Monday, 21 April 2025
จิรายุห่วงทรัพย์

'ภูเก็ต' ยืนหนึ่งเมืองทำเงินสูงสุดกวาดรายได้ 4.9 แสนล้าน รัฐเร่งเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ หวังดัน GDP ไทยโตต่อเนื่อง

เมื่อวานนี้ (9 มี.ค. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาการบริหารจัดการพื้นที่ฝั่งอ่าวไทยในจังหวัดสงขลา พัทลุง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ตามที่นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดสงขลาเมื่อเดือนที่ผ่านมาในเรื่องการพัฒนาท่าเรือเพื่อเพิ่มจุดท่องเที่ยวสำคัญในจังหวัดสงขลาและจังหวัดในฝั่งอ่าวไทย

ทั้งนี้ คณะฯได้ติดตามการพัฒนา การให้บริการแก่นักท่องเที่ยว ที่ใช้บริการท่าเรืออำเภอดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นท่าเรือเฟอร์รี่ที่ขนคนและยานพาหนะซึ่งผู้แทนกรมเจ้าท่ายืนยันว่ายังมีความพร้อมและเพียงพอในการบริหารจัดการนักท่องเที่ยวไปยังเกาะสมุยซึ่งถือว่าเป็นจุดสำคัญอีกจุดหนึ่งที่รับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากฝั่งอันดามัน เช่น จังหวัดกระบี่ พังงา ภูเก็ต ที่สามารถเดินทางข้ามฝั่งมาเที่ยวที่ฝั่งอ่าวไทยบริเวณท่าเรือดังกล่าวนี้ เป็นจำนวนมาก

ส่วนที่อำเภอเกาะสมุย โครงการจัดทำท่าเทียบเรือสำราญขนาดใหญ่ซึ่งคาดว่าเริ่มก่อสร้างในเร็ววันนี้จะแล้วเสร็จในปี 2575 ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายในการศึกษาจัดทำจุดจอดเรือเพื่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยวฝั่งตะวันออกของอ่าวไทยโดยเฉพาะจุดท่าเทียบเรือสำราญขนาดใหญ่ ที่อำเภอเมือง จังหวัดสงขลาต่อเนื่องมายังเกาะสมุย สุราษฎร์ฯ เพื่อเพิ่มจุดและเดินทางท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวในฝั่งอ่าวไทย เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดชายทะเลฝั่งอ่าวไทยของภาคใต้ 

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังได้ติดตามผลการดำเนินงานการจัดการน้ำเสีย บนเกาะสมุย และความคืบหน้าโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) ที่ห้องประชุมมุกสมุย เทศบาลนครเกาะสมุย อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี โดยมีนายชัชชัย มณี ปลัดอำเภอเกาะสมุย รักษาราชการแทนนายอำเภอเกาะสมุย นายสิทธิศักดิ์ ยิ่งเชิดสุข นายช่างโยธาชำนาญงาน ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการคุณภาพน้ำเสียของเทศบาลนครเกาะสมุย และรายงานเกี่ยวกับความคืบหน้าโครงการก่อสร้างท่าเรือสำราญขนาดใหญ่ ที่เกาะสมุย ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการโดยกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม โดยนายอดูลย์ ระลึกมูล ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเกาะสมุย ได้รายงานความพร้อมในการดำเนินการว่าเป็นไปตามกำหนดการที่รัฐบาลได้มอบหมาย

“รัฐบาลให้ความสำคัญ กับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ในภาคใต้ เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ และสนับสนุนการท่องเที่ยวและการเพิ่มประสิทธิภาพของตำรวจท่องเที่ยว และการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ในเรื่องของการจัดทำแหล่งท่องเที่ยวระดับชาติในภูมิภาคอาเซียนซึ่งนักท่องเที่ยวจะสามารถใช้เรือสำราญขนาดใหญ่เดินทางจากสิงคโปร์เข้าสู่สงขลาผ่านมายังสุราษฎร์ธานีเกาะสมุย ไปยังพัทยาและประเทศต่างๆทางฝั่งตะวันออกได้”

