Monday, 21 April 2025
กระทรวงอุตสาหกรรม

กระทรวงอุตฯ เอาจริง!! นำทีมสุดซอยบุกตรวจโรงงานผิดกฎหมายในสมุทรสาคร ทลายแหล่งผลิตกล่องโฟมเถื่อน ยึดของกลางกว่า 4 ล้านชิ้น

(11 มี.ค. 68) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สั่งการให้ทีมตรวจ 'สุดซอย' ลงพื้นที่ตรวจสอบ อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร หลังได้รับเรื่องร้องเรียนผ่านไลน์ 'แจ้งอุต' ว่ามีการประกอบกิจการโดยไม่มีใบอนุญาต

จากการตรวจสอบพบว่า โรงงานที่ถูกร้องเรียนคือ บริษัท ไทยสมายล์ เทเบิลแวร์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตกล่องโฟมและจานโฟมใส่อาหาร ใช้เครื่องจักรกำลังรวม 544.9 แรงม้า ซึ่งเข้าข่ายเป็นโรงงานลำดับที่ 53(1) และจัดเป็นโรงงานจำพวกที่ 3 แต่ไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน นอกจากนี้ โรงงานดังกล่าวยังแสดงเครื่องหมาย มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) โดยไม่ได้รับอนุญาต และจำหน่ายสินค้าที่ไม่ได้ผ่านการรับรอง

ทีมสุดซอยและเจ้าหน้าที่ได้ทำการ ยึดอายัดผลิตภัณฑ์ต้องสงสัยรวม 10 รายการ จำนวน 4,093,000 ชิ้น มูลค่ากว่า 2,281,150 บาท และได้ดำเนินคดีในข้อหาตั้งโรงงานและประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมมีคำสั่งให้ระงับการกระทำที่ฝ่าฝืนตาม พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ในส่วนของ การผลิตสินค้าที่ไม่ได้รับมาตรฐาน มอก. สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) จะดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

นายพงศ์พล กล่าวเพิ่มเติมว่า การตรวจสอบในครั้งนี้เกิดขึ้นจากเรื่องร้องเรียนที่ประชาชนแจ้งเข้ามาผ่านแพลตฟอร์ม 'แจ้งอุต' ซึ่งเป็นช่องทางร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาในภาคอุตสาหกรรมที่สะดวกและรวดเร็วที่สุด โดยไม่ต้องทำหนังสือร้องเรียนเหมือนในอดีต

“ตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา กระทรวงฯ ได้รับเรื่องร้องเรียนแล้วกว่า 682 เรื่อง ทำให้สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่มีปัญหาได้มากขึ้นและจัดการกับธุรกิจสีเทาในภาคอุตสาหกรรมได้อย่างทันท่วงที”

ทั้งนี้ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับโรงงานผิดกฎหมายหรือสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ผ่านไลน์ไอดี 'traffyfondue' โดยเลือกเมนู 'แจ้งอุต' และกดเลือกปัญหาที่พบ เพื่อให้กระทรวงอุตสาหกรรมส่งทีมสุดซอยลงพื้นที่ตรวจสอบทันที

“แพลตฟอร์ม 'แจ้งอุต' เปรียบเสมือนแสงสว่างที่ช่วยเปิดเผยปัญหาในภาคอุตสาหกรรมให้ชัดเจนขึ้น และทำให้ภาครัฐสามารถเข้าไปช่วยเหลือประชาชนได้รวดเร็วและตรงจุด” นายพงศ์พล กล่าวทิ้งท้าย

‘เอกนัฏ’ เผยจ่อเซ็น MOU ไทย-จีน หนุนอุตสาหกรรมแฝด ขยายความร่วมมือเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมกับมณฑลอานฮุย

(12 มี.ค. 68) รัฐบาลไทยเดินหน้าผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมกับจีนอย่างต่อเนื่อง โดย นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่าภายในปีนี้คาดว่าจะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมของไทยและมณฑลอานฮุยของจีน ภายใต้โครงการ 'Two Countries, Twin Parks' ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมแฝดระหว่างสองประเทศ เพื่อขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน

นายเอกนัฏกล่าวว่า ระหว่างการเดินทางเยือนจีนเมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมได้หารือกับ นายลี จง รองผู้ว่าการมณฑลอานฮุย เกี่ยวกับการขยายขอบเขตความร่วมมือจากเดิมที่มีเพียง กรมพาณิชย์มณฑลอานฮุย และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สู่ระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล (G to G) เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

ปัจจุบันร่าง MOU ดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงอุตสาหกรรม ก่อนส่งต่อให้กระทรวงการต่างประเทศตรวจสอบเนื้อหา และเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ โดยกำหนดกรอบดำเนินงานให้สามารถลงนามได้ภายในปีนี้

นายเอกนัฏระบุว่า โครงการ 'Two Countries, Twin Parks' จะมุ่งเน้นการพัฒนา อุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ พลังงานใหม่ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และอาหารปลอดภัย นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำความร่วมมือในการพัฒนา บุคลากรไทยและห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เศรษฐกิจไทย

