ของทรอตสกี้ กับความจริงอีกด้าน ของการปฏิวัติรัสเซีย เล่าโดย ‘รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย’
รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก เล่าถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ การปฏิวัติรัสเซีย โดยระบุว่า ...
ผมได้อ่านหนังสือ "ต้มข้ามศตวรรษ (เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซีย)" ของ 'คนเล่านิทาน' (สำนักพิมพ์กรีนปัญญาญาณ, 2559) ... มันเกี่ยวกับเบื้องหลังการปฏิวัติรัสเซีย ปี ค.ศ. 1917 ที่คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ไม่เคยทราบมาก่อน
ฉากปฏิวัติบอลเชวิกอันเป็นฉากสำคัญที่มีผลต่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เป็น 'ละครลวงโลก'ที่เล่นกันข้ามเดือนข้ามปี มันเป็นการจับมือวางแผนร่วมกันของหลายพวกหลายฝ่าย
ละครลวงโลกเรื่องนี้ คงเล่นสำเร็จถึงขนาดนี้ไม่ได้ ถ้าไม่มีนายโรงตัวจริง ที่วางกลยุทธ์อย่างลึกซึ้ง เลือดเย็น ยาวนานและคอยชักใยทุกฝ่ายอย่างแนบเนียน
ผู้นำการปฏิวัติบอลเชวิกในปี 1917 ที่สำคัญคือ ทรอตสกี้กับเลนิน
ทรอตสกี้ (1879-1940) เป็นชาวยิวทั้งแท่ง มาจากครอบครัวมีอันจะกินที่เป็นเจ้าของที่ดินทางใต้ของยูเครน เขาอ่านหนังสือของมาร์กซ์และกลายเป็นสาวกลัทธิมาร์กซ์ตั้งแต่วัยรุ่น
ในวัยแค่ 18 ปี ทรอตสกี้ตัดสินใจเป็นนักปฏิวัติ เขาจึงมาคลุกคลีกับพวกสังคมนิยมชาวยิว ทรอตสกี้ถูกจับเข้าคุกช่วงสั้นๆหลายครั้ง เพราะวุ่นอยู่กับการปลุกระดมประท้วงของพวกกรรมกร
ในปี 1905 ทรอตสกี้กลับมาที่รัสเซีย เพื่อพยายามก่อการปฏิวัติขับไล่พระเจ้าซาร์ การปลุกระดมดำเนินอยู่หลายเดือนแต่ไม่สำเร็จ และทรอตสกี้ถูกจับเข้าคุกอีกครั้ง คราวนี้ทรอตสกี้ได้เจอตัวละครสำคัญในคุก คือ พาร์วุส (Alexander Parvus, 1867-1924) ซึ่งเป็นผู้กว้างขวางชาวยิวและมือเก๋าในการปลุกระดมมวลชนเป็นพาร์วุสนี่แหละ ที่แนะนำทรอตสกี้กับ เจค็อบ เอช ชิฟฟ์ (Jacob Henry Schiff, 1847-1920) นายธนาคารชาวอเมริกันเชื้อสายยิวผู้มั่งคั่ง ให้รู้จักกัน
คนหนึ่งอยากได้คนมาไล่พระเจ้าซาร์ (ชิฟฟ์) ส่วนอีกคน กำลังอยากไล่พระเจ้าซาร์ เพราะมองว่า "พระเจ้าซาร์คือที่มาทั้งหมดของปัญหาบ้านเมือง" จึงอยากทำปฏิวัติตามฝันของตัวเอง (ทรอตสกี้)
เมื่อสมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ชิฟฟ์จึงตกลงอุดหนุนการปฏิวัติของทรอตสกี้ ด้วยทุน 20 ล้านเหรียญของบริษัท Khun, Loeb & Co
หรือจริงๆก็คือเงินของรอธไชลด์ ที่ต้องการกำจัดพระเจ้าซาร์ จากเรื่องแหล่งน้ำมันที่บากูและเรื่องของชาวยิวในรัสเซีย
............
