Sunday, 8 June 2025
คนไทย

✨ ‘เศรษฐา’ กับ ‘ผ้าขาวม้า’ นี่แหละคนไทยของแทร่!!

พจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เก็บคำ 'ผ้าขาวม้า' โดยให้ความหมายว่า 'น. ผ้าฝ้ายทอเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มักมีลายตาหมากรุก ใช้ผลัดอาบน้ำ หรือเคียนพุง เป็นต้น'

เป็นผ้าซึ่งเปี่ยมอัตลักษณ์ 'ไทย' อย่างยิ่ง จึงมิใช่เรื่องแปลกที่นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน จะเลือกใช้ 'ผ้าขาวม้า' ประดับกายให้ได้เห็นเมื่อครั้งเยือนมิตรประเทศ เช่น สหภาพยุโรป แหล่งอารยธรรมชั้นสูงด้านแฟชั่น

ศิลปินเพลงเพื่อชีวิต เพลงพื้นบ้าน ตลอดจนนักเคลื่อนไหวทางสังคม ก็ล้วนใช้ 'ผ้าขาวม้า' ประดับกายเพื่อสื่อถึงความ 'ชาตินิยม' ด้วยชนเผ่าไทยมีภูมิปัญญาทางการทอผ้าชนิดนี้มาเนิ่นนาน แม้นายกฯ จะมีภาพพจน์เป็นนักธุรกิจที่แต่งกายได้เหมาะสมในระดับสากล แต่ไม่เคยลืมเสน่ห์แห่งรากเหง้า 'ผ้าขาวม้าไทย'

และเมื่อมีโอกาส 'ผ้าขาวม้า' จะถูกนำเสนอต่อสายตาชาวโลกเสมอ

โดยนายกฯ คนที่ 30 ของไทยที่ชื่อ 'เศรษฐา ทวีสิน'

‘หนุ่มไทยใจดี’ ช่วยแกะสติกเกอร์บนเสาเหล็กภูเขาฟูจิให้แล้ว หลังเพจท่องเที่ยวนำไปแปะจนทัวร์ลงสนั่น เหตุ!! ไม่เหมาะสม

(15 ส.ค. 67) จากกรณีเฟซบุ๊กเพจท่องเที่ยวที่มีผู้ติดตามกว่า 30,000 คน ได้โพสต์ภาพแฟนหนุ่มคุกเข่าขอแต่งงานบนยอดเขาฟูจิ ประเทศญี่ปุ่น พร้อมทั้งได้โพสต์ภาพที่แฟนเพจทักอินบ็อกซ์มาชื่นชมด้วยที่เจ้าของเพจนำสติกเกอร์ข้อความเดียวกับชื่อเพจไปติดบนเสาที่ใช้กั้นเขตทางเดินบนภูเขาฟูจิ ซึ่งโพสต์ดังกล่าวมีคนเข้าไปแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ มากมาย อาทิ ไม่ควรทำเพราะเป็นสถานที่ที่คนญี่ปุ่นเคารพและศักดิ์สิทธิ์

ด้านเจ้าของเพจชี้แจงว่า ได้ขออนุญาตเจ้าหน้าที่แล้ว และเป็นสถานที่ที่สามารถติดสติกเกอร์ได้ ไม่ได้มีเธอติดคนเดียว อย่างไรก็ตามทางเพจได้ปิดเพจเฟซบุ๊กดังกล่าวไปแล้ว

ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก ‘ลองวิเคราะห์ดู’ ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 3.5 แสนคน เปิดเผยว่า “มีลูกเพจท่านหนึ่งแกเห็นโพสต์พอดีตอนปีนขึ้นเขามา แกเลยแกะออกโดยไม่ได้คิดไรเยอะแกว่า ถ่ายไว้ด้วย แอดเลยขอภาพขอคลิปเขามา”

“ขอขอบคุณความมือบอนของคุณ สำหรับแอดมันดีมากเลยนะ บางครั้งการทำลายมันก็เป็นเรื่องที่ดี ยิ่งการทำลายสติกเกอร์ที่ไปติดตามสถานที่ท่องเที่ยวนี่ยิ่งดีเลย ไม่รู้จะพูดยังไง นอกจากขอบคุณ ขอบคุณ และขอบคุณ”

“ปล. แอดอาจพิมพ์อะไรตกหล่นไปนะ เรื่องสติกเกอร์ติดตามสถานที่ท่องเที่ยวมันก็มีประเทศอื่นด้วยแหละ แต่มันไม่ได้แปลว่าต้องทำตาม และก็ขึ้นอยู่ว่าสถานที่นั้นให้ติดได้หรือไม่ (พูดเผื่อว่าบางที่มีไว้สำหรับติด)”

หลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไปได้มีผู้เข้าไปขอบคุณ และแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก เช่นว่า อยากบอกว่า กราบขอบพระคุณมาก ๆ ค่ะ, พล วิก มาเก็บงาน, ขอบพระคุณจากใจจริง ๆ, เอาจริง ๆ เที่ยวธรรมชาติก็อย่าไปหาทำอะไรที่ทำลายธรรมชาติเลย ไม่ว่าทิ้งขยะหรือสลักชื่ออะไรลงไป

เปิด 5 เหตุผล!! ทำไม ‘คนไทย’ ย้ายมาอยู่อเมริกาแล้วไม่อยากกลับบ้าน พบ!! 'งาน-เงิน-สวัสดิการ' ดี แต่ต้องแลกด้วยการจ่ายภาษีในอัตราสูง

เมื่อไม่นานมานี้ จากช่องยูทูบ 'Jason in USA' ช่องรีวิววิถีชีวิตในสหรัฐอเมริกา ได้โพสต์คลิปวิดีโอเกี่ยวกับข้อสงสัยว่า 'ทําไมคนไทยหลายคนเมื่อย้ายมาอยู่ที่อเมริกาแล้วนั้น จึงไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตที่ไทย' โดยมีคนไทยจํานวนไม่น้อยที่รู้สึกว่าการใช้ชีวิตที่อเมริกานั้นมันดีกว่าที่ไทย ซึ่ง Jason in USA ก็ได้ยกเหตุผลมา 5 ข้อ ดังนี้…

ข้อที่ 1 เรื่องโอกาสในการหางานและการทํางานสูงกว่า ซึ่งสิ่งนี้เองที่ทําให้หลายคนนั้นมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเมื่อใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกา
ข้อที่ 2 เรื่องการศึกษา ซึ่งการศึกษาที่อเมริกาสามารถเข้าถึงได้กับทุกคน และที่สําคัญคือสามารถเอาไปต่อยอดในอนาคตได้อีกด้วย
ข้อที่ 3 เรื่องกฎหมายบ้านเมือง ซึ่งหลายคนชอบของที่อเมริกามาก ๆ
ข้อที่ 4 เรื่องคุณภาพอากาศ ที่หลายคนมองว่าที่อเมริกาดีกว่าที่ไทยมาก โดยเฉพาะตามชานเมืองหรือชนบทที่ไม่ค่อยเจอมลพิษ
ข้อที่ 5 เรื่องสวัสดิการของรัฐในด้านต่าง ๆ ที่ดีกว่าที่ไทยมาก

ทั้งนี้ หลังจากโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ต่างมีชาวเน็ตจำนวนไม่น้อยเข้ามาแสดงความคิดเห็น ในมุมต่างๆ ทั้งแง่บวกและลบ โดยมีหลายความเห็นที่อยากคว้าโอกาสที่นี่ก่อน แล้วค่อยกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่เมืองไทย เช่น…

- "สวัสดิการที่ต้องแลกมากับภาษีราคาแพง"

- ยอมรับภาษีที่นี่หนักมากจริงๆ

- "ด้านสวัสดิการในการรักษาพยาบาล ของไทยยังไงก็ยังดีกว่า"

- "ชอบเมกานะ แต่เกษียณวางแผนกลับไทย เพราะเบื่อการบริการของร้านอาหารและตามห้างต่าง ๆ บริการแย่มาก แถมบังคับทิป เอามาให้คนไทยดีกว่า น้ำใจบวกรอยยิ้ม มีความสุข"

- "ยังไม่อยากกลับไทย เพราะมันยังไม่ถึงเวลา ช่วงที่โอกาสมาถึงให้รีบกอบโกยก่อน"

- สำหรับคนที่บอกอเมริกาแพงไม่ดีอย่างนู้นอย่างงี้ ต้องบอกเลยว่าบางรัฐก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด

‘ตำรวจ’ บุกรวบ ‘หนุ่มเมียนมา’ ฆ่าคนขับแท็กซี่ จ.สมุทรปราการ พบเสื้อเปื้อนเลือด-โทรศัพท์-รถของผู้ตาย เบื้องต้นให้การปฏิเสธ

(28 ส.ค. 67) จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ได้รับแจ้งพบผู้เสียชีวิตถูกนำมาทิ้งหมกภายในพงหญ้าริมบ่อปลา หมู่ที่ 7 ซอยข้างโรงพยาบาลรามาธิบดี สมุทรปราการ ต.บางปลา อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ หลังรับแจ้งจึงประสานชุดสืบสวน แพทย์นิติเวช รพ.รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร์ กองพิสูจน์หลักฐานจังหวัด พร้อมเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบผู้เสียชีวิต เป็นชาย 1 ราย ไม่ทราบชื่อ อายุประมาณ 50-60 ปี สวมเสื้อโปโลสีเทา กางเกงขายาวสีครีม สวมรองเท้าแตะหูหนีบ มีแขนทั้ง 2 ข้าง ถูกพันธนาการด้วยเชือกไนล่อนสีเขียวมือไขว้หลัง ที่ศีรษะมีบาดแผลขนาดใหญ่จนกะโหลกแตก จากการโดนของแข็ง คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง

