Tuesday, 10 June 2025
WORLD

ลือดีลควบรวมนิสสัน-ฮอนด้า คว้าน้ำเหลว หลังค่ายนิสสันไม่ยอมรับเป็นบริษัทลูก

(5 ก.พ.68) สื่อญี่ปุ่นรายงานตรงกันว่า การเจรจาควบรวมกิจการระหว่าง ฮอนด้า และ นิสสัน กำลังเผชิญอุปสรรคสำคัญ หลังนิสสันแสดงจุดยืนคัดค้านข้อเสนอของฮอนด้าอย่างหนัก

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ฮอนด้าได้ยื่นข้อเสนอซื้อหุ้นของนิสสันเพื่อให้กลายเป็นบริษัทย่อย ภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทว่าฝ่ายนิสสันปฏิเสธ เนื่องจากไม่ต้องการสูญเสียอำนาจบริหาร ส่งผลให้แนวโน้มการควบรวมอาจต้องยุติลง โดยเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ผู้บริหารของนิสสันระบุว่า "เงื่อนไขที่ทั้งสองฝ่ายจะยอมรับได้แทบเป็นไปไม่ได้ ทำให้การควบรวมดูเหมือนจะเกิดขึ้นได้ยาก"

ก่อนหน้านี้ ในเดือนธันวาคม 2023 ฮอนด้าและนิสสันประกาศแผนจัดตั้ง บริษัทโฮลดิ้งร่วม ภายในเดือนสิงหาคม 2026 พร้อมถอดหุ้นของทั้งสองบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม แผนปรับโครงสร้างของนิสสันที่ล่าช้าสร้างความไม่พอใจให้กับฮอนด้า จึงเป็นเหตุให้บริษัทเปลี่ยนแนวทางจากการร่วมมือ มาเป็นการเข้าซื้อหุ้นนิสสันแทน เพื่อให้สามารถควบคุมการบริหารและเร่งเดินหน้าแผนปรับโครงสร้าง

ขณะนี้ นิสสันยังคงประชุมภายในอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีแนวโน้มสูงว่าจะไม่ยอมรับเงื่อนไขการเป็นบริษัทย่อย ขณะที่ฝั่งฮอนด้าก็ส่งสัญญาณว่า หากนิสสันปฏิเสธ ข้อตกลงนี้อาจต้องยุติลงในที่สุด

USAID หนุนทุนวิจัยอาวุธชีวภาพ มอบเงิน 307,000 ดอลลาร์ ให้โครงการในยูเครน

(4 ก.พ. 68) หลังจากมีกระแสข่าวที่ว่าอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีและคณะทำงานกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล  DOGEมีแผนสั่งยุบองค์กรที่ให้การช่วยเหลือระดับโลกของรัฐบาลสหรัฐภายใต้ชื่อ USAID นั้น เว็บไซต์ข่าวสปุตนิก รายงานว่า พลโท อิการ์ คิริลอฟ หัวหน้ากองกำลังป้องกันรังสี เคมี และชีวภาพของกองทัพรัสเซีย ผู้ล่วงลับจากเหตุระเบิดในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เคยออกมาแฉถึงเบื้องหลังของ USAID ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องให้การสนับสนุนวิจัยอาวุธชีวภาพในยูเครน

ก่อนหน้านี้ อีลอน มัสก์ ได้เรียก USAID ว่าเป็น องค์กรอาชญากร และกล่าวว่า ถึงเวลาที่ต้องจบแล้ว พร้อมกล่าวหาว่าภาษีของสหรัฐฯ ถูกโอนผ่านองค์กรนี้เพื่อใช้ในการวิจัยอาวุธชีวภาพ ซึ่งสะท้อนถึงคำกล่าวอ้างของพลโท อิกอร์ คิริลอฟ อดีตหัวหน้ากองกำลังป้องกันเคมี ชีวภาพ และนิวเคลียร์ของรัสเซีย โดยเอกสารที่ได้รับจากการปฏิบัติการพิเศษทางทหารของรัสเซียระบุว่า

Metabiota บริษัทผู้รับเหมาในสังกัดกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้รับสัญญาสำหรับการ 'วิจัยและพัฒนาในวิทยาศาสตร์ทางกายภาพ วิศวกรรมศาสตร์ และชีววิทยา' และ 'ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและความร่วมมือ' โดยในเดือนกันยายน 2014 Metabiota ได้รับเงิน 307,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับ "โครงการวิจัยในยูเครน" และในปีงบประมาณ 2014 Metabiota ได้รับการประมูลจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ และหน่วยงานย่อยอย่าง Defense Threat Reduction Agency (DTRA)

การสืบสวนของกระทรวงกลาโหมรัสเซียในปี 2022 เปิดเผยว่า DTRA เป็นหน่วยงานหลักของสหรัฐฯ ในการสร้างห้องแล็บชีวภาพในยูเครน โดย Metabiota ยังอยู่ในรายชื่อบริษัทที่เกี่ยวข้องอีกด้วย

นอกจากนั้นนายพลคิริลอฟ เคยระบุในรายงานอีกว่า ตั้งงแต่ปี 2019 USAID และผู้รับเหมาหลักคือ Labyrinth Ukraine ได้มีส่วนร่วมในโครงการชีววิทยาของกองทัพสหรัฐฯ โดย Labyrinth Ukraine เป็นสาขาหนึ่งของ Labyrinth Global Health ซึ่งผู้ก่อตั้งของ Labyrinth Global Health เคยทำงานกับ Metabiota ซึ่งเป็นผู้รับเหมาหลักของกองทัพสหรัฐฯ ในด้านอาวุธชีวภาพ

Labyrinth Ukraine มีส่วนร่วมในโครงการ UP-9 และ UP-10 ของสหรัฐฯ ซึ่งศึกษาการระบาดของไข้สุกรแอฟริกันในยูเครนและยุโรปตะวันออก

ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022, มีการกล่าวหาว่าเชื้อโรคของโรคระบาด เช่น โรคกาฬโรค, โรคแอนแทรกซ์, โรคทูลาเรเมีย, โรคอหิวาต์ และโรคติดต่อร้ายแรงอื่นๆ ถูกทำลายเพื่อปกปิดการละเมิดอนุสัญญาอาวุธชีวภาพและพิษ (BTWC) โดยสหรัฐฯ และยูเครน

จดหมายจากหัวหน้ากองระบาดวิทยาของยูเครนถึง Labyrinth Ukraine ได้ยืนยันถึงความร่วมมือกับ USAID ในการฉีดวัคซีนให้กับทหารและการเก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับสหรัฐฯ

นอกจากนี้ยังมีโครงการวิจัยอื่นๆ ที่อยู่ภายใต้แผนลดภัยคุกคามชีวภาพของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ อาทิ การวิจันเชื้อไวรัสโคโรนาและฝีดาษลิง  นอกจากนี้ยังพบหลักฐานว่าในปี 2009 โครงการ PREDICT ของ USAID  เคยนำเชื้อไวรัสโคโรนาชนิดใหม่มาวิจัย แต่หน่วยวิจัยดังกล่าวถูกปิดลงกะทันหันในปี 2019 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดการระบาดใหญ่ของโรคโควิด ซึ่งกลายเป็นจุดสังเกตที่นายพลรัฐบาลตั้งข้อสงสัย