เดือนกันยายน ปี 1916 ประมาณหนึ่งปีก่อนการปฏิวัตบอลเชวิก ทรอตสกี้กำลังถูกไล่ให้ออกจากประเทศฝรั่งเศส สาเหตุจากบทความที่เขาเขียนลงในหนังสือพิมพ์ภาษารัสเซียที่ออกจำหน่ายในฝรั่งเศส ตำรวจฝรั่งเศสส่งตัวทรอตสกี้ออกนอกประเทศไปทางเขตแดนด้านประเทศสเปน
ที่สเปน ทรอตสกี้ถูกตำรวจคุมตัวที่มาดริด เขาถูกจับใส่ห้องขัง แต่เป็นห้องขังประเภทชั้นพิเศษ ที่เหมือนโรงแรมมากกว่าห้องขังทั่วไป
จากนั้นมีการส่งตัวทรอตสกี้มายังเมืองบาร์เซโลนา เพื่อลงเรือเดินสมุทรชื่อ Montserrat ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติคมาขึ้นบกที่เมืองนิวยอร์ค ในวันที่ 13 มกราคม 1917
คนที่มารับทรอตสกี้และครอบครัวที่ท่าเรือ คือ Arthur Concors ผู้อำนวยการสมาคมช่วยเหลือชาวยิวที่เพิ่งเดินทางเข้าอเมริกา
ซึ่งชิฟฟ์เป็นกรรมการที่ปรึกษา ชิฟฟ์ตัองการเก็บตัวทรอตสกี้ก่อนเข้าฉากสำคัญที่รัสเซีย
ระหว่างที่อยู่ที่นิวยอร์ค ทรอตสกี้และครอบครัว พักอยู่ในอพาร์ตเมนต์ที่มีตู้เย็นและโทรศัพท์ ซึ่งถือว่าหรูหราฟุ่มเฟือยมากในสมัยเมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน นอกจากนี้ทรอตสกี้และครอบครัวยังเดินทางไปมาในเมืองนิวยอร์คด้วยรถยนต์ที่มีคนขับรถประจำ
อพาร์ตเมนต์ที่ทรอตสกี้และครอบครัวไปพัก รวมทั้งรถและคนขับเป็นของดร.จูเลียส แฮมเมอร์ ที่อพยพมาจากรัสเซียและเป็นผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อเมริกาในเวลาต่อมา อาร์มันด์ลูกชายของจูเลียส คือประธานบริษัท Occidental Petroleum Corporation เป็นต่างชาติรายแรกที่ได้สัมปทานจากรัฐบาลโซเวียต
ในวันที่ 16 มีนาคม 1917 ได้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ในรัสเซีย คือ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ถูกปฏิวัติให้ลงจากบัลลังก์โดยกลุ่มนักปฏิวัติที่นำโดยเคเรนสกี้ (Alexsandre Kerensky)
ในตอนนั้นทรอตสกี้ได้ให้สัมภาษณ์สื่อราวกับเป็นคนรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่า
(1) คณะบริหารที่ตั้งขึ้นมาทำหน้าที่แทนพระเจ้าซาร์ที่ถูกปฏิวัติไปนั้น ไม่ได้เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของประชาชน หรือทำตามวัตถุประสงค์ของพวกที่ต้องการปฏิวัติ
(2) จึงเชื่อว่าคณะบริหารนี้คงอยู่ได้ไม่นาน เพื่อให้กลุ่มคนที่สามารถนำพารัสเซียไปสู่ "ความเป็นประชาธิปไตย" มาทำหน้าที่ต่อ
กลุ่มคนที่ทรอตสกี้เชื่อว่าสามารถนำพารัสเซียไปสู่ "ความเป็นประชาธิปไตย" ได้ คือ พวกบอลเชวิกและเมนเชวิกซึ่งเป็นกลุ่มนักปฏิวัติสังคมนิยมที่กำลังลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ และตอนนี้กำลังรีบเร่งเดินทางกลับรัสเซีย เพื่อรอจังหวะ "ทำการปฏิวัติซ้ำ"
