Sunday, 8 June 2025
WORLD

รัสเซียย้ำชัด โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ‘ซาปอริซเซีย’ เป็นของมอสโก ยูเครน-ชาติตะวันตก ไม่สามารถอ้างสิทธิ์ได้อีกต่อไป

(26 มี.ค. 68) กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียประกาศเมื่อวานนี้ (25 มี.ค.) ว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซีย (Zaporizhzhia Nuclear Power Plant - ZNPP) ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของรัสเซียโดยสมบูรณ์ และย้ำชัดว่า เป็นไปไม่ได้ที่ยูเครนหรือประเทศอื่นๆ จะเข้ามาควบคุมโรงไฟฟ้าแห่งนี้

“โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซียเป็นของสหพันธรัฐรัสเซีย การโอนความเป็นเจ้าของหรือให้ชาติอื่นเข้ามาควบคุมนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้” กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียระบุในแถลงการณ์

สำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซีย เป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของยูเครน และถูกกองทัพรัสเซียเข้าควบคุมตั้งแต่เดือนมีนาคม 2022 ท่ามกลางสงครามรัสเซีย-ยูเครน 

อย่างไรก็ตาม บริษัทพลังงานนิวเคลียร์ยูเครน (Energoatom) ยังคงอ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าแห่งนี้ และเน้นย้ำว่ารัสเซียไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการเข้าควบคุม

ด้านสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของโรงไฟฟ้าแห่งนี้ เนื่องจากอยู่ในเขตสู้รบ และมีรายงานเหตุการณ์โจมตีใกล้กับโรงไฟฟ้าหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา

ขณะที่ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้โทรศัพท์พูดคุยกับ ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครนในเดือนนี้ โดยมีรายงานว่า ทรัมป์ได้เสนอแนวคิดให้สหรัฐฯ เข้าควบคุม หรือแม้กระทั่ง “ครอบครอง” โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งหมดในยูเครน เพื่อเป็นหลักประกันในการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซีย

แต่เซเลนสกีได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งหมด “เป็นของชาวยูเครน” และย้ำว่ายูเครนจะไม่ยอมให้ประเทศอื่นเข้ามาครอบครองหรือควบคุมโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่สำคัญของประเทศ

รายงานระบุว่า ผู้นำยูเครนได้หารือกับทรัมป์เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะเข้ามาร่วมลงทุนในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซีย (ZNPP) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และปัจจุบันอยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซีย

การพูดคุยระหว่างทรัมป์และเซเลนสกีครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สถานการณ์ด้านความมั่นคงพลังงานของยูเครนยังคงเผชิญแรงกดดันจากรัสเซีย ซึ่งยึดครองโรงไฟฟ้าซาปอริซเซียมาตั้งแต่ปี 2022 ขณะที่สหรัฐฯ และชาติตะวันตกกำลังมองหาหนทางในการช่วยเหลือยูเครนทั้งในด้านการทหารและเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียได้ลงนามออก กฤษฎีกาประกาศให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซีย เป็นทรัพย์สินของรัสเซียอย่างเป็นทางการ ตอกย้ำการควบคุมของมอสโกเหนือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ท่ามกลางข้อพิพาทระหว่างรัสเซียและยูเครนเกี่ยวกับความเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าแห่งนี้

เดินหน้าแผนพัฒนาเศรษฐกิจแบบพึ่งพาตนเอง ตั้งแต่ปี 2009 ลดการนำเข้าสินค้าและอาหาร สู่ความมั่นคงที่ยั่งยืน

(26 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า รัสเซียได้เริ่มดำเนินแผนพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง (Self-sufficient economy) ตั้งแต่ปี 2009 โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการลดการพึ่งพาการนำเข้าอาหารและสินค้าภาคการผลิตที่สำคัญตามรายงานจากสำนักวิจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ สแตรทฟอร์ (Stratfor)

แผนเศรษฐกิจพอเพียงของรัสเซียเริ่มต้นขึ้นหลังจากที่ประเทศได้เผชิญกับผลกระทบจากการคว่ำบาตรระหว่างประเทศและความตึงเครียดทางการค้ากับชาติตะวันตก โดยรัฐบาลรัสเซียมุ่งหวังที่จะสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจภายในประเทศและลดการพึ่งพาภายนอกเพื่อเสริมสร้างอำนาจและอิทธิพลของตนเองในเวทีโลก

การพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงนี้เน้นที่การเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารจากต่างประเทศ โดยรัสเซียได้เพิ่มการลงทุนในภาคเกษตรกรรมและส่งเสริมการผลิตภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ รัสเซียยังได้พยายามพัฒนาอุตสาหกรรมในภาคการผลิตเพื่อทดแทนสินค้านำเข้าที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมหนัก, ยานยนต์ และเทคโนโลยี

สแตรทฟอร์ รายงานว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่เครมลินดำเนินการเพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจที่ไม่พึ่งพิงจากการนำเข้าหรือการคว่ำบาตรจากชาติอื่นๆ และเพื่อให้รัสเซียสามารถดำเนินการได้อย่างมีอิสระในระดับภูมิภาคและโลก

