Wednesday, 23 April 2025
กฟผ

'กกพ.' เคาะค่าไฟใหม่เป็นทางการ 4.18 บาท กลุ่มเปราะบาง 3.99 บาท หลัง 'พีระพันธุ์' สั่งตรึงราคา จบตัวเลขก่อนหน้าที่จ่อพุ่งแตะ 6 บาท

(31 ก.ค.67) แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในวันนี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เตรียมประชุมเห็นชอบค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) เรียกเก็บในงวดสุดท้ายของปี ก.ย.-ธ.ค. 67 อย่างเป็นทางการ หลังจากเปิดรับฟังความคิดเห็นในกรณีต่าง ๆ ผ่านทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 12-26 ก.ค. 67 ใน 3 กรณี คือ กรณีแรก หน่วยละ 4.65 บาท กรณี 2 หน่วยละ 4.92 บาท และกรณี 3 หน่วยละ 6.01 บาท แต่ละกรณีแตกต่างกันที่การชำระหนี้คงค้างจำนวน 98,495 ล้านบาท ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)

อย่างไรก็ตาม แม้ กกพ.จะประกาศ 3 ราคา ซึ่งเป็นการปรับขึ้นค่าไฟทั้งหมด จากงวดปัจจุบันอยู่ที่หน่วยละ 4.18 บาท แต่ทางนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ได้ขอที่ประชุม ครม.พิจารณาแนวทางการช่วยเหลือประชาชนให้ตรึงราคาค่าไฟฟ้างวดสุดท้ายไว้เท่าเดิม คือ หน่วยละ 4.18 บาท ซึ่งทาง ครม.วันที่ 23 ก.ค. 67 ได้อนุมัติแนวทางตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ภายใต้แนวทางการบริหารจัดการภาระค่าเชื้อเพลิงร่วมกับ กฟผ. และบมจ.ปตท. รวมถึงการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่กรอบไม่เกินลิตรละ 33 บาท โดยใช้งบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จนถึงวันที่ 31 ต.ค. 67 ซึ่งขณะนี้ทาง กกพ.ได้รับหนังสือยินยอมภาระต้นทุนคงค้าง และจะทยอยคืนทีหลังจาก กฟผ.แล้ว และคาดว่า วันที่ 30 ก.ค. ทาง ปตท.จะส่งหนังสือรับภาระต้นทุนคงค้าง และทยอยจ่ายคืนทีหลังเช่นกัน

ทั้งนี้หากที่ประชุมบอร์ด กกพ. อนุมัติและประกาศเป็นทางการแล้ว คาดว่า ใช้เวลา 1-2 วัน หรืออย่างช้าสุดไม่เกิน 1 สัปดาห์หลังจากบอร์ดเห็นชอบ ส่งผลให้บิลค่าไฟฟ้าเดือน ก.ย.–ธ.ค. 67 อัตราค่าไฟฟ้าสำหรับประชาชนทั่วไปจะอยู่ที่หน่วยละ 4.18 บาท ส่วนกลุ่มเปราะบาง ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ยังคงไว้ในอัตราเดิมหน่วยละ 3.99 บาท มีจำนวน 17.7 ล้านครัวเรือนเช่นเดิม โดย ครม.จะนำงบกลางมาชดเชย

อย่างไรก็ตามผลจากการตรึงราคาค่าไฟฟ้างวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. 67 อยู่ที่หน่วยละ 4.18 บาท จากที่ควรต้องปรับขึ้นตามแนวทางที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดรับฟังความคิดเห็น เป็นที่ 4.65-6.01 บาทต่อหน่วย ทำให้ ปตท.และ กฟผ. จะยังไม่ได้รับการคืนต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริง หรือเอเอฟก๊าซ ที่ทั้ง 2 หน่วยงานร่วมกันแบกรับภาระแทนประชาชนไปก่อน 15,083.79 ล้านบาท โดย กฟผ.จะได้รับคืนภาระต้นทุนคงค้างที่เกิดขึ้นจริงเพียงหน่วยละ 5 สตางค์ จากภาระต้นทุนคงค้างที่สะสมอยู่จำนวน 98,495 ล้านบาท จะต้องรอทยอยเรียกเก็บคืนจากประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าในภายหลัง ซึ่งยังไม่รู้อนาคตว่า งวดแรกของปี 68 (ม.ค.-เม.ย.) จะต้องรับภาระยืดการชำระไปอีกหรือไม่ เนื่องจากทิศทางราคาพลังงานยังมีแนวโน้มผันผวนอย่างต่อเนื่อง

‘กฟผ.’ ประกาศอัดฉีด ‘จอมพลัง’ ทีมชาติไทย โอลิมปิกปารีส 2024 ชี้!! หาก ‘ส้ม ดวงอักษร’ นักกีฬาคนสุดท้าย คว้าทองได้ รับไปเลย 5 ลบ.