ล่าสุดเจ้าหน้าที่ ตำรวจ สภ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี สามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ซึ่งเป็นชายชาวเมียนมา ทราบชื่อคือนายมอง จอ มิน หรือนายซัน อายุ 42 ปี จับได้ที่เพิงพักใกล้เคียงหมู่บ้านบัวทองธานี ในพื้นที่ อ.บางบัวทอง โดยพบแท็กซี่สีเหลือง-เขียว ของผู้ตาย และโทรศัพท์มือถืออยู่ในเพิงพัก

โดยนายซัน ปฏิเสธข้อกล่าวหา บอกว่าตนไม่ได้ก่อเหตุ ไม่ได้เดินทางไปที่เกิดเหตุเลย และไม่ได้ก่อเหตุฆ่าใคร พอทีมข่าวบอกว่าแล้วรถแท็กซี่มาได้อย่างไรก็ไม่สามารถตอบได้ ทีมข่าวได้บอกว่าพี่เอาเขาไปถ่วงน้ำทำไม ยังทำท่าตกใจ หันมาบอกทีมข่าวว่าไม่ได้ทำ นอกจากนี้ทีมข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้าของพื้นที่ ก็บอกว่าชายคนดังกล่าวนั้นมาพักอยู่ที่นี่ได้ 1 สัปดาห์แล้ว

ต่อมาทีมข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับนายซัน ผู้ก่อเหตุฆาตกรรม คนขับรถชายแท็กซี่​ที่พื้นที่​บางพลี​ จังหวัดสมุทรปราการ​ ตอนแรกนายซันบ่ายเบี่ยงบอกว่าตนเองไม่ได้ขับรถแท็กซี่ แต่ไป ๆ มา ๆ ก็ยอมเปิดปากว่ามีคนบอกให้ตนเองไปขับรถแท็กซี่ เพื่อนำมาซ่อมทำสี​ และยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อเหตุ ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย​ จู่ ๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาจับและนักข่าวก็มาถ่ายภาพตนทำไม​​

ทีมข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับชุดจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางบัวทอง และชุดสืบภาค 1​ ทราบข้อมูลว่า เดินทางมาที่จุดเกิดเหตุ ย่านหมู่บ้านบัวทองธานี ภายในซอยตลาดนัดบังยา​ ​ต.บางบัวทอง​  อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี​ พอมาถึงจุดเกิดเหตุก็เห็นรถแท็กซี่ของผู้ตายจอดอยู่สุดซอย ขณะนั้นก็ได้ยินเสียงคนทุบ หลังคาบ้าน ห่างจากรถที่จอดประมาณ 20 เมตร จึงรวมพลมายังบ้านหลังดังกล่าว ก็พบชายต้องสงสัย ลักษณะคล้ายกับเจ้าหน้าที่ตำรวจพื้นที่สมุทรปราการแจ้งมา ว่าเป็นชาวต่างชาติผิวคล้ำ รูปร่างสูงผอม 

จึงเข้าจับกุมได้ภายในบ้านหลังดังกล่าว ทราบภายหลังว่าเป็นบ้านพักของญาติ โดยชายคนดังกล่าว ได้นำกุญแจรถแท็กซี่ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และยอมรับเพียงว่าตนเป็นคนขับรถแท็กซี่มา แต่ไม่ได้ยอมรับว่าเป็นคนก่อเหตุฆาตกรรม​ ชุดจับกุมจึงทำการค้น บ้านพักชายคนดังกล่าว​ ทราบว่าเป็นชาวเมียนมา ชื่อว่านายซัน​ จากนั้นพอเข้าไปค้นภายในบ้านก็พบเสื้อสีขาว ลักษณะเปื้อนเลือดฉีกขาด มีร่องรอยต่อสู้ พบกางเกงเปื้อนโคลน และพบโทรศัพท์ของผู้ตายอยู่ภายในบ้านพัก​ ซึ่งได้ให้ชุดพิสูจน์หลักฐาน เก็บร่องรอยคราบ เลือดเพื่อทำการพิสูจน์ต่อไป

เบื้องต้น หลังจากเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้ทำการตรวจรถแท็กซี่สีเขียว-เหลือง พบว่าบริเวณท้ายรถมีเชือกไนล่อนสีเขียว ลักษณะเดียวกันกับที่คนร้ายใช้มัดมือผู้เสียชีวิต จึงได้เก็บไว้เป็นหลักฐาน และจะนำรถคันดังกล่าว ไปที่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง

'ชาวลาว' เรียกร้องความเป็นธรรมให้ 'หนุ่มไทย' หลังถูกวัยรุ่นอายุ 17 ขับรถเฟอร์รารี่ชนดับ

(28 ส.ค. 67) ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ 'Joseph Akaravong' ได้ออกมาโพสต์เรื่องร้องเรียน หลังมีหนุ่มชาวไทยที่ไปอาศัยอยู่ที่สปป.ลาว ถูกหนุ่มวัย 17 ปี ขับรถหรูชนจนเสียชีวิต ทำให้ชาวสปป.ลาว ไม่พอใจเป็นอย่างมากออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้หนุ่มไทยคนนี้ โดยระบุข้อความในโพสต์ว่า... 

