Saturday, 7 June 2025
กระทรวงพาณิชย์

‘สุชาติ’ หารือ ‘รมช. การค้าตุรกี’ ผลักดันเจรจา FTA ต่อ สานสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนไทย-ตุรกี

(5 พ.ย. 67) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตนได้พบหารือทวิภาคีกับนายมุสตาฟา ตุซคู (H.E. Mr. Mustafa Tuzcu) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการค้าสาธารณรัฐตุรกี ในห้วงการเดินทางเยือนตุรกี เพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการถาวรว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า (COMCEC) ครั้งที่ 40 ภายใต้องค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ระหว่างวันที่ 4-5 พฤศจิกายน 2567 ณ นครอิสตันบูล 

นายสุชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สองฝ่ายได้หารือถึงแนวทางที่จะเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างกัน โดยเฉพาะการกลับเข้าสู่การเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-ตุรกี ซึ่งได้หยุดชะงักลงตั้งแต่ปี 2565 หลังจากการเจรจาร่วมกันมา 7 รอบโดยขอให้คณะเจรจาสองฝ่ายกลับเข้าสู่การเจรจา FTA ระหว่างกันโดยเร็ว โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่ายนอกจากนั้น ฝ่ายตุรกียังได้แสดงความพร้อมที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า หรือ Joint Trade Committee (JTC) ระดับรัฐมนตรี ณ กรุงอังการา ซึ่งเป็นกลไกการหารือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับตุรกี ที่สองฝ่ายได้จัดตั้งไว้แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่เคยมีการประชุมระหว่างกัน 

“ผมแจ้งฝ่ายตุรกีว่าไทยพร้อมเข้าร่วมประชุม JTC ไทย-ตุรกี ครั้งที่ 1 เพื่อจะได้หารือถึงแนวทางกระชับความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศให้เกิดผลเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ผมได้เชิญชวนฝ่ายตุรกีให้เข้ามาลงทุนในไทยโดยเฉพาะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ EEC ขณะเดียวกัน ฝ่ายตุรกีก็เชิญชวนไทยเข้าไปลงทุนในตุรกี ซึ่งผมได้แจ้งว่าประเทศไทยมีศักยภาพสูงในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการ และผมจะส่งเสริมให้นักธุรกิจไทยเข้าไปลงทุนในตุรกีต่อไป  ส่วนการเจรจา FTA ที่ค้างอยู่ ผมขอให้ทีมเจรจาสองฝ่ายพูดคุยกันต่อ เพื่อผลักดันให้การเจรจาเดินหน้าต่อไป ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าจะเป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกันของทั้งสองประเทศ“ นายสุชาติกล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ ตุรกีเป็นคู่ค้าอันดับที่ 33 ของไทยในตลาดโลก และอันดับที่ 4 ในตะวันออกกลาง ในระยะ 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน) ของปี 2567 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 1,221 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญของไทย ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยาง และเส้นใยประดิษฐ์ และสินค้านำเข้า ได้แก่ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องประดับอัญมณี น้ำมันดิบ และเสื้อผ้าสำเร็จรูป

'พิชัย' เปิด Thailand Pavilion ยกทัพเอกชน โชว์เสน่ห์ซอฟต์พาวเวอร์ไทย ในงาน CIIE ที่จีน ชวนคนทั่วโลกเป็น ‘ลูกค้าประจำของสินค้าไทย‘ ใช้แล้วติดใจ! 

เมื่อวานนี้ (6 พ.ย.67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิด Thailand Pavilion แสดงภาพลักษณ์ประเทศไทย ในฮอลล์ Country Exhibition ที่กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ นำผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงาน China International Import Expo หรืองาน CIIE ครั้งที่ 7 ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์พาวเวอร์ จำนวน 20 บริษัท อาทิ อาหาร ไลฟ์สไตล์ แฟชั่น และธุรกิจบริการเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ บนพื้นที่กว่า 250 ตารางเมตร คาดเกิดมูลค่าเจรจาการค้าไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท และสาธิตการทำอาหาร เมนูแกงมัสมั่น บริโภคกับข้าวหอมมะลิไทย เพื่อแจกจ่ายให้ผู้เข้าร่วมงานได้ทดลองชิม และช่วยโปรโมตซอฟต์พาวเวอร์ไทยด้วย

นายพิชัย กล่าวว่า งาน CIIE เป็นงานที่ประเทศจีนจัดเพื่อเปิดกว้างสำหรับทุกประเทศให้เข้ามาขายของ ถือว่าเป็นโอกาสดีของไทยในการเข้ามา ครั้งนี้มี 80 บริษัทเข้าร่วม โดยเป็นของกระทรวงพาณิชย์ 20 บริษัท มีทั้งเรื่องอาหารไทย ซอฟต์พาวเวอร์ ฟิล์ม มวย ข้าวและปีนี้มีข่าวดี ที่พึ่งได้รับรายงานจากกรมการค้าต่างประเทศว่า ไทยส่งออกข้าวได้มากเกินเป้าจากที่คาดว่าจะได้ 8.2 ล้านตัน ตอนนี้ทะลุ 9 ล้านตันแล้ว ปลายปีต้องมากกว่านี้ ถือเป็นข่าวดีของชาวนาไทย  ขอเชิญชวนคนจากทั่วโลกให้มาช่วยซื้อของไทยเยอะๆ มาเป็นลูกค้าประจำของสินค้าไทย มาอุดหนุนเสน่ห์ซอฟพาวเวอร์ไทยกันให้มาก ถ้าท่านทดลองใช้ของไทยแล้วจะติดใจ ทั้ง อาหาร ผลไม้ นวด ชกมวย มาใช้ของไทยแล้วจะชอบ