จีนลุยยื่น WTO ฟ้องสหรัฐ อ้างไม่เป็นธรรม หลังขึ้นภาษี 10%

(4 ก.พ. 68) กระทรวงพาณิชย์ของจีนรายงานว่าจีนได้ยื่นเรื่องร้องเรียนกับกลไกแก้ไขข้อพิพาทขององค์การการค้าโลก (WTO) กรณีสหรัฐฯ ตัดสินใจกำหนดการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมร้อยละ 10 กับสินค้านำเข้าจากจีน เพื่อคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์ตามกฏหมายของจีน

โฆษกกระทรวงฯ แถลงข่าวว่ากรณีสหรัฐฯ กำหนดการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมจากสินค้าจีนได้ละเมิดกฎเกณฑ์ขององค์การฯ อย่างร้ายแรง โดยการกระทำเช่นนี้ถือเป็นแบบอย่างของลัทธิกระทำเพียงฝ่ายเดียวและลัทธิกีดกันทางการค้า

การกระทำของสหรัฐฯ บั่นทอนระบบการค้าพหุภาคีที่มีกฎเกณฑ์ บ่อนทำลายรากฐานความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าจีน-สหรัฐฯ และส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพความมั่นคงของห่วงโซ่อุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกอย่างยิ่ง

สหรัฐฯ มุ่งเน้นลัทธิกระทำเพียงฝ่ายเดียวหรือเอกภาคีมากกว่าพหุภาคีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อให้เกิดเสียงตำหนิติเตียนจากสมาชิกองค์การฯ ส่วนใหญ่ ซึ่งจีนคัดค้านการกระทำของสหรัฐฯ และกระตุ้นเตือนฝ่านสหรัฐฯ แก้ไขข้อผิดพลาดโดยทันที

จีนในฐานะผู้สนับสนุนและผู้มีส่วนส่งเสริมระบบการค้าพหุภาคีพร้อมทำงานร่วมกับสมาชิกองค์การฯ รายอื่นๆ เพื่อรับมือกับความท้าทายจากลัทธิกระทำเพียงฝ่ายเดียวและลัทธิกีดกันทางการค้าที่ส่งผลกระทบต่อระบบการค้าพหุภาคี และคุ้มครองการพัฒนาอันมีระเบียบและเสถียรภาพของการค้าระหว่างประเทศ

สหรัฐฯ เตือนข้าราชการแข็งข้อ 'อีลอน มัสก์' ผิดกฎหมาย ทำเนียบขาวชี้เป็นตำแหน่ง'ลูกจ้างพิเศษ' ไร้เงินเดือน

(4 ก.พ. 68) อัยการของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า ได้มอบหมายให้เอฟบีไอกำลังสอบสวนแบบกำหนดเป้าหมาย ของเจ้าหน้าที่รัฐส่วนหนึ่งที่มีความพยายามในการขัดขวางการทำงาของนายอีลอน มัสก์ ฐานะที่เขาเป็นหัวหน้าหน่วยงานลดขนาดและเพิ่มประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) 

สำหรับ DOGE ถูกตั้งขึ้นโดยมีเป้าหมายที่จะลดจำนวนเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลาง และลดการใช้จ่ายของรัฐบาลหลายพันล้านดอลลาร์ แต่ผู้วิจารณ์กล่าวว่า DOGE ถูกใช้เพื่อกำหนดเป้าหมายหน่วยงานและโครงการของรัฐบาลที่มองว่าไม่สอดคล้องกับวาระ "อเมริกาต้องมาก่อน" ของทรัมป์

มีรายงานว่านับตั้งแต่ที่ทรัมป์เข้ามาดำรงตำแหน่งสมัยสองพร้อมกับการตั้งให้อีลอน มัสก์ ทำงานในฐานะกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล หรือ DOGE  พบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐหลายส่วนพยายามขัดขวางการทำงานของผู้ช่วยของมัสก์ ในการเข้าถึงข้อมูลลับจำนวนมากโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเหมาะสม

นายเอ็ดเวิร์ด มาร์ติน รักษาการอัยการสหรัฐฯ ประจำกรุงวอชิงตัน ดีซี เป็นหลักฐานแรกที่แสดงให้เห็นว่า การต่อต้านความพยายามของมัสก์อาจนำไปสู่ผลทางกฎหมาย มาร์ตินกล่าวในแถลงการณ์ว่า "การตรวจสอบเบื้องต้นของหลักฐานที่นำเสนอต่อเรา บ่งชี้ว่าบุคคลและ/หรือกลุ่มบุคคลบางกลุ่มได้กระทำการที่ดูเหมือนจะละเมิดกฎหมายในการกำหนดเป้าหมายเจ้าหน้าที่ของ DOGE" มาร์ตินกล่าวว่า เอฟบีไอและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่นๆ กำลังเตรียม "ดำเนินการในทันที"

แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่มาร์ตินเปิดเผยจดหมายที่เขาเขียนถึงมัสก์ เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใดก็ตามที่พยายามคุกคามหรือขัดขวางผู้ที่ทำงานร่วมกับมัสก์ โดยมัสก์โพสต์ข้อความขอบคุณเพื่อตอบกลับข้อความของมาร์ติน

ก่อนหน้านี้รัฐบาลทรัมป์ได้ปลดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยระดับสูง 2 คน จากสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือ USAID ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของมัสก์ หลังจากที่พวกเขาพยายามขัดขวางไม่ให้ตัวแทนของ DOGE เข้าถึงพื้นที่ต้องห้ามของอาคาร จนเกิดการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและเจ้าหน้าที่ของสำนักงานอัยการสหรัฐฯ  โดยพบว่ามีเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังระดับสูงคนหนึ่งได้ต่อต้านความพยายามของทีม DOGE ที่จะเข้าถึงระบบการเงินของหน่วยงาน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

ขณะเดียวกันด้านทำเนียบขาว ได้ออกเอกสารยืนยันสถานะการทำงานของนายอีลอน มัสก์ ว่าเขามาช่วยงานประธานาธิบดีทรัมป์ ในฐานะ "ลูกจ้างพิเศษของรัฐบาล" 

การยืนยันในเรื่องนี้ทำให้เกิดความชัดเจนมากขึ้นว่า นายอีลอน มัสก์ ซึ่งเป็นซีอีโอพันล้านเจ้าของบริษัทด้านเทคโนโลยีกลายมาเป็นกำลังสำคัญในการทำงานของรัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ ไม่ใช่อาสาสมัครแต่อย่างใด แต่เขาก็ไม่ได้มีสถานะเป็นลูกจ้างพนักงานรัฐแบบเต็มเวลา