"รถที่ชนคนตายคือคันนี้ ผู้ที่เสียชีวิตคือคนไทยที่อาศัยอยู่ในลาว FuFu Idol Indy คนขับรถฝั่งญาติ อ้างคนเกี่ยวข้องไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย อายุเพิ่ง 17 ปี"

ภาพที่ผู้ร้องเรียนโพสต์นั้นเป็นภาพรถซูเปอร์คาร์เฟอร์รารี่ สีขาว สภาพด้านหน้าพังยับเยินจากอุบัติเหตุดังกล่าว พร้อมโพสต์ภาพของหนุ่มไทยที่เสียชีวิต นอกจากนี้ชาวเน็ตได้ออกมาแสดงความอาลัย รวมทั้งเรียกร้องความเป็นธรรมเป็นจำนวนมาก

ซึ่งพบว่าทางโซเชียลมีเดียของทางสปป.ลาว ได้ติดแฮ็ชแท็ก #ຂໍຄວາມເປັນທຳໃຫ້ອ້າຍຟູ ที่แปลได้ว่า #ขอความเป็นให้อ้ายฟู ทั้งนี้ยังพบว่าชาวไทยผู้เสียชีวิตนั้นเป็นช่างภาพคนดังในโลกออนไลน์ และมีคนสปป.ลาวติดตามเป็นจำนวนมาก เมื่อไปดูเฟซบุ๊ก 'FuFu Idol Indy' ของผู้เสียชีวิตนั้นพบว่ามีชาวลาวเข้ามาแสดงความอาลัยเป็นจำนวนมาก

รวมพล 'คนไร้ราก-ลืมเหง้า-ลวงผู้คน-อกตัญญูชาติ' การคงอยู่ใต้ผืนปฐพีไทย ที่แลดูร้ายไม่แพ้ศัตรูต่างแดน

(3 ก.ย. 67) การได้เกิดเป็นคนไทยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขสำหรับผมนั้น ถือเป็นเรื่องโชคดีมหาศาล ถ้าไม่โชคดี ผม รวมทั้งคนไทยร่วมชาติอีกหลายสิบล้านคน คงไม่มีโอกาสได้เกิด และเติบโตบนผืนแผ่นดินที่แสนสงบสุขจวบถึงทุกวันนี้  

การได้มีชีวิต มีบ้าน มีถิ่นฐาน มีเชื้อชาติ มีสังคม มีการศึกษา มีหน้าที่การงาน และมีความปลอดภัยในการใช้ชีวิต ไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้น เมืองขี้ข้า เมืองที่ถูกกดขี่ข่มเหง หรือใช้ชีวิตอยู่ภายใต้เงื่อนไขของสงครามระหว่างประเทศ การได้อยู่รอดพ้นยาวนานมาทุกกาลสมัย เพียงเท่านี้ก็ถือว่ามีครบองค์ประกอบของประชาชนที่ได้รับโอกาสที่แสนสมบูรณ์พูนสุขมากล้นแล้ว สิ่งแรกที่คนไทยทุกคนจำต้องสำนึกก็คือ 'บุญคุณของสถาบันเบื้องสูง' เพราะถ้าไม่มี 'สถาบันกษัตริย์ไทย' ประเทศชาติเราก็จะแหว่งวิ่น ไม่เดินมาถึงวันนี้ได้อย่างผาสุก

และคงไม่มีผม หรือพวกท่านในแบบที่เป็นอยู่ 

ที่มาของเรา เปรียบราว 'รากชีวิต' ที่ฝังลึกลงแผ่นดินทอง ผูกร้อยโยงเป็นเนื้อเดียวกับความเป็นชาติ ศาสน์ และสถาบันกษัตริย์ ยากที่จะตัดขาดออกจากกัน การได้เกิดมาเป็นคนไทย จึงแตกต่างจากชาติอื่นใดทั้งปวง หาใดเปรียบ หาใดเทียบเคียง มีเพียงหนึ่งเดียวที่ 'แตกต่างอย่างงดงาม' ซ้ำยังอุดมสมบูรณ์ด้วย 'ทรัพย์ในดินสินในน้ำ' จนเป็นที่หมายตาของคนต่างชาติ หรือคนไทยหัวใจคดที่แสนโง่เขลาจำนวนหนึ่งที่ยอมเป็น 'ขี้ข้าคนต่างถิ่น' หวังทำลายความเข้มขลังของสถาบันให้อ่อนแอลง 