สำหรับโครงการท่าเทียบเรือสำราญขนาดใหญ่นี้ การดำเนินงาน เป็นไปตามเป้าหมายคาดว่าในปี 2572 จะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้ และจะแล้วเสร็จในปี 2575 ซึ่งจะเป็นการสร้างช่องทางการท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวที่นิยมเดินทางด้วยเรือสำราญระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น

ส่วนการบริหารจัดการน้ำเสียในพื้นที่อำเภอเกาะสมุยแม้ว่าองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นจะเป็นผู้ดำเนินการเองแต่ก็ยังมีงบประมาณไม่เพียงพอ ในที่ประชุมได้ประสานกับองค์การจัดการน้ำเสียกระทรวงมหาดไทยให้ร่วมกันดำเนินการเพื่อจัดทำบ่อบำบัดน้ำเสียขนาดใหญ่ต่อไป

ขณะที่ปัญหาการขาดแคลนน้ำประปาในพื้นที่เกาะสมุยซึ่งพบว่ามีปริมาณความต้องการมากกว่าน้ำที่ส่งทางท่อจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีมาที่เกาะสมุย  ที่ประชุมได้ขอให้การประปาส่วนภูมิภาคพิจารณาเพิ่มเติมท่อส่งน้ำเพื่อให้เกาะสมุยมีน้ำประปาใช้ได้เพียงพอโดยเฉพาะช่วงไฮซีซั่น

ขณะที่ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว 3 กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว พลตำรวจตรี ภพพล จักกะพาก ที่ดูแลพื้นที่ 22 จังหวัดภาคใต้ กล่าวว่าปัญหาของเกาะสมุยและเกาะพะงันส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่มีมากกว่าที่พักบนเกาะพะงันทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปงานสำคัญคือฟูมูนปาร์ตี้แบบไปกลับทำให้เกิดอุบัติเหตุหลายครั้ง ทั้งนี้ได้ร่วมมือกับกรมเจ้าท่าในการกวดขันตรวจเรือโดยเฉพาะสัญญาณไฟและอุปกรณ์ชูชีพในเรือให้พร้อมตลอดเวลาซึ่งในส่วนของตำรวจท่องเที่ยวได้ดำเนินการตรวจสารเสพติดต่อผู้ขับขี่เรือระหว่างเกาะต่าง ๆ ของจังหวัดสุราษฎร์ธานีอย่างต่อเนื่อง

จากนั้น คณะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่ดูความคืบหน้าของโครงการบริเวณแหลมหินคม ตำบลตลิ่งงามซึ่งห่างจากที่ว่าการอำเภอไปประมาณ 15 กิโลเมตร โดยพบว่าปัจจุบันไม่มีการต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่  อยู่ระหว่างขั้นตอนการมอบเงินที่ได้จากการเวนคืนที่ดินเพื่อจัดสร้างท่าเรือดังกล่าว ได้เน้นย้ำถึงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการขับเคลื่อนนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ

รัฐบาลไทย วอน!! นานาประเทศเข้าใจ การแก้ไขปัญหา ส่ง ‘อุยกูร์’ กลับ ขอให้มั่นใจ ทำตามสิทธิมนุษยชนเต็มที่

(16 มี.ค. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตนพร้อมด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พล.ต.อ. ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมคณะสื่อมวลชน 9 คนจากหลากหลายสำนักทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ รวมทั้งสื่อโซเชียลมีเดีย รวมทั้งคณะ 25 คน มีกำหนดการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันอังคารที่ 18 - 20 มีนาคม 2568 ที่มณฑลซินเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน

โดยในวันอังคารที่ 18 มีนาคม 2568 เวลา 23.30 น. คณะจะออกเดินทางจากกองบิน 6 ท่าอากาศยานดอนเมือง ไปยังท่าอากาศยานเมืองคาซือ มณฑลซินเจียง โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมงบินโดยจะถึงเมืองคาซือ ในวันพุธที่ 19 มีนาคม เวลาประมาณ 07.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเร็วกว่าเวลาประเทศไทย 1 ชั่วโมง คณะมีกำหนดการเดินทางไปเยี่ยมชาวจีน อุยกูร์ ที่เมืองคาซือ มณฑลซินเจียง และร่วมรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันพร้อมกับผู้นำท้องถิ่นในช่วงเช้าและบ่าย

สำหรับในวันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม 2568 คณะจะเดินทางไปมณฑลซินเจียงที่อยู่ห่างไกล และจะเดินทางไปเยี่ยมชมศูนย์บังคับใช้กฎหมายและการจัดการคดีของสำนักงานความมั่นคงสาธารณะ ที่เมืองคาซือ มณฑลซินเจียง จากนั้นคณะจะเดินทางไปที่มัสยิดอิดกะฮ์ (Id Kah) พูดคุยสนทนากับผู้นำศาสนา และร่วมรับประทานอาหารค่ำกับตัวแทนผู้นำศาสนาในท้องถิ่น ก่อนที่รองนายกรัฐมนตรีและคณะจะออกเดินทางจากท่าอากาศยานเมืองคาซือ มณฑลซินเจียง ในเวลาประมาณ 20.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยจะเดินทางถึงประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 21 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 01.00 น. ณ กองบิน 6 ท่าอากาศยานดอนเมือง

นายจิรายุ กล่าวว่า การเดินทางครั้งนี้เพื่อทำความจริงให้ปรากฏในข้อกังวลของนานาอารยประเทศ และให้เข้าใจประเทศไทยถึงการแก้ไขปัญหาซึ่งรัฐบาลไทยได้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาและมีข้อตกลงสำคัญต่อรัฐบาลของทั้งสองประเทศ ที่ต้องคืนชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีในยุคโลกปัจจุบัน ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและมีสิทธิเสรีภาพ ซึ่งถือว่ารัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมากถึงขั้นตอนการตรวจสอบรายละเอียดนานหลายเดือนก่อนจะส่ง ชาวจีนอุยกูร์ กลับสู่มาตุภูมิ เพื่อให้มั่นใจว่าการส่งชาวจีนกลับสู่บ้านเกิดจะต้องได้รับความปลอดภัยและเป็นไปตามสิทธิมนุษยชน ซึ่งการเดินทางครั้งนี้เป็นเพียงครั้งแรก โดยรัฐบาลไทยจะกำหนดการเดินทางเป็นระยะๆเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศต่อนานาอารยะประเทศต่อไป

‘จิรายุ’ มั่นใจ!! ‘แพทองธาร’ ชี้แจงได้ ทุกประเด็น ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เรียกร้องฝ่ายค้าน!! อภิปรายในเชิงสร้างสรรค์ เพื่อแก้ปัญหาของประเทศ

(22 มี.ค. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่จะเริ่มขึ้นในวันจันทร์ที่ 24 มี.ค.นี้ว่า ตนในฐานะเป็นผู้อภิปรายไม่ไว้วางใจมานับสิบครั้ง อยากให้การอภิปรายในวันจันทร์นี้โดยคนรุ่นใหม่ หรือรุ่นเก่าแต่ยังเก๋าของพรรคฝ่ายค้านอภิปรายด้วยเนื้อหาเชิงสร้างสรรค์เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาประเทศร่วมกัน

“วันนี้หมดยุคใช้วาทกรรมแบบในอดีตแล้ว ประชาชนเบื่อความขัดแย้งอยากเห็นประเทศเดินหน้าพัฒนาอย่างเจริญรุ่งเรือง อยากให้เศรษฐกิจดีขึ้นหลังจากจมปลักกันมาเป็นสิบๆ ปี ผมเห็นว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจในรอบหลายทศวรรษมานี้ไม่เคยเห็นการลงมติไม่ไว้วางใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะยังไงเมื่อลงมติเสียงข้างมากในสภาก็จะยกมือให้ผ่านอยู่แล้ว”