(9 ส.ค.67) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ประกาศอัดฉีดจอมพลังทีมชาติไทย ชุดโอลิมปิกเกมส์ 2024 เหรียญเงิน 3 ล้านบาท และเหรียญทองแดง 2 ล้านบาท หากจอมพลังคนสุดท้าย ‘ส้ม’ ดวงอักษร ใจดี พิชิตเหรียญทอง รับไปเลย 5 ล้านบาท โดยมีกำหนดการมอบเงินในวันที่ 14 สิงหาคมนี้ ที่ห้องประชุมเกษม จาติกวณิช การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สำนักงานใหญ่

ตามที่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้สนับสนุนหลักของสมาคมกีฬายกน้ำหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทยมาอย่างยาวนาน จนทำให้กีฬายกน้ำหนักของไทยสามารถก้าวไปอยู่ระดับแนวหน้าของโลก

จากผลงานการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 ‘ปารีสเกมส์’ ขณะนี้จอมพลังไทยสามารถคว้ามาแล้ว 2 เหรียญเงิน จาก ธีรพงศ์ ศิลาชัย ในรุ่น 61 กก.ชาย, วีรพล วิชุมา รุ่น 73 กก.ชาย และ 1 เหรียญทองแดง จากสุรจนา คำเบ้า รุ่น 49 กก.หญิง

ล่าสุด กฟผ.ได้แจ้งกับสมาคมกีฬายกน้ำหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทยว่า จะมอบเงินให้กับนักกีฬายกน้ำหนักที่ได้รับเหรียญรางวัล โดยเหรียญเงินจะมอบให้ 3 ล้านบาท และเหรียญทองแดง 2 ล้านบาท

ทั้งนี้ ยังมีนักกีฬายกน้ำหนักอีก 1 คน คือ ดวงอักษร ใจดี ที่เตรียมขึ้นเวทีแข่งขันในวันที่ 11 สิงหาคมนี้ เวลา 16.30 น.ตามเวลาประเทศไทย หากสามารถคว้าเหรียญทองมาครองได้ จะมอบเงินให้จำนวน 5 ล้านบาท โดยกำหนดการมอบเงินรางวัลจะมีขึ้นในวันที่ 14 สิงหาคม 2567 เวลา 15.30 น. ที่ห้องประชุมเกษม จาติกวณิช การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สำนักงานใหญ่

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นผู้สนับสนุนหลักของสมาคมกีฬายกน้ำหนักฯ มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งในปีแรกสนับสนุนงบประมาณ 7,000,000 บาท และในปีนั้นมีการแข่งขันโอลิมปิก ครั้งที่ 28 ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ จอมพลังไทยทำผลงาน 2 เหรียญทอง 2 เหรียญทองแดง ก่อนที่ในโอลิมปิกครั้งต่อ ๆ มา นักยกลูกเหล็กของไทยก็สามารถคว้าเหรียญรางวัลได้อย่างต่อเนื่อง จนถึงโอลิมปิกเกมส์ 2024

อนึ่ง คณะนักกีฬายกน้ำหนักทีมชาติไทยชุดโอลิมปิกเกมส์จะเดินทางกลับถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ในวันที่ 14 สิงหาคม 2567 โดยสายการบินไทย เที่ยวบิน TG931 เวลา 05.50 น.

สรุปเงินรางวัลจากการคว้าเหรียญเงินของทัพยกน้ำหนักไทย มาจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ การกีฬาแห่งประเทศไทย 7.2 ล้านบาท (จ่ายเป็นเงินก้อนอัตราร้อยละ 50 ส่วนอีกร้อยละ 50 แบ่งจ่ายเป็นรายเดือนในระยะเวลา 4 ปี), เงินเดือนจากคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ เดือนละ 10,000 บาท เป็นเวลา 20 ปี เป็นเงิน 2.4 ล้านบาท, การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 3 ล้านบาท และจาก บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) 5 แสนบาท รวมเป็นเงิน 13.1 ล้านบาท

สำหรับเงินรางวัลจากการคว้าเหรียญทองแดงของทัพยกน้ำหนักไทย มาจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ การกีฬาแห่งประเทศไทย 4.8 ล้านบาท (จ่ายเป็นเงินก้อนอัตราร้อยละ 50 ส่วนอีกร้อยละ 50 แบ่งจ่ายเป็นรายเดือนในระยะเวลา 4 ปี), เงินเดือนจากคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ เดือนละ 8,000 บาท เป็นเวลา 20 ปี เป็นเงิน 1.92 ล้านบาท, การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 2 ล้านบาท และจาก บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) 3 แสนบาท รวมเป็นเงิน 9.02 ล้านบาท

'กฟผ.' ชวนเยาวชน 'เรียนรู้-เปิดประสบการณ์' อนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ในมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 16-25 สิงหาคมนี้ ที่เมืองทองธานี

เมื่อวานนี้ (14 ส.ค.67) กฟผ. ขอชวนเยาวชนร่วมงาน มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2567 เรียนรู้ ‘โลกไฟฟ้ายั่งยืน Into Sustainable World’ ร่วมผจญภัยพร้อมสัมผัสประสบการณ์การอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม รับพาสปอร์ตสะสมแต้มจากภารกิจ 4 โซน ทั้งการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด โดยเฉพาะโซลาร์เซลล์ลอยน้ำระบบไฮบริด การเรียนรู้ประโยชน์ของต้นไม้ที่ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ รวมทั้งวิธีการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านห้องเรียนสีเขียว ฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 และสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EleX by EGAT ร่วมตะลุยค้นหาศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ลุ้นรับของรางวัลสุดพิเศษมากมาย พลาดไม่ได้กับกิจกรรมบนเวที และการแข่งขัน E-Sport กับโค้ชทีมชาติ ในวันที่ 16-25 สิงหาคม 2567 เวลา 09.00-19.00 น. ณ อาคาร 12 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