ต่อจากนั้น รมว.พาณิชย์ยังได้เป็นประธานเปิดบูธจัดแสดงสินค้าของหน่วยงานพันธมิตร เช่น หอการค้าไทยจีน ที่ขนทัพแบรนด์สินค้าไทย เช่น มาม่า ส.ขอนแก่น ชบา มาร่วมจัดแสดง จับคู่ธุรกิจ จำหน่าย แจก รวมถึงเอกชนไทยรายใหญ่ที่มีแบรนด์สินค้าซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย เช่น CP มาร่วมแสดงศักยภาพของสินค้าและบริการไทยด้วย สำหรับสินค้าไฮไลต์ที่นำมาโชว์ในงาน เช่น ผงน้ำมะพร้าวฟรีซดราย กะทิอัดเม็ด น้ำมะพร้าวพร้อมดื่ม น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ขนมครกและขนมบ้าบิ่นสำเร็จรูป น้ำจิ้มฟรีซดราย เครื่องแกง ผงปรุงรส ทูน่าสเปรดแบบวีแกน อาหารแพลนต์เบสพร้อมรับประทานและพร้อมปรุง ผลไม้ฟรีซดราย ขนมขบเคี้ยว เป็นต้น

นายพิชัย เปิดเผยเพิ่มเติมว่า สำหรับการโปรโมตซอฟต์พาวเวอร์อาหารไทยในจีน ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์โดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ในจีน 7 แห่ง ได้ผนึกกำลังกันโปรโมตอย่างเต็มที่ โดยใช้โอกาสช่วงที่ภาพยนตร์ “หลานม่า” เข้าไปฉาย ได้ร่วมมือกับร้านอาหาร Thai SELECT 37 แห่ง ใน 13 เมือง (ปักกิ่ง ชิงต่าว หนานจิง ซูโจว เซี่ยงไฮ้ หางโจว เซี่ยเหมิน ฝูโจว กวางโจว หนานหนิง คุนหมิง ฉงชิ่ง และเฉิงตู) ในการเป็นจุดโปรโมต และบางร้านได้จัดเสิร์ฟเมนูพิเศษจากภาพยนตร์หลานม่า เช่น ปลาทอดสมุนไพร ก๋วยเตี๋ยว และโจ๊กอาม่า เพื่อให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการได้ลิ้มลองรสชาติเมนูจากภาพยนตร์ดังกล่าวด้วย

“อนาคตผมเชื่อว่าประเทศจีนจะเป็นประเทศที่มีรายได้ประชาชาติสูงสุดในโลกและหวังว่าประเทศไทยจะร่วมมือกับจีนในการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยกัน ปัจจุบันประเทศจีนมีการลงทุนในประเทศไทยสูงที่สุด หวังว่าการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับจีนจะต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หวังว่าทางจีนจะเห็นไทยเป็นคู่ค้าและเป็นพี่น้องกัน ขอบคุณประเทศจีนที่เปิดกว้าง เราจะขายของให้ประเทศจีนได้มากขึ้น เมื่อวานตนได้พบผู้ประกอบการ 16 ราย กระทรวงพาณิชย์มีนโยบายหลักในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยค้าขายในจีนหรือประเทศต่างๆได้มากขึ้น เราอยากสนับสนุนส่งเสริม 80% อีก 20% เป็นแค่เรกูเลเตอร์กำกับดูแล เน้นส่งเสริมสินค้าไทย ผู้ประกอบการไทยออกมาขายของได้มากๆ อยากเห็นการค้าไทยขยายตัวมากๆ เห็น GDP เราทะลุเกิน 4-5% ขึ้นไป อยากตามจีนให้ทัน ในความรู้สึกของคนไทยคนจีนมีความผูกพันกันเยอะ และปีหน้าจะเป็นปีที่จะ เฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต ไทย-จีน ครบรอบ 50 ปี ผมว่าความรู้สึกนี้เกินกว่าการค้าหรือการลงทุน ความรู้สึกรักใคร่กันเป็นเรื่องที่สำคัญ จะนำมาซึ่งการค้าที่ดีต่อไปในอนาคต ผมเชื่อว่าไทยกับจีนจะต้องก้าวหน้าไปด้วยกันในอนาคตอย่างแน่นอน“ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว

นบข.ไฟเขียวมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปี 67/68 ดันราคาสินเชื่อข้าวหอมมะลิ

นบข.ไฟเขียว 3 มาตรการช่วยเหลือชาวนา ที่ได้จากการหารือร่วมกับเกษตรกร โรงสี และผู้ส่งออก เชื่อราคาข้าวปีนี้ไม่ลดลง และทบทวนโครงการปุ๋ยคนละครึ่งให้เกิดการยกระดับกระบวนการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตร

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) เมื่อวันที่ 8 พ.ย.2567 ว่า ที่ประขุมนบข.ไฟเขียวมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกปีการผลิต 2567/68 รวม 3 มาตรการ  ประกอบด้วย (1) สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี เป้าหมาย 3 ล้านตัน วงเงิน 8,362.76 ล้านบาท โดยช่วยค่าฝาก 1,500 บาท/ตัน 

ในกรณีเข้าร่วมกับสหกรณ์ สหกรณ์รับ 1,000 บาท/ตัน เกษตรกรรับ 500 บาท/ตัน เก็บข้าวไว้ในยุ้งฉาง 1–5 เดือน เริ่มตั้งแต่ ครม. มีมติ - 28 ก.พ.2568 และเกษตรกรสามารถนำข้าวไปขอสินเชื่อจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยข้าวหอมมะลิตันละ 12,500 บาท ปรับเพิ่มจากปีก่อนที่ตันละ 12,000 บาท (+500 บาท/ตัน) ข้าวหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 11,000 ล้านบาท ปรับเพิ่มจากปีก่อนที่ตันละ 10,500 บาท (+500 บาท/ตัน) ข้าวหอมปทุมธานี ตันละ 10,000 บาท ข้าวเจ้า ตันละ 9,000 บาท และข้าวเหนียว ตันละ 10,000 บาท หากข้าวราคาขึ้น เกษตรกรสามารถไปไถ่ถอนออกมา 

เพื่อนำมาจำหน่ายได้ (2) สินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร เป้าหมาย 1.5 ล้านตัน ปรับเพิ่มจากปีก่อนที่เป้าหมาย 1 ล้านตัน  (+0.5 ล้านตัน) วงเงิน 656.25 ล้านบาท โดยสหกรณ์จ่ายดอกเบี้ย 1% รัฐช่วยดอกเบี้ย 3.5% ระยะเวลา 15 เดือน ระยะเวลาการจ่ายสินเชื่อตั้งแต่ ครม. มีมติ -30 ก.ย.2568 และ (3) ชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการเก็บสต๊อก เป้าหมาย 4 ล้านตัน วงเงิน 585 ล้านบาท โดยรัฐช่วยดอกเบี้ย 3% เก็บสต๊อก 2–6 เดือน ระยะเวลารับซื้อตั้งแต่ ครม. มีมติ - 31 มี.ค.2568 

นายพิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ที่ประชุมยังได้มีการพิจารณาทบทวนโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง เนื่องจากการดำเนินการที่ผ่านมา พบว่า ยังมีข้อจำกัดและข้อพิจารณาเกี่ยวกับขั้นตอนและแนวทางการปฏิบัติ จึงได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำกลับไปทบทวนหลักเกณฑ์และวิธีการให้มีความเหมาะสม รัดกุม และสอดคล้องกับหลักการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 พ.ย.66 โดยให้คงมาตรการหรือโครงการในลักษณะที่เป็นการสนับสนุนการเพิ่มระดับผลิตภาพ (Productivity) ของภาคการเกษตร ผ่านการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพดิน การพัฒนาแหล่งน้ำ และสนับสนุนปัจจัยการผลิต เพื่อยกระดับกระบวนการผลิตและคุณภาพผลผลิตทางการเกษตร และให้นำเสนอ นบข. อีกครั้ง

นอกจากนั้น ในการพัฒนาการผลิตข้าวให้มีความยั่งยืนในระยะยาว ได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บริหารจัดการข้าวให้มีความสมดุลกันระหว่างอุปสงค์และอุปทาน คำนึงถึงความเพียงพอในการบริโภคภายในประเทศ และที่สำคัญต้องทำให้ชาวนามีความแข้มแข็งสามารถพึ่งพาตนเองได้ มีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดี โดยรัฐบาลจะเดินหน้าส่งเสริมและสนับสนุนด้านตลาดและการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้มากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าการเกษตร

'พิชัย' จับมือ 'แคทเธอรีน ไท' ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ที่เปรู ดันไทยเป็นฐานผลิตสินค้าอุตสาหกรรมใหม่สหรัฐฯ ดันต่ออายุ GSP หลุดบัญชี Wacth List พร้อมเตรียมพบคณะสภาธุรกิจสหรัฐฯ - อาเซียน (USABC) 25 พ.ย.นี้

(22 พ.ย.67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในระหว่างเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีเอเปคและการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 35 ระหว่างวันที่ 14-16 พฤศจิกายน 2567 ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู ตนและคณะได้หารือกับนางแคทเธอรีน ไท ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า โดยเฉพาะการผลักดันการต่ออายุโครงการ GSP และส่งเสริมให้ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญ นอกจากนี้ในวันที่ 25 พ.ย. 2567 นายพิชัยยังมีกำหนดพบกับทัพนักธุรกิจ จากสภาธุรกิจสหรัฐฯ - อาเซียน (USABC) จำนวนกว่า 50 คน จากบริษัทชั้นนำของสหรัฐ อาทิ Amazon, Apple, Boeing, Citi, Google, Mastercard และ Seagate ที่กระทรวงพาณิชย์ เพื่อหารือแนวทางสนับสนุนนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ในการยกระดับเศรษฐกิจไทย พร้อมทั้งต่อยอดการเป็นพันธมิตรทางการค้ากับไทยต่อไปในอนาคต 

