Sunday, 8 June 2025
ชลน่านศรีแก้ว

‘ชลน่าน’ เปิดศูนย์ทันตกรรม-ไตเทียม รพ.วัดสมานรัตนาราม ตั้งเป้าขยายศูนย์บริการ ชู รพ.แพทย์แผนไทย รองรับอีอีซี

(17 ก.ย. 66) ที่โรงพยาบาลวัดสมานรัตนาราม (พุทธโสธร 2) จังหวัดฉะเชิงเทรา นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังเปิดศูนย์ทันตกรรม ศูนย์ไตเทียม โรงพยาบาลวัดสมานรัตนาราม (พุทธโสธร 2) พร้อมตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก สาขาเขตสุขภาพที่ 6 ว่า…

จังหวัดฉะเชิงเทรา มีการก่อสร้างโรงพยาบาลวัดสมานรัตนาราม (พุทธโสธร 2) เพื่อดูแลประชาชนในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง ให้ได้รับบริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน เท่าเทียม มีความเสมอภาค รวมถึงรองรับแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก และยังมีโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ที่จะช่วยในมิติการให้บริการประชาชนสมบูรณ์มากขึ้น โดยนำภูมิปัญญาไทยมาสร้างเสริมสุขภาพ

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัด สธ. กล่าวว่า รพ.วัดสมานรัตนาราม เป็น รพ.ขนาด 150 เตียง ได้รับการสนับสนุนจาก ท่านเจ้าคุณพระประชาธรรมนาถ เจ้าอาวาสวัดสมานรัตนาราม รวบรวมงบประมาณจากผู้มีจิตศรัทธากว่า 1 พันล้านบาท ก่อสร้างบนพื้นที่ 4 ไร่เศษ มีพื้นที่ใช้สอย 38,000 ตารางเมตร อยู่ห่างจาก รพ.พุทธโสธร 15 กิโลเมตร เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค 2563

ประกอบด้วย แผนกผู้ป่วยนอกทั่วไป ทันตกรรม การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ห้องปฏิบัติการ เอกซเรย์ เภสัชกรรม เวชระเบียน และงานประชาสัมพันธ์ ปัจจุบันได้เพิ่มบริการศูนย์ไตเทียม จำนวน 5 เตียง ตั้งเป้าขยายบริการเป็น 24 เตียง

โดยมี รพ.พุทธโสธร สนับสนุนบุคลากรแพทย์ พยาบาลและสาธารณสุข มูลนิธิ รพ.วัดสมานรัตนาราม สนับสนุนเครื่องมือ วัสดุและอุปกรณ์การแพทย์ รวมถึงได้รับงบประมาณสนับสนุนบางส่วนจากสำนักงานเขตสุขภาพที่ 6

สำหรับ รพ.การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน สาขาเขตสุขภาพที่ 6 อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา เป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ให้บริการตรวจวินิจฉัย รักษา ฟื้นฟู ส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค ด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือกที่ได้มาตรฐาน

รวมทั้งศึกษา วิเคราะห์ วิจัย สร้างนวัตกรรม และพัฒนางานวิชาการในจังหวัดรับผิดชอบและพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งจากการเปิดให้บริการมาพบว่า ผู้ป่วยและประชาชนสนใจเข้ารับบริการเป็นจำนวนมากและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จึงมีแนวคิดที่จะเปิดบริการเพิ่มให้ครบทุกเขตสุขภาพ

'หมอชลน่าน' เห็นร่วม!! 'ภท.' ปิดช่องกัญชาสันทนาการ เล็งออกประกาศ สธ. คืนบางส่วนกลับไปเป็นยาเสพติด

(21 ก.ย.66) ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงการผลักดันร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ซึ่งล่าสุดพรรคภูมิใจไทยประกาศผลักดันร่างเดิม 94 มาตรา ว่า การเสนอกฎหมายเป็นสิทธิของ สส. ที่สามารถเข้าชื่อ 20 คนก็สามารถเสนอได้ ส่วนเสนอแล้ว สภาจะพิจารณาอย่างไรก็เป็นไปตามเสียงข้างมาก สอดรับกับนโยบายรัฐบาลหรือไม่ เพราะเสียงข้างมากเป็นนโยบายของรัฐบาล ถ้าสอดรับกัน ส่วนใหญ่กฎหมายก็ถูกขับเคลื่อนตามกลไกรัฐสภา ไปยังวุฒิสภา ตามขั้นตอน ดังนั้น พรรคภูมิใจไทยในฐานะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลก็สามารถให้สมาชิกเสนอกฎหมายได้ เราในฐานะพรรคแกนนำก็จะเข้าไปดู เพราะมันมีความจำเป็นที่ต้องมีกฎหมายออกมารับ กำกับ ควบคุมการใช้กัญชาในขณะนี้ ส่วนใช้อย่างไรก็จะยึดตามนโยบายของรัฐบาลเป็นหลักว่า เพื่อการแพทย์และสุขภาพ ส่วนอย่างอื่นที่นอกเหนือจากนี้ คือ นอกเหนือจากนโยบาย การเอาไปใช้สันทนาการ หรือใช้ผิดประเภทถือว่านอกเหนือจากนโยบายรัฐบาล ต้องมีกฎหมายมารองรับว่า มันไม่ชอบอย่างไร