“โครงการนี้เป็นโอกาสสำคัญที่จะดึงดูดนักลงทุนจากจีน โดยเฉพาะจากมณฑลอานฮุย ให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น และในขณะเดียวกัน ก็เปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยไปขยายธุรกิจในจีนด้วย” นายเอกนัฏ กล่าว

นอกจากนี้ ยังมีการหารือเกี่ยวกับ การพัฒนาแพลตฟอร์มการลงทุนและค้าขายร่วมกัน เพื่อส่งเสริมการค้าไทย-จีน รวมถึงอำนวยความสะดวกด้านการซื้อขายสินค้าระหว่างสองประเทศ และยกระดับห่วงโซ่อุปทานให้แข็งแกร่งขึ้น

นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการ กนอ. และรักษาการผู้ว่าการ กนอ. กล่าวเสริมว่า ประเทศไทยมี จุดยุทธศาสตร์สำคัญ ในการเชื่อมโยงการค้าและการลงทุนในภูมิภาค ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้จะช่วย ยกระดับซัพพลายเชนและอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย

“ความร่วมมือนี้เกิดขึ้นภายใต้กรอบ Belt and Road Initiative (BRI) หรือ "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญ เราหวังว่าแพลตฟอร์มการลงทุนและการค้าระหว่างไทย-จีนจะช่วยดึงดูดนักลงทุนจากจีนให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยมากขึ้น” นายสุเมธ กล่าว

ทั้งนี้ กนอ. มีแผนศึกษาแนวทางพัฒนา นิคมอุตสาหกรรมแฝด และความร่วมมือด้านอื่นๆ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายของ MOU และผลักดันให้โครงการ 'Two Countries, Twin Parks' บรรลุเป้าหมายสูงสุด

และในโอกาสครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน นายเอกนัฏเน้นย้ำว่าความร่วมมือครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญของทั้งสองประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาภูมิภาคให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

“ผมเชื่อว่าหากความร่วมมือกับมณฑลอานฮุยประสบความสำเร็จ ก็จะเป็นต้นแบบที่สามารถขยายไปสู่มณฑลอื่นๆ ของจีน และช่วยให้เศรษฐกิจของไทยแข็งแกร่งขึ้นในระยะยาว” นายเอกนัฏ กล่าวทิ้งท้าย

‘เอกนัฏ’ ลั่นไม่ปล่อยผ่าน ส่ง ‘ทีมสุดซอย’ ยึดเหล็กข้ออ้อยสเปกต่ำ จำนวน 230 ตัน มูลค่า 4.6 ล้าน เตือนหากยังนิ่งอาจโดนคดีเพิ่ม

(13 มี.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า หลังได้รับรายงานว่ามีการนำเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต และเหล็กข้ออ้อยที่ไม่ได้มาตรฐานมาจำหน่ายในท้องตลาด จึงได้ส่งทีมตรวจการสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม

นำโดย น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงาน รมว.อุตสาหกรรม นายเตมีย์ พันธุวงค์ราช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายนนทิชัย ลิขิตาภรณ์ ผู้อำนวยการกองตรวจการมาตรฐาน 1 สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) นายสุนัย พิริยสกุลพัฒน์ อุตสาหกรรมจังหวัดสระแก้ว พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม เข้าตรวจสอบบริษัท เอบี สตีล จำกัด ต.ศาลาลำดวน อ.เมืองสระแก้ว จ.สระแก้ว พบว่ามีการผลิตเหล็กข้ออ้อยที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน จึงได้ดำเนินการยึดอายัดเหล็กดังกล่าว เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

“เหล็กข้ออ้อยที่ตรวจพบ ตกเกณฑ์มาตรฐานในรายการความยาว แม้จะไม่ส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค แต่ถือว่าไม่ควบคุมคุณภาพให้เป็นไปตามมาตรฐานอย่างสม่ำเสมอ จึงได้สั่งการให้ทีมสุดซอยฯ เข้าตรวจยึดอายัดเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐาน จำนวน 230 ตัน มูลค่าราว 4.6 ล้านบาท และให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อปกป้องผู้ประกอบการภายในประเทศที่ผลิตเหล็กได้มาตรฐาน รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาคอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศ” นายเอกนัฏ ระบุ

น.ส.ฐิติภัสร์ กล่าวเสริมว่า บริษัทฯ ดังกล่าวได้รับใบอนุญาตทำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมจาก สมอ. จำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ เหล็กเส้นกลม มอก. 20-2559, เหล็กข้ออ้อย มอก. 24-2559 ชั้นคุณภาพ SD 40 ซึ่งจากการตรวจสอบในวันนี้ พบว่า มีเหล็กข้ออ้อย ขนาด DB 20 ชั้นคุณภาพ SD 40 ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ในรายการความยาว โดยมีขนาดสั้นกว่าที่มาตรฐานกำหนด ประมาณ 15-30 มิลลิเมตร