นายจิรายุ กล่าวต่อว่า ฝ่ายบริหารพร้อมรับฟังและชี้แจง แต่อยากให้สมาชิกพรรคฝ่ายค้านอภิปรายในเชิงสร้างสรรค์ ไม่มีน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง และอยากให้อภิปรายเสนอแนะ เพื่อช่วยกันเป็นสปอตไลต์นำทางให้ประเทศไทยเจริญมากยิ่งขึ้น เพราะตั้งแต่ต้นปีมานี้ดัชนีการเติบโตในทุกมิติของประเทศดีขึ้นกว่าหลายปีที่ผ่านมา จึงไม่อยากให้การเมืองไปฉุดรั้งการเติบโตของประเทศ

“มั่นใจว่านายกรัฐมนตรี จะชี้แจงได้ทุกประเด็น เพราะท่านเป็นคนรุ่นใหม่ที่เก่งจริง เห็นได้จากหลักการสั่งการข้อราชการในแต่ละเรื่องที่หมักหมมในสังคมไทยมานานนับสิบปี ก็สามารถสั่งการแก้ไขอย่างทันท่วงที"

โฆษกรัฐบาล ยกตัวอย่างการลงพื้นที่ของนายกฯด้วยตนเอง หรือขึ้นปราศรัยในฐานะหัวหน้าพรรค หรือ ปาฐกถา หรือแสดงวิสัยทัศน์ในทุกเวที ในฐานะนายกรัฐมนตรี ทั้งระดับประเทศไทยและระดับโลกต่างได้รับความชื่นชมว่าเป็นผู้นำคนรุ่นใหม่ที่มีวิสัยทัศน์มองเห็นโลกใน 2 มุมและมองเห็นมุมของความคิดของคน 2 วัยได้อย่างดี

นายจิรายุ คาดหวังว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้จะเป็นการอภิปรายรูปแบบใหม่ ที่สมฐานะฝ่ายค้านรุ่นใหม่จริงๆ ที่จะช่วยกันแนะนำและส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหาร จากมุมมองของฝ่ายค้านได้อีกด้วย ไม่อยากให้ผู้อภิปรายฝ่ายค้านบางคนไปใช้คำล่อแหลมส่อเสียดหยาบคาย หรือบูลลี่ด้อยค่ากันเหมือนสัปดาห์ที่ผ่านมา

"สังคมไทยรับไม่ได้กับการสบประมาทหรือหลอกด่าบุพการีของกันและกัน เพราะผมก็เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากให้ใครพาดพิงหรือด่าบุพการีของคนอภิปรายจากฝ่ายค้านอย่างแน่นอน"

‘จิรายุ’ ฝากฝ่ายค้าน!! อย่าใช้ภาษาตลาดล่าง ต่ำสะดือ อย่าเหยียดเพศ วอน!! ทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์ ยัน!! นายกฯ ไม่รู้สึกกดดัน

(23 มี.ค. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี กล่าว ถึงการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ว่า ตนฟังฝ่ายค้าน ‘ออกแขก’ ทั้งแสดงความดูถูก เหยียดเพศ หยาบคาย มาตลอดสัปดาห์ ถึงขนาดลงทุนใช้ภาษาต่ำสะดือซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะออกจากปากของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เรียกร้องเรื่องสิทธิเสรีภาพ ความเท่าเทียม และพูดเสมอว่าอยากทำการเมืองใหม่ มีบางช่วงที่เลยเถิดขนาดบอกตนเองเป็นขบวนการไรเดอร์   เลยทำให้พอเห็นว่าอภิปรายสองวันนี้น่าจะเป็นหนัง ‘ภารตะ’ วิ่งไล่ไปมาตามต้นไม้ กว่าจะหาประเด็นได้ คนฟังก็คงจะหลับเสียก่อน 

ส่วนกรณีรอง หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่านายกรัฐมนตรีมีภาวะความกังวลมากในการอภิปรายครั้งนี้ ตนแนะฝ่ายค้านว่า อย่าไปคิดแทนคนอื่น เพราะดูจาก 2-3วันมานี้ ท่านนายกรัฐมนตรีมีความสุขสดชื่น และถือว่าพร้อม ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล เพราะที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีทำงานเต็มที่ เตรียมข้อมูลที่จะชี้แจงผลงานของรัฐบาลในรอบ 6 เดือนอย่างแน่นปึกเรียกว่าฝีมือระดับ ‘Wonder Woman’ เลยทีเดียว