ถามว่า พรรคเพื่อไทยจะร่างกฎหมายของพรรคเข้าไปเสนอหรือไม่ หรือร่างในนามของรัฐบาล นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เราจะดูในรายละเอียดอีกครั้ง หากเป็นไปได้ก็จะเสนอเป็นร่างของ ครม.ซึ่งจะถือเป็นความร่วมมือในเชิงนโยบายที่เราพูดคุยกันจบแล้ว

ถามต่อว่า มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะไม่ยืนยันร่างเดิมที่เคยมีการเสนอเข้าสภา แต่ตกไปแล้ว หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า คงไม่เป็นการยืนยัน แต่จะหยิบเอาร่างนั้นมาดูว่าอะไรเป็นส่วนที่ดี อะไรที่จะเติมเต็ม แทนที่จะเขียนร่างใหม่ ก็เอาร่างนั้นมาปรับแก้ ส่วนที่ภูมิใจไทยเสนอ 94 มาตราเลยนั้นเป็นสิทธิของเขาที่ทำได้ ส่วนเสนอเข้าสภาแล้วจะเอาทั้ง 94 หรือมาตราหรือไม่ หรือเอามาบางส่วนก็แล้วแต่สภา อย่างไรก็ตาม ในรัฐบาลมีการพูดคุยกันอยู่แล้ว ซึ่งภูมิใจไทยเองก็ยืนยันว่า ไม่เคยให้กัญชาเป็นสันทนาการ

ถามว่าสมัยอยู่ในสภาชุดที่แล้ว และเห็นร่างกัญชามาก่อน ยังมีช่องโหว่ในเรื่องสันทนาการอยู่ จะมีการเพิ่มตรงนี้เข้าไปในร่างใหม่หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ต้องมีวิธีการใช้ว่าจะใช้ทางการแพทย์และสุขภาพ ใช้อย่างไรมีกระบวนการควบคุมกำกับอย่างไร หากใช้ประเภทอื่นถือว่าผิดวัตถุประสงค์ของกฎหมาย จะดูว่ามีข้อห้ามอย่างไร รวมทั้งการกำหนดว่า กัญชาจะเป็นยาเสพติดได้เมื่อไร ความหมายคือ ประมวลกฎหมายยา

เสพติด เอาชื่อกัญชาออกจากยาเสพติดประเภท 5 แต่ไม่ได้บอกว่ากัญชาไม่ใช่ยาเสพติด เพียงแต่บอกว่า ถ้าจะกำหนดให้กัญชาเป็นยาเสพติดให้ไปกำหนดในประกาศกระทรวงสาธารณสุข โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ดังนั้นกัญชายังเป็นยาเสพติดอยู่ในความหมาย ยังมีสารเสพติดอยู่ ขณะนี้ประกาศนี้เขียนเฉพาะสารสกัด THC มากกว่า 0.2% ถือเป็นยาเสพติด นอกนั้นไม่เป็น พอไม่เป็น ทุกคนก็เอาไปใช้ลักษณะผิดประเภท เช่น เอาช่อดอกไปเสพ เอาใบไปพี้ พันลำ เป็นการใช้ที่มีผลต่อจิตประสาท ถือว่าเป็นการใช้ไม่ถูกต้อง ก็ต้องดูว่าปรับอย่างไร