การพัฒนาเศรษฐกิจแบบพอเพียงของรัสเซียได้รับการสนับสนุนจากหลายกลุ่มภายในประเทศ รวมถึงการส่งเสริมและปรับปรุงนโยบายที่เอื้อต่อการลงทุนในภาคเกษตรและอุตสาหกรรมท้องถิ่น ขณะที่รัฐบาลรัสเซียยังคงพยายามเสริมสร้างการค้าภายในประเทศและเปิดตลาดการค้ากับพันธมิตรที่ไม่เกี่ยวข้องกับการคว่ำบาตรระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ รายงานของ สแตรทฟอร์ ระบุอีกว่าแนวทางนี้ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจรัสเซียในระดับหนึ่ง แม้ว่าจะมีความท้าทายทางเศรษฐกิจและการเมืองจากการพึ่งพาแหล่งพลังงานเป็นหลัก แต่การพัฒนาเศรษฐกิจที่พึ่งพาตนเองในด้านอื่นๆ ก็เริ่มเห็นผลในบางภาคส่วน

อุตสาหกรรมดิจิทัลจีนพุ่งทะยานในปี 2024 รายได้แตะ 35 ล้านล้านหยวน (ราว 162 ล้านล้านบาท)

(26 มี.ค. 68) อุตสาหกรรมดิจิทัลของจีนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2024 โดยรายได้และกำไรของอุตสาหกรรมนี้มีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ข้อมูลจากกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน (MIIT) ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา ระบุว่า รายได้จากการดำเนินธุรกิจของอุตสาหกรรมดิจิทัลในปี 2024 ได้แตะระดับ 35 ล้านล้านหยวน (ราว 162 ล้านล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้น ร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ในขณะเดียวกัน กำไรรวม ของอุตสาหกรรมดิจิทัลจีนในปีนี้ก็เพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.5 โดยมีมูลค่าถึง 2.7 ล้านล้านหยวน (ราว 12 ล้านล้านบาท) นอกจากนี้ มูลค่าเพิ่มของผู้ผลิตรายใหญ่ในกลุ่มอุปกรณ์คอมพิวเตอร์, อุปกรณ์สื่อสาร, และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ขยายตัวถึง ร้อยละ 11.8 ซึ่งเพิ่มขึ้น 8.4 จุด จากปีที่ผ่านมา

ส่วนในภาคซอฟต์แวร์ของจีน ก็ได้รับการขับเคลื่อนจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI), แพลตฟอร์มคลาวด์, และธุรกิจรูปแบบใหม่อื่น ๆ ทำให้รายได้รวมในภาคนี้เพิ่มขึ้น ร้อยละ 10 โดยมีมูลค่าทั้งสิ้น 13.7 ล้านล้านหยวน (ราว 73 ล้านล้านบาท)

จีนให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อนำไปสู่การยกระดับและปรับปรุงอุตสาหกรรมดั้งเดิมให้ทันสมัยยิ่งขึ้น รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาลประจำปี 2025 ระบุว่า จีนจะเร่งผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของภาคการผลิต พร้อมทั้งส่งเสริมการเติบโตของผู้ให้บริการที่มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงเพิ่มการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

ทั้งนี้ รัฐบาลจีนยังเดินหน้าผลักดันโครงการ 'เอไอพลัส' (AI Plus) ซึ่งเน้นความร่วมมือในการผสานเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับจุดแข็งด้านการผลิตและตลาดภายในประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรมดิจิทัลและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศในเวทีโลก

ญี่ปุ่นยุคใหม่ เตรียมพึ่งพาแรงงานจากต่างแดนมากขึ้น คาด 10% ของประชากรจะเป็นชาวต่างชาติใน 20 ปี

(26 มี.ค. 68) รายงานล่าสุดจากสื่อญี่ปุ่นระบุว่า ในอีก 20 ปีข้างหน้า ประเทศญี่ปุ่นกำลังเปลี่ยนผ่านสู่สังคมที่มีชาวต่างชาติคิดเป็น 10% ของประชากรทั้งหมด ท่ามกลางวิกฤติประชากรลดลงและแรงงานขาดแคลน

ญี่ปุ่นกำลังเผชิญปัญหาการลดลงของจำนวนประชากรอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอัตราการเกิดต่ำและประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้น รัฐบาลจึงต้องปรับนโยบายเพื่อเปิดรับแรงงานต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ขาดแคลนแรงงาน เช่น การดูแลผู้สูงอายุ ก่อสร้าง และเทคโนโลยี

ข้อมูลจากนักวิชาการด้านประชากรศาสตร์ชี้ว่า หากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป ภายในปี 2045 ชาวต่างชาติอาจมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจญี่ปุ่น และเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมของประเทศ

แม้ว่าญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่มี วัฒนธรรมแบบเอกลักษณ์และค่อนข้างปิดต่อแรงงานต่างชาติในอดีต แต่สถานการณ์ปัจจุบันบีบบังคับให้ต้องเปิดรับแรงงานจากต่างประเทศมากขึ้น รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เช่น ขยายโครงการวีซ่าทำงาน และผ่อนปรนกฎระเบียบสำหรับแรงงานทักษะสูง เพื่อดึงดูดคนจากทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม แม้การเพิ่มขึ้นของชาวต่างชาติจะช่วยบรรเทาปัญหาขาดแคลนแรงงาน แต่ก็อาจนำไปสู่ความท้าทายด้านการปรับตัวทางสังคมและวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นระบบสวัสดิการ การศึกษา และการอยู่ร่วมกันของคนหลายเชื้อชาติ