ซึ่งการกำหนดเกณฑ์ความยาวในมาตรฐาน เป็นการคุ้มครองให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าที่ตรงตามการแสดงเครื่องหมายและฉลากของผู้ผลิต สมอ. จึงได้อายัดเหล็กข้ออ้อย ความยาว 10 เมตร จำนวน 9,320 เส้น น้ำหนักประมาณ 230 ตัน มูลค่าประมาณ 4.6 ล้านบาท รวมทั้งจะดำเนินคดีกับผู้ประกอบการรายนี้ให้ถึงที่สุด โทษฐานทำผลิตภัณฑ์ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน รวมทั้งสั่งให้บริษัทเรียกคืนเหล็กที่จำหน่ายออกไปแล้วกลับคืนมา หากไม่ดำเนินการ สมอ. ก็จะตามยึดอายัดที่วางจำหน่ายในท้องตลาดและดำเนินคดีตามกฎหมายในส่วนนี้ด้วย

น.ส.ฐิติภัสร์ กล่าวต่อว่า บริษัท เอบี สตีล จำกัด จะถูกดำเนินคดีความผิดฐานทำผลิตภัณฑ์ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ความผิดฐานแสดงเครื่องหมายมาตรฐานกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดฐานจำหน่ายสินค้า ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้ ยังพบว่าโรงงานยังปฏิบัติในด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมไม่ครบถ้วน อุตสาหกรรมจังหวัดสระแก้วจึงมีคำสั่งให้บริษัท เอบี สตีล จำกัด ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้ครบถ้วน โดยกำหนดให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มีนาคม 2567 หากไม่ปฏิบัติให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดจะยกระดับคำสั่งที่เข้มข้นขึ้น

‘เอกนัฏ’ ฟันไม่เว้น!! แก๊งลอบทิ้ง กากอุตสาหกรรม เช็คบิล!! ต้นทางยันปลายทาง โดนคดีอ่วมยกแก๊ง

(15 มี.ค. 68) ‘เอกนัฏ’ สั่งขยายผลขบวนการลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมในไร่มันฯ พบขนไปส่ง บ.กำจัดของเสีย แต่ก็จัดการไม่ถูกต้อง-ดำเนินคดีทันที พร้อมสั่งดำเนินคดี 3 บริษัทต้นทางและต้องนำกากอุตฯในไร่มันฯ ไปกำจัดให้ถูกต้อง แย้มหากพบมีการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จจะโดนข้อหาหนักพ่วงท้าย ‘ขนส่ง-เจ้าของที่ โดนข้อหาหนักด้วย

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ยังคงเดินหน้ากวาดล้างขบวนการลักลอบทิ้งกากของเสียอุตสาหกรรมอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้มอบหมายให้ชุดตรวจการณ์สุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม นำโดย น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรมว.อุตสาหกรรม, น.ส.นวพร สงวนหมู่ ผอ.กองบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม, นายบวรวิทย์ อัครจันทโชติ ผอ.กองตรวจราชการ สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม, สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี และเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม ติดตามขยายผลจาก บริษัท ฮิ้ว ทรานสปอร์ต จำกัด ที่เป็นผู้รับจ้างขนย้ายกากอุตสาหกรรมจากบริษัทผู้ก่อกำเนิดของเสีย (Waste Generator) คือ บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง 2 อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ไปทิ้งตามไร่มันสำปะหลังในพื้นที่ ต.หนองไผ่แก้ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี หลายจุด ซึ่งถูกจับกุมดำเนินคดีก่อนหน้านี้ จนสืบทราบไปถึงบริษัทและโรงงานผู้รับกำจัดของเสียอีก 2 แห่ง คือ 1) โรงงานบริษัท เวสต์ แอ็บโซลูท จำกัด ในพื้นที่ ต.วัดสุวรรณ อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี ประกอบกิจการฝังกลบสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่เป็นของเสียอันตราย และ 2) โรงงานบริษัท เวสท์ โอเว่น เซอร์วิส จำกัด ในพื้นที่ ต.มาบข่า อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง ประกอบกิจการนำกากตะกอนจากระบบบำบัดน้ำเสียที่ไม่เป็นอันตราย และอินทรีย์วัตถุที่ไม่ใช้แล้วจากโรงงานมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น ปุ๋ยอินทรีย์ สารปรับปรุงดิน

“ทั้ง 2 บริษัทเป็นปลายทางรับของเสียจาก บริษัท ซันโทรี่ เบเวอร์เรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด ที่เป็นต้นทางของกากของเสียและถูกคำสั่งให้ปรับปรุงแก้ไขตามมาตรา 37 จากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวมทั้งถูกตรวจสอบเพื่อนำไปสู่การดำเนินคดี ซึ่งทั้ง 2 บริษัทจะจดทะเบียนทำธุรกิจกำจัดและบำบัดของเสียอุตสาหกรรม แต่จากการตรวจสอบพบว่า หากมีการดำเนินการที่ขัดต่อระเบียบและกฎหมายต้องแก้ไขปรับปรุงและดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด” นายเอกนัฏ ระบุ