เมื่อถามย้ำว่า ในร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข จะมีการเพิ่มเติมข้อกำหนดให้บางส่วนของกัญชาให้เป็นยาเสพติดหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ก็จะพิจารณากันอยู่ว่าอันไหนเหมาะสม หรือไม่เหมาะสม แต่ไม่น่าจะกลับไปเป็นยาเสพติดทั้งหมด เพราะกัญชาเพื่อสุขภาพนั้น หากไปยึดแบบเดิมจะแข็งเกินไป แค่มีกัญชา 1 ต้นอยู่ในบ้านก็ถูกจับแล้ว กลายเป็นเรื่องมือของผู้มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ประชาชนเดือดร้อน ดังนั้นเราต้องออกกฎหมายมาในลักษณะที่ทุกฝ่ายไม่เสียประโยชน์ และเป็นโทษต่อเพื่อนมนุษย์ ทุกฝ่ายต้องได้ประโยชน์จากการใช้กัญชาเพื่อสุขภาพและการแพทย์เพื่อสุขภาพ เช่น อาหารที่ผสม CBD ซึ่งได้ประโยชน์ แต่ถ้าออกกฎหมายที่เข้มเกินไปโดยไม่ดูบริบทของการใช้ก็จะส่งผลกระทบ ขณะนี้มีการริเริ่มปลูกกัญชาไปใช้ในเชิงพาณิชย์จำนวนมาก ซึ่งพาณิชย์ที่ไม่เกี่ยวกับสุขภาพก็ถือว่านอกเหนือจากเรา

เมื่อถามว่าการผลักดันกฎหมายยุคนี้จะมาปิดจุดอ่อนหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ใช่ เพราะการที่สมาชิกสภาฯ อภิปรายและไม่ให้กฎหมายนี้ผ่าน เนื่องจากยังมีช่องว่าง ถ้าปล่อยออกไปจะเหมือนไปส่งเสริม เช่นปลูกมากขึ้น ปลูก 15 ต้น การเข้าถึงมากขึ้น ถ้าไม่มีกฎหมายควบคุมที่ดีก็จะเกิดโทษ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เป็นหน้าที่ของเราจะมีการฟอร์มทีม และแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเข้ามาดูแล ซึ่งเป็นไปตามโครงสร้าง แต่ตอนนี้ยังไม่ได้มีการวางตัวใครมาดูแลเป็นพิเศษ

เมื่อถามต่อว่าในแนวคิดที่จะดำเนินการนี้จะไม่ขัดกับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างภูมิใจไทยหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ไม่ขัดเพราะภูมิใจไทยก็พูดชัดอยู่แล้วว่านโยบายเขาไม่สนับสนุนการใช้สันทนาการ กัญชาเสรีไม่มี เป็นเพียงวาทกรรมที่เขาถูกโจมตี

'หมอชลน่าน' แง้ม!! ทิศทาง 'กัญชา' อาจคืนบางส่วนเป็นยาเสพติด กั๊กตอบกัญชาสันทนาการ ต้องดู 'มิติสังคม-สุขภาพ' ควบคู่กัน

(26 ก.ย.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงแนวทางการควบคุมการใช้กัญชา หลังมีบุคลากรทางการแพทย์กลุ่มหนึ่ง อยากให้ รมว.สาธารณสุข ประกาศเป็นนโยบายเร่งด่วน (Quick Win) ในการประกาศควบคุมการใช้กัญชา ขณะที่มีภาคประชาชนบางกลุ่มไม่เห็นด้วยในการห้ามปลูกบ้านละ 15 ต้น รวมถึงการให้กลับไปเป็นยาเสพติด ว่า เรื่องนโยบายเร่งด่วนกระทรวงสาธารณสุขนั้น ประกาศออกมาเป็นภาพรวมเรื่องเศรษฐกิจสุขภาพ หมายความว่า จะนำสุขภาพไปสร้างเศรษฐกิจในมิติสุขภาพที่มีหลายองค์ประกอบ อาทิ ศูนย์กลางการแพทย์ (เมดิคัลฮับ) ซึ่งสามารถดำเนินการได้ตั้งแต่เรื่องวิชาการ ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ซึ่งกัญชาอาจจะอยู่ในมุมนี้ การให้บริการรักษาพยาบาล การดูแลสุขภาพ มิติเหล่านี้อยู่ในการประกาศนโยบายเร่งด่วน ไม่ได้เน้นไปที่กัญชา

ผู้สื่อข่าวถามว่า แล้วความชัดเจนเรื่องกัญชาเป็นอย่างไร เนื่องจากรอกฎหมายมาควบคุมอยู่นานมากแล้ว นพ.ชลน่าน กล่าวว่า หลังจากกระทรวงสาธารณสุขรับนโยบายจากนายกรัฐมนตรีแล้ว เราได้เร่งรัด โดยตั้งคณะทำงานมาพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงสาธารณสุข โดยนโยบายได้เน้นย้ำว่ากัญชาทางการแพทย์ เพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นมุมโดยตรงของกระทรวง จึงต้องไปดูกฎหมายที่จำเป็น ออกมาใช้บังคับ จะพยายามจัดทำกฎหมายและเสนอโดยเร็วที่สุด ในส่วนของพรรคภูมิใจไทยซึ่งเป็นรัฐบาลร่วมกัน ก็ต้องปรึกษาหารือร่วมกัน