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองว่า หากญี่ปุ่นสามารถปรับตัวได้ดี ประเทศอาจกลายเป็นสังคมที่เปิดกว้างมากขึ้น และใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางวัฒนธรรมเพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต

ผลสำรวจชี้ ชาวโปแลนด์กว่าครึ่งไม่ต้องการเข้าร่วมการฝึกทหารอดีตหน่วยรบพิเศษ GROM ผิดหวัง เตือนควรตื่นตัวมากกว่านี้

(26 มี.ค. 68) ผลสำรวจโดย Opinia24 สำหรับสถานีวิทยุ RMF FM เผยให้เห็นว่า ประชาชนโปแลนด์มีความเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับโครงการฝึกทหารของรัฐบาล โดยมีเพียง 35% เท่านั้นที่พร้อมเข้าร่วมการฝึกโดยสมัครใจ ขณะที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากร (54%) ไม่ต้องการเข้าร่วม

สำหรับรายละเอียดของผลสำรวจพบว่า 14% ของผู้ตอบแบบสอบถาม “พร้อมอย่างแน่นอน” 21% “ค่อนข้างพร้อม” 21% “ค่อนข้างไม่พร้อม” 33% “ไม่พร้อมอย่างแน่นอน” และอีก 12% ระบุว่า "ไม่ทราบ/ยากที่จะตอบ" 

โดยโครงการฝึกอบรมทางทหารดังกล่าวเป็นนโยบายที่นายกรัฐมนตรีโดนัลด์ ทุสก์ (Donald Tusk) ประกาศเมื่อต้นเดือนมีนาคม กำหนดให้ผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่ทุกคนต้องเข้ารับการฝึก ขณะที่ผู้หญิงสามารถเข้าร่วมได้โดยสมัครใจ

ด้าน พาเวล มาเตนชุก (Paweł Mateńczuk) อดีตทหารจากหน่วยรบพิเศษ GROM และปัจจุบันเป็นผู้แทนกระทรวงกลาโหมด้านเงื่อนไขการรับราชการทหาร ได้แสดงความผิดหวังต่อผลสำรวจดังกล่าว โดยเขาระบุว่า

“ผมมั่นใจในกองทัพโปแลนด์ในฐานะสถาบันที่พัฒนาตัวเองเพื่อปฏิบัติภารกิจปกป้องประเทศของเรา (แต่ผมรู้สึกเศร้าเมื่อเห็นสถิติเหล่านี้ เพราะผมคิดว่าเมื่อมีโอกาสในการฝึกทหาร และเรามีพรมแดนติดกับประเทศที่อยู่ในภาวะสงคราม สังคมของเราควรมีความกระตือรือร้นมากกว่านี้”

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจสะท้อนให้เห็นถึงกระแสต่อต้านจากประชาชนจำนวนมาก ซึ่งอาจมาจากความกังวลเกี่ยวกับภาระหน้าที่ ความเสี่ยง และมุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับนโยบายด้านกลาโหมของรัฐบาล

ขณะที่รัฐบาลยังไม่ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับกระแสต่อต้านจากประชาชน การสำรวจนี้อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อแนวทางการดำเนินนโยบายด้านความมั่นคงในอนาคต

เตรียมเปิดสนามบินนานาชาติแห่งใหม่เดือนกรกฎาคมนี้ รับการท่องเที่ยวและธุรกิจเติบโต ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในเอเชีย

(25 มี.ค. 68) กัมพูชาประกาศเตรียมเปิดสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ในเดือนกรกฎาคมนี้ โดยจะตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว หลังจากที่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญการแข่งขันที่ดุเดือดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

สนามบินแห่งใหม่ของพนมเปญ ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการในชื่อ สนามบินนานาชาติเทโช เริ่มสร้างขึ้นในปี 2562 ครอบคลุมพื้นที่ 6,425 เอเคอร์ ตั้งอยู่ที่ชายแดนของจังหวัดกันดาลและตาแก้ว ห่างจากเมืองหลวงไปทางใต้ประมาณ 30 กิโลเมตร

ซึ่งเป็นโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐบาลกัมพูชาและภาคเอกชน จะเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงการเดินทางทั้งในและต่างประเทศ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมาตรฐานระดับสากล คาดว่าจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 10 ล้านคนในปีแรกของการเปิดใช้งาน

โครงการนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาเศรษฐกิจของกัมพูชา ซึ่งต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและการลงทุนจากต่างชาติ ท่ามกลางการเติบโตที่รวดเร็วของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทย เวียดนาม และมาเลเซีย ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดนี้

สถาปนิกของสนามบินแห่งนี้คือบริษัท Foster + Partners ของประเทศอังกฤษ โดยเว็บไซต์ของบริษัทระบุว่า “การออกแบบสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกที่แข็งแกร่งของสถานที่ และตอบสนองต่อสภาพภูมิอากาศแบบเขตร้อน”