‘กฟผ.’ จัดนิทรรศการ ‘โลกไฟฟ้ายั่งยืน Into Sustainable World’ พร้อมชวน ‘เยาวชน’ พิชิตภารกิจสร้างโลกไฟฟ้ามั่นคง เพื่อโลกยั่งยืน

เมื่อวานนี้ (16 ส.ค.67) นายสมศักย์ ปรางทอง ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการด้านการใช้พลังงานและสิ่งแวดล้อม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ร่วมเป็นประธานพิธีเปิดนิทรรศการ ‘โลกไฟฟ้ายั่งยืน Into Sustainable World’ ที่ กฟผ. จัดขึ้นภายในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2567 ระหว่างวันที่ 16 – 25 สิงหาคม 2567 เวลา 09.00 – 19.00 น. ณ อาคาร 12 อิมแพ็ค เมืองทองธานี 

นายสมศักย์ ปรางทอง ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการด้านการใช้พลังงานและสิ่งแวดล้อม กฟผ. กล่าวว่า การจัดนิทรรศการในครั้งนี้ กฟผ. ได้นำเสนอแนวคิดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และความเข้าใจในภารกิจหลักของ กฟผ. ที่มุ่งสร้างไฟฟ้ามั่นคง เพื่อโลกและอนาคตที่ดีกว่าและยั่งยืน หรือ Mission To Sustainability ภายใต้กลยุทธ์ Triple S  ได้แก่ Sources Transformation : การปรับเปลี่ยนรูปแบบผลิตไฟฟ้า, Sink Co-creation : การเพิ่มแหล่งดูดซับกักเก็บคาร์บอนอย่างมีส่วนร่วม, Support Measures Mechanism : การสนับสนุนโครงการชดเชยและหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ผ่านรูปแบบนิทรรศการผสมผสานที่สนุก น่าสนใจ เข้าใจง่าย รวมถึงส่งเสริมให้เยาวชนได้ร่วมมือกันอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าและสิ่งแวดล้อม

ภายในนิทรรศการ ‘โลกไฟฟ้ายั่งยืน Into Sustainable World’ ประกอบด้วย 4 โซน โดยเริ่มต้นการผจญภัย ด้วยการลงทะเบียนเพื่อรับพาสปอร์ตสะสมแต้มจากภารกิจในแต่ละโซนเพื่อแลกรับของรางวัลสุดพิเศษจาก กฟผ. และออกผจญภัยไปยังโซนต่างๆ ได้แก่

โซนแรก เรียนรู้ Sources Transformation การเปลี่ยนผ่านพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่เป็นเชื้อเพลิงสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีไฮไลท์อยู่ที่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำ รวมถึงการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้า และเทคโนโลยีให้ทันสมัย การพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้า (Grid Modernization) รองรับพลังงานหมุนเวียนซึ่งจะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น ลดความผันผวน และสร้างความมั่นคงต่อระบบไฟฟ้าของประเทศ

โซนที่ 2 ทำความรู้จัก Sink Co-creation การเพิ่มแหล่งดูดซับกักเก็บคาร์บอนอย่างมีส่วนร่วม ผ่านการเรียนรู้ประโยชน์ของต้นไม้ และรู้จักเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture Utilization and Storage) ที่มีส่วนสำคัญในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 

โซนที่ 3 สนุกกับ Support Measures Mechanism : การสนับสนุนโครงการชดเชยและหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ผ่าน 3 เรื่องราว 1) ทำความรู้จักห้องเรียนสีเขียว แหล่งเรียนรู้ด้านการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม  2) เรียนรู้ความสำคัญของฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 พร้อมตัวอย่างอุปกรณ์ที่ได้รับฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 3) ผจญภัยในโลกไฟฟ้ายั่งยืนยุคใหม่กับ EV STATION สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EleX by EGAT เรียนรู้การใช้แอปพลิเคชัน EleXA ที่พร้อมให้บริการและสร้างความมั่นใจในทุกการเดินทาง

โซนสุดท้าย  ตะลุยค้นหาศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ทั่วประเทศ เพื่อสื่อสารพันธกิจ กฟผ. และต่อยอดเรียนรู้การอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้า รวมทั้งปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแก่เยาวชน

นอกจากนี้ ภายในบูทนิทรรศการของ กฟผ. ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ บนเวที อาทิ การแข่งขัน E- Sport พร้อมร่วมลุ้นรับของรางวัลมากมายจากการสะสมแต้มตลอดการจัดงาน ผู้ที่สนใจสามารถเยี่ยมชมบูทนิทรรศการของ กฟผ. ได้ ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2567 ระหว่างวันที่ 16 – 25 สิงหาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 09.00 – 19.00 น. ณ อาคาร 12 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

‘กฟผ.’ โชว์เทคโนโลยี ‘LED เบอร์ 5’ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในงาน ‘LED Expo Thailand & Smart Living Expo 2024’

(6 ก.ย. 67) นายไชยยศ ตั้งวรกุลชัย ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารจัดการความยั่งยืน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมเปิดงาน LED Expo Thailand & Smart Living Expo 2024 ณ ห้องแอมเบอร์ 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีนายวัฒนพงษ์ คุโรวาท อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ผู้แทนกระทรวงพลังงาน เป็นประธานเปิดงาน 

งานนี้ถือเป็นมหกรรมเทคโนโลยีแสงสว่างอัจฉริยะใหญ่ที่สุดในอาเซียน รวบรวมและนำเสนอนวัตกรรม โซลูชัน เทคโนโลยีด้านไฟฟ้าและแสงสว่างอัจฉริยะระดับนานาชาติกว่า 500 แบรนด์จาก 10 ประเทศทั่วโลก รวมถึงมี Zhejiang International Trade Exhibition 2024 เวทีการค้าระดับทวิภาคีที่สำคัญระหว่างจีนและไทย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกรมการค้ามณฑลเจ้อเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน (5 ก.ย.)