เมื่อถามถึงกรณีการอนุญาตปลูก 15 ต้น จะมีความชัดเจนอย่างไร นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เมื่อมีในกฎหมายเดิม ก็ต้องไปพิจารณาว่า การปลูกเพื่อนำไปสู่การผลิต เพื่อการแพทย์และสุขภาพนั้น ปลูกอย่างไรที่จะได้คุณภาพมาตรฐาน หากปลูกแล้ว ไม่สามารถนำไปใช้ในเรื่องการเข้าสู่อุตสาหกรรมทางการแพทย์เพื่อสุขภาพก็จะทำให้พี่น้องขาดโอกาส ดังนั้น แล้วแต่กฎหมายที่จะเขียนมา เพราะในมุมการผลิตนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับกระทรวงสาธารณสุข

ผู้สื่อข่าวถามว่า จากนี้เรื่องสันทนาการจะไม่สามารถทำได้แล้วหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ตามนโยบายเราต้องเน้น เพื่อการแพทย์ เพื่อสุขภาพ เพราะถ้านอกจากนี้ก็ไม่ใช่มุมของเพื่อการแพทย์และสุขภาพ ดังนั้นต้องมีกฎหมายออกมาว่า จะควบคุมดูแลกันอย่างไร การใช้จะใช้อย่างไร เพื่อไม่ให้กระทบต่อสุขภาพ ซึ่งถ้าจะมีกฎหมายมารองรับ เช่น พ.ร.บ.กัญชง กัญชา ที่เคยพิจารณากันมาแล้ว ก็ต้องไปดูในรายละเอียดว่า จะมีบทบัญญัติใดมาควบคุมดูแล ที่นอกเหนือไปจากการแพทย์ และสุขภาพอย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากนี้ผู้ประกอบการที่เปิดเพื่อเสพแบบสันทนาการยังเปิดต่อไปได้หรือไม่ นพ.น่าน กล่าวว่า เราต้องคิดใน 2 มิติ กระทรวงสาธารณสุข เป็นกระทรวงที่ต้องสร้างสุขภาพ ถ้ากิจการ หรือกิจกรรมที่เขาทำนั้นไม่กระทบต่อสุขภาพ ไม่มีผลต่อสุขภาวะโดยรวม เรื่องมิติเชิงสังคม ก็อาจจะมีกฎหมายเข้าไปกำกับดูแล ควบคุม ส่วนจะปูพรมตรวจร้านที่เปิดสันทนาการหรือไม่ นั้นอยู่ที่ตัวกฎหมายให้อำนาจไว้ อย่าไปคิดว่าจะปูพรมหรือไม่ปูพรม ตอนนี้เราต้องพยายามทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทุกฝ่ายได้ประโยชน์บนพื้นฐานที่ไม่ทำลายสุขภาพ ไม่ทำลายพัฒนาการและการเจริญเติบโตของเด็ก เยาวชนในสังคมไทย

"ขอย้ำว่า การนำสารเสพติดเข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่ไม่เหมาะสม หรือเกินกว่ากำหนด ในระยะเวลาที่มากกว่ากำหนดไว้ ก็จะเป็นผลร้ายต่อสุขภาพ เช่น บุหรี่"

เมื่อถามถึงความคืบหน้าการประกาศกระทรวงสาธารณสุข ที่จะคืนบางส่วนของกัญชาให้กลับเป็นยาเสพติด นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เรื่องนี้สามารถพิจารณาควบคู่ไปได้ เพราะ พ.ร.บ.ต้องยกร่างเข้าสภา ส่วนประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่ใช้ขณะนี้คือประมวลกฎหมายยาเสพติด ให้อำนาจไว้ และอยู่ในความรับผิดชอบของ ป.ป.ส.และกรรมการควบคุมป้องกันยาเสพติด และกระทรวงสาธารณสุข หากเห็นพ้องต้องกันที่จะประกาศ ว่าอะไรที่จะเป็นยาเสพติด สำหรับตัวที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ซึ่งไม่ใช่แค่กัญชาตัวเดียว แต่ถ้ายกตัวอย่างกัญชา คือพืชที่มีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทอยู่ในตัว หากจะประกาศให้เป็นยาเสพติด ก็ต้องไปทำข้อตกลงแล้วจึงประกาศบังคับใช้ ซึ่งจะทำได้เร็วกว่าการตรา พ.ร.บ.และขณะนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันว่า จะคืนส่วนใดบ้าง กำลังปรึกษาหารือกับกระทรวงยุติธรรม โดยจะนัดหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่า เราจะมองเห็นร่วมกันอย่างไร ไม่ให้กระทบ หรือทำลาย กดทับในส่วนที่ทำให้คนสูญเสียโอกาส ส่วนตนยึดหลักเรื่องการแพทย์ และสุขภาพเป็นหลัก