ส่วนอาคารเทอร์มินัลตั้งอยู่ใต้สิ่งที่เรียกว่าหลังคาทรงโค้งเดี่ยวที่เป็นโครงเหล็กน้ำหนักเบา พร้อมหน้าจอนวัตกรรมที่กรองแสงธรรมชาติและส่องสว่างให้กับพื้นที่เทอร์มินัลอันกว้างใหญ่

การก่อสร้างจะดำเนินการเป็น 3 ระยะ โดยในระยะแรกคาดว่าสนามบินจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 13 ล้านคนต่อปี และจะเพิ่มความจุเป็น 30 ล้านคนหลังปี 2030 และสูงสุด 50 ล้านคนในปี 2050

สนามบินแห่งนี้จะเป็นสนามบินหลักแห่งที่สองของกัมพูชาที่จะเปิดให้บริการภายในระยะเวลาสองปี โดยในปี 2023 สนามบินนานาชาติเสียมเรียบ-อังกอร์ ซึ่งได้รับเงินทุนจากจีนได้เริ่มเปิดให้บริการในจังหวัดเสียมเรียบทางตะวันตกเฉียงเหนือ ห่างจากนครวัดซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศซึ่งมีอายุกว่าหลายศตวรรษไปทางทิศตะวันออกประมาณ 40 กิโลเมตร 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้แต่ละประเทศในภูมิภาคต่างพยายามลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน กัมพูชาหวังว่าการเปิดสนามบินแห่งใหม่จะช่วยเสริมสร้างการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศ

สนามบินแห่งนี้จะเปิดให้บริการในช่วงฤดูร้อนของปี 2024 ซึ่งเป็นช่วงที่การท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มฟื้นตัวหลังจากผลกระทบของการระบาดใหญ่ของ COVID-19 โดยคาดว่าการเดินทางทางอากาศจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในเสาหลักที่สนับสนุนเศรษฐกิจของกัมพูชา ตามข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยว กัมพูชาต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 6.7 ล้านคนในปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้น 23% จากปี 2023

ทั้งนี้ รัฐบาลกัมพูชามั่นใจว่าโครงการสนามบินแห่งใหม่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวในระยะยาว และจะช่วยให้ประเทศสามารถแข่งขันได้ในตลาดการท่องเที่ยวที่มีการแข่งขันสูงในภูมิภาคนี้

ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ออกแถลงการณ์ขอโทษ หลังบินไปแล้ว 2 ชม. ต้องวกกลับกลางทาง

(25 มี.ค. 68) สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ (United Airlines) ออกแถลงการณ์ขอโทษหลังจากเที่ยวบิน UA198 ซึ่งมุ่งหน้าไปยังเซี่ยงไฮ้จากลอสแอนเจลิส ต้องบินกลับกลางทางหลังจากเดินทางไปได้เพียง 2 ชั่วโมง เนื่องจากนักบินลืมนำหนังสือเดินทางติดตัวไปด้วย

เที่ยวบินดังกล่าวซึ่งออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิส (LAX) เมื่อวันที่ 22 มีนาคม เวลา 14:00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ด้วยเครื่องบินโบอิ้ง 787-9 Dreamliner ได้บินไปได้ประมาณสองชั่วโมง ก่อนที่ทีมบินจะตระหนักถึงความผิดพลาดของนักบินที่ไม่มีเอกสารสำคัญสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ

หลังจากพบปัญหาดังกล่าว ทีมบินจึงตัดสินใจบินกลับและลงจอดที่ ท่าอากาศยานนานาชาติซานฟรานซิสโก (SFO) โดยไม่ได้เดินทางต่อไปยังเซี่ยงไฮ้ตามที่กำหนดไว้ ก่อนที่เที่ยวบินจะถูกเลื่อนออกไป

ทาง ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ได้ออกแถลงการณ์ขอโทษต่อผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ พร้อมยืนยันว่าได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน และจะทำการตรวจสอบการทำงานภายในเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต

ขณะเดียวกันผู้โดยสารบนเครื่องก็ได้รับการดูแลและข้อเสนอในการเปลี่ยนแปลงกำหนดการเดินทางใหม่ และทางสายการบินระบุว่าได้ทำทุกอย่างเพื่อให้การเดินทางดำเนินไปอย่างราบรื่นที่สุด

“นักบินไม่ได้พกหนังสือเดินทางติดตัวมาด้วย” ยูไนเต็ดกล่าวในแถลงการณ์ “เราได้จัดเตรียมลูกเรือชุดใหม่เพื่อพาลูกค้าของเราไปยังจุดหมายปลายทางในเย็นวันนั้น โดยมอบคูปองอาหารและเงินชดเชยให้กับลูกค้า”

สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นที่พูดถึงในโลกออนไลน์ โดยหลายคนไม่พอใจและตั้งคำถามว่า ทำไมถึงไม่มีการตรวจสอบเอกสารของนักบินก่อนการเดินทางไกล ส่งผลให้เที่ยวบินต้องล่าช้าและสร้างความไม่สะดวกให้กับผู้โดยสารจำนวนมาก

