตอร์จึงปรับตัว โดยลักลอบนำอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และพนักงานในแก๊ง มาตั้งเป็นออฟฟิตคอลเซนเตอร์หลอกลวงประชาชนในประเทศไทย ซึ่งการจับกุมครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่มีการจับกุมแก๊งคอลเซนเตอร์หลอกลวงประชาชนชาวไทย โดยตั้งฐานออฟฟิตอยู่ในประเทศไทย

เมื่อวันที่ 5 ส.ค.67 เวลาประมาณ 16.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.ภ.2 ได้สืบทราบว่า มีขบวนการ แก๊งคอลเซนเตอร์ ใช้บ้านภายในหมู่บ้านดิไอคอน ม.9 ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ตั้งเป็นออฟฟิตทำงาน ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.ภ.2 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ได้เดินทางไปตรวจสอบบ้านหลังดังกล่าว พบชายไทย 4 คน ทราบชื่อภายหลัง คือ นายชนาภัทรฯ (สงวนนามสกุล) , นายโชคชัยฯ (สงวนนามสกุล) , นายชิชณุพงษ์ฯ (สงวนนามสกุล) และนายจีรวัฒน์ฯ (สงวนนามสกุล) จากการตรวจค้นพบว่าภายในบ้านมีคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะจำนวน 10 เครื่อง และพบข้อมูลการหลอกลวงประชาชนผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งทั้งหมดรับว่าตนเองและพวกร่วมกันเป็น   แก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยตั้งเพจเฟสบุ๊คในการหลอกช่วยเหลือเหยื่อ มีการยิงแอดโฆษณา หลอกว่าเป็นตำรวจไซเบอร์ หรือทนายความ ที่สามารถช่วยเหลือเหยื่อในการทำเรื่องฟ้องร้องได้ และทำให้ได้เงินที่ถูกหลอกไปกลับคืนมา โดยหลอกซ้ำเติมเหยื่อให้โอนเงินเข้ามาเพื่อลงทะเบียนในการช่วยเหลือ และยังมีการหลอกลวงในรูปแบบโรแมนซ์สแกม (หลอกให้รัก) ซึ่งจะมีสคริปต์การพูดหลอกลวงเหยื่อให้หลงเชื่อและโอนเงินมาให้ โดยภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมดพบว่ามีการสนทนากับเหยื่อในแอพลิเคชั่นเมสเซ็นเจอร์เฟสบุ๊ค และแอพพลิเคชั่นไลน์ออฟฟิศเชียลเป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจยึดคอมพิวเตอร์ทั้งหมดไว้เพื่อทำการตรวจสอบ นอกจากนี้ยังพบการกระทำความผิด ครอบครองอาวุธปืนพกสั้น แบบกึ่งอัตโนมัติ , เครื่องกระสุนปืน และเสพยาเสพติด ซึ่งได้ทำการจับกุมและแยกดำเนินคดีที่ สภ.ศรีราชา จ.ชลบุรี

จากการขยายผลทำให้ทราบว่าขบวนการแก๊งคอลเซนเตอร์นี้ มีหัวหน้ากลุ่มเป็นชาวจีน คือ Mr.ZHOU หรือ นายเจ้า สัญชาติจีน , มีรองหัวหน้า คือ Mr.CHEN หรือ ปีเตอร์ สัญชาติจีน และมีเลขาเป็นคนไทย คือ นายภาวัตฯ หรือ เหว่ย มีพฤติกรรมทำธุรกิจเกี่ยวกับคอลเซ็นเตอร์ , ค้ามนุษย์ , บ่อนการพนัน และฟอกเงินฯ ซึ่งต่อมาได้มีการขยายผลและขออนุมัติศาลขอหมายค้นอีก จำนวน 3 จุด ในกรุงเทพมหานคร เพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม โดย ณ ปัจจุบันทราบว่าหัวหน้าและรองหัวหน้าคนจีนได้หลบหนีออกนอกประเทศแล้ว ซึ่งกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ได้ขยายฐานออฟฟิศมาในประเทศไทย เนื่องจากความไม่สะดวกเรื่องการติดต่อสื่อสารและสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ต่างประเทศ จึงกล้าเสี่ยงมาเปิดออฟฟิศในประเทศไทย