น.ส.ฐิติภัสร์ กล่าวเสริมว่า จากการขยายผลและเข้าไปตรวจสอบพบว่า 1) บริษัท เวสต์ แอ็บโซลูท จำกัด ได้รับกากตะกอนจากระบบบำบัดน้ำเสียจาก บริษัท ซันโทรี่ฯ เข้ามาฝังกลบ ตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ.-4 มี.ค.68 จำนวน 10 เที่ยว น้ำหนักกว่า 92 ตัน ขณะที่ 2) บริษัท เวสท์ โอเว่น เซอร์วิส จำกัด ได้รับกากตะกอนจากระบบบำบัดน้ำเสียจาก บริษัท ซันโทรี่ฯ เข้ามาทำสารปรับปรุงดิน ตั้งแต่วันที่ 15-21 ก.พ.68 จำนวน 19 เที่ยว น้ำหนักกว่า 152 ตัน ทั้งนี้ หากตรวจสอบข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว พบว่า ทั้ง 2 บริษัทดำเนินการไม่ถูกต้องตามกฎหมายไม่ว่าจะเป็นกฎหมายโรงงานหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยรับของเสียเข้ามาจัดการโดยของเสียยังไม่ได้รับอนุญาตให้นำออกนอกโรงงานของผู้ก่อกำเนิด จะมีความผิดและฝ่าฝืนประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ.2566 ซึ่งจะตรวจสอบต่อไปด้วยว่า มีการแจ้งข้อมูลเป็นเท็จหรือไม่ ซึ่งหากมีการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ ก็จะถูกดำเนินคดีเพิ่มเติมอีกด้วย

น.ส.ฐิติภัสร์ กล่าวต่อว่า ส่วน บริษัท ซันโทรี่ เบเวอร์เรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผู้ก่อกำเนิดของเสีย (Waste Generator) จะถูกดำเนินคดีในข้อหานำกากอุตสาหกรรมออกจากพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต และหากพบว่ามีการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จในระบบจะถูกดำเนินคดีเพิ่มเติม โดยกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งให้ บริษัท ซันโทรี่ฯ ต้องนำกากอุตสาหกรรมที่ขนไปทิ้งในไร่มันสำปะหลังก่อนหน้านี้ไปกำจัดให้ถูกต้องต่อไปด้วย เช่นเดียวกับ บริษัท ฮิ้ว ทรานสปอร์ต จำกัด จ.ชลบุรี ที่เป็นผู้รับจ้างขนส่ง จะถูกดำเนินคดีใช้รถผิดจากที่ได้รับอนุญาต ส่วนความคืบหน้าจุดที่มีการลักลอบทิ้งอีก 1 จุด ที่ ต.หนองอิรุณ อ.บ้านบึง. จ.ชลบุรี ซึ่งปรากฎเป็นภาพข่าวที่พบรถของบริษัท ฮิ้วฯ นำของเสียไปปล่อยทิ้ง นั้น ผลตรวจสอบดินและน้ำเสียในพื้นที่พบค่าโลหะหนักที่เข้าข่ายเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 บริษัท ฮิ้วฯ อาจจะถูกดำเนินคดีร่วมเป็นตัวการในการครอบครองวัตถุอันตรายดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นเหตุให้ถูกเพิกถอนใบอนุญาตและดำเนินคดีในทุกข้อหาการกระทำผิด ส่วนเจ้าของที่ดิน ต.หนองอิรุณ ทางสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรีแจ้งความดำเนินคดีข้อหาครอบครองวัตถุอันตรายแล้ว

“ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ให้ความสำคัญในการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม เร่งตรวจสอบและขยายผลขบวนการที่เกี่ยวข้องกระจายไปทั่วประเทศจนจบและนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนเกี่ยวกับมาตรการควบคุมจัดการกากอุตสาหกรรมอย่างเข้มงวด โดยกระทรวงอุตสาหกรรมยืนยันจะดำเนินการเชิงรุกอย่างจริงจังต่อไป เพื่อป้องกันการลักลอบนำกากอุตสาหกรรมไปทิ้ง และจัดการไม่ถูกต้อง ลดปัญหาการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม และสร้างคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีให้ประชาชนในทุกพื้นที่ หากประชาชนพบเห็นปัญหาหรือเหตุต้องสงสัยเกี่ยวกับการประกอบการอุตสาหกรรมที่ไม่ถูกต้องหรือสินค้าที่ไม่ผ่านมาตรฐาน มอก. สามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนผ่าน ‘แจ้งอุต’ https://landing.traffy.in.th?key=wTmGfkav หรือไลน์ไอดี “traffyfondue” เพื่อกระทรวงฯ จะเร่งส่งทีมสุดซอยลงพื้นที่จัดการกับปัญหาให้ประชาชนในทันที” น.ส.ฐิติภัสร์ กล่าวทิ้งท้าย

