‘SBU’ จับกุมหญิงยูเครน ฐานเป็นสปายส่งข้อมูลให้รัสเซีย พร้อมวางแผนลอบสังหาร ‘เซเลนสกี’ จ่อโดนโทษจำคุก 12 ปี
(8 ส.ค. 66) สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ‘หน่วยงานความมั่นคงยูเครน’ (SBU) กล่าวว่า ได้ทำการจับกุมตัวหญิงชาวยูเครนคนหนึ่ง โดยกล่าวหาว่าเธอเป็นหน่วยสอดแนมรัสเซียและมีส่วนร่วมในการวางแผนลอบสังหารประธานาธิบดี ‘โวโลดีมีร์ เซเลนสกี’ ของยูเครน ขณะลงเดินทางไปยังพื้นที่ประสบภัยในช่วงที่ผ่านมา
SBU ระบุผ่านแถลงการณ์ว่า ผู้หญิงคนนี้ถูกจับได้คาหนังคาเขา ขณะที่เธอพยายามส่งข่าวกรองไปยังรัสเซีย โดยหน่วยงานกล่าวว่า เธอได้พยายามรวบรวมข้อมูลข่าวกรองเกี่ยวกับการเดินทางของเซเลนสกี ก่อนที่เขาจะไปเยือนมิโคลายิฟ ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ ซึ่งประสบอุทกภัยในเดือนมิถุนายน
SBU ยังเผยแพร่ภาพเบลอของผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมในห้องครัว โดยเจ้าหน้าที่ SBU ที่สวมหน้ากาก โดยผู้ต้องหารายนี้อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ ชื่อ ‘โอชาคิฟ’ (Ochakiv) ซึ่งเซเลนสกีเคยเดินทางไปเมื่อเดือนกรกฎาคม ซึ่งเธอทำงานอยู่ในร้านค้าที่ฐานทัพทหารในเมืองดังกล่าว
ด้านเซเลนสกียืนยันว่า เขาได้รับแจ้งเกี่ยวกับการจับกุมครั้งนี้ โดยกล่าวว่าหัวหน้า SBU ได้แจ้งความคืบหน้าเกี่ยวกับการต่อสู้กับกลุ่มกบฏ
ก่อนหน้านี้ในช่วงที่ผ่านมา เซเลนสกีเดินทางไปยังเมืองมิโคลายิฟในเดือนมิถุนายน เพื่อลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายที่เกิดจากเหตุเขื่อนแตกในคอฟคา และในเดือนกรกฎาคมหลังจากที่รัสเซียถล่มโจมตีเมืองดังกล่าว
SBU กล่าวว่า หน่วยงานรับรู้แผนการลอบสังหารล่วงหน้า ก่อนที่เซเลนสกีจะเดินทางไปยังมิโคลายิฟ จึงได้วางมาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม และกล่าวหาว่ารัสเซียวางแผนโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ในภูมิภาคมิโคลายิฟ ขณะที่ผู้ต้องหาพยายามที่จะส่งข้อมูลเกี่ยวกับที่ตั้งของระบบไฟฟ้าและคลังกระสุนของยูเครน ซึ่งอาจตกเป็นเป้าหมายของกองทัพรัสเซีย
อย่างไรก็ดี เป็นที่เข้าใจกันว่า SBU ไม่ได้จับกุมผู้ต้องหาในช่วงเวลาที่เซเลนสกีเยือนมิโคลายิฟ และใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม เพื่อป้องกันการโจมตีประธานาธิบดียูเครนแทน ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ติดตามเธอต่อหลังจากนั้น และพบแผนการต่างๆ ของผู้ต้องหาเพิ่มเติม รวมถึงการมอบหมายที่ได้รับจากรัสเซีย
ด้วยเหตุนี้ จึงคาดว่าเธอจะถูกตั้งข้อหาเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายอาวุธและกองทหารยูเครนโดยไม่ได้รับอนุญาต และหากมีการตัดสินว่ามีความผิดจริง เธออาจรับโทษจำคุกสูงสุด 12 ปี
ทั้งนี้ ยูเครนมักกล่าวโทษประชาชนในท้องถิ่นที่สนับสนุนรัสเซียว่าเป็น ‘ไส้ศึก’ ส่งข้อมูลไปช่วยเหลือกองทัพมอสโก