ทางด้านกระทรวงยุติธรรมระบุคำนิยามของ ลูกจ้างประจำของรัฐบาลคือ บุคคลใดก็ตามที่ทำงานหรือคาดว่าจะทำงานให้กับรัฐบาลเป็นเวลา 130 วันหรือน้อยกว่าในช่วงระยะเวลา 365 วัน ขณะที่นายอีลอน มัสก์ ไม่ได้รับค่าจ้างในการทำงานแต่อย่างใด แต่เขามีใบรับรองความปลอดภัยระดับความลับขั้นสูงสุด นอกจากนี้ยังมีสำนักงานอยู่ที่ทำเนียบขาว และสามารถเข้าถึงระบบการชำระเงินที่สำคัญของกระทรวงการคลัง ซึ่งส่งเงินออกไปในนามของรัฐบาลกลางทั้งหมดได้

ขณะเดียวกัน เนื่องจากเป็นลูกจ้างพิเศษของรัฐบาล เขาจึงได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายของรัฐบาลกลางว่าด้วยผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งห้ามพนักงานของรัฐบาลเข้าร่วมในกิจกรรมที่อาจส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ทางการเงินของตัวเอง กฎหมายดังกล่าวสามารถบังคับใช้ได้ทั้งในทางอาญาและทางแพ่ง แต่สามารถบังคับใช้ได้โดยกระทรวงยุติธรรมเท่านั้น

ทรัมป์เปิดฉากขึ้นภาษีสินค้าจีน 10% ปักกิ่งเอาคืนหนักเก็บ 15% พร้อมคุมส่งออกแร่หายาก

(4 ก.พ. 68) สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนกลับมาปะทุอีกครั้ง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษี 10% กับสินค้านำเข้าจากจีนทั้งหมด ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยการเพิ่มภาษีกับสินค้าสหรัฐฯ และจำกัดการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด

โดยมาตรการภาษีใหม่ของทรัมป์ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 00:01 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ของวันที่ 4 ก.พ.โดยทรัมป์ให้เหตุผลว่าจีนไม่จริงจังในการสกัดกั้นการนำเข้าเฟนทานิล ซึ่งเป็นตั้งต้นสารเสพติดที่สร้างปัญหาในสหรัฐฯ อย่างหนัก โดยทรัมป์ประกาศขึ้นภาษี 10% กับสินค้านำเข้าทั้งหมดจากจีน

ส่งผลให้ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที กระทรวงการคลังของจีนประกาศมาตรการตอบโต้ โดยเรียกเก็บภาษี 15% สำหรับถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ รวมถึงภาษี 10% สำหรับน้ำมันดิบ เครื่องจักรทางการเกษตร และรถยนต์บางประเภท โดยมาตรการนี้จะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์

นอกจากการขึ้นภาษีสินค้าแล้ว จีนยังเปิดฉากโจมตีบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ โดยเริ่มสอบสวนการผูกขาดของ Alphabet Inc. บริษัทแม่ของ Google พร้อมทั้งเพิ่มบริษัท PVH Corp. ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์แฟชั่นชื่อดังอย่าง Calvin Klein และ Illumina บริษัทไบโอเทคของสหรัฐฯ เข้าใน "บัญชีหน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ"

ขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์และกรมศุลกากรของจีนประกาศควบคุมการส่งออกแร่หายากสำคัญ เช่น ทังสเตน เทลลูเรียม รูทีเนียม และโมลิบดีนัม อ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ ซึ่งอาจกระทบต่ออุตสาหกรรมพลังงานสะอาดทั่วโลก เนื่องจากจีนเป็นผู้ผลิตแร่หายากรายใหญ่

สงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากทรัมป์ตัดสินใจเลื่อนการขึ้นภาษีกับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกออกไปอีก 30 วันเพื่อแลกกับมาตรการคุมเข้มชายแดนของทั้งสองประเทศ อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยังเตือนว่าอาจเพิ่มภาษีจีนอีกหากจีนไม่หยุดการส่งออกเฟนทานิลมายังสหรัฐฯ

จีนปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยยืนยันว่าปัญหายาเสพติดเป็นเรื่องภายในของสหรัฐฯ และเตรียมยื่นเรื่องร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WTO) แต่ในขณะเดียวกันก็ยังเปิดโอกาสให้มีการเจรจา

การปะทะกันทางเศรษฐกิจครั้งนี้สร้างความผันผวนให้ตลาดการเงินทันที โดยตลาดหุ้นฮ่องกงร่วงลง ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ขณะที่เงินหยวนของจีนอ่อนค่าลง กดดันค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียให้ลดลงตามไปด้วย

นักวิเคราะห์จาก Oxford Economics เตือนว่าการตอบโต้ครั้งนี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นในรอบใหท่ และสหรัฐฯ อาจเพิ่มอัตราภาษีต่อจีนอีกหากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ในเร็ว ๆ นี้

โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวถึงประเด็นให้การสนับสนุนยูเครนเพื่อสู้ศึกรัสเซีย

เมื่อวันที่ (3 ก.พ. 68) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่า เขายังคงต้องการบรรลุข้อตกลงกับยูเครนในการสนับสนุนสู้ศึกรัสเซียแต่ต้องเป็นภายใต้เงื่อนไขที่ยูเครน ต้องอนุมัติการเข้าถึงแร่หายาก  (Rare Earth) ภายในประเทศ

ขณะผู้คุยกับผู้สื่อข่าวในห้องทำงานรูปไข่ ทรัมป์กล่าวว่า ที่ผ่านมาสหรัฐส่งความช่วยเหลือยู่เครนทางด้านการททหารและเศรษฐกิจมากกว่าประเทศพันธมิตรใดๆ ในยุโรป พร้อมเสริมว่า “เรากำลังมองหาข้อตกลงที่ยูเครนจะจัดหาแร่ธาตุหายากและทรัพยากรอื่น ๆ ให้แก่เรา”  

เขายังเผยว่า ทางการยูเครนแสดงความพร้อมที่จะทำข้อตกลงเพื่อให้สหรัฐฯ สามารถเข้าถึงแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง  

“ผมต้องการให้แน่ใจว่าเรามีแร่ธาตุหายากอย่างเพียงพอ เรามีงบประมาณหลายแสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ยูเครนมีทรัพยากรเหล่านี้ในปริมาณมาก และพวกเขายินดีที่จะร่วมมือกับเรา” ทรัมป์กล่าว  

แม้ก่อนหน้านี้เขาเคยให้คำมั่นว่าจะเร่งยุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน แต่ทรัมป์ระบุว่าการเจรจากำลังดำเนินไป โดยกล่าวว่า “เรามีความคืบหน้าอย่างมากในเรื่องรัสเซียและยูเครน รอดูกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะยุติสงครามที่ไร้เหตุผลนี้ให้ได้”  

ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดียูเครน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ย้ำเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ว่า การเจรจาใด ๆ ระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียที่ไม่มียูเครนอยู่ในวงหารือถือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้  

“พวกเขาอาจมีความสัมพันธ์ในแบบของตนเอง แต่หากจะพูดถึงยูเครนโดยไม่มีเรา นั่นเป็นอันตรายสำหรับทุกฝ่าย” เซเลนสกีกล่าว  