เดินทางเข้าสหรัฐฯ เสี่ยงถูกส่งกลับโดยไม่ทราบสาเหตุ LGBTQ+ อาจเจออุปสรรคหนัก หลังทรัมป์ประกาศนโยบายจำกัดเพศ

(25 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หลายประเทศในยุโรปออกคำเตือนแก่พลเมืองของตนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการเดินทางเข้าสหรัฐฯ หลังมีรายงานเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจจากยุโรปถูกกักตัวที่สนามบิน ถูกสอบสวนอย่างเข้มงวด และบางรายถูกส่งตัวกลับโดยไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน

รัฐบาลฝรั่งเศส เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์ เป็นหนึ่งในประเทศที่ออกแถลงการณ์เตือนพลเมืองให้ระมัดระวังในการเดินทางเข้าสหรัฐฯ โดยระบุว่าผู้โดยสารบางรายแม้จะมีวีซ่าถูกต้องหรือเดินทางภายใต้โครงการ Visa Waiver Program (VWP) ก็ยังเผชิญกับการปฏิเสธเข้าเมืองโดยเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ

กระทรวงการต่างประเทศของเยอรมนีแนะนำให้พลเมืองที่มีแผนเดินทางไปสหรัฐฯ “เตรียมเอกสารประกอบให้ครบถ้วน และพร้อมรับมือกับกระบวนการตรวจสอบที่เข้มงวดขึ้น” ขณะที่รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ระบุว่า “มีพลเมืองถูกกักตัวหลายชั่วโมงโดยไม่มีการชี้แจงสาเหตุที่ชัดเจน”

นอกจากคำเตือนเรื่องการตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวดขึ้นแล้ว กระทรวงการต่างประเทศเดนมาร์ก ได้ออกคำแนะนำเพิ่มเติมบนหน้าเว็บไซต์ทางการ โดยระบุว่า พลเมืองข้ามเพศ หรือชาว LGBTQ+ ทั้งหลาย ที่ต้องการเดินทางเข้าสหรัฐฯ ควรตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเพิ่มขึ้น หลังจาก โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศว่าสหรัฐฯ จะรับรองเพียงสองเพศ คือ ชาย และ หญิง เท่านั้น

แถลงการณ์ของรัฐบาลเดนมาร์กระบุว่า “ถือแค่พาสปอร์ต เดินสวย-หล่อเข้าเมืองแบบที่แล้วมาไม่ได้อีกแล้ว” พร้อมแนะนำให้ชาว LGBTQ+ ที่ต้องการเดินทางเข้าสหรัฐฯ ตรวจสอบข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับกฎหมายท้องถิ่นและมาตรการของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เพื่อลดความเสี่ยงในการเผชิญกับการปฏิเสธเข้าเมืองหรือถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม

นักวิเคราะห์บางรายเชื่อว่าแนวโน้มดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการที่สหรัฐฯ เพิ่มมาตรการคัดกรองเข้มงวดขึ้นจากเหตุผลด้านความมั่นคง โดยเฉพาะในช่วงที่มีความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสหรัฐฯ และบางประเทศในยุโรปเกี่ยวกับประเด็นเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ขณะที่ทางการสหรัฐฯ ยังไม่มีคำชี้แจงอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายตรวจคนเข้าเมือง แต่กระแสความกังวลในยุโรปอาจส่งผลต่อกระแสการเดินทางและความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกในอนาคต

ทั้งนี้ นักเดินทางจากยุโรปที่มีแผนจะเดินทางเข้าสหรัฐฯ จึงถูกแนะนำให้ตรวจสอบข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับมาตรการเข้าเมือง และเตรียมพร้อมสำหรับการถูกสอบสวนที่อาจเกิดขึ้นก่อนเดินทางเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่คาดคิด

GDP พุ่ง 4.1% เร็วที่สุดในกลุ่ม G20 รั้งอันดับ 3 ของโลก แม้เผชิญคว่ำบาตร

(25 มี.ค. 68) รัสเซียสร้างแรงสั่นสะเทือนให้เวทีเศรษฐกิจโลก หลังสามารถขึ้นเป็นอันดับ 3 ของประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในกลุ่ม G20 ประจำปี 2024 ด้วยอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) 4.1% ติดต่อกันเป็นปีที่สอง ตามการวิเคราะห์ของ Sputnik International ที่อ้างอิงจากข้อมูลสถิติระดับประเทศ

อินเดียจะชะลอตัวจาก 8.8% ในปี 2023 ลงมาอยู่ที่ 6.7% ในปี 2024 แต่ก็ยังครองอันดับ 1 ของกลุ่ม G20 ตามมาด้วยจีน ซึ่งขยายตัว 5% เท่ากับอินโดนีเซีย ขณะที่รัสเซียไต่อันดับขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง แม้ต้องเผชิญมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

ท่ามกลางแรงกดดันจากชาติตะวันตก เศรษฐกิจรัสเซียยังสามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่น โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ได้แก่ 