นายจิรายุกล่าวต่อไปว่า ความกดดันในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ จะแตกต่างกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะความกดดันจะไม่ได้ตกอยู่กับฝ่ายรัฐบาลหรือนายกฯ แต่จะกลับไปตกอยู่ที่ฝ่ายค้านที่จะต้องอภิปรายให้ปังไม่ใช่เอาแค่ข่าวเก่าข่าวแปะมาอภิปราย คนฟังจะหลับคาจอ

ทั้งนี้ตนหวังว่าในการอภิปรายจะไม่มีภาษาตลาดล่างต่ำสะดือออกมาอีก ทั้งนี้เพื่อยกระดับรัฐสภาไทยอย่างที่คนรุ่นใหม่คาดหวังกันไว้ให้เป็นสภาระดับสากลซึ่งฝ่ายค้านควรจะช่วยกันนำพาประเทศก้าวไปข้างหน้าอย่างที่คาดหวังไว้

‘จิรายุ’ ชวนเที่ยว!! เชียงใหม่ งานสงกรานต์ปี๋ใหม่เมือง ยัน!! ปลอดภัย ไร้ผลกระทบ จากเหตุแผ่นดินไหว

(7 เม.ย. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า วันนี้ตนได้ลงพื้นที่พร้อมกับ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และนายณัชฐเดช มุลาลี นายอำเภอเมืองเชียงใหม่ เข้าตรวจสอบอาคารที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว พบว่าจังหวัดเชียงใหม่มีเพียง 3 อาคาร ที่ได้รับผลกระทบที่แตกต่างกันไป โดยอาคารที่ 1 เป็นอาคารเก่า ‘ดวงกมลคอนโดมิเนียม’ ก่อสร้างมานานมากกว่า 30 ปีเป็นอาคารสูง 8 ชั้น มีจำนวน 102 ห้อง อยู่ที่ตำบล ช้างคลานอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ขณะนี้ จังหวัดเชียงใหม่ได้ประกาศปิดห้ามใช้อาคารทั้งหมดและได้ใช้เหล็กค้ำยันที่ชั้น 1 มากกว่า 10 จุด เพื่อป้องกันไม่ให้อาคารทรุดเนื่องจากโครงสร้างด้านล่างชั้น 1 บิดงอและมีรอยแตกร้าว โดยฝ่ายโยธาก็จะประสานงานเพื่อดำเนินการให้เจ้าของตึกแก้ไขปรับปรุงต่อไป ส่วนอาคารหลังที่ 2 และ 3 นั้น เป็นอาคารคอนโดมิเนียมสูง 22 ชั้น ซึ่งไม่มีผลกระทบทางโครงสร้าง เป็นเพียงอุปกรณ์ตกแต่งและปูนที่ฉาบแตกร้าว ขณะนี้ จังหวัดได้ให้นิติบุคคลเร่งแก้ไขเนื่องจากผู้อยู่อาศัยทั้งหมดได้ย้ายออกมาอยู่ข้างนอกชั่วคราว

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า ผลกระทบด้านอื่นๆของจังหวัดเชียงใหม่มีน้อยมาก และกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากว่า 5 วันแล้ว สำหรับบรรยากาศต่างๆโดยเฉพาะการท่องเที่ยวของเมืองเชียงใหม่ ทั้งถนนนิมมานฯ ถนนคนเดิน และร้านอาหาร บริเวณรอบคูเมือง ยังคึกคัก นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติยังคงเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้เร่งประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยเฉพาะช่วง เทศกาลสงกรานต์ที่จะเริ่มต้นขึ้นในปลายสัปดาห์นี้

“ยืนยันจังหวัดเชียงใหม่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์เชียงใหม่ หรือ ประเพณีปี๋ใหม่เมือง ด้วยความวัฒนธรรมและประเพณีที่งดงาม” นายจิรายุ กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top