ทั้งนี้ เขาระบุว่าทีมงานของเขาได้มีการติดต่อกับรัฐบาลทรัมป์แล้ว แต่เป็นเพียงการหารือในระดับเบื้องต้น และคาดว่าจะมีการพบปะกันโดยตรงในเร็ว ๆ นี้เพื่อกำหนดรายละเอียดของข้อตกลงต่อไป

ผู้อพยพประท้วงรบ.ทรัมป์ บอยคอตหยุดงาน แสดงพลังเป็นเบื้องหลังผู้สร้างศก.อเมริกา

(4 ก.พ. 68) สื่อท้องถิ่นสหรัฐรายงานว่า บรรดาประชาชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าวและผู้อพยพ ต่างออกมาชุมนุมประท้วงต่อต้านนโยบายจับกุมและเนรเทศผู้อพยพของรัฐบาลภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะที่นครลอสแอนเจลิส (LA) ซึ่งมีการรวมตัวประท้วงหลายจุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

รายงานระบุว่า การประท้วงทั่วเมืองใหญ่ในสหรัฐภายใต้แคมเปญ Day without immigrations ที่นครลอสแองเจลิส กลุ่มผู้ประท้วงเดินขบวนไปยังศาลากลาง LA พร้อมโบกธงและถือป้ายต่อต้านมาตรการแข็งกร้าวต่อผู้อพยพ ก่อนที่บางส่วนจะเคลื่อนตัวไปปิดกั้นทางด่วนหมายเลข 101 ส่งผลให้การจราจรเป็นอัมพาตในใจกลางเมืองนานหลายชั่วโมง ขณะที่เมืองริเวอร์ไซด์ ทางตะวันออกของ LA ก็มีการชุมนุมเช่นกัน โดยบางกลุ่มใช้รถยนต์เบิร์นยางกลางสี่แยกเพื่อแสดงออกถึงความไม่พอใจ อย่างไรก็ตาม การชุมนุมเป็นไปอย่างสงบ

ส่วนที่เมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส กลุ่มภาคประชาสังคมได้เดินขบวนประท้วงนโยบายเข้มงวดของทรัมป์ ที่มุ่งเน้นจับกุมและเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมาย พร้อมเพิ่มงบประมาณปิดกั้นพรมแดน รายงานระบุว่ารัฐบาลทรัมป์จับกุมผู้อพยพเฉลี่ยวันละ 900-1,200 คน โดยเฉพาะในเมืองที่มีศูนย์พักพิงขนาดใหญ่ เช่น นิวยอร์กและชิคาโก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกาใต้ เปรียบเทียบกับยุครัฐบาลโจ ไบเดน ที่มีอัตราการจับกุมเฉลี่ยเพียง 311 คนต่อวัน

กลุ่มผู้อพยพหลายกลุ่มได้แสดงพลังในการสนับสนุนบทบาทของแรงงานต่างด้าวในฐานะกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยการบอยคอตการทำงานและการงดซื้อสินค้าต่างๆ เพื่อแสดงออกว่าแรงงานต่างด้าวมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ หากขาดแรงงานต่างด้าว สหรัฐฯ จะไม่สามารถสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคงได้

ขณะเดียวกันนาย มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มีกำหนดการเดินทางเยือนปานามา ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับคลองปานามา ซึ่งทรัมป์เคยขู่ว่าจะใช้กำลังทหารเข้าควบคุม อ้างเหตุผลว่าค่าธรรมเนียมผ่านทางสูงเกินไปและปานามาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีน อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีโฮเซ ราอูล มูลิโน ของปานามายืนยันว่าคลองปานามาเป็นของประเทศตนและไม่สามารถเจรจาเปลี่ยนแปลงได้ แต่จะพิจารณาข้อกังวลของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการลงทุนของบริษัทจีนและฮ่องกง รวมถึงมาตรการควบคุมผู้อพยพ

รูบิโอยังมีกำหนดเดินทางเยือนเอลซัลวาดอร์ คอสตาริกา กัวเตมาลา และสาธารณรัฐโดมินิกัน เพื่อหารือเรื่องการผลักดันผู้อพยพกลับประเทศต้นทาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเข้มงวดของทรัมป์ในการควบคุมการเข้าเมืองผิดกฎหมาย

มักส์เล็งสั่งปิด 'USAID' องค์กรมนุษยธรรมโลก ซัด ไร้ประสิทธิภาพ-ผลาญเงิน-เกินเยียวยา

(4 ก.พ. 68) อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีและนักธุรกิจชื่อดัง  ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้นำกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล หรือ DOGE ได้ประกาศแผนปรับลดขนาดหน่วยงานรัฐ  โดยมีหนึ่งในเป้าหมายหลักคือการสั่งปิด องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐ (USAID) โดยให้เหตุผลว่าหน่วยงานดังกล่าว "ไร้ประสิทธิภาพและไม่สามารถแก้ไขได้อีกต่อไป" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

มักส์ โพสต์ในแพลตฟอร์มเอ็กซ์ (X) ว่า กำลังหารือกับกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาลหรือ DOGE เรื่องปิดยูเอสเอด เนื่องจาก “เกินเยียวยา” แล้ว และว่าประธานาธิบดีทรัมป์เห็นด้วยว่าควรปิดหน่วยงานนี้

USAID เป็นผู้บริจาคเดี่ยวรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยได้บริจาคความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมตามที่สหประชาชาติหรือยูเอ็นติดตามข้อมูลได้ในปี 2567 มากถึงร้อยละ 42 ของความช่วยเหลือทั้งหมด

ก่อนหน้าที่มักส์จะประกาศเรื่องดังกล่าว เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลทรัมป์ได้สั่งปลดเจ้าหน้าที่ระดับสูง 2 รายของ USAID หลังจากที่พวกเขาพยายามขัดขวางตัวแทนจาก DOGE ของมัสก์ไม่ให้เข้าถึงพื้นที่ควบคุมของหน่วยงานดังกล่าว

USAID ถือเป็นองค์กรบริจาครายใหญ่ที่สุดของโลก โดยในปีงบประมาณ 2023 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ให้เงินช่วยเหลือทั่วโลกรวมกว่า 72,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2.4 ล้านล้านบาท ครอบคลุมโครงการด้านสุขภาพ น้ำสะอาด การรักษาโรค HIV/AIDS ความมั่นคงด้านพลังงาน และมาตรการต่อต้านการทุจริต โดยคิดเป็น 42% ของความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมทั้งหมดที่องค์การสหประชาชาติติดตามในปี 2024

ก่อนหน้านี้ไม่นานหลังโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาดำรงตำแหน่ง นโยบาย America First ของทรัมป์ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการให้ความช่วยเหลือระดับนานาชาติ โครงการสำคัญ เช่น โรงพยาบาลสนามในค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศไทย การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่สงคราม และการแจกจ่ายยารักษาโรค HIV อาจถูกยกเลิกเนื่องจากมาตรการลดงบประมาณครั้งนี้