นายไชยยศ ตั้งวรกุลชัย ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารจัดการความยั่งยืน กฟผ. กล่าวว่า กฟผ. ร่วมเป็นเจ้าภาพหลักในการจัดงาน LED Expo Thailand & Smart Living Expo 2024 โดยจัดแสดงบูทนิทรรศการโซน ‘กฟผ. พาวิลเลี่ยน’ ณ บูท G10 นำเสนอการดำเนินงานด้านการส่งเสริมเทคโนโลยี LED เบอร์ 5 ที่ กฟผ. ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2556 โดยมีการติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 สำหรับ LED ที่ใช้ในครัวเรือน อาคาร โรงงาน และขยายผลสู่โคมไฟถนน ตลอดจนการนำร่องใช้ระบบไฟฟ้า LED ติดตั้งในศาสนสถานและสถานที่สำคัญ เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นต้นแบบนวัตกรรมพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังได้นำเสนอแพลตฟอร์มบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ ENZY EGAT's Smart Energy Solution ที่ กฟผ. พัฒนาขึ้นมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานภายในบ้านและอาคารอีกด้วย

นอกจากนี้ภายในบูท กฟผ. ยังมีการนำเสนอ 10 โครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา อาทิ โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เบอร์ 5 ในพื้นที่โครงการหลวง โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เบอร์ 5 วัดมหาธาตุวชิรมงคล โครงการจัดตั้งห้องเรียนสีเขียว โรงเรียนมัธยมวชิราลงกรณวราราม 

LED Expo Thailand & Smart Living Expo 2024 แบ่งออกเป็น 4 โซนหลัก ได้แก่ โซนนวัตกรรม LED ล่าสุด โซนเทคโนโลยีแสงสว่างอัจฉริยะ โซนอุตสาหกรรมแสงสว่างยั่งยืน และโซนกิจกรรมสร้างเครือข่าย เพื่อโอกาสทางธุรกิจ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 - 7 กันยายน 2567 ณ Hall 7 และ 8 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี

‘ก.พลังงาน-กฟผ.’ เคียงข้างคนไทยทุกวิกฤต เร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ที่เชียงราย ส่งมอบ ‘ถุงยังชีพ-น้ำดื่ม’ กว่า 3,000 ชุด พร้อมประเมินสถานการณ์ น้ำในเขื่อน

(14 ก.ย.67) นายจรัญ คำเงิน รองผู้ว่าการผลิตไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พร้อมด้วย นายธวัชชัย สำราญวานิช รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ กฟผ. นายปรศักดิ์ งามสมภาค พลังงานจังหวัดเชียงราย และคณะผู้บริหาร กฟผ. ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยส่งมอบถุงยังชีพ 1,000 ชุด พร้อมน้ำดื่มน้ำใจ กฟผ. จำนวน 1,000 แพ็ก แจกจ่ายบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนในพื้นที่อำเภอแม่สาย วัดพรหมวิหาร หมู่บ้านปิยพร ม.13 ชุมชนบ้านยาง ม.6 บ้านเหมืองแดง หมู่ 1 บ้านเวียงหอม ม.4 และบ้านป่าซาง

นอกจากนี้ จะทยอยส่งมอบถุงยังชีพ และน้ำดื่มน้ำใจ กฟผ. อีกกว่า 2,000 ชุด ดังนี้ 1) วันที่ 16 กันยายน 2567 มอบถุงยังชีพและน้ำดื่ม 500 ชุด แก่พื้นที่อำเภอแม่จัน 2) วันที่ 16 กันยายน 2567 มอบถุงยังชีพและน้ำดื่ม 500 ชุด แก่พื้นที่อำเภอแม่ฟ้าหลวง และ 3) วันที่ 17 กันยายน 2567 มอบถุงยังชีพและน้ำดื่ม 1,000 ชุด แก่พื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย และยังคงช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องต่อไป

กฟผ. ได้ติดตามและประเมินสถานการณ์น้ำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อวางแผนการระบายน้ำที่เหมาะสม ต่อการป้องกันและบรรเทาอุทกภัย โดยสถานการณ์น้ำเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก ณ วันที่ 14 กันยายน 2567 มีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำอยู่ที่ 6,843 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 51 ของความจุอ่าง ยังสามารถรับน้ำได้อีก 6,619 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 49

ซึ่ง กฟผ. ได้ระบายน้ำขั้นต่ำที่สุดเพื่อให้เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค และการรักษาระบบนิเวศท้ายเขื่อน วันละ 3 ล้านลูกบาศก์เมตร