ดังนั้นทรอตสกี้จึงเดินทางออกจากนิวยอร์กในวันที่ 26 มีนาคม 1917 ด้วยเรือเดินสมุทรชื่อ SS Kristainiafjord ทรอตสกี้ผ่านด่านตรวจเพื่อขึ้นเรือดังกล่าวด้วยพาสปอร์ตของอเมริกา
นอกจากนี้ทรอตสกี้ยังเดินทางมาพร้อมพรรคพวกอีกหลายคนเพื่อไปทำการปฏิวัติซ้ำที่รัสเซีย
ทรอตสกี้ถูกจับที่แคนาดาในเดือนเมษายน 1917 ที่เมืองฮาลิแฟกซ์ ตอนถูกจับทรอตสกี้พกเงินหนึ่งหมื่นเหรียญติดตัว
แต่หัวหน้าข่าวกรองอังกฤษได้กดดันให้ทางการแคนาดาปล่อยตัวทรอตสกี้เพื่อให้เดินทางกลับไปปฏิวัติซ้ำที่รัสเซียได้
หัวหน้าข่าวกรองอังกฤษคนนี้คือ เซอร์วิลเลียม ไวซ์แมน ซึ่งมีตำแหน่งเป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งของ Kuhn, Loeb & Co ของชิฟฟ์ หรือของรอธไชลด์ด้วย
ถ้าดูจากข้อมูลข้างต้น จึงไม่แปลกที่เราจะตั้งคำถามว่า
ตกลง "การปฏิวัติรัสเซีย" ของทรอตสกี้ เขาทำการปฏิวัติตามอุดมการณ์ของตัวเอง หรือว่าทรอตสกี้เป็นแค่ผู้รับจ้างทำการปฏิวัติ
ในความเห็นของผม ทรอตสกี้น่าจะเล่นบทสองหน้า โดยที่หน้าหนึ่ง เขาทำการปฏิวัติสังคมนิยมตามความเชื่อทางอุดมการณ์ของเขาแต่ในอีกหน้าหนึ่ง ทรอตสกี้ก็ไม่ปฏิเสธที่จะรับเงินจากต่างชาติที่สนับสนุนการปฏิวัติของเขา ดังนั้นเราต้องถามต่อว่า ต่างชาติที่ว่าจ้างทรอตสกี้ให้ปฏิวัติซ้ำที่รัสเซียในปี 1917 เป็นใครและทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร?
เดือนเมษายน 1917 ... เลนิน (1870-1924) และพวกอีก 32 คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกบอลเชวิกกำลังเดินทางออกจากสวิตเซอร์แลนด์ ผ่านเยอรมันข้ามสวีเดน เพื่อเข้ารัสเซียไปร่วมกับทรอตสกี้เพื่อทำการปฏิวัติซ้ำให้สมบูรณ์ การผ่านด่านของพวกเลนินที่เยอรมันเรียบร้อยดี
เพราะได้รับการเห็นชอบจากกองบัญชาการสูงสุดของเยอรมัน ซึ่งไม่ได้ผ่านการรับรู้จากพระเจ้าไกเซอร์ จักรพรรดิของเยอรมันผู้ซึ่งมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย
ดูเหมือนจะเป็นแผนของเยอรมันที่ต้องการให้กองทัพรัสเซียแตกแยก รวมตัวกันไม่ได้ จะได้ขจัดรัสเซียออกไปจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เลนินเป็นชาวรัสเซียที่มีเชื้อสายยิวหนึ่งส่วนสี่ เขาเป็นชาวลัทธิมาร์กซ์ และคิดจะแก้แค้นแทนพี่ชายของเขาที่ถูกแขวนคอ
เนื่องจากพี่ชายของเลนินมีส่วนในการวางแผนลอบสังหารพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ผู้เป็นปู่ของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 เลนินเป็นผู้นำพรรคบอลเชวิกที่คิดใช้ "นโยบายประชานิยม" เพื่อล้มรัฐบาลพระเจ้าซาร์ และนำลัทธิสังคมนิยมมาใช้ปกครองต่อ
ปี 1905 ขณะที่รัสเซียกำลังวุ่นวายอยู่กับการรบกับญี่ปุ่นและเป็นฝ่ายแพ้