มัสก์คาดการณ์ว่ามาตรการลดงบประมาณดังกล่าวจะช่วยให้รัฐบาลสหรัฐฯ ลดการขาดดุลงบประมาณลงได้ถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 34 ล้านล้านบาทในปีหน้า โดยเขากล่าวหาว่ามีกลุ่มอาชญากรทางการเงินจากต่างประเทศปลอมแปลงตัวตนเป็นพลเมืองสหรัฐฯ เพื่อฉ้อโกงเงินช่วยเหลือจำนวนมหาศาล อย่างไรก็ตาม มัสก์ไม่ได้ให้หลักฐานเพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหานี้ หรืออธิบายว่าตัวเลข 1 ล้านล้านดอลลาร์นั้นถูกคำนวณอย่างไร

นอกจากนี้ มีข้อกังวลเกี่ยวกับการที่มัสก์สามารถเข้าถึงระบบการเงินของกระทรวงการคลัง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินมากกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีให้กับหน่วยงานรัฐบาลกลาง และยังมีข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนสหรัฐฯ ที่ได้รับเงินสวัสดิการทางสังคมและการคืนภาษี ซึ่งเรื่องนี้ ส.ว. ปีเตอร์ เวลช์ จากพรรคเดโมแครต ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลอธิบายว่าเหตุใดมัสก์จึงสามารถเข้าถึงระบบดังกล่าวได้ โดยกล่าวตำหนิมัสก์ว่า 

“นี่เป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบของบุคคลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และสะท้อนให้เห็นว่าการเงินสามารถซื้ออำนาจในรัฐบาลทรัมป์ได้” 

ในขณะเดียวกัน เมื่อถูกถามเกี่ยวกับบทบาทของมัสก์ โดยเฉพาะการมุ่งทำงานเพื่อตัดลดงบประมาณของรัฐบาล ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า "ผมเห็นด้วยกับเขา เขาช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มาก แม้ว่าบางครั้งเราอาจมีความเห็นที่แตกต่างกัน แต่ผมคิดว่าเขากำลังทำงานได้ดี เขาเป็นคนฉลาดมาก และมีความมุ่งมั่นในการลดขนาดรัฐบาลกลางของเรา"

ผู้นำไต้หวัน หมดหวังพึ่ง ‘ทรัมป์’ ชวน 'จีน' หันหน้าพูดคุยสร้างสันติภาพ

(3 ก.พ. 68) ประธานาธิบดี ไล่ ชิงเต๋อ แห่งไต้หวัน ระบุวันนี้ว่า ไต้หวันและจีนจำเป็นต้องหันหน้าพูดคุยกันเพื่อให้เกิดสันติภาพ หลังบริบทการเมืองโลกเกิด “การเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อน” ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณชวนปักกิ่งรอมชอมมากกว่าที่จะเผชิญหน้ากันต่อไป

ไล่ ซึ่งถูกรัฐบาลจีนตราหน้าว่าเป็น “นักแบ่งแยกดินแดน” พยายามยื่นข้อเสนอขอพูดคุยกับปักกิ่ง ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีมานี้ได้ยกระดับกดดันไต้หวันทั้งในทางการเมืองและทหารเพื่อบีบให้ไทเปยอมรับในอำนาจอธิปไตยของจีน

อย่างไรก็ตาม เวลานี้ทั้งจีนและไต้หวันต่างก็เผชิญแรงบีบจากรัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งนอกจากจะสั่งรีดภาษีสินค้านำเข้าจีนแล้ว ยังขู่จะใช้มาตรการเดียวกันกับเซมิคอนดักเตอร์นำเข้าซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมหลักของไต้หวันด้วย

ระหว่างกล่าวปาฐกถาต่อผู้แทนภาคธุรกิจไต้หวันที่เข้าไปลงทุนในจีน ไล่ ชี้ว่าไต้หวันและจีนต่างมี “ศัตรูร่วม” ก็คือภัยธรรมชาติ และมี “เป้าหมายร่วม” อยู่ที่การสร้างความอยู่ดีกินดีให้ผู้คนทั้ง 2 ฝั่งช่องแคบ

“ดังนั้น ในห้วงเวลาที่สถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างซับซ้อนเช่นนี้ เราทั้ง 2 ฝั่งช่องแคบจึงยิ่งควรที่จะพูดคุยและแลกเปลี่ยนกันด้วยดี เพื่อให้เกิดสันติภาพ” เขากล่าว

ผู้นำไต้หวันเอ่ยเสริมว่า รัฐบาลของเขาเต็มใจที่จะเปิดเจรจากับจีนบนพื้นฐานของความเท่าเทียมที่ไร้เงื่อนไข และอยากให้ทั้งสองฝ่ายหันหน้าพูดคุยมากกว่าเผชิญหน้า แต่ขณะเดียวกันก็ย้ำว่าอนาคตของไต้หวันมีเพียงประชาชนไต้หวันเท่านั้นที่จะตัดสินใจ

อย่างไรก็ตาม สำนักงานกิจการไต้หวันของจีนยังไม่ออกมาให้ความเห็นต่อคำพูดของ ไล่ ชิงเต๋อ ทว่าที่ผ่านมาจีนเรียกร้องให้ไต้หวันยอมรับว่าดินแดน 2 ฝั่งช่องแคบคือส่วนหนึ่งของ “จีนเดียว” (One China) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ ไล่ และรัฐบาลพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ไม่เอาด้วย

ไล่ ยังกล่าวด้วยว่า ไต้หวันไม่ควรมี “ภาพลวงตา” เกี่ยวกับสันติภาพ และจำเป็นต้องแสวงหาสันติภาพผ่านความเข้มแข็งด้วยการเสริมเขี้ยวเล็บของตนเอง และยืนหยัดเคียงข้างรัฐประชาธิปไตยอื่นๆ อย่างสง่าผ่าเผย

“ประเทศจะคงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีอธิปไตย และเพราะมีไต้หวันเท่านั้นจึงมีสาธารณรัฐจีน” ไล่ กล่าว โดยเอ่ยถึงชื่ออย่างเป็นทางการของเกาะไต้หวัน

‘แคนาดา’ สู้ไม่ถอย ตั้งกำแพงภาษีสินค้าตอบโต้ ‘สหรัฐฯ’ พร้อมจ่อฟ้อง ‘ทรัมป์’ ละเมิดกฎหมายการค้าโลก

(3 ก.พ. 68) สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Canada to take legal action against US for tariffs ระบุว่า แคนาดาเตรียมใช้กลไกระหว่างประเทศยื่นฟ้องสหรัฐอเมริกา กรณี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศนโยบายขึ้นภาษีร้อยละ 25 กับสินค้าที่นำเข้าจากแคนาดา โดยเจ้าหน้าที่แคนดาที่ไม่ขอระบุชื่อ ให้ข้อมูลว่า การขึ้นภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ ทำนั้นผิดกฎหมายและไร้เหตุผล นอกจากนั้น เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2568 ที่ผ่านมา จัสติน ทรูโด (Justin Trudeau) นายกรัฐมนตรีแคนาดา ได้ใช้นโยบาย “ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน” ขึ้นภาษีร้อยละ 25 กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เช่นกัน