1. การพึ่งพาตลาดภายในประเทศ – กระตุ้นการบริโภคและการผลิตภายใน ลดการพึ่งพาสินค้าจากต่างประเทศ 
2. การส่งออกพลังงานไปยังพันธมิตรใหม่ – หันไปทำการค้ากับจีน อินเดีย ตุรกี และประเทศในตะวันออกกลาง ซึ่งช่วยชดเชยตลาดที่สูญเสียจากการคว่ำบาตร 
3. การลงทุนภาครัฐในอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน – โครงการขนาดใหญ่ได้รับงบประมาณสนับสนุนต่อเนื่อง กระตุ้นเศรษฐกิจภายในให้เติบโต

นอกจากอินเดีย จีน อินโดนีเซีย และรัสเซียแล้ว บราซิล มาเป็นอันดับ 4 ด้วยอัตราการเติบโต 3.4% ขณะที่ ตุรกี อยู่อันดับ 5 ที่ 3.2%

ในทางกลับกัน เยอรมนีและอาร์เจนตินา เผชิญกับเศรษฐกิจหดตัวติดต่อกันเป็นปีที่สอง ซึ่งสะท้อนถึงความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจในบางส่วนของโลกตะวันตก ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อ ความไม่แน่นอนทางการเมือง และผลกระทบจากความขัดแย้งในยูเครน

ความสำเร็จของรัสเซียในการรักษาการเติบโตสูงภายใต้แรงกดดันจากตะวันตก อาจสะท้อนให้เห็นแนวโน้มใหม่ของ การจัดระเบียบเศรษฐกิจโลก โดยประเทศที่เคยถูกมองว่า 'ถูกตัดขาด' จากระบบการเงินตะวันตก กลับสามารถปรับตัวและขยายเศรษฐกิจได้อย่างแข็งแกร่ง

สหรัฐฯ เผลอเผยแผนโจมตีกลุ่มกบฏฮูตีในแชต เจ้าหน้าที่มะกันยอมรับความผิดพลาดและเตรียมตรวจสอบภายใน

(25 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเมื่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เปิดเผยแผนการรบที่กำหนดไว้ในเยเมนในแชตกลุ่มที่มีนักข่าวอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนที่แผนนั้นจะถูกนำไปใช้ในการโจมตีกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนในเวลาต่อมา

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้อภิปรายแผนการทางทหารในเยเมนในกลุ่มแชตที่มีผู้เข้าร่วมหลากหลาย รวมถึงนักข่าวที่ทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์ต่างประเทศ ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวสู่สาธารณะ 

โดยหนึ่งในนักข่าวที่อยู่ในกลุ่มแชตดังกล่าวคือ เจฟฟรี่ย์ โกลด์เบิร์ก จากนิตยสาร The Atlantic ซึ่งเขาอ้างว่าได้ถูกเพิ่มเข้าไปในกลุ่มลับที่มีรองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ และรัฐมนตรีกลาโหม พีท เฮกเซธ  อยู่ด้วย โดยไม่ได้ตั้งใจ

โกลด์เบิร์กกล่าวอีกว่า เขาเห็นแผนการทางทหารลับของสหรัฐฯ สำหรับการโจมตีกลุ่มกบฏฮูตี ซึ่งรวมถึงชุดอาวุธ เป้าหมาย และกำหนดเวลา สองชั่วโมงก่อนที่จะเกิดเหตุระเบิด

และเพียงไม่นานหลังจากแผนรบถูกเปิดเผยในแชต กลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนก็ถูกโจมตีตามแผนที่ถูกเปิดเผย ซึ่งทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความปลอดภัยของข้อมูลลับ และการควบคุมข้อมูลภายในรัฐบาลสหรัฐฯ

“มันเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างแน่นอน และดูเหมือนว่าจะเกิดข้อผิดพลาดขึ้น” นายโรเจอร์ วิกเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการกองทัพวุฒิสภา ซึ่งเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกันของรัฐมิสซิสซิปปี้กล่าว

ล่าสุด เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องได้แถลงการณ์ขอโทษเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ โดยยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการสื่อสารที่ไม่ระมัดระวัง และยืนยันว่าจะมีการตรวจสอบภายในเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต

แคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวกล่าวในแถลงการณ์ว่า “การโจมตีกลุ่มฮูตีประสบความสำเร็จและมีประสิทธิผลเป็นอย่างมาก ประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงมีความเชื่อมั่นสูงสุดต่อทีมความมั่นคงแห่งชาติของเขา รวมถึงที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ ไมค์ วอลทซ์”

ขณะที่แผนการโจมตีฮูตีในเยเมนยังคงเป็นประเด็นที่มีความสำคัญในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ และพันธมิตรในตะวันตกมองว่า กลุ่มฮูตีมีบทบาทสำคัญในการปั่นป่วนเสถียรภาพของเยเมนและภาคพื้นใกล้เคียง

ขณะเดียวกัน กลุ่มฮูตีและพันธมิตรของพวกเขาในเยเมนได้ตอบโต้การโจมตีครั้งนี้ด้วยการประณามการกระทำของสหรัฐฯ และกล่าวหาว่าการโจมตีดังกล่าวเป็นการแทรกแซงที่ไม่เป็นธรรมในกิจการภายในของประเทศ

ทั้งนี้ การเปิดเผยแผนการทางทหารในแชตกลุ่มนี้สร้างแรงกระเพื่อมในแวดวงการทูตและความมั่นคงทั่วโลก โดยมีการเรียกร้องให้มีการดำเนินการที่เข้มงวดขึ้นในการรักษาความลับ และข้อมูลทางทหารในอนาคต