คนไทยที่ทำตัวไร้ราก ลืมเหง้า คอยโป้ปดสังคม ปลุกปั่นให้เยาวชน หรือผู้คนที่ 'คิดไม่เป็น' ให้คล้อยไปในทางเกลียดชังสถาบันกษัตริย์ของตัวเอง เพื่อสนองอาการ 'โรคจิต' และ 'ขี้อิจฉา' ที่ไม่มีทางรักษาให้หายขาด ย่อมเป็นคนไทยที่เป็นภัยอันตรายของสังคมไทยโดยแท้ หากปล่อยไว้ให้เติบโต อนาคตเราอาจจะไม่มีแผ่นดินที่เป็นของตัวเราเอง 

คนไทยที่คิดร้ายต่อสถาบัน เรียก 'คนเนรคุณ' ยังน้อยไป อยู่ไปก็รกปฐพี 

'เทลสกอร์' ชี้!! ยอดรวมอินฟลูฯ-คอนเทนต์ครีเอเตอร์ไทย แตะ 9 ล้านคน ในจังหวะตลอดคอนเทนต์ครีเอเตอร์ไทยขยายตัว 25-30% แตะ 4.5 หมื่นล้านบาท

(4 ก.ย.67) นางสาวสุวิตา จรัญวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เทลสกอร์ จำกัด เปิดเผยว่า เทลสกอร์ ได้ประเมินภาพรวมตลาดคอนเทนต์ครีเอเตอร์ในประเทศไทยในปีนี้มีมูลค่าประมาณ 4.50 หมื่นล้านบาท มีการเติบโต 25-30% เนื่องจากกลุ่มลูกค้าภาคเอกชนได้มุ่งทำตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์อยู่ในระดับสูง

“ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้หลายฝ่ายประเมินว่าอาจไม่สดใสมากนัก แต่ภาคเอกชนไทยยังรุกทำการตลาด เนื่องจากการเลือกใช้อินฟลูเอนเซอร์และครีเอเตอร์ยังมีความสำคัญในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งภาพรวมตลาดมีการขยายตัวในระดับดังกล่าวต่อเนื่องมา 3 ปีแล้ว” 

สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการที่ยังทุ่มงบการตลาดระดับสูง จะเป็นกลุ่มเพื่อสุขภาพและความงาม กลุ่มไลฟ์สไตล์ และกลุ่มการเงิน ส่วนกลุ่มที่ชะลอการใช้งบจะเป็น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และรถยนต์ตามภาพรวมตลาดที่หดตัวลง 

ทั้งนี้แนวโน้มการทำตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์และครีเอเตอร์ที่มีการขยายตัวสูง โดยในประเทศไทยมีจำนวนอินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ ครีเอเตอร์ประมาณ 9 ล้านคน ส่วนในทั่วโลก จากสถิติของ Linktree ระบุว่ามีจำนวนคอนเทนต์ครีเอเตอร์ประมาณ 200 ล้านคนทั่วโลก หรือประมาณ 3% จากประชากรโลก อีกทั้ง ภาพรวมตลาด คอนเทนต์ครีเอเตอร์ในไทย มีมูลค่าประมาณ 5.5 ล้านล้านบาท

สำหรับตลาดไทยกลุ่มลูกค้าที่ใช้งานมีจำนวนสูงขึ้น มีความสอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียและการใช้เวลาบนโลกออนไลน์ของคนไทย ที่อยู่ในระดับสูงอันดับต้นในโลก อีกทั้ง จากการประเมินของ สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ระบุว่า ประชากรไทยมีอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอยู่ที่ประมาณ 89.5% และมีช่องทางโซเชียลมีเดียมากถึง 50 ล้านคน คิดเป็น 71.5% ของประชากรทั้งหมด

ทั้งนี้ บริษัท เทลสกอร์ ที่ดำเนินธุรกิจในด้านอินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งแพลตฟอร์ม ได้ร่วมมือกับ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด จัดงาน The Mall Lifestore Presents Thailand Influencer Awards 2024 by Tellscore งานประกาศรางวัลสุดยอดอินฟลูเอนเซอร์ และสุดยอดอินฟลูเอนเซอร์แคมเปญที่ใหญ่สุดแห่งปี โดยจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 รวมทั้งสิ้น 59 สาขา