โดยในการหารือกับ นางแคทเธอรีน ไท ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ นายพิชัย เปิดเผยว่า ไทยและสหรัฐฯ เป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ซึ่งไทยพร้อมร่วมมือกับสหรัฐฯ ในการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ระหว่างกัน โดยในการหารือไทยได้แสดงความยินดีต่อการสรุปผลแผนงานด้านทรัพย์สินทางปัญญา (IP Work Plan) ที่ทั้งสองประเทศได้ดำเนินการร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การปลดไทยออกจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามอง (Watch List) ซึ่งสหรัฐก็ได้เสนอว่าจะรีบดำเนินการให้เพราะไทยได้ทำตามที่สหรัฐต้องการ และรับปากว่าจะเอาไทยออกจาก Watch List ในเร็วๆนี้  นอกจากนี้ ไทยขอให้สหรัฐฯ พิจารณาเร่งรัดการต่ออายุการให้สิทธิ GSP ที่ได้หมดอายุไปเมื่อปลายปี 2563 ให้เสร็จโดยเร็ว เนื่องจากจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการของทั้งสองประเทศ ซึ่งสหรัฐรับที่จะนำกลับมาดำเนินการให้ไทย 

โดยไทยได้แจ้งสหรัฐฯ ว่าพร้อมเป็นพันธมิตรด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเป็นฐานการผลิตในห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของสหรัฐฯ เช่น ดิจิทัล AI อิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ ผมได้ขอบคุณบริษัทดิจิทัลสัญชาติสหรัฐฯ อย่างบริษัท Google และ Amazon ที่ได้ยืนยันแผนการลงทุนในธุรกิจ Data Center และ Cloud Service ในไทย ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางธุรกิจดิจิทัลของภูมิภาค พร้อมทั้งได้เชิญชวนบริษัทสัญชาติสหรัฐฯ อื่นๆ เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มอีกปลายเดือนนี้

“ตนจะเดินทางไปงานสหรัฐอเมริกาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งจะมีโอกาสได้เจอกับผู้นำทางการค้า ซึ่งได้ใช้โอกาสนี้พูดคุยกันไว้ก่อนแล้ว ซึ่งจะเป็นการไปพูดคุยว่าไทยเป็นมิตร และบริษัทในสหรัฐจะมาลงทุนในไทยเยอะ จึงควรจะเอื้อประโยชน์ให้ไทย ซึ่งหากจะเกิดสงครามการค้า ให้มองข้ามไทยไป นี่คือแนวทางของกระทรวงพาณิชย์ซึ่งทางท่านนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ก็ให้นโยบายในการดำเนินการเรื่องดังกล่าว เพื่อให้ไทยได้ประโยชน์สูงสุด” นายพิชัย กล่าว

ซึ่งก่อนหน้านี้นายพิชัยได้ นำคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ประชุมกับอัครราชทูต(ฝ่ายการพาณิชย์) สำนักงานพาณิชย์ ณ กรุงวอชิงตัน ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ในภูมิภาคอเมริกาและลาตินอเมริกา และผู้นำเข้าสินค้าไทยรายใหญ่ของสหรัฐฯ ที่นครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ในช่วงที่ผ่านมา เพื่อติดตามสถานการณ์การค้าในตลาดสหรัฐฯ ทำงานเป็นทีมพาณิชย์เชิงรุก ตามนโยบายของรัฐบาล เร่งหาโอกาสทางการค้า การลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ไทย ซึ่งรัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ยินดีส่งเสริมแก้ไขอุปสรรคทางการค้าและการลงทุนให้กับผู้ประกอบการภาคเอกชน เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกัน

5 ประเทศที่ลงทุนในไทยเยอะที่สุดใน 10 เดือนเเรกของปี 2567

(28 พ.ย. 67) กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เผย 10 เดือน ปี ‘67 ต่างชาติลงทุนในไทย 161,169 ล้านบาท ญี่ปุ่นอันดับหนึ่ง 211 ราย เม็ดเงินลงทุน 91,700 ล้านบาท ส่วน 5 อันดับแรก มีประเทศใดบ้าง ไปส่องกันได้เลย

'พิชัย' เผย 'นายกฯ' กำชับแต่แรก ให้ดูแลสินค้าอุปโภคบริโภคภาคใต้ ห้ามขาด ห้ามแพง! เร่งจัดส่งถุงยังชีพให้ ปชช. สั่งพาณิชย์จังหวัดลุยฟื้นฟูหลังน้ำลด 