รองนายกฯ เซอร์เบียโวย การประท้วงได้รับการหนุนจากต่างชาติ ชี้ USAID คือแหล่งทุนสำคัญในการเคลื่อนไหวครั้งนี้

(25 มี.ค. 68) กระแสความไม่พอใจในเซอร์เบียยังคงเดือดดาล หลังเกิดการประท้วงต่อเนื่องทั่วประเทศตั้งแต่ช่วงปลายปี 2024 โดยล่าสุด นายอเล็กซานดาร์ วูลิน รองนายกรัฐมนตรีเซอร์เบีย ให้สัมภาษณ์กับ Sputnik โดยกล่าวหาว่าการประท้วงที่ลุกลามไปทั่วประเทศเป็นส่วนหนึ่งของ “แผนปฏิวัติสี” ซึ่งได้รับการวางแผนและสนับสนุนจากหน่วยข่าวกรองของชาติตะวันตก

โดยความตึงเครียดในเซอร์เบียยังคงเพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางการประท้วงที่เกิดขึ้นทั่วประเทศตั้งแต่ปลายปี 2024 ล่าสุด ประธานาธิบดี อเล็กซานดาร์ วูชิช ยืนยันว่าเขาได้เตือนถึงความพยายามแทรกแซงจากชาติตะวันตกตั้งแต่ปี 2023 และได้กล่าวถึงเรื่องนี้หลายครั้งในปี 2024 โดยอ้างอิงข้อมูลจาก หน่วยข่าวกรองรัสเซีย ที่ชี้ชัดถึงการเคลื่อนไหวที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติในประเทศเซอร์เบีย

วูลินระบุว่า เห็นสัญญาณของความพยายามแทรกแซงจากภายนอกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากประเทศในกลุ่ม สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป รวมถึง USAID เป็นแหล่งทุนใหญ่ ซึ่งเขาเชื่อว่าการประท้วงที่กำลังเกิดขึ้นอาจเชื่อมโยงกับ “ปฏิวัติสี” (Color Revolution) ที่เคยเกิดขึ้นในหลายประเทศในยุโรปตะวันออกและเอเชียกลางในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา พร้อมชี้ว่า “นี่ไม่ใช่การเคลื่อนไหวของประชาชนเพียงลำพัง แต่เป็นการดำเนินงานตามกลยุทธ์ของต่างชาติที่ต้องการแทรกแซงกิจการภายในของเซอร์เบีย”

คำว่า “ปฏิวัติสี” หมายถึง การลุกฮือของประชาชนที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งมีเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่ไม่เป็นที่พอใจของชาติตะวันตก โดยมักเกิดขึ้นในช่วงที่มีความไม่พอใจในรัฐบาล และความเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาชนเพื่อเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง

สำหรับการประท้วงในเซอร์เบียครั้งนี้ เกิดการปะทุขึ้นจากหลายปัจจัย ตั้งแต่ปัญหาเศรษฐกิจ คอร์รัปชัน ไปจนถึงความไม่พอใจต่อรัฐบาลของประธานาธิบดีอเล็กซานดาร์ วูซิช 

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเซอร์เบียมองว่าการชุมนุมที่ขยายตัวขึ้นนี้ไม่ใช่เพียงแค่ปฏิกิริยาของประชาชน แต่เป็นแผนการที่มีการจัดตั้งและสนับสนุนจากภายนอก

ด้านผู้จัดการชุมนุมและนักเคลื่อนไหวหลายกลุ่มออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาของรัฐบาล โดยยืนยันว่าการประท้วงเกิดขึ้นจากความไม่พอใจของประชาชนที่มีต่อปัญหาภายในประเทศ และไม่มีอิทธิพลจากต่างชาติแทรกแซง

ขณะที่สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปยังไม่มีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับข้อกล่าวหาดังกล่าว แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมองว่า ประเด็นนี้อาจเพิ่มความตึงเครียดให้กับความสัมพันธ์ระหว่างเซอร์เบียกับชาติตะวันตกมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ การประท้วงยังไม่มีท่าทีจะลดความร้อนแรงลง ท่ามกลางความกังวลว่าสถานการณ์อาจนำไปสู่ความไม่สงบในระดับที่รุนแรงขึ้น ขณะที่รัฐบาลเซอร์เบียยืนยันว่าจะใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศต่อไป

จีนปัดข่าวเจรจาภารกิจสันติภาพกับยูเครนในบรัสเซลส์ ยืนยันหนุนแนวทางการทูต หวังยุติความขัดแย้งด้วยสันติวิธี

(25 มี.ค. 68) รัฐบาลจีนออกแถลงการณ์ปฏิเสธรายงานของสื่อที่อ้างว่าคณะนักการทูตจีนกำลังเจรจาในกรุงบรัสเซลส์เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการเข้าร่วมภารกิจรักษาสันติภาพในยูเครน โดยระบุชัดว่าข่าวดังกล่าว “ไม่เป็นความจริงโดยสิ้นเชิง”