เมื่อถามย้ำว่า การปรับปรุงประกาศกระทรวง และผลักดันร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง จะประกาศเป็นนโยบายควิกวินหรือไม่ นพ.ชลน่าน ไม่ เพราะไม่ได้อยู่ใน 13 นโยบายควิกวินที่ประกาศแล้วในตอนแรก เนื่องจากกฎหมายต้องใช้เวลา เพราะควิกวิน เป็นแผนเร่งรัดปฏิบัติการ ต้องเร่งทำให้เกิดผลสำเร็จภายในเวลาที่ต้องการ ผลลัพธ์ที่ได้ต้องพิสูจน์ได้ จับต้องได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องกัญชามีสิ่งที่จะต้องร่วมกันพิจารณาอย่างมาก ทั้งตัวประกาศและข้อกฎหมายต่างๆ และผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ดังนั้น หากประกาศบนพื้นฐานของความไม่รอบคอบก็จะส่งผลเสียมากกว่าผลดี

‘ชลน่าน’ เล็งดึงแนวคิด ‘ภาษีบาป’ ตั้ง ‘กองทุนเยียวยาเหยื่อ’ หวังช่วยเหลือปชช.ที่ได้รับผลกระทบจากคนเมาแล้วขับ

(14 พ.ย.66) ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการ สธ. กล่าวถึงนโยบายรัฐบาลที่จะขยายเวลาเปิดสถานบริการจากปิดตี 2 เป็นตี 4 ว่า นโยบายขยายเวลาเปิดสถานบริการให้เมืองท่องเที่ยว ในพื้นที่จำเพาะ หรือโซนนิ่ง เรื่องนี้ในมุมของ สธ.ให้ความสำคัญมาก เพราะนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจต้องไม่กระทบกับสุขภาพด้วย อย่างน้อยต้องคงเดิม หรือไม่มากกว่าเดิม หรือเรามีมาตรการที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งอาจจะดีกว่าเดิม ดังนั้น จึงให้ความสำคัญในการกำหนดมาตรการรองรับ เราคงไม่คัดค้านหรือต่อต้านนโยบายของรัฐบาล แต่หน้าที่เราจะทำอย่างไรเมื่อขยายเวลาจากตี 2 เป็นตี 4 ช่วงเวลาที่เขาขยายจะไม่ส่งผลกระทบต่อมิติสุขภาพ ซึ่งมีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีกฎกระทรวงออกมารองรับ ซึ่งคณะกรรมการกำลังพิจารณารายละเอียดที่จะเสนอมาตรการต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือประกาศเป็นกฎกระทรวงเพื่อบังคับใช้ เพราะกฎหมายว่าด้วยการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นมีหลายมาตราที่ให้อำนาจ เช่น การกำหนดพื้นที่จำหน่าย ระยะเวลาจำหน่าย สภาพบุคคลที่จำหน่าย

“ยกตัวอย่างมาตรการที่คุยในคณะกรรมการที่จะเสนอ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปคือ ทำอย่างไรมาตรการควบคุมอย่างเข้ม ให้มีเครื่องวัดระดับแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดได้ ซึ่งขณะนี้มีการพูดคุยเรื่องนี้เยอะ คนที่จะออกจากร้านไปขับรถ เป็นไปได้หรือไม่ที่ทุกคนจะต้องตรวจระดับแอลกอฮอล์ หากมีปริมาณเกินก็ต้องมีมาตรการ เช่น ทางร้านหรือคนที่ควบคุมต้องไม่ให้ขับรถ ต้องมีรถสาธารณะมารองรับ หรือแม้กระทั่งระหว่างที่ดื่มกินก็มีกฎหมายที่ให้อำนาจไว้ว่าห้ามจำหน่ายให้คนที่มีอาการมึนเมา เราก็แปลงมาว่าจะบังคับอย่างไร จะตรวจวัดอย่างไร ให้รู้ว่าคนคนนี้เข้าข่ายจะซื้อ จะขายตามกฎหมายไม่ได้ ซึ่งเขาเขียนไว้ 2 ลักษณะ คือ ร้านจำหน่ายให้จำหน่ายถึงเวลาที่ปิดสถานบริการ เพราะฉะนั้น เมื่อปิดตี 4 ก็ขายถึงตี 4 เมื่อขยายตรงนี้ มาตรการควบคุมก็ต้องเข้ม” นพ.ชลน่าน กล่าว