สำหรับงานจัดอยู่ในแนวคิด The Future is Yours! เพื่อร่วมแสดงถึงศักยภาพอินฟลูเอนเซอร์และนักการตลาดที่มีส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางและสร้างสรรค์อนาคตของเศรษฐกิจไทย พร้อมเน้นหาอินฟลูเอนเซอร์คุณภาพ การร่วมสร้างมาตรฐานและคอมมูนิตี้อินฟลูเอนเซอร์ของประเทศไทยให้แข็งแกร่ง

ขณะที่กำหนดการจัดงาน มีขึ้นในวันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม 2567 ณ เอ็มซีซี ฮอลล์ ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ

'นักเขียนดัง' โต้ตรรกะ 'สุจิตต์ วงษ์เทศ' หลังออกบทความเรื่อง 'เชื้อชาติไทย' ชี้!! จะรังเกียจความเป็นไทยที่ไม่เหมือนใครในโลก ไปทำไม เมื่อทุกชาติยังชื่นชม

(5 ก.ย. 67) จากกรณี สุจิตต์ วงษ์เทศ คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์มติชน ได้ออกบทความ ยกเลิก ‘เชื้อชาติไทย’ เพราะ ‘เชื้อชาติ’ ไม่มีจริงในโลก และ 'เชื้อชาติ' ในประวัติศาสตร์ไทย บงการความคิดคนให้รักและชัง หากยกเลิกได้จะพาไทยสู่สากลนั้น ด้าน นายปฏิพล อภิญญาณกุล นักเขียนชื่อดัง ก็ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Padipon Apinyankul' ถึงกรณีนี้ ระบุว่า...

เป็นความพยายามที่จะสร้าง ตรรกะเหนือเหตุผล / สร้างเหตุผลซ้อนในตรรกะ

ผู้ไม่ติดกระดุมสองเม็ดแรก พยายามนำเสนอเรื่องราวให้ 'ยกเลิกเชื้อชาติไทย'  ... โดยอ้างว่าจะทำให้ไทยสู่สากล ... ฟังดูแปลก ๆ ไหม?

ผู้ไม่ติดกระดุมสองเม็ดแรก บอกว่า...

ความเป็นไทยมาหลังความเป็นคน ดังนั้นจึงไม่มีลายกระหนก และให้เลิกเพ้อพก 'ความเป็นไทยไม่เหมือนใครในโลก'

ผมเห็นว่า ผู้ไม่ติดกระดุมสองเม็ดแรก พูดเพื่อเท่ห์ให้ดูเด่นและดูเก่ง 

ก่อนอื่นต้องถามว่า ความเป็นไทยมาทีหลังความเป็นคน ... แล้วความเป็นคนคือใคร?

ลักษณะของความเป็นคน มีเพียง กิน ขี้ ปี้ นอน เท่านั้นหรือ? ที่เหมือน ๆ กันทั้งโลก

ความเป็นไทยต่างหากที่แยกความเป็นคนแต่ละเผ่าแต่ละถิ่น ให้แตกต่างออกมาไม่เหมือนกัน / เพื่อให้มนุษย์ร่วมโลกมองเห็นความชัดเจนจากวัฒนธรรมและประเพณี

ไทยโบราณจะมีประเพณีว่า...

*เมื่อมาถึงชานบ้านชานเรือน ควรต้อนรับขึ้นเรือน ชวนกินข้าวกินน้ำ - นี้แหละคือความเป็นไทย, ยุโรปมีไหมชวนกินข้าว ตะวันออกกลางมีไหมชวนกินปลา?

ก่อนที่จะพัฒนาการมาเป็นรอยยิ้ม น้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อันเป็นลักษณะของคนไทย

ผู้ไม่ติดกระดุมสองเม็ดแรก บอกให้ยกเลิกลายกระหนก และให้เลิกภูมิใจว่า 'ความเป็นไทยไม่เหมือนใครในโลก' - หรือที่แท้อเมริกา แอฟริกา เยอรมัน ก็มีลายกระหนก ?

ลายเขียนที่มีหยัก มีหาง คล้ายกระหนก อาจมีอยู่ทั่วไปในสุวรรณภูมิ  

แต่ด้วย 'การพัฒนาการทางศิลปะ' จึงทำให้ลายกระหนกเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา จนกลายจุดเด่นของศิลปะไทยเท่านั้น

ก็เหมือนเส้นก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ในตลาด บางคนเอาไปทำก๋วยเตี๋ยวราดหน้า บางคนเอาไปทำผัดไทย บางคนเอาไปทำก๋วยเตี๋ยวหลอด

และถ้าเกิดมีใครเอาไปทำ ก๋วยเตี๋ยวทอด ขึ้นมา ก็จะกลายเป็นแบบฉบับของเขาเอง ... ซึ่งสิ่งเหล่านี้เรียกว่าพัฒนาการ