ด้านเขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ มีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเพิ่มขึ้น มีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำอยู่ที่ 7,826 ร้อยละ 18 มีแผนการระบายน้ำวันละ 14 ล้านลูกบาศก์เมตร 

ทั้งนี้ สามารถติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำของ กฟผ. ได้จาก https://water.egat.co.th/ หรือทางแอปพลิเคชัน EGAT One

‘พีระพันธุ์’ ให้การต้อนรับพร้อมรายงานต่อ ‘องคมนตรี’ โครงการสนับสนุนการดำเนินงาน รพ.สมเด็จพระยุพราช

รองนายกฯ ‘พีระพันธุ์’ รายงานความก้าวหน้าโครงการสนับสนุนการดำเนินงานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เฉลิมพระเกียรติฯ ภายใต้การดำเนินงานของ ก.พลังงาน และ กฟผ. ต่อ องคมนตรี ในโอกาสเยี่ยมชมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี จ.ปัตตานี

(3 ต.ค.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้กล่าวรายงานความก้าวหน้าของโครงการสนับสนุนการดำเนินงานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ภายใต้การดำเนินงานของกระทรวงพลังงานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต่อ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี รองประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช คนที่ 2 ในโอกาสเยี่ยมชมโครงการดังกล่าว ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี จังหวัดปัตตานี โดยมี นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน นายแพทย์ศักดา อัลภาชน์ รองปลัด กระทรวงสาธารณสุข น.ส.อรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นางพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ. พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร หน่วยงานราชการ ในพื้นที่ ผู้ปฏิบัติงาน และประชาชนทั่วไป เข้าร่วมงาน

ทั้งนี้ นายพีระพันธุ์ได้รายงานถึงความก้าวหน้าของการดำเนินโครงการนี้ว่า โครงการสนับสนุนการดำเนินงานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช จำนวน 21 แห่ง ทั่วประเทศ เป็น 1 ใน 10 โครงการสืบสานพระราชปณิธานองค์ราชัน ที่กระทรวงพลังงานและ กฟผ. จัดทำขึ้นในโอกาสเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยเริ่มดำเนินการและส่งมอบโครงการฯ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา

ปัจจุบัน การดำเนินโครงการได้มีความคืบหน้าภายใต้กิจกรรมส่งเสริมเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานและคุณภาพอากาศ กิจกรรมส่งเสริมงานด้านสาธารณสุข และกิจกรรมส่งเสริมด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม โดยมีการล้างเครื่องปรับอากาศไปแล้ว 3,357 เครื่อง มีการติดตั้งนวัตกรรมระบบหมุนเวียนและบำบัดอากาศ หรือ City Tree ครบจำนวน 21 เครื่อง มีการสนับสนุนเลนส์เทียมสำหรับผู้ป่วยต้อกระจกและผู้สูงอายุ ไปแล้ว 1,200 คู่  และออกหน่วยให้บริการแว่นตาในโรงพยาบาล ไปแล้ว 11 แห่ง จำนวน 16,500 แว่นตา รวมทั้งการปลูกต้นรวงผึ้งในโรงพยาบาล ซึ่งจากการดำเนินโครงการฯ คาดว่าจะสามารถลดการใช้พลังงานได้ 2.75 ล้านหน่วยต่อปี ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 1,420 ตันต่อปี รวมถึงก่อให้เกิดคุณภาพอากาศที่ดีภายในโรงพยาบาล และเพิ่มคุณภาพชีวิตด้านการมองเห็นให้กับผู้สูงอายุและผู้เข้ารับบริการด้วย

ในโอกาสนี้ องคมนตรีและคณะได้เยี่ยมชมหน่วยให้บริการตรวจวัดสายตา แก้ปัญหาสุขภาพตา และประกอบแว่นโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแก่ประชาชน  ร่วมปลูกต้นรวงผึ้ง พรรณไม้ประจำสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมเยี่ยมชมการสาธิตล้างเครื่องปรับอากาศ และ นวัตกรรม City Tree ซึ่งนำไปติดตั้งที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่ง เป็นนวัตกรรมลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และกำจัดเชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรีย สามารถกรองฝุ่นได้ถึง 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ช่วยสร้างอากาศให้มีความสดชื่นเหมือนอยู่ในธรรมชาติ อีกทั้งเป็นที่พักผ่อนให้แก่ผู้ใช้บริการโรงพยาบาล

นอกจากนี้ องคมนตรียังได้มอบถุงของขวัญพระราชทานแก่ผู้ป่วย ประกอบด้วยเครื่องบริโภค จำนวน 100 ชุด และมอบโล่เกียรติยศให้แก่กระทรวงพลังงานในการสนับสนุนการดำเนินงานแก่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้รับมอบ

ปลัดกระทรวงพลังงาน เผย การประหยัดไฟคือภูมิคุ้มกันจากราคาพลังงานผันผวน กฟผ. เตรียมติดฉลากเบอร์ 5 เพิ่ม 3 ผลิตภัณฑ์ 'ตู้อบผ้า-ตู้แช่แข็ง-โคมไฟโซลาร์เซลล์'

(4 ต.ค. 67) ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) นายภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาพื้นฐาน และหน่วยงานพันธมิตร ร่วมลงนามความร่วมมือโครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 พร้อมอบโล่โครงการที่ปรึกษาพลังงาน และโครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ณ สำนักงานใหญ่ กฟผ. จ.นนทบุรี เพื่อส่งเสริมและผลักดันให้เพิ่มประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มุ่งสู่พลังงานสะอาดและความเป็นกลางทางคาร์บอน ตามเป้าหมายของประเทศ

ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า โครงการฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เป็นโครงการที่ทั้งกระทรวงพลังงาน และ กฟผ. ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมา 29 ปีแล้ว เป็นหนึ่งในโครงการที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะด้านการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนและสังคม  และมีชื่อเสียงในระดับโลก 

ท่ามกลางสถานการณ์ Geopolitic ที่ผันผวน ซึ่งทำให้ราคาพลังงานไม่ว่าจะเป็นก๊าซและน้ำมันทั้งระดับโลกและประเทศไทยมีความผันผวน สิ่งที่เป็นภูมิคุ้มกันในการลดผลกระทบจากความผันผวนดังกล่าวได้ดีที่สุด คือการประหยัดพลังงาน 

ซึ่งมีมาตรฐานฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 จะสามารถสร้างหรือเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมไทยได้ในอนาคต 

ด้านนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) กล่าวว่า กฟผ. ได้ดำเนินงานจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า หรือ DSM ผ่านกลยุทธ์ 3 อ. เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกลยุทธ์ 3 อ. ได้แก่ 

อ. ที่ 1 อุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ซึ่งปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่ติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 แล้ว ทั้งหมด 26 ผลิตภัณฑ์ รวมมากกว่า 502 ฉลาก

อ. ที่ 2 อาคารและอุตสาหกรรมประสิทธิภาพพลังงานสูง

อ. ที่ 3 อุปนิสัยการใช้พลังงานคุ้มค่าและปลอดภัย เพื่อส่งเสริมให้ผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม ภาคการศึกษา และภาคที่อยู่อาศัย ใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยมาตรการที่เหมาะสมและคุ้มค่า 

จากกลยุทธ์ในการดำเนินการดังกล่าวของ กฟผ. ส่งผลให้ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้กว่า 38,000 ล้านหน่วย คิดเป็นการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 21 ล้านตัน

นอกจากนี้ยังมีการลงนามความร่วมมือ 2 โครงการ คือ 

โครงการที่ 1 คือ โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ปี 2567 ระหว่าง กฟผ. กับผู้ประกอบการ เพื่อพัฒนาและยกระดับอุปกรณ์สู่มาตรฐานประสิทธิภาพสูง ช่วยลดค่าไฟฟ้า และตอบสนองนโยบายด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมของประเทศ โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการฯ ทดสอบผลิตภัณฑ์เพื่อติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 รวม 40 ราย 3 ผลิตภัณฑ์ คือ 

เครื่องอบผ้า สำหรับอบเพื่อให้เสื้อผ้าแห้งสนิทด้วยความร้อน 

ตู้แช่แข็งฝาทึบ ตู้ที่ทำความเย็นทำให้วัตถุที่แช่แข็งมีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง โดยทั่วไปจะทำอุณหภูมิได้ตั้งแต่ -15 องศาเซลเซียสหรือต่ำกว่า สำหรับเก็บรักษาอาหารที่ต้องการเก็บเป็นระยะเวลานาน เช่นไอศกรีม เนื้อสัตว์ หรืออาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง เป็นต้น 

และโคมไฟถนนแอลอีดีเซลล์แสงอาทิตย์ อุปกรณ์ส่องสว่างประสิทธิภาพสูงที่ใช้แหล่งพลังงานจากแสงอาทิตย์สะสมพลังงานด้วยแบตเตอรี่ สำหรับส่องสว่างถนนหรือสถานที่ต่าง ๆ ในช่วงกลางคืน

และโครงการที่ 2 คือ โครงการความร่วมมือด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมในสถานศึกษา (โครงการห้องเรียนสีเขียว) ระหว่าง กฟผ. กับ สพฐ. เพื่อขยายเครือข่ายความร่วมมือในการส่งต่อองค์ความรู้ ความเข้าใจด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ แก่นักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียน มุ่งสู่สังคมแห่งการเรียนรู้สีเขียว (Green Learning Society) ซึ่งปัจจุบันมีโรงเรียนในโครงการกว่า 1,300 แห่งทั่วประเทศ 

ภายในงาน กฟผ. ได้มอบโล่แสดงความขอบคุณหน่วยงานต่าง ๆ ที่ร่วมโครงการกับ กฟผ.ในปี 2566 ที่ผ่านมา อาทิ องค์กรที่เข้าร่วมโครงการที่ปรึกษาพลังงาน ผู้เข้าร่วมโครงการบ้านและอาคารเบอร์ 5 ผู้เข้าร่วมโครงการโรงเรียนเบอร์ 5 และผู้ประกอบการที่ติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ใน 5 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ หม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่าย แผงเซลล์แสงอาทิตย์ โคมไฟถนน อินเวอร์เตอร์ที่ใช้กับระบบเซลล์แสงอาทิตย์ที่เชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า และเครื่องปรับอากาศแบบหลายชุด แฟนคอยล์ (VRF)

รู้จัก ‘พล.ท.เจียรนัย วงศ์สอาด’ มือทำงาน ‘พีระพันธุ์’ ผู้เบรกงานเหมาขุดถ่านหินเหมืองแม่เมาะกว่า 7 พันล้าน เพื่อประโยชน์ประชาชน

