‘ไทย–เวียดนาม’ กระชับสัมพันธ์ ‘กลาโหม’ ท่ามกลางความตึงเครียด!! ตามแนวชายแดน
(6 ก.ค. 68) ในขณะที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญกับแรงสั่นสะเทือนทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา การเยือนอย่างเป็นทางการของ พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด แห่งราชอาณาจักรไทย ไปยังกรุงฮานอย เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ถือเป็นก้าวสำคัญของการทูตทางทหารที่สะท้อนถึงมิตรภาพอันมั่นคงระหว่างไทยกับเวียดนาม
การต้อนรับโดย พลเอก เหงียน เติน กื๋อง หัวหน้าคณะเสนาธิการใหญ่กองทัพประชาชนเวียดนาม และรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ได้เป็นเพียงพิธีการ แต่ยังเป็นเวทีหารือเชิงลึกด้านความมั่นคง โดยทั้งสองฝ่ายเน้นย้ำเจตจำนงร่วมในการเสริมสร้างเสถียรภาพของภูมิภาค ผ่านความร่วมมือในระดับยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม
จุดยืนร่วมและความร่วมมือเชิงปฏิบัติ
ทั้งไทยและเวียดนามได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนร่วมกันในการส่งเสริม “สันติภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนา” บนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในประเด็นข้อพิพาททางทะเลและภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ความร่วมมือที่กำลังดำเนินอยู่ เช่น การแลกเปลี่ยนคณะ การฝึกร่วมระหว่างเหล่าทัพ และการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ถือเป็นแกนกลางของความสัมพันธ์ระหว่างสองกองทัพ
ที่สำคัญ พลเอกทรงวิทย์ได้แสดงความชื่นชมในนโยบาย “Four No’s” ของเวียดนาม ซึ่งประกอบด้วย:
1. ไม่เข้าร่วมพันธมิตรทางทหาร
2. ไม่เลือกข้างในความขัดแย้ง
3. ไม่อนุญาตให้มีฐานทัพต่างชาติในประเทศ
4. ไม่ใช้เวียดนามเป็นฐานสำหรับการโจมตีประเทศอื่น
แนวนโยบายนี้สอดคล้องกับหลักการของไทยในการไม่แทรกแซงและเคารพอธิปไตยซึ่งกันและกัน อันเป็นรากฐานของอาเซียน
มิตรภาพแท้ในเวลาวิกฤต
การเยือนของผู้นำกองทัพไทยในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่สถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชายังคงตึงเครียด โดยฝ่ายกัมพูชาได้แสดงท่าทีแข็งกร้าว ขณะที่ไทยเลือกใช้แนวทางเตรียมพร้อมเชิงยุทธศาสตร์ควบคู่กับการยึดหลักสันติวิธี
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มิตรภาพจากเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งทั้งในระดับรัฐและกองทัพ จึงมีความหมายอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงแต่เป็นการส่งสารแห่งความเชื่อมั่นระหว่างกัน แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณต่อภูมิภาคว่า อาเซียนยังยึดมั่นในหลักความร่วมมือ มากกว่าการเผชิญหน้า
ข้อสังเกตเชิงยุทธศาสตร์
การกระชับสัมพันธ์ไทย–เวียดนามทางทหารในเวลานี้ อาจตีความได้ว่าเป็นการเสริมแนวหลังของไทย ในขณะที่แนวหน้าเผชิญกับการท้าทายจากเพื่อนบ้านทางตะวันออกเฉียงใต้ การมีพันธมิตรที่เชื่อถือได้เช่นเวียดนาม จึงเป็นทั้งกลยุทธ์การสร้างดุลอำนาจ และกลไกการคานอิทธิพลที่กำลังขยายตัวจากภายนอกภูมิภาค
บทสรุป
ท่ามกลางสถานการณ์ที่หลายประเทศเลือกใช้นโยบายแข็งกร้าว ความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยและเวียดนามแสดงให้เห็นว่า “การทูตทางทหาร” ยังสามารถเป็นสะพานเชื่อมของมิตรภาพ ความมั่นคง และสันติภาพ
> ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน... พันธมิตรที่ไว้ใจได้ คือเสาหลักที่ไม่มีเสียง แต่หนักแน่นยิ่งกว่าคำพูดใด
เรื่อง : ปราชญ์ สามสี