เลนินกับทรอตสกี้ได้พยายามปลุกระดมชาวนาให้ต่อต้านพระเจ้าซาร์ แต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายต้องหนีออกจากรัสเซียไปกบดานที่สวิสพาร์วุส "พ่อค้าการปฏิวัติ" ที่รู้จักกับทรอตสกี้ และแนะนำให้ทรอตสกี้รู้จักกับ ชิฟฟ์ ซึ่งเป็นคนของรอธไชลด์ที่สนับสนุนทรอตสกี้ให้ทำการปฏิวัติรัสเซียอยู่เบื้องหลังพาร์วุสก็ไปหาเลนินที่สวิส โดยพาร์วุสเป็นตัวกลางและตัวแทนของรัฐบาลเยอรมันให้การสนับสนุนเลนินเป็นจำนวน 10 ล้านเหรียญทอง เพื่อไปทำการปฏิวัติที่รัสเซีย
นี่คือความย้อนแย้งของเลนิน ผู้เป็นนักปฏิวัติ 'ขายชาติ' ที่รับเงินจากประเทศศัตรู (ตอนนั้นเยอรมันกำลังทำสงครามกับรัสเซีย) มาทำการปฏิวัติประเทศตนเอง
พาร์วุส (1867-1924) เป็นชาวยิวเต็มร้อย ที่คลั่งไคล้ฝักใฝ่การปฏิวัติมาตั้งแต่หนุ่ม พาร์วุสคนนี้แหละที่เป็นเจ้าทฤษฎีการปฏิวัติถาวร (permanent revolution) ที่ตอนหลังทรอตสกี้ยืมทฤษฎีนี้ไปใช้พาร์วุสใช้ชีวิตอยู่ในแถบยุโรปเป็นส่วนใหญ่ เขายังชีพด้วยการเป็นนายหน้าให้อังกฤษจัดหาอาวุธให้กรีกไปรบกับตุรกี เพื่อตัดกำลังจักรวรรดิออตโตมาน อาวุธที่พาร์วุสจัดหามานั้น มาจากบริษัท Vickers ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอาวุธยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ โดยมีรอธไชลด์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
พาร์วุสร่วมงานกับรอธไชลด์ จึงทำให้เขามีเงินมากมาย ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เรียกได้ว่าเป็นนักปฏิวัติที่อู้ฟู่มั่งคั่งที่สุดในยุคนั้น วินสตัน เชอร์ชิล ได้พูดไว้ที่สภาของอังกฤษ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 1919 ว่า
"... เลนินถูกนำตัวมายังรัสเซีย เหมือนการนำเอาขวดแก้วที่ใส่เชื้ออหิวาห์เข้ามา เพื่อเอาไปเทใส่ในแหล่งน้ำให้มันแพร่กระจายไปทั่วเมือง และมันได้ผลดีอย่างมหัศจรรย์
....ทันทีที่เลนินถึงที่หมาย เลนินได้เรียกให้พวกหัวหน้าคอมมิวนิสต์ตามเมืองต่างๆมาอยู่รอบตัวเขาและรับคำบัญชาจากเขา จากนั้นเลนินก็เริ่มงานที่เป็น "การทำลายล้างทุกสถาบัน" ที่ประกอบเป็นรัสเซีย ที่รัสเซียยึดถืออยู่ จนแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ...."
ชนชั้นนำอังกฤษที่เป็นจ้าวโลกตอนนั้นมองว่า ใครก็ตามที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัสเซีย ผู้นั้นแหละ จะเป็นผู้ตัดสินหรือควบคุมบริเวณยูเรเซียอันกว้างใหญ่ และหมายความว่าจะเป็นผู้ควบคุมโลกใบนี้ในตอนนั้นอย่างสมบูรณ์ เพราะเหตุนี้แหละ อังกฤษจึงลงทุน "สร้างสงครามโลกครั้งที่ 1" เป้าหมายแรกเพื่อต้องการเขี่ยหรือกันท่าเยอรมันให้พ้นจากแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลาง
ดังนั้นอังกฤษจึงต้องกวาดล้างเยอรมันและออตโตมานให้ราบคาบเสียก่อนในช่วงทำสงครามโลก
ครั้งที่ 1 ส่วนรัสเซียนั้น อังกฤษเตรียมจัดการในขั้นต่อไป แต่รัสเซียอยู่ในภูมิประเทศที่ทำลายยาก วิธีที่อังกฤษใช้จัดการกับรัสเซีย คือขั้นแรกหลอกรัสเซียให้มาอยู่ฝ่ายตนเสียก่อนตอนทำสงครามกับเยอรมัน หลังจากนั้นก็รอเวลาให้เกิดการปฏิวัติในรัสเซีย โดยที่หน้าฉากเหมือนอังกฤษไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติรัสเซีย
แต่จริง ๆ แล้ว อังกฤษรู้ดีอยู่แล้วว่า มีคนจ้องจะปฏิวัติรัสเซีย อังกฤษแค่ปล่อยให้ "เชื้อโรคปฏิวัติ" เป็นผู้จัดการบ่อนทำลายรัสเซียเอง ซึ่งได้ผลกว่าเยอะ
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ดูเหมือนว่าตระกูลรอธไชลด์ของพวกนายทุนยิวจะอยู่เบื้องหลังแผนของอังกฤษอีกทีหนึ่ง
ปี ค.ศ. 1890 ...จักรภพอังกฤษ แม้จะเป็นเพียงเกาะเล็กๆ แต่ก็สร้างตนเองขึ้นมายิ่งใหญ่ได้ด้วยความฉลาด เจ้าเล่ห์ เหลี่ยมพราวและความชั่วร้ายจนโดดเด่น มีอำนาจทั้งในด้านการเมือง การทหาร และการค้า
ในช่วงที่ผ่านมาจนถึงตอนนั้น จักรภพอังกฤษได้แผ่อิทธิพลไปเกือบทั่วโลก ขนาดอ้างได้ว่าดวงอาทิตย์หาที่ตกในจักรภพอังกฤษไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ อังกฤษจึงพยายามทำทุกวิถีทางที่จะรักษาความเป็นจ้าวโลกหรือความเป็นที่หนึ่ง เพื่อเอาโลกใบนี้ให้อยู่ในกำมือของตนเองตลอดกาล หรืออย่างน้อยก็ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
จะคุมโลกเอาไว้ในกำมือ อังกฤษต้องทำให้ตัวเองมีเสาหลักหรือมีอำนาจควบคุมใน 3 เรื่องคือ
(1) ควบคุมเส้นทางเดินเรือ
โดยใช้บริษัทประกันภัยหมายเลขหนึ่งของอังกฤษ ลอยด์ (Lloyd) ซึ่งมีเครือข่ายทั่วโลก บวกกับใช้เครือข่ายของธนาคารอังกฤษเป็นผู้วางกฏเกี่ยวกับการขนส่งทางเรือ บวกกับการใช้กองทัพเรือของอังกฤษทำหน้าที่เป็นเรือคุ้มกันภัยให้กับเรือขนส่งสินค้าสัญชาติอังกฤษ โดยไม่ต้องทำประกันภัย ขณะที่คู่แข่งถูกบังคับให้ทำประกันภัยกับลอยด์
(2) การควบคุมระบบการเงินการธนาคาร
ทำให้เกิดระบบธนาคารกลางในอังกฤษ และที่สำคัญอังกฤษเป็นตัวการที่ทำให้เกิด Federal Reserve System ในอเมริกาในปี 1914 ... ที่สำคัญ Fed เป็นของเอกชน ไม่ใช่ของรัฐ และเป็นเอกชนไม่กี่ตระกูลที่ส่วนใหญ่เป็นเครือข่ายของตระกูลรอธไชลด์ของฝั่งอังกฤษ และตระกูลร็อกกี้เฟลเบอร์และมอร์แกนของฝั่งอเมริกา Fed เป็นตัวการสำคัญในการชักใยการเงินโลกมาจนถึงทุกวันนี้ จะเห็นได้ว่าเสาหลักที่สองนี้มีอานุภาพรุนแรงและยาวนานอย่างไม่น่าเชื่อ
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับผู้ที่ต้องการเอาโลกไว้ในกำมือของตนเองตลอดไปในยุคปัจจุบันที่จะคิดค้นเงินดิจิตอล หรือ CBDC ออกมา