ทรัมป์ใช้มาตรการภาษีนำเข้าร้อยละ 25 กับสินค้าของแคนาดาทั้งหมด ยกเว้นผลิตภัณฑ์พลังงาน เช่น น้ำมัน ก๊าซ และไฟฟ้า ซึ่งจะมีอัตราภาษีร้อยละ 10 เมื่อเข้าสู่สหรัฐฯ ซึ่งมาตรการภาษีร้อยละ 25 นี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. 2568 เป็นต้นไป ส่วนมาตรการภาษีพลังงานจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ. 2568 ขณะที่ฝั่งแคนาดากำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ จำนวน 1,256 รายการ หรือคิดเป็นร้อยละ 17 ของสินค้าทั้งหมดที่นำเข้าจากสหรัฐฯ โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. 2568 เช่น   น้ำส้ม เนยถั่ว ไวน์ เบียร์ มอเตอร์ไซค์ เครื่องสำอาง และอื่นๆ ซึ่งจะมีมูลค่ารวมกว่า 3 หมื่นล้านเหรียญแคนาดา (ราว 7.2 แสนล้านบาท)

โดยสินค้าที่มีมูลค่าสูง ได้แก่ เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย มูลค่า 3.5 พันล้านเหรียญแคนาดา (ราว 8.4 หมื่นล้านบาท) เครื่องใช้ไฟฟ้าและของใช้ในครัวเรือนอื่นๆ มูลค่า 3.4 พันล้านเหรียญแคนาดา (ราว 8.16 หมื่นล้านบาท) ผลิตภัณฑ์เยื่อกระดาษและกระดาษ มูลค่า 3 พันล้านเหรียญแคนาดา (ราว 7.2 หมื่นล้านบาท) นอกจากนั้น รัฐบาลแคนาดา จะประกาศรายการสินค้าเพิ่มเติมในอีก 3 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น รถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถบรรทุก รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์เหล็กและอลูมิเนียม ผลไม้และผักบางชนิด ผลิตภัณฑ์อากาศยาน ซึ่งการนำเข้าสินค้าเหล่านี้มีมูลค่ารวม 125,000 ล้านเหรียญแคนาดา (ราว 3 ล้านล้านบาท)

แหล่งข่าวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทางการแคนาดา อธิบายว่า นโยบายของทรัมป์ละเมิดพันธกรณีทางการค้าระหว่างสองประเทศภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีและภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) และหากแคนาดามีทางเลือกทางกฎหมายอื่นก็จะพิจารณาทางเลือกเหล่านั้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่คนดังกล่าว ยอมรับว่า ทั้งมาตรการของสหรัฐฯ และของแคนาดา ในการตอบโต้กันครั้งนี้ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของแคนาดา แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม

ก่อนหน้านี้ในวันที่ 2 ก.พ. 2568 รัฐบาลแคนาดา กล่าวว่า จะจัดเตรียมกลไกให้ธุรกิจในแคนาดาได้รับการผ่อนปรนจากภาษีศุลกากรตอบโต้ ภายใต้กระบวนการที่เรียกว่า “การผ่อนปรน” ธุรกิจในแคนาดาสามารถยื่นขอผ่อนปรนหรือขอคืนเงินภาษีศุลกากรได้ โดยต้องเป็นไปตามเงื่อนไขบางประการ

ทรัมป์สั่งจัดเก็บภาษีศุลกากรสินค้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีนเป็นวงกว้าง พร้อมเรียกร้องให้ประเทศเหล่านี้ควบคุมการไหลเข้าของเฟนทานิล และผู้อพยพผิดกฎหมายในกรณีของแคนาดาและเม็กซิโกเข้าสู่สหรัฐอเมริกา การกระทำของทรัมป์ทำให้เกิดสงครามการค้าที่อาจขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกและจุดชนวนให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออีกครั้ง ทั้งนี้ เม็กซิโกและแคนาดาเป็นคู่ค้ารายใหญ่สองรายของสหรัฐฯ

สาวไปเชียร์!! คู่หมั้นแข่งเบสบอล จู่ ๆ เจอ ‘แมวจร’ กระโดดนอนตัก สภาพสุดสงสาร!! ต้องพาไปหาหมอ สุดท้ายผูกพัน พากลับประเทศด้วย

(2 ก.พ. 68) ‘แนท รูโมโร’ หญิงสาวจากสหรัฐได้เดินทางไปเชียร์คู่หมั้นแข่งเบสบอลที่เปอร์โตริโก และต้องพบกับการต้อนรับสุดไม่คาดคิดจาก ‘ลูกแมวจร’ ตัวหนึ่ง ที่จู่ ๆ ก็กระโดดขึ้นมาบนตักของเธออย่างสบายใจและไม่ยอมลุกไปไหน

ภาพความน่ารักครั้งนี้ทำให้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งเดินเข้ามาทักว่า “ดูเหมือนลูกแมวตัวนี้จะเลือกคุณแล้วนะ” ซึ่งขณะนั้นเธอยังไม่ใช่ทาสแมวจึงตอบชายคนดังกล่าวไปว่า เธอคงไม่พาเจ้าลูกแมวตัวนี้กลับบ้านด้วยแน่นอน

เมื่อการแข่งขันเบสบอลจบลง ลูกแมวก็วิ่งหายไป เธอคิดว่าลูกแมวคงไม่กลับมาอีกแล้วจึงเตรียมตัวกลับบ้าน อย่างไรก็ตาม หางตาเธอเหลือบเห็นลูกแมวตัวหนึ่งหน้าตาคุ้น ๆ วิ่งมา แล้วก็นั่งลงตรงเท้าของเธอ ราวกับไม่ยอมให้เธอจากไปไหน

เนื่องจากเป็นช่วงเวลาดึก เธอและคู่หมั้นจึงต้องตัดสินใจว่า พวกเขาควรปล่อยลูกแมวไป หรือควรนำกลับไปที่ Airbnb ด้วย และเมื่อพิจารณาสภาพของลูกแมวที่มีแผลหลายแห่ง พวกเขาจึงเลือกที่จะช่วยมัน

เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขารีบพาลูกแมวไปพบสัตวแพทย์ ลูกแมวได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไรในหู ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่หลังจากได้รับยาปฏิชีวนะและยารักษา ลูกแมวก็เริ่มดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

หลังจากผ่านทุกสิ่งทุกอย่างมาด้วยกัน เธอและคู่หมั้นตัดสินใจพาลูกแมวกลับไปยังรัฐเคนทักกี้ ของสหรัฐด้วย พร้อมตั้งชื่อให้ใหม่ว่า ‘เจ้าโทโร่’ และแม้ว่าหลายสิ่งในชีวิตโทโร่จะเปลี่ยนไป แต่บางสิ่งก็ยังคงเหมือนเดิม นั่นคือมันยังคงเดินตามเธอไปทุกที่ และชอบนั่งบนตักของเธอเป็นเวลาหลายชั่วโมง

‘สำนักข่าวอิศรา’ เผย!! ‘ทรัมป์’ ระงับทุนการศึกษา นศ.เมียนมา ลั่น!! ต้องการให้เงินให้ไหล ไปทำอย่างอื่น ที่เหมาะสมกว่า