ท่านผู้ไม่ติดกระดุมสองเม็ดแรก คงไม่เข้าใจเรื่องการพัฒนาการ ... ซึ่งมันต้องใช้เวลานับร้อย ๆ ปี จึงจะเกิดเอกลักษณ์เฉพาะชาติขึ้นมา - ไม่ใช่ว่าเมื่อมันไม่ได้เริ่มต้นเกิดจากเรา แล้วเราไม่สามารถต่อยอดได้

งั้นมนุษย์ทุกวันนี้ ก็ควรล้างเมืองทำลายตึก คืนป่าให้กับลิง เสือ ช้าง และฟื้นชีวิตไดโนเสาร์ ... เหตุเพราะเราพัฒนาการมาจากลิง 

ดังนั้นความเป็นไทย จึงไม่เหมือนใครในโลกจริง ๆ 

ลองให้เขมรมาทำผัดไทยซิ รับรองออกมาแปลก ๆ / ลองให้อินเดียมาเขียนลายพระนารายณ์ พระวิษณุ พระอินทร์ ซิ ... จะอ่อนช้อยเหมือนไทยไหม?

จะรังเกียจความเป็นไทยไม่เหมือนใครในโลก ไปทำไม - ในเมื่อทุกชาติเขาชอบและชื่นชมสิ่งที่เราสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง

ถ้าพยายามจะให้เชื้อชาติไทยไม่มีในโลก แล้วจะเรียกประเทศไทยว่าอะไร - ให้เรียกว่า ประเทศ 100 เชื้อ 1,000 แม่ อย่างนั้นหรือ?

ด้วยเกิดจากที่ชนชาติต่าง ๆ เข้ามาอาศัยอยู่ในสยามแต่เก่าก่อน ตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา จนถึงรัตนโกสินทร์ ทั้งโปรตุเกส ฮอลันดา แขก จีน พม่า มอญ เขมร ฯลฯ

แล้วผสมผสานแต่งงานกินอยู่กับคนไทยพื้นเมืองเดิม จนกลายเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่าคนไทย ในทุกวันนี้

ถ้าดังนั้น เชื้อชาติสหรัฐฯ ฝรั่งเศส เยอรมัน และอื่น ๆ ก็ไม่ควรมี ควรเรียกว่า 'ประเทศผู้สมสู่ผิวขาว' ดีไหม?

ทุกประเทศควรยกเลิกชื่อประเทศของตนไปให้หมด เพราะไม่มีประเทศใดที่จะมีเชื้อสายบริสุทธิ์ของเผ่าพันธุ์ตนเพียงเชื้อเดียว

การมีประเทศ มีเผ่าพันธุ์ที่แน่นอนในระดับหนึ่ง จึงเกิดการเรียกชื่อ ... มันคือกระบวนการพัฒนาทางวัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจ ที่ถูกรวมผสานกันเป็นหนึ่ง - จะงอแงอะไรนักหนา

การพยายามนำเสนอตรรกะใหม่ ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ควรเป็นตรรกะ เพื่อให้รู้สึกว่าตนเองมีพัฒนาการทางวิชาการ ... ล้วนแต่เป็นความพยายามของคนขาด้วน ที่อยากเตะฟุตบอล

มีคำกล่าวที่ว่า ถ้าติดกระดุมเม็ดแรกผิด ก็จะผิดตลอดทั้งหมด 

แต่บางคนเคยติดกระดุมเม็ดแรกถูก พลันฮอร์โมนความคิดเกิดเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เลยไม่ติดมันทั้งกระดุมสองเม็ดแรก

เส้นทางที่มนุษย์ชาติเดินกันมาถูกทาง พลันถูกคนที่ลมปราณแตกซ่านเหมือนอ้าวเอี๊ยงฮง พยายามจะขุดให้ตกเหว ซะงั้น

หรือว่า เขาคือสายลับของเขมร ที่พยายามทำให้ชาติไทยไม่เคยมีอยู่จริงให้ได้

'นักข่าวเกาหลี' จ่อดำเนินคดี 'คนไทย' หลังโดนทัวร์ลงจากคอนเทนต์แซะไทย โต้!! ไม่ได้เกลียดคนไทย แต่คลิปดรามา #แบนเกาหลี อ้างจากข้อมูลจริง

(6 ก.ย.67) Top News รายงานว่า 'นักข่าวสาวเกาหลี' เคลื่อนไหวโต้ไม่ได้เกลียดคนไทย แต่คอนเทนต์ที่ทำเป็นความจริงอ้างอิงมาจากข้อมูลจริง ปมทำคลิปล้อเลียนดราม่า #แบนเกาหลี หลังนักท่องเที่ยวไทยแชร์ประสบการณ์ติด ตม.เกาหลี ด้วยเหตุผลที่ตอบเจ้าหน้าที่ไม่ได้ว่า โรงแรมที่พักมีต้นไม้กี่ต้น ห้องพักสีอะไร ทำคนไทยขนทัวร์ไปลงฉ่ำ ล่าสุดเจ้าตัวจ่อดำเนินการทางกฎหมายแล้ว