(4 ธ.ค.67) ที่สำนักงานชั่งตวงวัด กระทรวงพาณิชย์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวภายหลัง นำกระทรวงพาณิชย์ปล่อย 'คาราวานถุงยังชีพช่วยเหลือน้ำท่วมภาคใต้' ตามข้อสั่งการของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อให้ทุกหน่วยงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ทันที และเตรียมมาตรการดูแลหลังน้ำลด ขณะนี้มีจังหวัดที่ประสบอุทกภัยหนัก รวมทั้งสิ้น 6 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี  ยะลา นราธิวาส และจังหวัดอื่นๆในภาคใต้

นายพิชัย กล่าวว่า ตามที่ท่านนายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) ได้สั่งการให้ทุกกระทรวงช่วยเหลือประชาชนตั้งแต่ตอนที่อยู่เชียงใหม่ ตอนที่ทราบว่าน้ำท่วมภาคใต้ให้ทุกคนเร่งช่วยกัน สำหรับกระทรวงพาณิชย์ได้มีการแพ็คถุงยังชีพเพื่อส่งไปที่ภาคใต้อย่างเร่งด่วน โดยถุงยังชีพในวันนี้จะถูกส่งไปถึงสงขลาประมาณเที่ยงคืนวันนี้ และจะกระจายไปในจังหวัดภาคใต้ในช่วงเที่ยงของอีกวันนึง ส่วนมาตรการอื่นคือ ของห้ามขาดห้ามแพง ไม่ให้ประชาชนเดือดร้อนเพื่อแก้ปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้ 

ถ้าพบว่ามีการกักตุนสินค้าหรือพบว่าราคาแพงผิดปกติให้แจ้งมาที่สายด่วน 1569 กระทรวงพาณิชย์จะรีบเข้าไปแก้ไขให้อย่างเต็มที่และหลังจากนี้ขอความร่วมมือห้างสรรพสินค้าต่างๆ ทั้งห้างค้าส่ง-ค้าปลีก สำหรับการเตรียมการในช่วงหลังน้ำลดให้มั่นใจว่าของไม่ขาด และหลังน้ำลดจะมีมาตรการฟื้นฟูจัดธงฟ้าขายสินค้าในราคาถูก โดยเฉพาะสินค้าที่จำเป็นในการทำความสะอาด ถ้าจังหวัดไหนเดือดร้อนเราจะเข้าไปดูแลอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ทางภาคเหนือประสบภัยน้ำท่วมหลังน้ำลดก็มีการจัดธงฟ้าจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคราคาถูก และสินค้าทำความสะอาดบ้านเรือนที่เสียหาย เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้กลับมาฟื้นได้ตามปกติ

“ท่านนายกได้สั่งการตั้งแต่ที่เชียงใหม่เชียงราย ทันทีที่เกิดเหตุให้ทุกหน่วยงานเร่งช่วยเหลือและฟื้นฟูดูแลประชาชน โดยกระทรวงพาณิชย์มีการตั้งศูนย์เฉพาะกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมกระทรวงพาณิชย์ และร่วมมือกับภาคเอกชนจัดส่งถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยน้ำท่วมและภายหลังน้ำลดก็มีการจัดโครงการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง ขอความร่วมมือห้างท้องถิ่นลดราคาสินค้าและจัดธงฟ้าจัดจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์ซ่อมแซมที่จำเป็นในราคาถูกลดภาระค่าครองชีพในยามวิกฤต”นายพิชัย กล่าว

‘กระทรวงพาณิชย์’ เผย!! TEMU จดทะเบียนนิติบุคคล ในไทยแล้ว พร้อมเดินหน้า แก้ไขปัญหานอมินี ลั่น!! ต้องดำเนินการตามกฎหมาย

(10 ธ.ค. 67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้า และธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลสินค้าไร้คุณภาพที่นำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งกรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)

ให้เพิ่มความเข้มงวด และเพิ่มความเข้มข้นต่อไป หลังจากผลการทำงานที่ผ่านมา ได้ผลเป็นอย่างดี และแก้ไขปัญหาลงไปได้มาก สามารถดูแลผู้บริโภค และผู้ประกอบการ SME ได้เป็นอย่างดี

ในส่วนของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ TEMU ล่าสุดตนได้รับรายงานว่า เมื่อ 11 พ.ย.67 ที่ผ่านมาทาง TEMU ได้ดําเนินการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โดยใช้ชื่อบริษัท เวลโค เทคโนโลยี จํากัด

ส่วนการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวนั้นมี  2 ช่องทางคือ ช่องทางการส่งเสริมการลงทุนสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)และตามพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ทั้งนี้ทางจีนก็ยินดีที่จะส่งเสริมการส่งออกสินค้า SME ไทยให้เข้าไปจำหน่ายในจีนทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรูปแบบใหม่

นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (Nominee) และคณะอนุกรรมการส่งเสริม และยกระดับ SME ไทยและแก้ปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานอย่างเข้มข้น ทำให้สินค้าไร้คุณภาพเข้าสู่ประเทศลดลง โดยช่วงก่อนมีมาตรการ ม.ค. - มิ.ย.2567 มีการนำเข้าเฉลี่ยเดือนละ 3,112 ล้านบาท และตั้งแต่เดือนก.ค.- ปัจจุบัน การนำเข้าลดลงเหลือ 2,279 ล้านบาท ลดลง 27% ลดลงทุกกลุ่มสินค้า โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่มีมาตรฐาน