รัฐมนตรีว่าการ สธ.กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม มีการคุยกันถึงเครื่องวัดแอลกอฮอล์ในลมหายใจ ขณะนี้ถูกนิยามเป็นเครื่องมือแพทย์ ต้องมีมาตรฐานและมีราคาสูง ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อยู่ระหว่างพิจารณาแบ่งแยกประเภท เครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในส่วนที่ใช้ทางการแพทย์ก็ให้จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ ส่วนที่ใช้ในการตรวจวัดเป็นการทั่วไป เป็นลักษณะการค้นหา ก็ให้เป็นเครื่องมือทั่วไปหรือไม่ เพื่อให้ทุกคนสามารถพกติดตัว สามารถตรวจสอบตัวเองได้ หากทุกคนมีวินัยก็จะไม่มีผลต่อการขยายเวลาเปิดผับ บาร์

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี นายธนกฤต พานิชวิทย์ หรือว่าน นักร้องชื่อดังไลฟ์สดดื่ม กิน ก่อนจะขับรถไปเกิดอุบัติเหตุชนพนักงานเก็บขยะ จะเป็นเหตุให้ต้องเสนอให้ผ่านให้ได้เรื่องการบังคับตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ก่อนออกจากร้าน และห้ามขับรถโดยเด็ดขาดหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า เป็นเหตุผลชัดเจนเลย นับว่าเป็นข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่เราต้องตระหนัก และเรื่องนี้เป็นข้อเท็จจริงที่พึงมีกฎมาควบคุมชัดเจน

“นักร้องคนนี้ผิดกฎหมายหลายมาตรา ซึ่งในส่วนที่เขาไปกำกับดูแลก็ว่ากันไป เช่น การดื่มเมาแล้วขับก็ผิดอยู่แล้ว เป็นพฤติกรรมที่ไม่ชอบ ทำในสิ่งที่กฎหมายต้องห้ามไว้ สธ.ในฐานะเป็นผู้ดูแลบังคับใช้กฎหมาย ก็จะดูมาตรการป้องกันทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ” นพ.ชลน่านกล่าว

เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้ สธ.จะรณรงค์โดยใช้คำว่า ‘ดื่มไม่ขับ’ ไม่ได้ใช้คำว่า ‘เมาไม่ขับ’ ดังนั้นต่อไปต้องปรับมาตรการรณรงค์ด้วยหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า เข้มเลย หมายความว่า คำว่าดื่มไม่ขับ อาจจะน้อยไปแล้ว จากนี้ต้องตรวจวัดทุกครั้งถ้าดื่มในสถานบันเทิง ดังนั้น ต้องทำให้เครื่องวัดหาง่าย สามารถพกพาได้ด้วยตนเอง รู้ตนเอง รู้เพื่อน รู้กลุ่ม ถ้าคุณอยากสนุกต้องสนุกบนพื้นฐานความปลอดภัยต่อตนเอง และของคนอื่นด้วย

เมื่อถามต่อไปว่า มีข้อเสนอจากภาคประชาชนว่า เพื่อเพิ่มความรับผิดชอบให้คนที่อยู่ในธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงควรมีการตั้งกองทุนเยียวยาเหยื่อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นพ.ชลน่านกล่าวว่า เป็นแนวทาง เป็นวิธีคิดที่คล้ายกับการเก็บภาษีบาป ทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสารมึนเมา เพื่อนำเงินนี้มาใช้เพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ผ่านทางสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ดังนั้นก็อาจจะมีแนวคิดอย่างนั้นได้ ต้องดูในรายละเอียดว่า สามารถจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วนำมาจัดตั้งกองทุนเยียวยาเหยื่อได้หรือไม่

เมื่อถามย้ำว่า จะเสนอเรื่องการตั้งกองทุนนี้เข้าไปพร้อมกันเลยหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า เป็นแนวคิดที่ดี ก็กำลังพิจารณา

ด้าน นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจาก นพ.ชลน่าน ให้ดำเนินการเรื่องเครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ เบื้องต้นได้ประสานไปยังสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เรียบร้อยแล้ว หาก สมอ.มีการออกประกาศกำหนดมาตรฐานให้ไม่เป็นเครื่องมือแพทย์ อย.ก็พร้อมที่จะออกประกาศให้เครื่องตรวจวัดระดับปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เป็นเครื่องมือแพทย์ต่อไป

‘สธ.’ เตือน!! ‘คนเลี้ยงนก’ เฝ้าระวัง ‘ไข้นกแก้ว’ หลังยุโรประบาดหนัก ชี้ ติดต่อจากสัตว์สู่คนได้ อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ทำให้ปอดอักเสบรุนแรง

