'นักวิชาการ’ ชี้!! ‘คนเกาหลี’ ที่เหยียด ‘ลิซ่า’ คือกลุ่มเล็กๆ มีไม่ถึง 10% แถมคนส่วนใหญ่มัก ‘ชื่นชม-ยกย่อง’ ให้เป็นตัวอย่างของความสำเร็จ

'นักวิชาการด้านเกาหลี’ เผย เกาหลีที่เหยียดลิซ่าเป็นแค่คนกลุ่มเล็ก ๆ มีไม่ถึง 10% ขณะที่ชาวเกาหลีส่วนใหญ่ชื่นชมลิซ่า โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นถึงขั้นยกให้เป็นไอดอล ชี้!! 'สำนักข่าว OSEN' ที่แซะลิซ่า เป็นแค่สื่อโนเนม พบ!! ปรากฏการณ์ 'ร็อคสตาร์' ทำเกาหลีตีกันเอง

(5 ก.ค.67) ทันทีที่ ‘ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล’ ศิลปินสาวชาวไทย ออก MV เพลงร็อคสตาร์ เพลงแรกในฐานะศิลปินเดี่ยวจากค่าย LLound ที่เธอเป็นเจ้าของ ก็เกิดปรากฏการณ์ ‘ลิซ่าฟีเวอร์’ ทุกอย่างที่เกี่ยวกับลิซ่า และ MV ร็อคสตาร์ ล้วนถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง โดยเพลงของเธอขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งและอันดับต้น ๆ ในหลายประเทศ ลิซ่ากลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ของไทยอย่างเต็มตัว แต่ในอีกด้านหนึ่งกลับมีกระแสเหยียดลิซ่าจากคนเกาหลีบางส่วน และสื่อเกาหลีบางสำนักที่แซะในทำนองว่าลิซ่าออกจากวงการเคป็อบเพื่อมาดังแค่ในประเทศไทย ส่งผลให้แฟนคลับชาวไทยไม่พอใจเป็นอย่างมาก จนเกิดกระแสแบนเกาหลีลุกลามไปทั่ว จนหลายฝ่ายมองว่านี่อาจเป็น ‘จุดจบ’ ของความนิยมเคป็อบในไทย

ส่วนว่าข้อเท็จของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร และจะส่งผลกระทบอะไรต่อเกาหลีบ้างนั้น คงต้องไปฟังความเห็นจากผู้รู้

นายเสกสรร อานันศิริเกียรติ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ สมาคมไทยคดีศึกษาแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (Korean Association of Thai Studies : KATS) ชี้ว่า จริง ๆ แล้วคนเกาหลีที่เหยียดลิซ่านั้นมีแค่บางกลุ่ม ซึ่งเป็นคนกลุ่มเล็ก ๆ แต่คนเหล่านี้มักมาโพสต์ในโซเชียลทำให้กลายเป็นกระแสที่นำไปสู่ความขัดแย้ง เท่าที่ได้สัมผัสคนเกาหลีส่วนใหญ่ชอบและชื่นชมลิซ่า ลิซ่าเป็นไอดอลของเขา โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ ที่ผ่านมาลิซ่าได้รับการยกย่องจากเกาหลีอย่างมาก เวลาข้าราชการเกาหลีพูดถึงความสัมพันธ์กับไทยก็จะพูดถึงลิซ่าว่าเป็นตัวอย่างของความสำเร็จ ที่สำคัญเขาพูดถึงลิซ่าในฐานะที่เป็นคนไทย ไม่ใช่ในฐานะเคป็อป

การที่ลิซ่าไม่ต่อสัญญาศิลปินเดี่ยวกับวายจีก็เป็นสิ่งที่คนเกาหลีเข้าใจและยอมรับได้ ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าต้นสังกัดเดิมไม่ค่อยเป็นธรรมกับลิซ่านัก เพราะมีหลายเหตุการณ์ที่เห็นได้ชัด ส่วนลิซ่าเมื่อออกไปสร้างผลงานระดับสากลก็สามารถนำเอาเคป็อปไปต่อยอดโดยใส่ความเป็นไทยเข้าไป เพราะนี่คือความเป็นลิซ่าที่สามารถหลอมรวมวัฒนธรรมและสร้างแบบฉบับการเต้นและดนตรีของตัวเองขึ้นมาทำให้คนทั่วโลกชื่นชอบ