(1 ก.พ. 68) นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้ออกมาประกาศถึงการระงับเงินทุนช่วยเหลือด้านการศึกษามูลค่า 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (1,518,884,289 บาท) สำหรับนักเรียน นักศึกษาชาวเมียนมา

โดยเงินทุนดังกล่าวนั้นเป็นเงินที่มีการอนุมัติโดยอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ด้วยจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนนักเรียนในเมียนมาตามนโยบาย DEI (นโยบายสนับสนุนความหลากหลาย,ความเท่าเทียม และการเปิดรับคนทุกคน) ภายใต้ชื่อโครงการทุนการศึกษาความหลากหลายและการไม่แบ่งแยก (DISP)

แนวคิดริเริ่มของทุนการศึกษานั้นเกิดขึ้นหลังกองทัพเมียนมาได้ก่อรัฐประหารในปี 2564 ส่งผลทำให้เกิดปัญหาเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นับแต่นั้น

ทั้งนี้ทุนการศึกษาดังกล่าวมีผู้ดูแลได้แก่ หน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐฯ (USAID) และสถานทูตสหรัฐฯในนครย่างกุ้ง ซึ่งได้มีการเริ่มเดินหน้าทุนการศึกษา DISP ที่กรุงเทพ ตั้งแต่วันที่ 29 ก.พ.2567

โครงการทุนการศึกษา DISP มีกำหนดระยะเวลา 5 ปี ตั้งเป้าว่าจะช่วยเหลือนักศึกษากว่า 1,000 คนจากเมียนมาเพื่อศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งนี้คำสั่งระงับการสนับสนุนทุนการศึกษาดังกล่าวเป็นผลการดำเนินงานของกระทรวงพัฒนาประสิทธิภาพรัฐบาล หรือ Department Of Government Efficiency (D.O.G.E.) ซึ่งมีนายอีลอน มัสก์ รับผิดชอบกระทรวงนี้

ทางด้านของนายทรัมป์กล่าวถึงการระงับทุนการศึกษา DISP ว่า “เงิน 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นั้นเป็นเงินที่มากสำหรับทุนการศึกษาเพื่อความหลากหลายในเมียนมา คุณสามารถจินตนาการได้ว่าเงินนั้นจะไปไหน นี่คือประเภทของการจ่ายเงิน และอื่น ๆ อีกมากมายที่ผมสามารถยืนอยู่ที่นี่ทั้งวันและบอกคุณถึงสิ่งที่เราได้พบมา และเราต้องหาเงินพวกนี้อย่างรวดเร็วเพราะเราต้องการให้เงินให้ไหลไปยังที่ๆเหมาะสมกว่า”

ขณะที่สำนักข่าว DVB ของเมียนมาได้มีการไปสัมภาษณ์นักศึกษาเมียนมาที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งใช้ทุนจากโครงการนี้ โดยนักศึกษารายนี้กล่าวยอมรับว่าทุน DISP ให้การช่วยเหลือกับนักเรียนนักศึกษาให้มีความต่อเนื่อง ดังนั้นการสูญเสียทุน DISP ไปก็เท่ากับว่าเป็นการสูญเสียสิทธิพิเศษที่นักศึกษาจะได้รับ และการจ่ายเงินค่าเทอมในปีถัดๆไปก็จะยากขึ้น

ชำแหละ!! มหากาพย์ ‘แดนสแกมเมอร์’ ริมชายแดน ตอนที่ 2 เผย!! มีสายลึกลับ เสนอ 20 ล้าน หลังเพิ่งตัดสัญญาณไปไม่นาน

จากตอนแรกที่เอย่า นำเสนอเรื่องของที่มาของเมืองสแกมเมอร์มาแล้วว่ามีความเป็นมาอย่างไร วันนี้เอย่าจะมาเสนอตอนต่อในชื่อที่ว่า ‘ทำไมไทยคือจำเลย’

เอย่าได้ข้อมูลจากแหล่งข่าวระดับสูงในกระทรวงมหาดไทยและรัฐบาลเมียนมามาว่าการที่ทางเมียนมามั่นใจมากถึงขั้นกล่าวหาว่าฝั่งไทยให้การสนับสนุนกลุ่มจีนเทาเหล่านี้ก็เพราะฝั่งไทยมีการส่งทั้งสายสัญญาณอินเทอร์เน็ตลอดแม่น้ำข้ามไป มีทั้งตั้งเสาร์สัญญาณอินเทอร์เน็ตเพื่อให้สัญญาณข้ามไปฝั่งตรงข้าม และการดึงไฟข้ามจากฝั่งไทยไปใช้ และเรื่องบัญชีม้าในประเทศไทยนะที่หลายคนเปิดไว้ให้กลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้ใช้  ทั้งรู้ก็ดีและรู้เท่าไม่ถึงการก็ดีว่าแล้วเรามาขุดกันดีกว่า

เรื่องสายสัญญาณข้ามแม่น้ำ นี่เป็นวิธีการในอดีตที่กลุ่มมิจฉาชีพริมชายแดนทำกันโดยคนกลุ่มนี้จะจ้างคนในพื้นที่ให้มาลากสายจากตู้ชุมทางส่งสัญญาณสวมกับตัวส่งต่อสัญญาณที่ร้อยสายเข้าไปในท่อข้ามแม่น้ำเมยไป ถามว่าค่ายอินเทอร์เน็ตไม่มีการตรวจสอบเลยหรือว่าอยู่ดี ๆ บางจุดมีการใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นจำนวนมาก และไม่คิดจะลงพื้นที่มาตรวจสอบบ้างหรือ

ส่วนค่ายมือถือนั้นแรกเริ่มก็แค่มีการซื้อซิมไปใช้งานพอมีการใช้งานมากขึ้น แทนที่ทางค่ายมือถือจะมาตรวจสอบว่าใครใช้ แต่กลับให้คนมาตั้งเสาสัญญาณชิดริมชายแดนแทน แบบนี้ก็หวานเจี๊ยบแก๊งคอลฯเลยสิ ถามว่าก่อนค่ายมือถือจะมาวางเสาสัญญาณต้นเป็นล้านไม่คิดจะลงมาสำรวจก่อนเหรอว่าใครเป็นผู้ใช้

กลุ่มที่ 3 เรื่องไฟฟ้า ล่าสุดเอย่าได้รับรายงานมาว่ากลุ่มมิจเหล่านี้เอาไฟฟ้าจากทางไทยไปโดยผ่านจากท่าข้ามแดนที่ตั้งอยู่ริมเมย ถามจริง ๆ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมีการมาตรวจสอบและเอาผิดกันบ้างหรือยัง

สุดท้ายคือกลุ่มบัญชีม้าในไทยที่เป็นแหล่งพักเงินของกลุ่มคอลฯ ถามว่าทางธนาคารพาณิชย์ไทยไม่คิดจะตรวจสอบบ้างเลยเหรอ 