‘เอกนัฏ’ ดึง ‘ดีเอสไอ’ ติดดาบคดีพิเศษ กำราบ!! โรงงานตัวแสบ ที่ดื้อด้าน ลั่น!! ถอนรากถอนโคน ทั้งขบวนการ หมายหัวต้นตอ!! นำเข้าขยะอันตราย

(23 มี.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้เปิดปฏิบัติการตรวจสุดซอย ในการเข้าตรวจสอบเชิงรุกดูแลโรงงานและผู้ประกอบการเกี่ยวกับการบำบัดกำจัดกากอุตสาหกรรม ตลอดจนการผลิตสินค้าให้ได้ตามมาตรฐาน โดยใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเข้มข้น และต่อเนื่อง ด้วยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน แต่ก็ยังพบว่ามีผู้ประกอบการที่ถูกดำเนินคดีแล้ว ยังคงจงใจฝ่าฝืนคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ลักลอบประกอบกิจการโรงงานอย่างไม่มีความเกรงกลัว และยำเกรงต่อกฎหมาย จึงได้ประสานความร่วมมือกับ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม ในการยกระดับบางกรณีที่เข้าลักษณะและองค์ประกอบเป็นคดีพิเศษ เพื่อดำเนินคดีและลงโทษกับผู้กระทำความผิด และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด

นายเอกนัฏ เปิดเผยด้วยว่า เบื้องต้นได้ร่วมหารือกับ พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว อดีตรองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะที่ปรึกษาดีเอสไอ โดยมี นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ถึงกรณี บริษัท ทีแอนด์ที เวสท์ แมเนจเม้นท์ 2017 จำกัด ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.ศรีมหาโพธิ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ที่จดประกอบกิจการหลายประเภทที่เกี่ยวข้องกับรีไซเคิลจัดการของเสีย และวัตถุอันตราย แต่พบว่าประกอบกิจการที่ฝ่าฝืนกฎหมายโรงงาน และกฎหมายวัตถุอันตรายอย่างร้ายแรงในหลายประการ เช่น มีการจัดการขยะอันตรายไม่ถูกต้อง และปล่อยสารเคมีอันตรายสู่สิ่งแวดล้อม ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ข้างเคียง และแม้จะถูกสั่งหยุดกิจการ ยึดอายัดของกลาง ดำเนินคดี รวมถึงยึดใบอนุญาต แต่ก็ยังคงมีการลักลอบกระทำผิดอยู่ จนเชื่อว่าคงมีผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง

“กรณี บริษัท ทีแอนด์ทีฯ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในการกระทำความผิดซ้ำซาก โดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง จึงต้องยกระดับมาตรการลงโทษ ตลอดจนใช้กลไกของ ดีเอสไอ ในการขยายผลกวาดล้าง ขุดรากถอนโคนไปถึงต้นตอของขบวนการอย่างรัดกุม” นายเอกนัฏ ระบุ

ด้าน น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงาน รมว.อุตสาหกรรม กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมาได้ร่วมกับ ชุดตรวจการสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) เข้าตรวจจับกุม บริษัท ทีแอนด์ที เวสท์ แมเนจเม้นท์ 2017 จำกัด หลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็พบว่า ยังคงลักลอบกระทำความผิด ที่สุด กรมโรงงานอุตสาหกรรม จึงมีคำสั่งยึดใบอนุญาต แต่ก็ยังพบว่า มีการลักลอบเคลื่อนย้ายของกลางที่เป็นวัตถุอันตรายไปยังพื้นที่จังหวัดอื่น ทั้ง จ.ฉะเชิงเทรา หรือ จ.สมุทรสาคร อีก จึงมีความจำเป็นต้องยกระดับเพื่อจัดการกับกรณีบริษัทที่ไม่ยำเกรงต่อกฎหมายเช่นนี้ โดย รมว.อุตสาหกรรม ได้กำชับและขอให้ทาง ดีเอสไอ ดำเนินการขยายผลให้ถึงต้นตอและจัดการขบวนการนำเข้าพลาสติก ขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือสินค้าไม่ได้มาตรฐานอุตสาหกรรมให้ถึงที่สุด

“กระทรวงอุตสาหกรรม วางแนวปฏิบัติร่วมกับ ดีเอสไอ หากพบกรณีที่มีของกลางและกากของเสียอุตสาหกรรมในปริมาณที่มาก และมีผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจำนวนมาก เข้าข่ายเป็นคดีพิเศษจะเชิญ ดีเอสไอ ร่วมตรวจเพื่อยกระดับการสืบสวนขยายผลหาข้อเท็จจริง และลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาดเพื่อให้เข็ดหลาบโดยเร็วที่สุด” น.ส.ฐิติภัสร์ ระบุ

น.ส.ฐิติภัสร์ กล่าวด้วยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม เร่งตรวจสอบและขยายผลขบวนการที่เกี่ยวข้องทั้งหมดและเร่งนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน โดยกระทรวงอุตสาหกรรมยืนยันจะดำเนินการเชิงรุกอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม ลดปัญหาการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม และสร้างคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีให้ประชาชนในทุกพื้นที่