“ถ้าลองเสิร์ชคำว่า How You think about Lisa ในยูทูบ จะพบว่าคนเกาหลีส่วนใหญ่ตอบว่าเขาชอบลิซ่า เขามองว่ารูปร่างและสีผิวของลิซ่าเป็นสิ่งที่ผู้หญิงเกาหลีอยากเป็น ส่วนคนที่ไม่ชอบลิซ่านั้นมีน้อยมาก ไม่ถึง 10% แต่คนพวกนี้ปากแจ๋ว ชอบแสดงความเห็นตามสื่อโซเชียล และสำนักข่าว OSEN ที่เป็นต้นเหตุดรามาก็เป็นสำนักข่าวโนเนม ไม่ใช่สำนักข่าวที่น่าเชื่อถือหรือได้รับความนิยมแม้แต่ในกลุ่มแฟนคลับเคป็อป ต่างจาก Dispatch ซึ่งเป็นสื่อที่คนใช้อ้างอิงเวลามีข่าวสำคัญ ดังนั้นเราไม่ควรนำความเห็นของคอลัมนิสต์หนึ่งคนจากสำนักข่าวบันเทิงเล็ก ๆ ที่มุ่งแสวงหากำไรมาทำลายบรรยากาศของความสัมพันธ์และความรู้สึกดีต่อกันที่มีมานาน บางที 'ชาวเน็ต' ที่พูด ๆ กันก็ไม่ใช่ใครที่ไหน สำนักข่าวนี่ล่ะครับตัวดี อยากได้ยอด Engagement” นายเสกสรร กล่าว

อย่างไรก็ดี นายเสกสรร ชี้ว่า กระแสเหยียดลิซ่าของเกาหลีแม้จะเป็นแค่กลุ่มคนเกาหลีเล็ก ๆ แต่มันไปกระทบความรู้สึกของบรรดาแฟนคลับลิซ่าที่มีอยู่ทั่วโลก โดยเฉพาะแฟนคลับคนไทย ประกอบกับก่อนหน้านี้ไทยเกิดกระแสแบนเกาหลีจากความไม่พอใจกรณี ตม.เกาหลีที่เลือกปฏิบัติกับนักท่องเที่ยวไทยที่ไปเที่ยวเกาหลี ซึ่งตรงนี้เป็นปัญหาของทางเกาหลีซึ่งไม่มีประสิทธิภาพในการคัดกรองคนเข้าประเทศ ทำให้คนที่ตั้งใจเข้าไปเที่ยวแต่ถูก ตม.ส่งกลับได้รับความเสียหาย ขณะที่แรงงานไทยก็อาจจะเข้าไปสร้างปัญหาให้เขาเหมือนกัน เมื่อเกิดความไม่เข้าใจกันในกรณีของลิซ่าก็เลยลุกลามกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวซึ่งขยายผลไปใหญ่โต

“มีคนเกาหลีที่พูดภาษาไทยได้ เขาบอกว่าเขาเสียใจนะที่มีคนเกาหลีบางคนมาโพสต์เหยียดลิซ่า เขาก็อยากอธิบายว่าคนเกาหลีเสียใจและอยากให้คนไทยกับเกาหลีเข้าใจกัน แล้วก็มีคนเกาหลีบางส่วนโพสต์ต่อว่าคนเกาหลีที่โพสต์เหยียดลิซ่าด้วย ซึ่งวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของเกาหลีคือ ถ้าเขาเห็นไม่ตรงกัน เขาจะโต้เถียงจัดการกันเอง เราไม่ต้องทำอะไรเลยให้เขาจัดการกันเอง ไม่ต้องไปตีกับเขา เราไปทำอย่างอื่นที่สำคัญกว่า ผมคิดว่าสิ่งที่สร้างลิซ่าขึ้นมาก็คือตัวของลิซ่าเองนี่ล่ะครับ สิ่งที่พวกเราชาวไทยทำได้ก็คงเป็นการแสดงความยินดีในฐานะเพื่อนร่วมชาติและช่วยสนับสนุนน้องในทุกผลงานต่อจากนี้ ส่วนมิวสิกวิดีโอล่าสุดที่น้องออกมาก็อาจเป็นไปได้ที่คนจะมองว่าแซะเกาหลี แต่ผมเชื่อว่าเกาหลีคงไม่มีโกรธเคือง เพราะหนึ่งในความเป็นเกาหลีก็คือความกล้าพอที่จะเปิดให้คนข้างนอกมาวิพากษ์มาท้าทาย” นายเสกสรร ระบุ


ที่มา: MGROnline