(8 มี.ค. 67) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพบการระบาดของโรคซิตตาโคซิส หรือ โรคไข้นกแก้ว ในหลายประเทศแถบยุโรป มีผู้เสียชีวิต 5 ราย โดยพบเชื้อในนก สัตว์ปีกในป่า และสัตว์เลี้ยงหลายชนิด ว่า โรคไข้นกแก้ว (Psittacosis) เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่พบได้ยาก แต่ไม่ใช่โรคติดต่ออุบัติใหม่ และมียาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาได้ เชื้อโรคนี้มักจะก่อโรคในนกที่เป็นสัตว์เลี้ยง เช่น นกแก้ว เป็นต้น

ในอดีตเคยมีการระบาดในนกแก้วในหลายประเทศ เช่น เม็กซิโก สหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ คอสตาริกา ออสเตรเลีย ส่วนในประเทศไทยเคยมีการรายงานจากการวิจัยสำรวจในสัตว์ปีก ว่าพบเชื้อแบคทีเรียนี้เช่นกัน

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า โรคนี้ไม่แพร่กระจายโดยการกินสัตว์ที่ติดเชื้อ การติดเชื้อในคนส่วนใหญ่เกิดจากการสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากนกที่ติดเชื้อ จัดอยู่ในกลุ่มโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน โดยผ่านทางการหายใจเอาเชื้อที่ขับออกมาจากปัสสาวะ อุจจาระ หรือสิ่งคัดหลั่งที่มีการปนเปื้อนของนกที่ติดเชื้อ

ผู้ที่ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ และทำให้เกิดอาการปอดอักเสบรุนแรงได้ บางรายอาจมีอาการเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ปัจจุบันยังไม่มีรายงานว่าพบผู้ป่วยโรคนี้ในระบบเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค

อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุข โดย กรมควบคุมโรค ประสานไปยังจุดประสานงานกฎอนามัยระหว่างประเทศ (IHR) เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมในกรณีที่พบการระบาดหรือการติดเชื้อของโรคดังกล่าว และประสานไปยังกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมปศุสัตว์ และเครือข่ายมหาวิทยาลัย ซึ่งมีความร่วมมือกันเรื่องสุขภาพหนึ่งเดียว (One health) เพื่อประสานข้อมูล และร่วมมือกันเฝ้าระวังโรคทั้งในคนและในสัตว์

โดยโรคนี้อยู่ในระบบเฝ้าระวังแบบ Event base surveillance หรือการเฝ้าระวังเหตุการณ์ ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ติดตามอย่างใกล้ชิดทุกวัน

“กลุ่มเสี่ยงที่ต้องให้ความสำคัญในการเฝ้าระวังการติดเชื้อ ได้แก่ ผู้เลี้ยงนก สัตวแพทย์ หรือบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับนก แม้โรคนี้จะยังไม่มีวัคซีนป้องกัน แต่สามารถป้องกันเบื้องต้นได้ โดยเลือกซื้อนกเลี้ยงจากร้านขายสัตว์เลี้ยงที่น่าเชื่อถือและมีสุขอนามัยที่ดี

ผู้เลี้ยงต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันการติดเชื้อในนก เช่น การรักษาความสะอาด ไม่ให้นกอยู่กันอย่างแออัด แยกสัตว์ป่วยออกจากสัตว์ปกติ เป็นต้น ส่วนประชาชนทั่วไปควรหลีกเลี่ยงใกล้ชิดกับสัตว์ป่วย

หากจำเป็นต้องสัมผัสต้องป้องกันตนเอง สวมถุงมือ และหมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ บุคลากรที่มีความเสี่ยงในการสัมผัสใกล้ชิดกับนก ต้องหมั่นคอยสังเกตอาการตนเองและอาการของสัตว์อยู่เสมอ หากมีอาการผิดปกติ ให้รีบปรึกษาแพทย์และแจ้งประวัติเสี่ยง” นพ.ชลน่าน กล่าว

‘ชลน่าน’ ยัน!! ไม่นอยด์ หลังมีชื่อติดโผหลุด ครม. ลั่น!! มีหน้าที่ก็ทำให้เต็มที่ อย่าไปคิดมาก

(18 เม.ย.67) ที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังมีชื่อถูกปรับออกจากตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข ว่า ไม่มีอะไร ๆ ไม่ทราบเลยว่ามีสัญญาณอะไรอย่างไร เมื่อถามว่าได้มีการติดตามข่าวหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ก็ติดตามอยู่ตลอด

เมื่อถามว่า ข่าวที่ออกมากระทบต่อการทำงานหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า “สำหรับตัวผมไม่กระทบ แต่ในส่วนข้าราชการประจำจะกระทบหรือไม่ ผมไม่รู้ แต่ผมก็พยายามสั่งการมาโดยตลอดว่าห้ามเกียร์ว่าง ทุกคนต้องทำงานเต็มที่”