‘เอกนัฏ’ สั่งตรวจสอบมาตรฐานเหล็กเส้นในตึก สตง. ถล่มหลังแผ่นดินไหว หวั่นใช้วัสดุไม่ได้มาตรฐาน เตรียมขยายผลไปยังโรงงานผลิตที่เกี่ยวข้อง

(30 มี.ค. 68) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างถล่มเนื่องจากแผ่นดินไหวที่ผ่านมา 

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งการให้ทีมงานพร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าไปเก็บหลักฐานที่จุดเกิดเหตุบริเวณตึก สตง. ที่ถล่ม ซึ่งหากพบว่าผู้ก่อสร้างใช้เหล็กเส้นที่ไม่ได้มาตรฐาน จะดำเนินการตามข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมถึงขยายผลไปยังโรงงานผลิตเหล็กที่เกี่ยวข้องด้วย

นายพงศ์พลกล่าวเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบแบบแปลนโครงสร้างตึก สตง. ที่กำลังก่อสร้างมีความสูงถึง 30 ชั้น คาดว่าต้องใช้เหล็กเส้นข้ออ้อย (เหล็กเส้นกลมมีบั้ง) ขนาด DB16, DB20, DB25 ในการเสริมแรงโครงสร้างคอนกรีต โดยเฉพาะในส่วนของเสา คานพื้น และฐานราก เพื่อรองรับน้ำหนักและแรงอัด แรงดึง และแรงเฉือน ซึ่งหากมีการใช้เหล็กเส้นที่ไม่ได้มาตรฐานไม่เป็นไปตามหลักทางวิศวกรรม จะทำให้โครงสร้างเปราะและแตกหักง่าย ส่งผลให้เกิดอันตรายต่อโครงสร้างอาคารในกรณีที่มีแรงกระแทกหรือแผ่นดินไหว

การผลิตและจำหน่ายเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐานถือเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงและไม่สามารถปล่อยผ่านได้ เพราะอาจส่งผลเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทั้งนี้ รัฐมนตรีเอกนัฏได้ดำเนินการอย่างจริงจังในเรื่องนี้มาโดยตลอด

โดยก่อนหน้านี้ได้ดำเนินคดีกับผู้ผลิตและจำหน่ายเหล็กที่เป็นบริษัทร่วมจดทะเบียนและบริษัทต่างชาติไปแล้วถึง 7 ราย ล่าสุดได้สั่งปิดโรงงานผลิตเหล็กทุนข้ามชาติยักษ์ใหญ่ที่ไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย และพบเหล็กเส้นข้ออ้อย SD 40 และ SD 50 ที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน มอก. 24-2559 จากการทดสอบของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย

ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุและอันตรายต่อประชาชน และเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยในทุกขั้นตอนของการก่อสร้างทั่วประเทศ

ชุดปฏิบัติการสุดซอยลุยตรวจโรงงานผลิตเหล็ก ‘ซิน เคอ หยวน’ หวังไขปมเหล็กล็อตไหนถูกใช้สร้างอาคาร สตง. รอเฉลยภายใน 7 วัน

(2 เม.ย. 68) นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายนนทิชัย ลิขิตาภรณ์ ผู้อำนวยการกองตรวจการมาตรฐาน 1 สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้เข้าตรวจสอบโรงงานผลิตเหล็ก บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองละลอก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง

โดยโรงงานผลิตเหล็ก บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด ถูกสั่งให้ ปิดกิจการไปแล้วตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2567 แต่ก็มีชาวบ้านในพื้นที่แจ้งว่า “ที่โรงงานยังมีคนเข้าออกอยู่เลย” ส่งผลให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ต้องบุกไปดูโรงงานซินเคอหยวน ให้เห็นกับตา 

การตรวจสอบดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้นำตัวอย่างเหล็กจากอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มาตรวจสอบคุณภาพ และพบว่าเหล็กข้ออ้อยขนาด 20 มิลลิเมตร และ 32 มิลลิเมตร ไม่ได้มาตรฐาน จึงต้องเข้าตรวจสอบของกลางที่ถูกยึดอายัดไว้ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม จำนวน 2,441 ตัน มูลค่าราว 50.1 ล้านบาท

จุดแรกที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ คือ บริเวณโกดังเก็บเหล็กเส้นของกลางที่ถูกอายัด เพื่อตรวจสอบว่ามีการนำเหล็กออกไปจากที่เก็บหรือไม่ จากนั้นจุดที่สองคือโรงงานผลิตเหล็ก เพื่อดูว่ามีการเปิดเตาหลอมเหล็กดำเนินกิจการต่อหรือไม่

ก่อนเข้าตรวจสอบภายในโรงงาน หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้พูดคุยกับตัวแทนบริษัท พร้อมทั้งตรวจสอบบิลค่าไฟของโรงงานในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยพบว่าก่อนถูกอายัด โรงงานแห่งนี้มีค่าไฟสูงถึง 130 ล้านบาทต่อเดือน ขณะที่ในเดือนมกราคม ค่าไฟลดลงเหลือ 1.2 ล้านบาท และในเดือนกุมภาพันธ์ ค่าไฟลดลงเหลือ 6.4 แสนบาท

นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมยังได้ขอเอกสารบันทึกการขายเหล็ก เพื่อตรวจสอบว่าเหล็กล็อตใดถูกนำไปใช้ในการก่อสร้างอาคาร สตง. ซึ่งตัวแทนบริษัทเปิดเผยว่า บริษัทไม่ได้ขายเหล็กให้กับ สตง. โดยตรง แต่ขายผ่านบริษัทตัวกลางก่อนส่งต่อให้กับผู้รับเหมาที่ก่อสร้างอาคารดังกล่าวอีกทอดหนึ่ง

เบื้องต้น ตัวแทนบริษัทรับปากว่าจะจัดส่งข้อมูลเพิ่มเติมให้กับกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อตรวจสอบภายใน 7 วัน นับจากวันที่ 2 เมษายน 2568

สำหรับการเข้าตรวจสอบครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการเฝ้าระวังและควบคุมมาตรฐานอุตสาหกรรมของภาครัฐ เพื่อป้องกันไม่ให้เหล็กไม่ได้มาตรฐานถูกนำไปใช้ในงานก่อสร้างที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในอนาคต

โฆษกอุตสาหกรรมชี้แจง ไม่มีการต่ออายุ มอก. ให้ ‘ซินเคอหยวน’ เตือนผู้เผยแพร่ข่าวสารปลอม สร้างความสับสนให้สังคม

(6 เม.ย. 68) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ออกมาชี้แจงกรณีข่าวที่กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้ทำการต่ออายุ มอก. ให้กับบริษัทเหล็กสัญชาติจีน “ซินเคอหยวน” เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

โดยยืนยันว่าเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และขอชี้แจงว่า บริษัทซินเคอหยวนยังคงถูกสั่งพักใบอนุญาตผลิตและจำหน่ายสินค้าเหล็กเส้นที่ทดสอบไม่ผ่านมาตรฐาน ตามมาตรา 40 ของหนังสือเลขที่ อก 0706/1943 ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568

นายพงศ์พล กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อมูลที่เผยแพร่เกี่ยวกับการต่ออายุ มอก. ให้บริษัทซินเคอหยวนนั้นไม่เป็นความจริง และกล่าวว่า “ไม่เข้าใจว่าผู้ปล่อยข่าวมีเจตนาอันใด หรือเป็นผู้ไม่หวังดี ที่นำข้อมูลบางส่วนจากหนังสือแก้ไขความบกพร่องในระบบควบคุมคุณภาพ (QC) ลงวันที่ 23 มกราคม 2568 มาผสมโยงกับเรื่องมาตรฐานผลิตภัณฑ์ จนทำให้เกิดความสับสนแก่ประชาชน”

โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวย้ำว่า นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ทำงานอย่างต่อเนื่องและจริงจังในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา เพื่อแก้ไขปัญหามาตรฐานอุตสาหกรรมเหล็กศูนย์เหรียญ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำลายรายได้ของประเทศ แต่ยังเป็นอันตรายต่อชีวิตประชาชนและสิ่งแวดล้อม 

ล่าสุด ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐาน และได้ลงนามเสนอปลดสิทธิประโยชน์ BOI ให้กับโรงงานเหล็กสัญชาติจีนเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568

“ขอให้ทุกฝ่ายติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและผลประโยชน์ของประเทศ” นายพงศ์พลกล่าวทิ้งท้าย

กระทรวงอุตฯ พบ บริษัททุนจีน นำเข้ายางรถยนต์เก่า ไม่ผ่าน QC ลบยี่ห้อพิมพ์เพิ่ม Made in Thailand ย้อมเป็นยางรถใหม่ ออกขาย-ส่งออก

(6 เม.ย. 68) กระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบบริษัททุนจีนรายใหญ่ที่ตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายยางรถยนต์ในประเทศไทย หลังพบพฤติกรรมต้องสงสัยหลายประการ ทั้งในด้านการผลิต การใช้แรงงาน และการนำเข้าวัตถุดิบ

เบื้องต้นพบว่า บริษัทดังกล่าวนำเข้าวัตถุดิบทั้งหมดจากประเทศจีน รวมถึงใช้แรงงานฝีมือจากจีนเป็นหลัก โดยไม่จ้างแรงงานท้องถิ่นที่มีทักษะ 

พร้อมกันนี้ ยังตรวจพบว่า บริษัทมีการลักลอบนำเข้ายางรถยนต์เก่าจากจีนที่ไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย แล้วทำการ “ลบตรา-โลโก้สินค้า” ออกจากยางเหล่านั้น ก่อนกระจายไปยังร้านยางในเครือข่ายทั่วประเทศ โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค

นอกจากนี้ ยังมีการพบว่า ยางรถยนต์ตกมาตรฐานบางส่วน ถูกนำไปพิมพ์ชื่อสินค้าใหม่ พร้อมติดฉลาก "Made in Thailand" ก่อนส่งออกจำหน่ายในราคาถูกไปยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์และมาตรฐานของสินค้ายางรถยนต์ไทยอย่างรุนแรง

จากการเข้าตรวจค้นโกดังเก็บสินค้าของบริษัทดังกล่าว เจ้าหน้าที่พบยางที่ผ่านการแปลงสภาพถูกจัดวางรวมกับยางใหม่ อีกทั้งยังมีป้ายติดระบุชัดว่า “Export Only” สะท้อนให้เห็นถึงเจตนานำส่งสินค้าต่ำกว่ามาตรฐานออกนอกประเทศอย่างชัดเจน

ขณะนี้กระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างการรอคำชี้แจงจากทางบริษัท เพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรัดกุม และพิจารณาดำเนินคดีตามกฎหมายหากพบการกระทำความผิดจริง โดยจะนำผลสอบเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อพิจารณาใช้มาตรการต่าง ๆ ต่อไป

ในส่วนของสิทธิพิเศษตามโครงการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่บริษัทได้รับนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าเข้าข่ายการละเมิดเงื่อนไขหรือไม่ ซึ่งเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในการพิจารณา

ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเร่งดำเนินการตรวจสอบอย่างเร่งด่วน เพื่อปกป้องผู้บริโภค และรักษาชื่อเสียงของสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการกระทำที่ขาดจริยธรรมและละเมิดมาตรฐานสากล

‘พงศ์พรหม’ ชื่นชม!! ‘เอกนัฏ-อรรถวิชญ์-ฐิติภัสร์’ ในการสืบสวน อุตสาหกรรมก่อสร้าง เดินหน้าปราบ!! คอร์รัปชั่น แก้ปัญหาการผูกขาด รบกับอภิสิทธิ์ชนที่โกงชาติ เพื่อปชช.

(7 เม.ย. 68) นายพงศ์พรหม ยามะรัต นักธุรกิจด้านเทคโนโลยี และอดีตรองหัวหน้าพรรคกล้า ได้โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับ การสืบสวนความผิดปกติของอุตสาหกรรมการก่อสร้าง โดยได้ระบุว่า ...

การสืบสวนความผิดปกติของอุตสาหกรรมการก่อสร้างรอบนี้ ต้องยกเครดิตให้คุณเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ คุณโอ๋ และคุณเอ๋ (อรรถวิชญ์)
ผมรู้จักคุณเอ๋ส่วนตัว แต่อีก 2 ท่าน ผมไม่รู้จักอะไรส่วนตัวเลย และเลือกตั้งรอบที่ผ่านมาผมก็ไม่ได้เลือก รทสช.ด้วย

แต่วิกฤติรอบนี้ สร้าง “ตัวจริง” ให้แจ้งเกิดได้อย่างงดงามในฝั่ง “ขวาปฏิรูป”
ขอชื่นชมมากๆ แทนสังคมไทย

และฝากพรรคฝั่งขวา เช่นประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ ภูมิใจไทย (ปี 66 ผมไม่ได้เลือก 3 พรรคนี้เช่นกัน) ศึกษาการทำงานโดยเอาผลประโยชน์ประชาชนเป็นหลักของคน 3 คนนี้ไว้ 
พรรคฝั่งขวาจะโตได้ ต้องมีเป้าหมายเป็นการแก้ปัญหาให้ประชาชนเป็นตัวตั้ง เหมือนที่ในหลวงทุกรัชกาลท่านพูดไว้เสมอ

พรรคก้าวไกลเขาได้รับความนิยมสูงมาก ไม่ใช่เพราะประชาชนอยากล้มเจ้า
แต่พรรคก้าวไกลเขามี 1 อุดมการณ์ที่ผมก็ชื่นชม คือการรบกับการคอร์รัปชั่น รบการผูกขาด รบอภิสิทธิ์ชนที่โกงชาติอย่างเป็นล่ำเป็นสัน

ไม่ใช่สักแต่พูดว่ารักเจ้าไปเรื่อย แต่ผูกตัวเองกับระบบสูบเลือด สูบเนื้อประเทศชาติจนเสียหายแบบพรรคฝ่ายขวาส่วนใหญ่
เราจึงเห็น 2 พรรคฝ่ายขวาที่คนเค้าไม่เอาแล้ว ทั้งที่ประชาชนเคยนิยม ได้แก่พรรคพลังประชารัฐ และพรรคประชาธิปัตย์ ที่รอวันล่มสลาย หากไม่เปลี่ยนวิธีคิดตัวเอง

หากคุณเอกนัฏ คุณโอ๋ คุณเอ๋ ยัง keep pace นี้ได้ ให้ยาวจนจบรัฐบาล
แถม “สลัด” สมาชิกพรรคฝั่ง “โกงยับ” ที่มาเป็นกาฝากในพรรคได้
อนาคตคนกลุ่มนี้จะสดใสมากในการเมืองไทยครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top