(3) การควบคุมหรือครอบครองทรัพยากร ที่เป็นผลต่อยุทธศาสตร์ของตน
ในยุคนั้นคือน้ำมัน ผ่านมาร้อยกว่าปีน้ำมันก็ยังมีความหมายและมีผลกับโลกนี้ทั้งใบ
น้ำมันเป็นของมีค่าสำหรับชาติมหาอำนาจที่ไม่อยากให้ชาติอื่นได้ไป จึงพร้อมที่จะสร้างเรื่องก่อสงคราม โดยไม่รู้สึกผิดและละอายแม้แต่น้อย
ตระกูลรอธไชลด์ เริ่มเข้าไปขุดเจาะน้ำมันที่บากูในอาเซอร์ไปจานของรัสเซียในปี 1880 รอชไชลด์มีโรงกลั่นน้ำมันในบากู ถึง 200 แห่งรอธไชลด์มีรากเหง้ามาจากยิว ไม่ได้แค่ไปขุดน้ำมันในรัสเซียเพียงลำพัง แต่ยังระดมขนญาติพี่น้องของตระกูลที่กระจายอยู่ในเมืองต่างๆของยุโรป เข้าไปค้าขายขยายธุรกิจอยู่ในรัสเซียด้วย ... เป็นเรื่องที่สร้างความไม่พอใจให้แก่พระเจ้าซาร์นิโคลัสแห่งรัสเซียอย่างยิ่ง และพระองค์แสดงออกอย่างเปิดเผยว่าไม่ชอบยิว และไม่ชอบรอชไชด์
ในปี 1870 อุตสาหกรรมอังกฤษนำหน้าเยอรมันชนิดทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น แต่อีกสามสิบปีต่อมา อุตสาหกรรมเยอรมันโตขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกสาขาและต้องการน้ำมันเป็นอย่างมากในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของตน
ในปี 1912 เยอรมันได้สัมปทานจากรัฐบาลของออตโตมานสร้างทางรถไฟสายเบอร์ลิน-แบกแดด ซึ่งเป็นเส้นทางที่ผ่านแหล่งน้ำมันใหญ่ไปตลอดสาย ยาว 2,500 ไมล์ พร้อมให้สิทธิข้างทางกว้าง 20 กิโลเมตรยาวตลอดเส้นทางรถไฟซึ่งจะไปถึงโมซุล (อิรักในปัจจุบัน) ด้วย
มาถึงจุดนี้ อังกฤษเริ่มมองเยอรมันเป็นฝ่ายตรงข้าม เพราะสถานะของเยอรมันเริ่มคุกคามความเป็นจ้าวโลกของจักรภพอังกฤษ
อังกฤษจึงต้องวางแผนกำจัดเยอรมันและครอบครองแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลางทั้งหมดแทน โดยไม่ให้เยอรมันมาแย่ง มาแบ่ง หรือมาขวาง
วิธีเดียวที่จะทำให้อังกฤษได้ทั้งหมดตามที่ตัวเองต้องการคือ
"ต้องสร้างสงครามขึ้นมา" ด้วยสงครามเท่านั้น ที่จะทำลายเยอรมันจนหมดสภาพ รวมทั้งทำลายอาณาจักรออตโตมาน (ตุรกีในปัจจุบัน) ที่หันไปคบกับเยอรมันที่กลายเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของอังกฤษไปแล้ว
เพื่อการนี้ อังกฤษจึงต้องยุให้รัสเซียขัดแย้งทำสงครามกับเยอรมัน
แต่ในขณะเดียวกันก็มุ่งทำให้รัสเซียเกิดความแตกแยกภายในอย่างรุนแรง
3 อาณาจักรใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานอย่างออตโตมาน เยอรมัน และรัสเซีย จึงถูกอังกฤษวางแผนให้ล่มสลายผ่าน "การสร้างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง" ด้วยเหตุผลเดียวเท่านั้น คือ เพื่อให้จักรภพอังกฤษได้ครองความเป็นจ้าวโลกสืบต่อไปอีกนานเท่านาน