สุดท้ายที่เอย่าได้ทราบมาจากแหล่งข่าวในกระทรวงมหาดไทยว่าในวันที่ไปจับทำลายเสาส่งสัญญาณ พบว่าตัวส่งสัญญาณส่วนใหญ่ที่เคยตั้งอยู่กลับถูกถอดไปก่อนที่เจ้าหน้าที่ลงไม่กี่ชั่วโมง ถามว่าไทยเรามี ‘เกลือเป็นหนอน’ ใช่หรือไม่  และที่สำคัญคือหลังจากตัดสายสัญญาณไป มีสายลึกลับโทรข้ามฝั่งจากเมียวดีถึงข้าราชการในพื้นที่เสนอเงินถึง 20 ล้านบาทต่อต้นให้ต่อสายสัญญาณให้

ก็มันเป็นแบบนี้ไงละ มันถึงปราบกันไม่หมดเสียที ตราบใดที่ข้าราชการในพื้นที่ นายก อบต. เอย รวมถึงเจ้าหน้าที่การไฟฟ้า หรือ บริษัทเอกชนที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตกับธนาคารพาณิชย์ไม่เดือดร้อน มันก็ปราบกันไม่จบเสียที

เอย่าบอกแล้วรัฐบาลทหารเมียนมาเขาเอาจริง และหลังจากที่ไทยเพิกเฉยกับคำขอร้องของฝั่งเมียนมา หลายต่อหลายครั้งก็หวังว่าเราคงจะไม่ต้องอายนะ หากวันใดวันหนึ่งทางรัฐบาลทหารเมียนมาจะเปิดหลักฐานที่เขามีถึงขั้นกล้าด่าฝั่งไทยออกสื่อแบบนี้ เชื่อว่าหลักฐานดังกล่าวน่าจะมัดตัวให้ฝั่งไทยเถียงไม่ออกกันเลยทีเดียว

‘ดร.อักษรศรี’ โพสต์เรื่องราวของทีมงาน ‘DeepSeek’ เผย!! อายุเฉลี่ยแค่ 35 ปี ชี้!! นี่คือ ทีมงานผู้พัฒนา ‘เอไอจีน’ ที่กลายเป็น ‘Talk of the World’ ดังทั่วโลก

(1 ก.พ. 68) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Aksornsri Phanishsarn ถึงคนรุ่นใหม่ ในประเทศจีน โดยมีใจความว่า ...

#พลังคนรุ่นใหม่ Youth power leads to national strength #DeepSeek สาวหมวย/หนุ่มตี๋ในภาพนี้ (อายุเฉลี่ย 35 ปี) มีรายงานว่า คือ ทีมงานพัฒนา DeepSeek เอไอจีนที่กลายเป็น Talk of the World  

รายชื่อสมาชิกทีมพัฒนา DeepSeek AI จีน และมหาวิทยาลัยชั้นนำในจีนที่แต่ละคนเรียนจบมา (ไม่ได้จบนอก )

1. **梁文峰** เหลียง เวินเฟิง ผู้ก่อตั้ง
*(Liang Wenfeng)* 
ปัญญาประดิษฐ์ มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง 

2. **代达励** ไต้ ต๋าลี่ 
*(Dai Dali)* 
ปริญญาเอกวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง

3. **朱琪豪** จู ฉีหาว
*(Chu Qihao)* 
ปริญญาเอกวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง

4. **邵智宏** เส้า จื้อหง 
*(Shao Zhihong)* 
ปริญญาเอกปัญญาประดิษฐ์ มหาวิทยาลัยชิงหัว

5. **赵成钢** เจ้า เฉิงกัง 
*(Chao Chenggang)* 
สมาชิกทีม Supercomputing มหาวิทยาลัยชิงหัว

6. **高华佐** เกา หัวจั่ว 
*(Gao Huazuo)* 
ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง

7. **曾旺丁** เจิง วั่งติง 
*(Zeng Wangding)* 
มหาวิทยาลัยไปรษณีย์และโทรคมนาคมปักกิ่ง

8. **辛华剑** ซิน หัวเจี้ยน 
*(Xin Huajian)* 
สาขาวิชาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยจงซาน

ผู้นำเม็กซิโกตอกกลับทรัมป์ ร้อง Google เปลี่ยนชื่อสหรัฐอเมริกาเป็น 'อเมริกาเม็กซิกัน'

(31 ม.ค.68) นางคลอเดีย เชนบาม ประธานาธิบดีเม็กซิโก ร่อนจดหมายถึงบริษัท  Google เปิดเผยความไม่พอใจอย่างรุนแรง หลังบริษัทยอมปฏิบัติตามคำสั่งของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ในการเปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' เป็น 'อ่าวอเมริกา' พร้อมกับเรียกร้องให้เปลี่ยนชื่อประเทศสหรัฐอเมริกาเป็น 'อเมริกาเม็กซิกัน'

นางเชนบาม ได้แสดงท่าทีคัดค้านอย่างหนักต่อการกระทำของ Google ที่ปฏิบัติตามคำสั่งของทรัมป์ โดยเธอเห็นว่าการเปลี่ยนชื่อดังกล่าวเป็นการละเมิดอธิปไตยและประวัติศาสตร์ของเม็กซิโก เธอยังเรียกร้องให้ Google คืนชื่อเดิมของอ่าวเม็กซิโกและหยุดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชื่อทางภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับประเทศของเธอ

ความไม่พอใจของประธานาธิบดีเม็กซิโกเกิดขึ้นหลังจากที่ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สั่งให้เปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา โดย Google ได้ปรับปรุงชื่อดังกล่าวใน Google Maps ทันทีตามคำสั่ง

ก่อนหน้านี้ Google ได้ออกแถลงการณ์ผ่านแพลตฟอร์ม X ระบุว่า "การเปลี่ยนแปลงชื่อนี้เป็นไปตามนโยบายของเราในการอัปเดตข้อมูลตามเอกสารราชการของรัฐบาลสหรัฐฯ" โดยบริษัทอ้างว่าการเปลี่ยนแปลงชื่อจะเกิดขึ้นทันทีเมื่อมีการแก้ไขในเอกสารทางการของสหรัฐฯ

นอกจากนี้ Google ยังประกาศว่าจะ 'ดำเนินการทันที' ในการเปลี่ยนชื่อภูเขาเดนาลิในรัฐอะแลสกากลับไปเป็นภูเขาแมคคินลีย์ ตามคำสั่งของทรัมป์ ทันทีที่เอกสารทางการได้รับการอัปเดต แม้ว่าจะมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและชนพื้นเมืองก็ตาม

ทรัมป์ได้อธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งสองรายการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการ 'เชิดชูความยิ่งใหญ่ของอเมริกา' อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนชื่อภูเขาเดนาลิ ซึ่งเป็นชื่อที่ชนพื้นเมืองอะแลสกาให้ความสำคัญ ได้ก่อให้เกิดความไม่พอใจในวงกว้าง

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของทรัมป์และ Google ได้รับการตอบรับอย่างไม่ดีจากทั้งเม็กซิโกและกลุ่มชนพื้นเมืองในสหรัฐฯ ซึ่งมองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการลบเลือนประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top