โดย บก.สส.ภ.2 จะทำการสืบสวนและขยายผลผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด เพื่อดำเนินคดีในข้อหา “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชน” มีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และจะติดตามผู้เสียหายซึ่งถูกแก๊งคอลเซนเตอร์นี้หลอกลวง เพื่อดำเนินคดีเพิ่มเติมในข้อหาฉ้อโกงประชาชน และความผิดฐานฟอกเงินต่อไป ซึ่งหากใครเป็นผู้เสียหายที่ถูกแก๊งคอลเซนเตอร์นี้หลอก สามารถให้ข้อมูลได้ที่ บก.สส.ภ.2 หมายเลขโทรศัพท์ 038 276 724 เพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีต่อไป

‘พลเมืองดีสัตหีบ’ พบ ‘เต่ายักษ์’ หนัก 10 กิโลกรัม พลัดหลง แถมน้ำตาไหลนอง 2 ข้าง - โดนมนุษย์ใจร้ายฟันกระดองยับ

(19 ส.ค. 67) ศูนย์วิทยุ หน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างโรจนธรรมสถานสัตหีบ ได้รับแจ้งขอความช่วยเหลือจาก น.ส.คนึงนิด จันดาก อายุ 46 ปี พักบ้านเลขที่ 48/96 ม.4 ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ว่าได้พบเต่าขนาดใหญ่ ไม่ทราบชนิด เดินเข้ามาบริเวณบ้าน จึงได้นำกักขังไว้ในที่ปลอดภัย เพราะเกรงอาจถูกสุนัขกัด พร้อมนำอาหารมาให้กินประทังความหิวโหย จึงขอให้ส่งเจ้าหน้าที่มาให้การตรวจสอบ และช่วยเหลือ

ต่อมา นายวิชา จินดานิล หน่วยกู้ภัยนามเรียกขาน 142 พร้อมกับผู้สื่อข่าว ได้ร่วมลงพื้นที่เข้าตรวจสอบ พบพลเมืองดีผู้แจ้งอยู่กับกลุ่มครอบครัวต่างชาติ กำลังให้การดูแลเต่าอย่างใกล้ชิด เบื้องต้นได้นำคุณลักษณะรูปร่างเต่าค้นหาข้อมูลใน Google มีลักษณะคล้ายกับ ‘เต่าบัว’ ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง มีความยาวราว 40 ซม. น้ำหนักประมาณ 10 กิโลกรัม ไม่ทราบเพศ

อย่างไรก็ตาม ยังพบว่า เต่าตัวนี้กำลังร้องไห้ ดวงตาทั้ง 2 มีน้ำตาไหลนอง และที่บริเวณกระดองด้านบน ยังพบถูกมนุษย์ใจร้าย ใช้มีดฟันหลายต่อหลายครั้ง จนเป็นทางยาวร่องลึก ตลอดจนถูกสุนัขในหมู่บ้านรุมเห่ากันระงม พยายามจะเข้ามากัดทำร้าย นับเป็นภาพที่สุดน่าเวทนาใจอย่างมาก

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยได้โทรแจ้ง 1362 สายด่วนพิทักษ์ป่า เพื่อรายงานการพบเต่า โดยทางหน่วยงานอนุญาตให้นำเต่าปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ในพื้นที่ปลอดภัย จึงได้ขนย้ายนำเต่าปล่อยไว้ ณ อ่างเก็บน้ำ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งกองทัพเรือ เพื่อให้เต่าได้กลับไปใช้ชีวิตตามวิถีธรรมชาติดั้งเดิม