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มมาตรการในการกำกับดูแล โดยสินค้าเกษตร ให้เพิ่มการตรวจสอบสารปนเปื้อน สารเคมีตกค้าง แมลงตกค้าง จาก 500 ครั้งต่อเดือน เป็น 5,000 ครั้งต่อเดือน

และระยะกลาง เพิ่มการตรวจสอบเป็นวันละ 200 ครั้ง หรือปีละ 7.2 หมื่นครั้ง สินค้าอุปโภคบริโภค ที่จำหน่ายผ่านเว็บไซต์ ให้ อย. และ สคบ. ตรวจสอบการติดสลาก คุณภาพสินค้า จากปกติ 1,200 ครั้ง เป็น 1,600 ครั้งต่อเดือน และเพิ่มเป็น 3,000 ครั้งต่อเดือน

ส่วนที่นำเข้า ให้ตรวจเข้ม 100% ในบางสินค้า และ 20-30% ในบางสินค้า และให้ชะลอการจ่ายเงินไว้ 5 วัน เพื่อให้ผู้บริโภคได้ตรวจสอบสินค้า รวมทั้งต้องตรวจสอบการติดสลาก อย. มอก. อย่างเข้มข้น

ส่วนการดำเนินคดี กรมศุลกากรได้ดำเนินคดีแล้ว 12,145 ราย มูลค่าความเสียหาย 529 ล้านบาท สมอ. 59 คดี 33 ล้านบาท สคบ. 159 คดี 27.8 ล้านบาท กรมทรัพย์สินทางปัญญา 177 คดี 153 ล้านบาท และ อย. 30,393 รายการ ยังประเมินมูลค่าความเสียหายไม่ได้

นายนภินทร กล่าวว่า สำหรับการแก้ไขปัญหานอมินี ได้แบ่งกลุ่มตรวจสอบธุรกิจที่มีความเสี่ยง 6 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจท่องเที่ยว และเกี่ยวเนื่อง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และเกี่ยวเนื่อง ธุรกิจขนส่งทางบก ธุรกิจโกดัง และคลังสินค้า ธุรกิจซื้อขายที่ดินเพื่อการเกษตร และธุรกิจอื่นๆ โดยผลการตรวจสอบตั้งแต่ 1 ก.ย. - 4 ธ.ค.2567 สามารถดำเนินคดีได้ 747 ราย มูลค่า 11,720 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าของธุรกิจที่ได้เข้าไปตรวจสอบ

“ขอแจ้งเตือนไปยังผู้ที่กระทำการเป็นนอมินีให้กับคนต่างด้าว เข้ามาทำธุรกิจในไทย ขอให้หยุดการกระทำ และแจ้งข้อมูลมายังกรมพัฒนาธุรกิจการค้า สายด่วน 1570 จะกันตัวไว้เป็นพยาน แต่ถ้ายังขืนดื้อดึง และทำผิดต่อไป หากจับกุมได้ จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด ไม่มีละเว้น” นายนภินทร กล่าวทิ้งท้าย

'พิชัย' ลุยญี่ปุ่น ถกหอการค้า-อุตสาหกรรมญี่ปุ่น และนักลงทุนยักษ์ใหญ่ ชวนขยายการลงทุนไทยพร้อมให้คำมั่น พาณิชย์ พร้อมอำนวยความสะดวกเต็มที่  

(21 ธ.ค.67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือกับหอการค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น นักลงทุนญี่ปุ่น องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) และนักลงทุนญี่ปุ่นหลายบริษัท ประกอบด้วย GS Yuasa International , Extrabold Corporation , Hitachi , Scheme Verge , SIIX , Mitsubishi Electric Corporation  และ Softbank เป็นต้น รวมถึง JETRO, JICA, แบงค์กรุงเทพในญี่ปุ่น สำนักงาน BOI โตเกียว โดยมีนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ น.ส.สุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เข้าร่วม ณ สถานเอกอัครราชทูตไทย กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

นายพิชัย ระบุว่า ไทยและญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าที่ดีมาอย่างยาวนาน โดยในปี 2566 ญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าอันดับที่ 3 ของไทย และเป็นประเทศศักยภาพที่สำคัญของไทยในด้านการลงทุน โดยเป็นนักลงทุนต่างชาติกลุ่มแรกที่เข้ามาลงทุนขนาดใหญ่ในไทยมานานกว่า 50 ปี และมีส่วนสำคัญในการวางรากฐานอุตสาหกรรมของไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ และยังคงขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง มีลงทุนสะสมในไทยมากเป็นอันดับ 1 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการลงทุน 1 ใน 4 ของการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด ขอขอบคุณนักลงทุนญี่ปุ่นที่เล็งเห็นว่าไทยมีศักยภาพในการเติบโตและมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด อยากให้มีความมั่นใจและมาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ทางรัฐบาลโดยการนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และทางกระทรวงพาณิชย์ยินดีที่จะสนับสนุนและอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่