เมื่อประโยชน์ของประเทศชาติและพี่น้องประชาชนคนไทย...ต้องมาก่อน!
‘รองพีร์’ เบรกจ้างเหมา-ขนถ่านหินเหมืองแม่เมาะ

ตามที่ ‘รองพีร์’ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ส่งหนังสือด่วนที่สุดถึงผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ให้ระงับโครงการจ้างเหมาขุด-ขนดินและถ่านที่เหมืองแม่เมาะ สัญญาที่ 8/1 ซึ่ง บมจ.สหกลอิควิปเมนท์ (SQ) เป็นผู้ได้รับกำคัดเลือกจาก กฟผ.ที่เสนอราคางานจ้างเหมาขุด-ขนดินและถ่านที่เหมืองแม่เมาะจำนวน 2 รายการ มูลค่าสัญญารวม 7,170 ล้านบาท (รวมค่ากระแสไฟฟ้า ค่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ระยะเวลาดำเนินงานตั้งแต่ปี 2567-2571 นั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากพลโท ดร. เจียรนัย วงศ์สอาด กรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยมีหนังสือแจ้งว่า ได้คัดค้านการอนุมัติผลการจัดซื้อจัดจ้างงานจ้างเหมาขุด- ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะสัญญาที่ 8/1 โดยวิธีพิเศษ ในวงเงินงบประมาณ 7,250 ล้านบาท ในการประชุมกลั่นกรองของคณะกรรมการบริหาร กฟผ. เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2567 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

และในเวลาต่อมา บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ได้มีหนังสือขออุทธรณ์และขอความเป็นธรรมจากการพิจารณาผู้ชนะการประกวดราคางานจ้างเหมาขุด-ขนดิน และถ่าน ที่เหมืองแม่เมาะ 2 รายการ โดยวิธีพิเศษ ซึ่ง ‘รองพีร์’ เห็นควรให้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยด่วน จึงมีหนังสือถึงผู้ว่าฯ กฟผ. ให้ระงับการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างงานจ้างเหมาขุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะไว้จนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเสร็จสิ้น 

พลโท ดร. เจียรนัย วงศ์สอาด ผู้เสนอให้ระงับโครงการฯ ดังกล่าว ได้รับการแต่งตั้งกรรมการ กฟผ. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2567 เป็นผู้ทรงคุณวุฒิกระทรวงกลาโหม และอดีตอาจารย์กองวิชาคณิตศาสตร์และคอมพิวเตอร์ ส่วนการศึกษา โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า มีประสบการณ์และผลงานมากมาย โดยเคยเป็น ประธานกรรมการการเคหะแห่งชาติ, ประธานกรรมการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม, กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม, ที่ปรึกษาธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย, อนุกรรมการกลั่นกรองโครงการและงบประมาณ กองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ กสทช., ที่ปรึกษาประธานกรรมการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย, กรรมการเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศแห่งชาติ, กรรมการบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน), ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ, ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, ที่ปรึกษาคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม และ อนุกรรมการบริหารความเสี่ยง สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 

สำหรับประวัติของพลโท ดร. เจียรนัย วงศ์สอาด ที่น่าสนใจคือเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยรุ่นที่ 135 นักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 29 และหลังจากจบการศึกษาวทบ. (โยธา) โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้ารุ่นที่ 40 ได้ศึกษาต่อปริญญาโทวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน วอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา และปริญญาเอก รีโมทเซนซิ่งและเอิร์ธซายน์ มหาวิทยาลัยจอร์จ เมสัน เวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา เป็นนักวิจัยด้านรีโมทเซนซิ่ง (Remote Sensing and Earth Science) ที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่า เป็นหนึ่งในนักวิจัยระดับโลกที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญการใช้ข้อมูลดาวเทียมตั้งแต่ใต้พื้นดินไปจนถึงอวกาศ และได้นำองค์ความรู้มาสร้างมาตรการเตือนภัยเพื่อหลีกเลี่ยงและลดความสูญเสียที่เกิดจากอุบัติภัยทางธรรมชาติ ด้วยวิธีการจัดการอย่างถูกต้องและในเวลาที่เหมาะสม และเป็นผู้เสนอให้ประเทศไทยสร้างศูนย์รวมข้อมูลเตือนภัยจากดาวเทียมเป็นของตัวเองเพื่อนำข้อมูลนั้นมาส่งเตือนประชาชนให้เตรียมพร้อมก่อนเกิดภัย ในห้วงที่ประเทศต้องเผชิญกับเหตุการณ์สึนามิ และภัยพิบัติในภาคเหนือ