สตม. รวบแก๊งรัสเซีย นำเงินยูโรปลอมแลกตามบูธ ความเสียหายกว่าล้านบาท และ OVER STAY

(27 ส.ค. 67) ตม.จว.ชลบุรี จับกุมนาย A (นามสมมติ) อายุ 29 ปี สัญชาติรัสเซีย พร้อมเงินสกุลยูโรปลอม ฉบับ 500 ยูโร จำนวน 6 ฉบับ ฉบับละ 50 ยูโร จำนวน 80 ฉบับ โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยการอนุญาตสิ้นสุด และทำปลอมขึ้นซึ่งเงินตราไม่ว่าจะปลอมขึ้นเพื่อให้เป็นเหรียญกษาปณ์ ธนบัตรหรือสิ่งอื่นใด ซึ่งรัฐบาลออกให้หรือให้อำนาจให้ออกใช้ หรือทำปลอมขึ้นซึ่งพันธบัตรรัฐบาลหรือใบสำคัญสำหรับรับดอกเบี้ยพันธบัตรนั้นผู้นั้นกระทำผิดฐานปลอมเงินตรา ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 240 และ มีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งเงินตราต่างประเทศสกุล (ยูโร) อันตนได้มาโดยรู้ว่าเป็นเงินตราเป็นของปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 244 ประกอบกับกฎหมายอาญามาตรา 247 นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุมโรงแรมในย่านพระตำหนักซอย 6 หมู่ 12 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี

ตม.จว.ชลบุรี ได้รับแจ้งจากพนักงานตู้รับแลกเงินว่า มีคนนำธนบัตรยูโรปลอมฉบับละ 500 ยูโร จำนวน 1 ฉบับ มาแลกเปลี่ยนที่ร้านรับแลกเงินของตน จึงรีบเดินทางไปตรวจสอบ พบว่าได้มีชายไทยนำเงินสกุลยูโร ฉบับละ 500 ยูโร จำนวน 1 ฉบับ มาทำการแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินบาท เมื่อพนักงานผู้รับแลกเงินได้ตรวจสอบธนบัตร โดยใช้ปากกาเคมีสำหรับตรวจสอบธนบัตร พบว่าเป็นธนบัตรสกุลยูโรปลอม ตม.จว.ชลบุรี จึงสืบสวนติดตามตัวจนพบชายไทยที่นำธนบัตรยูโรปลอมมาแลกจากการสอบถามได้ให้การว่าเป็นพนักงานต้อนรับโรงแรมแห่งหนึ่ง ได้มีนาย A (นามสมมุติ) สัญชาติรัสเซีย ซึ่งได้เข้าพักที่โรงแรมมาเป็นเวลาประมาณ 3 อาทิตย์โดยยังไม่ได้ชำระเงินค่าที่พัก ได้นำธนบัตรยูโรฉบับละ 500 ยูโรฉบับดังกล่าว มาจ่ายค่าที่พักตนจึงได้นำไปแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินบาทกับทางตู้แลกเงินดังกล่าว โดยไม่ทราบว่าเงินสกุลยูโรดังกล่าวเป็นธนบัตรปลอม พร้อมทั้งยังได้แสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดตรวจสอบ ไปยังห้องพักที่นาย A พักอาศัยอยู่ที่ชั้นบนของโรงแรม จากการตรวจสอบหนังสือเดินทางนาย A ปรากฏว่าการอนุญาตสิ้นสุด (OVERSTAY) เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขอตรวจสอบกระเป๋าสีดำที่อยู่ในห้องพักของนาย A พบว่ามีเงินสกุลยูโรฉบับละ 500 ยูโร 5 ฉบับ และธนบัตรฉบับละ 50 ยูโร จำนวน 80 ซึ่งนาย A ให้การยอมรับว่าเงินสกุลยูโรจำนวนดังกล่าวทั้งหมดเป็นของตนและเป็นธนบัตรยูโรปลอม โดยตนได้นำติดตัวมาจากเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี โดยมีเพื่อนที่ตุรกีให้นำติดตัวมาใช้จ่ายที่ประเทศไทย และตนเองได้นำเงินสกุลดังกล่าวมาจ่ายชำระค่าที่พักกับทางโรงแรมดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมตัวนาย A ดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว

ฐานทัพเรือสัตหีบ และชาวสัตหีบร่วมใจ 'พัฒนาสวนกรมหลวงชุมพร'

(12 ก.ย.67) พลเรือโท ชยุต นาเวศภูติกร ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ พร้อมด้วย คุณธัชกร นาเวศภูติกร ประธานชมรมภริยาฐานทัพเรือสัตหีบ เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม 'ชาวสัตหีบร่วมใจ พัฒนาสวนกรมหลวงชุมพร' ณ สวนกรมหลวงชุมพรกองทัพเรือ (สวนสาธารณะหนองตะเคียน) อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

โดยมี นาย ณรงค์ บุญบรรเจิศศรี นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองสัตหีบ นาย ไพโรจน์ มาลากุล ณ อยุธยา นายก เทศมนตรีเทศบาลตำบลเขตรอุดมศักดิ์ สมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนจากอำเภอสัตหีบ คณะนายทหาร ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง ประชาชนในทุกภาคส่วน เข้าร่วมกิจกรรม 

โดย ฐานทัพเรือสัตหีบ กำหนดจัดกิจกรรม ชาวสัตหีบร่วมใจ พัฒนาสวนกรมหลวงชุมพร โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการปรับปรุง ซ่อมแซม และพัฒนาพื้นที่สวนกรมหลวงชุมพร กองทัพเรือ ให้มีความสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อย มีความพร้อมในการจัดกิจกรรมสันทนาการ และการออกกำลังกาย สำหรับประชาชนทั่วไป และเป็นการเทิดพระเกียรติ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ โดยได้รับความร่วมมือจาก องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ อำเภอสัตหีบ เทศบาลเมืองสัตหีบ เทศบาลตำบลเขตรอุดมศักดิ์ และประชาชนชาวสัตหีบ กิจกรรมที่ดำเนินการประกอบด้วย การทาสีรั้วด้านถนนสุขุมวิท การทาสีสนามกีฬา อุปกรณ์ออกกำลังกาย และลานกีฬาต่าง ๆ

พลเรือโท ชยุต นาเวศภูติกร กล่าวว่า ขอขอบคุณ อำเภอสัตหีบ เทศบาลเมืองสัตหีบ เทศบาลตำบลเขตรอุดมศักดิ์ และประชาชนชาวสัตหีบ เป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เสียสละเวลามาร่วมกิจกรรมในวันนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า สวนกรมหลวงชุมพร กองทัพเรือ จะเป็นสถานที่ ที่มีความสวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อย และมีความพร้อม ในการทำกิจกรรมของชาวสัตหีบ ต่อไป

เทศกาลดนตรี 'K-pop' จัดใหญ่ครั้งแรกในประเทศไทย กำลังมา WannaLand Music Festival 2024 กับการรวมศิลปิน K-pop มากกว่า 15 กรุ๊ป บอกเลยว่าคุ้มสุดๆ ในเดือนพฤศจิกายนที่เมืองพัทยา เราจะนําไปสู่เทศกาลดนตรีที่ไม่เคยมีมาก่อน

เทศกาล WANNALAND ครั้งแรกได้มาถึงแล้ว!ในวันที่ 2-3 พฤศจิกายน 2024 โดยจัดแสดงคอนเสิร์ตที่ Legend Siam Pattaya เพื่อนําการแสดงดนตรีป๊อปที่ทันสมัย มาใน Theme สวนสนุกที่เป็นเอกลักษณ์แบบไทยๆ WANNALAND, We All Need New Amazing in Thailand WannaLand Music Festival เป็นเทศกาล K-pop ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด !!!!ในประเทศไทย โดยได้มีการลงนามความร่วมมือ Legend Siam Pattaya , TME Group, ค่ายHead Line Music Entertainment Group ,บริษัท China Travel Service  จำกัด (CTS), Shanghai Airlines จากประเทศจีน 