สำหรับ JETRO ซึ่งเป็นเสมือนกัลยาณมิตรของคนไทยมายาวนาน ตนได้ขอบคุณที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการค้าและการลงทุนในไทยมาโดยตลอด และขอให้ทำงานใกล้ชิดกันต่อไป ส่วน JICA ได้ขอบคุณที่สนับสนุนโครงการพัฒนาคุณภาพกล้วยหอมที่ปลูกบนเนินสูงของไทย จนสามารถทำให้กล้วยหอมไทยเข้าไปจำหน่ายในญี่ปุ่นได้เพิ่มขึ้น โดยล่าสุด มีการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้ถึง 5,000 ตัน มูลค่า 100 ล้านบาท และหวังว่าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นต่อไปในอนาคต

ต่อมา นายพิชัยได้นำคณะ หารือกับ NTT Corporation ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการด้านไอทีและให้คำปรึกษาธุรกิจระดับโลกมีสำนักงานบริการทั่วโลกกว่า 50 ประเทศ ว่าตอนนี้มีแผนงานที่ชัดเจนจะมาลงทุนที่ประเทศไทยในการทำ Data Center และหวังที่จะขยาย Data Center เพิ่มขึ้น ถ้ามีความต้องการมากขึ้น 

นอกจากนั้น ตนยังได้หารือกับผู้บริหารของ Nippon Steel Corporation (NSC) บริษัทผู้ผลิตเหล็กแบบครบวงจรที่มีขนาดใหญ่อันดับที่ 4 ของโลก โดยไทยเป็นประเทศที่ทาง NSC มาลงทุนเป็นอันดับสาม รองจาก อเมริกาและอินเดีย NSC ยังสนใจที่จะมาลงทุนเพิ่มในไทย

ซึ่งระบบการผลิตเหล็กของเขาเป็นแบบครบวงจร แม้ว่ายังมีปัญหาเรื่องการถูกดั๊มราคาสินค้าและมีสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาเยอะจนอาจเป็นปัญหาได้ แต่ทางบริษัทฯมั่นใจว่าจะลงทุนที่ไทย ซึ่ง NSC ลงทุนที่ไทยมาแล้ว 60 ปี และจะมาลงทุนอีกหลายหมื่นล้านบาท ตนจึงให้ความมั่นใจว่ารัฐบาล และกระทรวงพาณิชย์จะอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ให้เกิดการลงทุนในประเทศไทยให้ได้ 

“การมาญี่ปุ่นครั้งนี้ ผมมั่นใจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ให้ความมั่นใจกับนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในไทย ว่า จะสามารถดูแลและลดข้อกังวลต่างๆ จากที่ได้พบปะพูดคุย ผมเชื่อว่าจะเกิดเม็ดเงินลงทุนใหม่ในไทยอีกกว่า 2-3 หมื่นล้านบาท ในเร็วๆ นี้ และญี่ปุ่นยืนยันมุ่งเป็นเบอร์หนึ่งของต่างชาติเข้าลงทุนในไทย  ซึ่งรัฐบาลยินดีให้การสนับสนุนในทุกด้าน” นายพิชัย กล่าว

‘สุชาติ’ ลั่นไม่ได้หายไปไหน ยังทำงานเพื่อประชาชนทุกวัน เดินหน้าผลักดันส่งออก หวังทำให้ FTA มีประโยชน์สูงสุด

รมช.พาณิชย์ ‘สุชาติ ชมกลิ่น’ ยืนยันไม่ได้หายไปไหน ลุยทำงานพร้อมรอยยิ้ม เดินหน้าผลักดันส่งออก ชี้ต้องการทำให้ FTA มีประโยชน์สูงสุด

(24 ธ.ค.67) นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ตนทำงานในฐานะ รมช.พาณิชย์ อย่างเต็มที่ โดยที่ผ่านมาได้เดินหน้าทำงานต่อเนื่อง สร้างผลงานดันเจรจา FTA ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ FTA มีประโยชน์ต่อเกษตรกร ผู้ประกอบการ และประชาชนสูงสุด โดยขอยืนยันว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ยังคงเดินหน้าทำงานต่อเนื่อง ทั้งช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเติบโตขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ ของเกษตรกรและผู้ประกอบการไทย ผลักดันการส่งออก ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มช่องทางการค้ากับประเทศต่าง ๆ แต่ยังสามารถสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

อีกทั้งยังสานต่อนโยบายของ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เดินหน้าเจรจา FTA และติดตามผลการประชุมอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องของการเจรจาความตกลงการค้าเสรี FTA และติดตามผลการประชุมเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (EPA) ไทย-เกาหลีใต้ ครั้งที่ 2 ในการหารือและสรุปข้อบังคับทางศุลกากรและการอำนวยความสะดวกในด้านการค้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการนำเข้าและส่งออก การขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้า ไทย-เซเนกัล เปิดประตูการค้าสำคัญในการเข้าสู่ตลาดแอฟริกาตะวันตก ผลักดันเจรจา FTA ต่อเพื่อสานสัมพันธ์การค้าการลงทุน ไทย-ตุรกี โดยการจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-ตุรกี กลับเข้าสู่การเจรจาหลังจากหยุดชะงักลงตั้งแต่ปี 2565 และ เร่งผลักดัน ”BIMSTEC FTA“ ในเวทีระดับภูมิภาคร่วม 7 ประเทศ

นายสุชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันนี้ ไทยมีความตกลง FTA ทวิภาคี กับประเทศสมาชิก ได้แก่ FTA ไทย-อินเดีย, อาเซียน-อินเดีย, FTA ไทย-ศรีลังกา (คาดว่าจะบังคับใช้ 1 ม.ค. 68) FTA ไทย-ภูฏาน (คาดว่าจะสรุปผลได้ภายในปี 68) ไทย-บังกลาเทศ (ลงนามแสดงเจตจำนงเริ่มเจรจา FTA ภายในปี 68) ทั้งนี้พร้อมที่จะสนับสนุนการเจรจาทบทวนการค้าสินค้าภายใต้อาเซียนอินเดีย FTA ให้มีการสรุปผลสำเร็จได้ภายในปี 2568 โดยตนได้เดินสายประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกร ผู้ประกอบการ เตรียมรับมือ เร่งใช้ประโยชน์จาก FTA สร้างความรู้ความเข้าใจ การอำนวยความสะดวกในด้านการค้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการนำเข้าส่งออก พร้อมเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ

“ทำงานไปพร้อมกับรอยยิ้มทุกวัน ไม่ได้หายไปไหนครับ พี่น้องสื่อมวลชนอย่าเพิ่งลืมกันไปเสียก่อน มีอะไรก็ยกหูโทรฯ หามาได้ 24 ชม. ที่เงียบ ๆ ไปก็เพราะทำงานครับ ผมจะยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าทำงานต่อไป เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร ผู้ประกอบการ และประชาชน โดยไม่ให้กระแสข่าวที่เกิดขึ้น ส่งผลต่อการทำงานและการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์แต่อย่างใด” นายสุชาติ กล่าว

พาณิชย์ มอบของขวัญส่งท้ายปี จับมืออียิปต์ตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้า JTC ไทย-อียิปต์ คลอดแผนปฏิบัติการความร่วมมือเศรษฐกิจสองฝ่าย ปูทางขยายการค้าการลงทุนไทยสู่แอฟริกา

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2567 ตนและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุนและการค้าต่างประเทศของอียิปต์ (นายฮัสซัน เอล-คาติบ) ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย-อียิปต์ และแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับอียิปต์ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ตามที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยการลงนามเอกสารสองฉบับในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างไทยกับอียิปต์ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น และเป็นส่วนหนึ่งของการฉลองความสัมพันธ์ครบรอบ 70 ปี ระหว่างสองประเทศในปี 2567 นี้ด้วย
 
นายพิชัยเสริมว่า การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้า หรือ Joint Trade Committee (JTC) ไทย-อียิปต์ จะเป็นกลไกสำคัญสำหรับรัฐมนตรีการค้าของทั้งสองฝ่าย เพื่อใช้หารือนโยบายและแนวทางในการพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และสร้างความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนที่สองฝ่ายจะได้ประโยชน์ร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม โดยได้กำหนดสาขาความร่วมมือทางเศรษฐกิจสำคัญที่สองประเทศจะร่วมมือกันในระยะ 5 ปี (ปี 2567-2572) ได้แก่ การค้าและการลงทุน เกษตรกรรม การรวมกลุ่มและเขตอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย 

“อียิปต์เป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสำหรับการค้าและการลงทุนของไทย มีทำเลที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของการขนส่งสินค้าทางทะเล เชื่อมโยงทวีปเอเชีย และทวีปยุโรป ผ่านคลองสุเอซ และเป็นประตูการค้าสู่ประเทศอื่นๆ ในแอฟริกาและตะวันออกกลาง อียิปต์จึงมีศักยภาพสูงในการเป็นแหล่งกระจายสินค้าของไทย นอกจากนั้น ปัจจุบัน อียิปต์ยังมีนโยบายที่เปิดรับการค้าและการลงทุนจากต่างชาติเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการไทยให้ความสนใจกับอียิปต์มากขึ้น ผมจึงเสนอให้จัดการประชุม JTC ไทย-อียิปต์ ครั้งที่ 1 ภายในครึ่งแรกของปี 2568 เพื่อเร่งใช้ประโยชน์จากกลไก JTC ดังกล่าวในการแสวงหาความร่วมมือและแนวทางที่จะอำนวยความสะดวกและลดอุปสรรคทางการค้าและการลงทุนให้แก่ผู้ประกอบการไทย” นายพิชัยกล่าว

ปัจจุบัน อียิปต์เป็นคู่ค้าอันดับที่ 5 ของไทยในทวีปแอฟริกา ในปี 2566 การค้าระหว่างกันมีมูลค่า 725.12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกไปอียิปต์ 666.16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้าจากอียิปต์มูลค่า 58.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญของไทย อาทิ ผลิตภัณฑ์ยาง ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ เคมีภัณฑ์ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป สินค้านำเข้าสำคัญจากอียิปต์ อาทิ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เสื้อผ้าสำเร็จรูป และเครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ทั้งนี้ ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค. - ต.ค.) การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 592.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 0.46 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top