อังกฤษใช้ตระกูลรอชไชลด์เดินหมากเกมนี้
ตระกูลรอชไชลด์เป็นเพียงตระกูลพ่อค้าชาวยิวที่รวยล้นด้วยอำนาจทุน จึงสามารถสร้างเครือข่ายอำนาจได้ทั่วทุกแห่งทุกระดับ ถึงขนาดสามารถวางแผนบ่อนทำลายอาณาจักรใดก็ได้ในโลกใบนี้ ถ้าคิดจะทำตระกูลรอชไชลด์อาศัยเกิดในเยอรมันก็จริง รวมทั้งอยู่ในอังกฤษด้วย แต่รอชไชลด์เป็นพวกที่ไม่เคยนึกถึงสัญชาติและประเทศชาติ พวกรอชไชลด์รู้จักแต่การทำเงิน การทำกำไร และฉกฉวยโอกาสจากการทำสงครามและสร้างความวุ่นวายทางการเมืองเท่านั้น
เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน ในสมัยที่ตัวผมยังเป็นนักปฏิวัติและเคยอยู่ในขบวนการปฏิวัติไทย
ทรอตสกี้คือ ฮีโร่ของผม
ความสามารถที่หลากหลายของทรอตสกี้ ที่เป็นทั้งนักคิด นักเขียน นักกลยุทธ์ และนักเคลื่อนไหวอยู่ในตัวคนๆเดียว ทำให้ทรอตสกี้กลายเป็น "บุคคลต้นแบบ" สำหรับผมในตอนนั้น
ก่อนที่ขบวนการการปฏิวัติไทยจะล่มสลาย และตัวผมได้พบเจอเรื่องราวของ 'มิยาโมโต้ มูซาชิ' และวิถีของเขาผ่านอมตะนิยายของเอจิ โยชิคาว่า
ในเวลาต่อมาผ่านมาสี่สิบปี ผมสามารถมองชีวิตและเส้นทางนักปฏิวัติของทรอตสกี้ด้วยสายตาที่กว้างไกลและลุ่มลึกกว่าเดิมการได้รับรู้ว่า ในที่สุดทรอตสกี้ก็ถูกพวกรอชไชลด์ยืมมือ หรือหลอกใช้ให้ทำลายประเทศของตนเองอย่างยับเยินไม่มีชิ้นดี ...เป็นอะไรที่น่าเจ็บปวดอย่างยิ่ง!!
การปฏิวัติรัสเซียจึงไม่เพียงเป็นผลพวงหรือผลพลอยได้จากสงครามโลกครั้งที่ 1 เท่านั้น ยังมีคนบงการในระดับ "คนคุมเกม หรือผู้กำหนดเกม" อย่างตระกูลรอธไชลด์มาชักใยอยู่เบื้องหลัง
โดยที่เลนิน และทรอตสกี้ เป็นแค่หมากตัวหนึ่งในระดับ "ผู้เล่น" ที่ถูกชักใยบงการอยู่เบื้องหลังอย่างแยบยล
ขนาดเลนินกับทรอตสกี้เองก็ยังไม่รู้ตัวหรือได้สำนึกก่อนตายว่า ตัวเองถูกหลอกใช้!!
มายาคติที่ใหญ่ที่สุดของนักปฏิวัติอย่างเลนินและทรอตสกี้ คือยังหลงเชื่ออย่างมืดบอดจนวันตายว่า ...พวกตนกำลังทำการปฏิวัติและได้ "ปฏิวัติรัสเซีย" ล้มพระเจ้าซาร์เป็นผลสำเร็จ
แต่เปล่าเลย เพราะ "ระบอบสตาลิน" ที่ถือกำเนิดขึ้นมาหลังการปฏิวัติรัสเซียปี 1917 เป็นแค่อีกรูปแบบหนึ่งของการฟื้นตัวของจักรวรรดิรัสเซีย (โซเวียต) ในรูปรัฐอำนาจนิยมแบบรวมศูนย์เท่านั้นเอง
"พวกนักปฏิวัติรัสเซีย" ไม่มีทางโค่นสถาบันพระเจ้าซาร์ได้สำเร็จหรอก ถ้าพวกเขาไม่ขายชาติและชักศึกเข้าบ้าน!!
เบื้องหลังของความจริงของการปฏิวัติรัสเซีย กลับเป็นความพยายามดิ้นรนสุดชีวิตของจักรภพอังกฤษเพื่อรักษาความเป็นจ้าวโลกที่กำลังถูกท้าทายโดยขั้วอำนาจใหม่เท่านั้นเอง
สำหรับเมืองไทย การสานต่อภารกิจการปฏิวัติ 2475 ตามแนวทาง "การปฏิวัติถาวร" คือ ความละเมอเพ้อพก อย่างหนึ่ง
สุวินัย ภรณวลัย
Suvinai Pornavalai