ในการจัดงาน เทศกาลดนตรี K- Pop ศิลปินเกาหลี ภายใต้ชื่องาน 'Wanna Land Music Festival 2024' ในวันที่ 2 – 3 พฤศจิกายน 2567 นี้  ซึ่งงานนี้ได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพัทยา , เมืองพัทยา จ.ชลบุรี เข้ามาร่วมให้การสนับสนุนพลักดันงาน  โดยกำหนดสถานที่ จัดงานที่ Legend Siam Pattaya  เป้าหมายการจัดงานครั้งนี้ มุ่งหวังให้กลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวจีน เข้ามาท่องเที่ยวและชมคอนเสิร์ตในเมืองพัทยาจำนวนมาก โดยเฉลี่ยถึง2-3 หมื่นคนต่อวัน เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ให้กับเมืองพัทยาและชุมชนอำเภอใกล้เคียงของจังหวัดชลบุรี

โดยได้ปล่อยรายชื่อศิลปินรอบแรกแล้ว!!!!!!! ซึ่งเป็นศิลปินชื่อดังที่แฟนคลับทั้งชาวไทย และชาวจีนได้พบกับพวกเขาแน่นอน อาทิ Rain, Super junior D&E, Nowadays, Everglow, Gen1es มีศิลปินอีกมากมายกว่า 15 กรุ๊ป ทั้งศิลปินเกาหลี และศิลปินไทย ซึ่งจะมีการจำหน่ายบัตรรอบแรก Early Bird ในราคาสุดพิเศษ วันที่ 25 กันยายน 2567

ใครที่กำลังรอพบกับศิลปินที่ชื่นชอบ ได้พบกันแน่นอน วันที่ 2-3 พฤศจิกายน 2567 กับงาน WannaLand Music Festival 2024 ณ Legend Siam Pattaya ติดตามการประกาศรายชื่อศิลปินและข้อมูลการจำหน่ายบัตรได้ที่ https://www.facebook.com/profile.php?id=61565461916882&mibextid=ZbWKwL

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร.094-3544655, 094-8834589, 094-8883998

ชลบุรี-รวมผู้กระทำผิดกว่า 600 ราย จาก ผบก.ชลบุรี ผนึกกำลังเปิดปฏิบัติการ "ล้างบางปรสิต EP.2 ขจัดพิษร้ายซอยจอมเทียน" 

(24 ธ.ค. 67) สืบเนื่อง จากปฏิบัติการ "ล้างบางปรสิต" ที่ได้เปิดปฏิบัติการภายใต้นโยบายของ พลตำรวจโท ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ที่ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ในเรื่องการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย เปรียบเสมือน "ปรสิต" ที่คอยกัดกินความสุข ความเป็นอยู่ที่ดี และยังคอยทำร้ายพี่น้องประชาชน นับว่าเป็นปฏิบัติการที่สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดและมีผลการจับกุมได้จำนวนมาก

ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรีนำโดย พลตำรวจตรีธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ได้ดำเนินการต่อยอดโดยเปิดปฏิบัติการ "ล้างบางปรสิต EP.2 ขจัดพิษร้ายซอยจอมเทียน" มุ่งเน้นกวาดล้างยาเสพติดในพื้นที่เป้าหมายอาคารพาณิชย์ ภายในซอยจอมเทียนซอย 2,3 และ 4 เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าว เป็นพื้นที่เป้าหมายที่มีการแพร่กระจายของยาเสพติดเป็นจำนวนมาก ทั้งผู้จำหน่ายและผู้เสพ จนปรากฎเป็นภาพข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ อีกทั้งระดมกวาดล้างชาวต่างชาติที่แฝงตัวเข้ามาและทำงานผิดกฎหมาย โดยได้เปิดปฏิบัติการในช่วงเช้า เวลา 06.00 น. ของวันที่ 23 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา สามารถจับกุมผู้กระทำความผิด ได้ดังนี้