เมื่อถามว่า ดูเหมือนตัวนพ.ชลน่าน ไม่สบายใจและนอยด์ ๆ หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวปฏิเสธว่า “ไม่มี ก็ทำงานไป ไม่มีนอยด์ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น เรามีหน้าที่ก็ทำให้เต็มที่อย่าไปคิดมากครับ”

ต่อมาเวลา 09.05 น. นพ.ชลน่าน ได้เดินออกจากตึกบัญชาการ 1 ขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า ซึ่งคาดว่าจะไปพบ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะออกไปไหน นพ.ชลน่าน กล่าวว่า มีธุระข้างนอกนิดหน่อย เมื่อถามย้ำว่า จะกลับเข้ามาประชุม ครม. หรือไม่ นพ.ชลน่าน หันมากล่าวด้วยสีหน้ายิ้มว่า จะไม่ให้มาประชุมแล้วเหรอ เดี๋ยวกลับมา จากนั้นเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า

ขณะที่ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พาณิชย์ รมว.วัฒนธรรม ปฏิเสธตอบคำถามกรณีที่มีกระแสข่าวว่าอาจจะมีการสลับเก้าอี้ใน ครม. เพียงแต่ยกมือรับไหว้สื่อมวลชน พร้อมหัวเราะ

‘ชมรมแพทย์ชนบท’ ขอบคุณ ‘ชลน่าน’ ในการมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ พร้อมให้กำลังใจ ‘สมศักดิ์’ สานต่อภารกิจ เพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย

(29 เม.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ชมรมแพทย์ชนบท’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

ชมรมแพทย์ชนบท ขอขอบคุณ รมต.ชลน่าน ศรีแก้ว ในความมุ่งมั่นในการทำหน้าที่ที่ผ่านมา  ผลงานเด่นคือการวางรากฐาน reset งานใหม่ทั้งหมด หลังยุคอนุทินที่แทบไม่ได้ขยับอะไรนอกจากนโยบายกัญชา แต่อุปสรรคที่มีมาก โดยเฉพาะจากข้าราชการที่คุมไม่อยู่ ระดับบิ๊กยังอืดไม่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง

ไม่ตอบสนองก็แย่แล้ว แต่ยังวางยารัฐมนตรีด้วย จนถูกข้าราชการวางกับดักให้เกิดเป็นคู่ขัดแย้งอย่างไม่รู้ตัวกับ สปสช. ชัดจนคนในวงการต่างก็อ่านเกมส์ออกว่า ข้าราชการก๊กนั้น เสี้ยมและใช้รัฐมนตรีเป็นเครื่องมือคุกคาม สปสช. หวังวางระบบประกันสุขภาพที่ สธ.เป็นใหญ่ แต่เมื่อหลักการผิด แนวทางปฏิบัติไม่เวิร์ก จึงกลายเป็นปัญหาใหญ่ในนโยบายสามสิบบาทรักษาทุกที่ที่รอการแก้ไข

ไม้ผลัดทางนโยบายสามสิบบาทรักษาทุกที่ จากรากฐานที่รัฐมนตรีชลน่านวางไว้ กำลังจะถูกส่งต่อให้รัฐมนตรีสมศักดิ์ เทพสุทิน ภารกิจทางนโยบายที่สำคัญต่อประชาชนคนไทย และสำคัญต่ออนาคตของพรรคเพื่อไทยด้วย

แน่นอนว่าไม่ง่าย โดยเฉพาะจากข้าราชการที่ขยันเดินตามแต่ไม่ขยันทำงานยังเป็นอุปสรรค ขยันก็แต่ไหว้พระสายมูงมงายกับการขอพรและสร้างพระทำบุญหวังให้อยู่ตลอดรอดฝั่ง

นอกจากนี้ ข้าราชการก๊กนี้ยังเกียร์ว่าง ละเลยงานสุขภาพปฐมภูมิ ย้ายคนจนวุ่นวาย รากฐานงานปฐมภูมิที่วางมาดีสั่นคลอน การแก้ปัญหายาเสพติดจึงสะดุด การสาธารณสุขรากฐานไม่ก้าวหน้า  การกระจายอำนาจด้านสุขภาพก็สับสน

ชมรมแพทย์ชนบทขอเป็นกำลังใจให้กับรัฐมนตรีชลน่าน ศรีแก้ว และรัฐมนตรีสมศักดิ์ เทพสุทิน ร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรค สานต่อภารกิจ สถาปนาหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ดีที่สุดเพื่อคนทุกคนบนแผ่นดินไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top