ด้วยประสบการณ์มากมายในฐานะนักฎหมาย ‘รองพีร์’ จึงมีความเข้มงวดกับโครงการต่าง ๆ เป็นอย่างมาก ซึ่งหากมีการร้องเรียนหรืออาจเข้าข่ายไม่เป็นธรรมแล้ว ก็จะให้มีการตรวจสอบทันที ทั้งนี้ พลโท ดร. เจียรนัย วงศ์สะอาด เป็นบุคคลที่ ‘รองพีร์’ ให้ความไว้วางใจ และยังเคยช่วยงาน ‘รองพีร์’ มาแล้ว อาทิ คณะทำงานศึกษาแนวทางการแก้ปัญหาความเสียหายของรัฐโครงการระบบขนส่งทางรถไฟ เพื่อต่อสู้ในคดีโฮปเวลล์ ทั้งนี้ ในการสั่งการให้ตรวจสอบของ ‘รองพีร์’ มาจากการที่พลโท ดร.เจียรนัย วงศ์สอาด กรรมการ กฟผ. ยื่นหนังสือคัดค้านการอนุมัติผลประมูล ในการประชุมคณะกรรมการบริหาร กฟผ. เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2567 ก่อนที่ ITD จะยื่นอุทธรณ์อย่างเป็นทางการ สำหรับประเด็นที่ต้องทำการตรวจสอบ คือ ความโปร่งใสของการใช้ ‘วิธีพิเศษ’ ในการประมูล เพื่อพิจารณาถึงเหตุผลที่ กฟผ. ไม่เลือกวิธีประมูลแบบเปิด รวมไปถึงการกำหนดคุณสมบัติผู้เข้าประมูลที่อาจเอื้อประโยชน์ ความเชื่อมโยงระหว่างผู้มีอำนาจตัดสินใจกับบริษัทที่เข้าประมูล นอกจากนี้ ‘รองพีร์’ ยังได้ส่งหนังสือถึงเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ให้ระงับการสรรหาคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ที่ครบวาระจำนวน 4 ท่าน เพื่อตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมของการแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหากรรมการกำกับกิจการพลังงาน แทนตำแหน่งที่ว่างลง จึงขอให้ระงับการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการสรรหากรรมการกำกับกิจการพลังงาน และการประชุมคณะกรรมการสรรหาไว้ก่อน จนกว่าจะแจ้งให้ทราบต่อไป เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบมากมายและสำคัญต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและพี่น้องประชาชนคนไทย จึงต้องมีการพิจารณาทบทวนอย่างรอบคอบที่สุด เพื่อให้มีความถูกต้องสมบูรณ์ เหมาะสม และเกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับประเทศไทยต่อไป

'พล.ต.ท.ไตรรงค์' นำทีมพบ ‘รองนายกฯ พีระพันธุ์’ สรุปผลสอบ ‘ปลูกป่าล้านไร่ กฟผ.’ พบหลายรายส่อทุจริต

(26 พ.ย. 67) นายหิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี นำ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.ตร. ประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำสั่งของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ กระทรวงพลังงาน กรณีโครงการปลูกป่าอย่างมีส่วนร่วม (ปลูกป่าล้านไร่ กฟผ.) และคณะเจ้าหน้าที่ฝ่าสืบสวนสอบสวนเข้าพบนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีมีผู้ร้องเรียนโครงการปลูกป่าอย่างมีส่วนร่วม (ปลูกป่าล้านไร่ กฟผ.)

โดยคณะอนุกรรมการดังกล่าวดำเนินการตามสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีมีผู้ร้องเรียนทุจริตโครงการปลูกป่าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยมูลค่าตามสัญญาที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกือบ 1 พันล้านบาท ซึ่งผลการตรวจสอบพบมีบุคคลและกลุ่มบุคคลที่เข้าข่ายกระทำความผิดหลายรายโดยเอกสารผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ได้เสนอต่อรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะได้มอบให้กับ กฟผ.ในฐานะผู้เสียหายรวบรวมพยานหลักฐานและเอกสารที่เกี่ยวข้องเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวภายหลังเข้าพบรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานว่า “ในวันนี้ท่าน ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ได้เชิญผมและคณะทำงานมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลการตรวจสอบกรณีปลูกป่าอย่างมีส่วนร่วม ปลูกป่าล้านไร่ กฟผ. หรือโครงการปลูกป่าทิพย์ กฟผ. ซึ่งวันนี้เป็นการนำเรียนให้ท่านรองนายกฯ ทราบเป็นสรุปผลการตรวจสอบที่คณะอนุกรรมการและคณะทำงานได้ดำเนินการ โดยตรวจสอบจากเอกสารโครงการ TOR สัญญาจ้าง และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องรวมถึงข้อมูลจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ.ซึ่งผลการดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สามารถระบุบุคคลและกลุ่มบุคคลทีเข้าข่ายกระทำความผิดที่ต้องให้ กฟผ. ไปดำเนินการต่อไป ซึ่งในส่วนนี้ท่านรองนายกฯได้ชื่นชมและขอบคุณคณะทำงานด้วย”

สำหรับโครงการปลูกป่าอย่างมีส่วนร่วม (ปลูกป่าล้านไร่ กฟผ.) นั้น เป็นโครงการอันเนื่องมาจากนโยบายการลดคาร์บอนจากการผลิตพลังงานพลังงานไฟฟ้า โดยการปลูกป่าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. ในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศปีละ 1 แสนไร่ ระยะเวลา 10 ปีรวม 1 ล้านไร่ โดยนอกจากจะเป็นโครงการปลูกป่าแล้วยังต้องมีการบำรุงรักษาป่าต่อเนื่องไปอีก 9 ปีตามโครงการซึ่งทั้งหมดใช้งบประมาณที่สูงโดยโครงการเริ่มดำเนินการในปี 2565 และ 2566 ปัจจุบันโครงการได้ถูกระงับอันเนื่องมาจากการร้องเรียนดังกล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top