1. ปฏิบัติการจอมเทียน 3 ซอยโมเดล
- จับกุมยาเสพติดในข้อหาจำหน่าย 5 ราย ,คดีครอบครองยาเสพติด 15 รายและข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษ 82 ราย รวมจับกุมผู้ต้องหาทั้งสิ้น 93 ราย พร้อมตรวจยึดของกลางยาบ้าจำนวน 981 เม็ดและยาไอซ์รวม 53 กรัม
- จับกุมคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด Overstay  5 ราย, เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต 6 ราย, ความผิดตาม ม.38 เป็นเจ้าบ้านฯ รับคนต่างด้าวเข้าพักอาศัยไม่แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 24 ชม. 16 ราย รวมจับกุมผู้ต้องหาใน พรบ.คนเข้าเมือง 27 ราย

2. ปฏิบัติการบุกทลายแก๊งชาวต่างชาติทำผิดกฎหมาย
- ตรวจค้นบ้านพักย่าน ถ.เทพประสิทธิ์ ตามหมายค้นศาลแขวงพัทยา 2 หลัง จับกุมชาวต่างชาติรวมกลุ่มกันในลักษณะแก๊งคอลเซนเตอร์ และหลอกขายสินค้าโดยใช้ประเทศไทย เป็นฐานที่มั่น ได้ 13 ราย (จีน 10 ราย เกาหลี 3 ราย) พร้อมตรวจยึดคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือกว่า 60 รายการ
- จับกุมชาวต่างชาติ (จีน) 2 ราย ในข้อหาลักทรัพย์ เครื่องรับ-ส่งสัญญาณติดเสาสัญญาณโทรศัพท์ บริษัทเครื่อข่ายโทรศัพท์มือถือค่ายใหญ่ ตรวจยึดของกลางเป็นเครื่องขยายสัญญาณโทรศัพท์ 94 เครื่อง รวมมูลค่า 8 ล้านบาท ได้ที่บริเวณพื้นที่ สภ.หนองขาม
- จับกุมชาวต่างชาติ (ฮ่องกง) ผลิตบุหรี่ไฟฟ้าขาย โดยตั้งฐานการผลิตในโรงแรมหรูกลางเมืองพัทยา พร้อมตรวจยึดหัวบุหรี่ไฟฟ้ากว่า 1,300 ชิ้น (จากการล่อซื้อ), ตัวบุหรี่ไฟฟ้า, ก้นบุหรี่ไฟฟ้า, น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า, ผงส่วนผสมน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าอีกจำนวนมาก และอาวุธปืนแบบกึ่งอัตโนมัติไม่มีทะเบียน 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนปืน

3.ปฏิบัติการกวาดล้างความผิดตาม พรบ.คนเข้าเมืองของ สตม. ตั้งแต่เปิดปฏิบัติการ "กวาดล้างปรสิต" จนถึงปัจจุบัน
-จับกุมคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด Overstay 10 ราย, เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต 253 ราย, ความผิดตาม ม.38 เป็นเจ้าบ้านฯ รับคนต่างด้าวเข้าพักอาศัยไม่แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 24 ชม. 116 ราย, ความผิดตาม พรก.การทำงานของคนต่างด้าว 28 ราย และหมายจับ 26 ราย 

โดยปฏิบัติการดังกล่าว เป็นเพียงหนึ่งในนโยบายในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวเนื่องกับยาเสพติดที่เป็นปัญหาเรื้อรังระดับชาติ และคดีอื่นๆ รวมแล้วกว่า 600 ราย

อีกทั้ง หากไม่กำจัดให้สิ้นซาก จะเป็นภัยแก่สังคมและเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ต้องเติบโตและใช้สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยยาเสพติด โดยตำรวจภูธรภาค 2 และตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี จะดูแลพี่น้องประชาชน เพื่อสร้างความปลอดภัย จนเกิดความอุ่นใจ นำไปสู่ความเชื่อมั่นของประชาชนและสายตาชาวโลก ดังวิสัยทัศน์ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่า “เป็นตำรวจมืออาชีพ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส เพื่อให้เกิดความผาสุกแก่ประชาชน”
นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top