กลายเป็นประเด็นศึกข้ามชาติอีกแล้วระหว่าง 'ประเทศไทย' กับ 'ประเทศเกาหลี' ที่มีกระแสร้อนแรงติดเทรน X ไปเมื่อวาน จนกระทั่งเมื่อวานนี้ก็ยังติดรั้งอันดับ1อยู่ โดยเรื่องราวเกิดจากกรณีที่ นักท่องเที่ยวชาวไทย ติดตม.เกาหลี ถูกส่งตัวกลับเป็น 10 คน เพราะเจอถามว่า "โรงแรมมีต้นไม้กี่ต้น ห้องพักสีอะไร ทำไมถึงตอบไม่ได้"

ไม่ใช่ครั้งแรก ที่มีข่าวว่านักท่องเที่ยวชาวไทย ถูกตีกลับไม่สามารถเข้าไปท่องเที่ยวประเทศเกาหลีใต้ได้ แม้บางรายจะมีเอกสารครบ แต่ตม.ก็ไม่อนุญาตให้เข้าประเทศ เนื่องด้วยหวั่นว่าจะเป็นแรงงานผิดกฎหมาย จนนำมาซึ่งกระแสแบนเที่ยวเกาหลี จนทำให้ตัวเลขของนักท่องเที่ยวไทย ที่เดินทางเข้าเกาหลีลดต่ำลงติดต่อกันหลายเดือน

โดยมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์ลงในกรุ๊ป เที่ยวเกาหลีด้วยตัวเอง ระบุว่า "ล่าสุดโดน ส่งกลับ 10 กว่าคน เราไม่ได้ไปเกาหลีมาก็ 5-6 ปีที่แล้วค่ะ กะว่าจะไปหาเพื่อน เมื่อวาน เราติด ตม. เรียบร้อยคะ ตอบได้ทุกคำถาม ยกเว้น ถามว่า ต้นไม้ที่ โรงแรมที่พัก มีกี่ต้น สีห้องพัก สีอะไร เรา ตอบไม่ได้ โดนส่งกลับ โดยแจ้งว่า ตอบคำถามไม่ชัดเจน มันอยู่ที่ดวงด้วยจริง ๆ ค่ะ"

นอกจากนี้ ยังได้โพสต์ด้วยว่า ตม.ให้เซ็นยินยอม พร้อมให้เช็กโทรศัพท์มือถืออีกด้วย ทำให้นักเดินทางหวาดกลัวไม่น้อย จนเกิดเป็นกระแส แฮชแท็ก #แบนเกาหลี

ดรามาระอุข้ามวันข้ามคืน เหตุเพราะมีนักข่าวสาวสวยชาวเกาหลีใต้ ออกมาทำคอนเทนต์ที่เรียกได้ว่าทั้งเหยียด และทั้งแซะ ด้อยค่าคนไทยถึงกระแส #แบนเกาหลี อีกทั้งตัวเธอเองก็เป็นสื่อ แต่กลับไม่มีความเป็นกลางเลยสักนิด

'อดีตทูตฯ' เห็นใจ!! ชะตากรรมเด็กไทย 'ย้ายประเทศ' ไปออสเตรเลีย แนะ!! ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็กลับมาเมืองไทย "เพราะบ้านเรายังอบอุ่นกว่า"

เมื่อวานนี้ (11 ก.ย.67) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

เท่าที่ทราบ ตอนนี้พวกที่เคยทำเพจแนะนำให้ย้ายประเทศไปออสเตรเลีย เริ่มทยอยกันกลับกันมาบ้างแล้ว เพราะทนค่าครองชีพที่สูงบรรลัยที่นั่นไม่ไหว เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย ยังไม่พอใช้จ่ายแต่ละเดือน เงินเหลือเก็บแทบไม่มี

มีเพื่อนเล่าให้ฟังว่ามีเด็กไทยไปประสบเคราะห์กรรมเจ็บป่วย เป็นโรคซึมเศร้า มีอาการทางจิตหลายราย

บางรายก็เอาชีวิตไปทิ้งที่ออสเตรเลีย เจ็บป่วยตายแบบว้าเหว่โดดเดี่ยว น่าเวทนา ชุมชนไทยก็ระดมเงินช่วยกันเท่าที่จะช่วยได้

ยิ่งช่วงหลังเจอมาตรการของรัฐบาลออสเตรเลียที่พยายามลดจำนวนคนเอเชีย ไม่ต่อวีซ่าให้ หรือขั้นตอนการต่อวีซ่า Strict สุด ๆ

ยังไง ๆ ถ้ามันไม่ไหวจริง ๆ อย่างน้อยกลับมาตายรังที่บ้านเรายังอบอุ่นกว่านะ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top