นายกัว เจียคุน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน แถลงต่อสื่อมวลชนเมื่อวันจันทร์ว่า “จุดยืนของจีนต่อวิกฤตการณ์ในยูเครนนั้นมีความชัดเจนและสอดคล้องกันมาโดยตลอด” พร้อมยืนยันว่าจีนยังคงสนับสนุนแนวทางทางการทูตและการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง

แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากสำนักข่าวหลายแห่งรายงานว่าคณะนักการทูตจีนได้หารือกับเจ้าหน้าที่สหภาพยุโรปเกี่ยวกับบทบาทที่เป็นไปได้ของจีนในภารกิจรักษาสันติภาพในยูเครน

อย่างไรก็ตาม จีนได้ปฏิเสธข่าวลือดังกล่าวอย่างเด็ดขาด พร้อมเน้นย้ำถึงการสนับสนุนแนวทางแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจาทางการทูต แทนที่จะมีส่วนร่วมในปฏิบัติการทางทหาร

การตอบโต้อย่างชัดเจนของจีนสะท้อนถึงความพยายามของปักกิ่งในการรักษาภาพลักษณ์ความเป็นกลางในสงครามยูเครน ซึ่งเป็นท่าทีที่จีนดำเนินมาตลอดนับตั้งแต่การรุกรานของรัสเซียเริ่มต้นขึ้น ในขณะที่หลายประเทศตะวันตกเรียกร้องให้จีนมีบทบาทที่ชัดเจนขึ้นในการยุติความขัดแย้ง

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ระบุว่า การปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวของจีนสะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลปักกิ่งในการรักษาความสัมพันธ์กับทั้งรัสเซียและชาติตะวันตก โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่จีนต้องเผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองและเศรษฐกิจจากนานาชาติ

สหรัฐฯ เล็งแบนวีซ่านักเรียนจีน อ้างเหตุผลความมั่นคง นักวิชาการเตือน อาจทำลายอนาคตนวัตกรรมอเมริกา

(25 มี.ค. 68) ไรลีย์ มัวร์ (Riley Moore) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน รัฐเวสต์เวอร์จิเนีย ได้เสนอร่างกฎหมายในสภาผู้แทนราษฎรชื่อ “Stop CCP VISAs Act” ที่มีเป้าหมายเพื่อห้ามไม่ให้พลเมืองจีนสามารถขอรับวีซ่านักเรียนเข้าสหรัฐอเมริกา โดยให้เหตุผลว่ามาตรการนี้มีความจำเป็นต่อความมั่นคงของประเทศและเพื่อป้องกันการจารกรรมทางเทคโนโลยีและข่าวกรองจากรัฐบาลจีน

มัวร์ระบุว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นความพยายามที่จะจำกัดอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในสหรัฐฯ และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากนักศึกษาจีนที่มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของรัฐจีน

“ทุกปี เราอนุญาตให้ชาวจีนเกือบ 300,000 คนเดินทางมายังสหรัฐอเมริกาด้วยวีซ่านักเรียน เราเชิญชวนพรรคคอมมิวนิสต์จีนมาสอดส่องกองทัพของเรา ขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของเรา และคุกคามความมั่นคงของชาติอย่างแท้จริง” มัวร์กล่าว

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอนี้ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ และองค์กรที่สนับสนุนเสรีภาพทางการศึกษา โดยพวกเขาเตือนว่าการจำกัดวีซ่าเช่นนี้อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และส่งผลเสียต่อสถาบันการศึกษาชั้นนำของสหรัฐฯ ที่พึ่งพานักศึกษาต่างชาติในการขับเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนา

ขณะที่ แกรี ล็อก (Gary Locke) อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศจีน ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่าร่างกฎหมายที่มัวร์เสนอ “ไม่เพียงแต่เหยียดเชื้อชาติ แต่ยังเป็นการขว้างงูไม่พ้นคอ” เพราะการปิดโอกาสนักเรียนจีนจะบ่อนทำลายความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ ในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม

ล็อกเน้นย้ำว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของสหรัฐฯ อาศัยความสามารถของนักวิจัยและนักศึกษาต่างชาติอย่างมาก และการจำกัดวีซ่าจะเป็นการทำร้ายผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เอง

ด้านรัฐบาลจีนได้ออกมาแสดงท่าทีไม่พอใจต่อร่างกฎหมายนี้เช่นเดียวกัน โดยมองว่าเป็นมาตรการที่ไม่เป็นธรรมและอาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศตึงเครียดมากขึ้น 

อย่างไรก็ดีร่างกฎหมายดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร และยังไม่มีความชัดเจนว่ามาตรการนี้จะได้รับการสนับสนุนมากน้อยเพียงใดจากสมาชิกสภาคองเกรสทั้งสองพรรค

ทั้งนี้ การเสนอร่างกฎหมายนี้สะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นของฝ่ายนิติบัญญัติสหรัฐฯ เกี่ยวกับบทบาทของจีนในด้านเทคโนโลยีและความมั่นคงของประเทศ

มาเลเซียเตรียมล้อมกรอบชิป AI คุมเข้มนำเข้า-ส่งออก หวั่นเทคโนโลยีรั่วไหลสู่จีนตามข้อกังวลของสหรัฐฯ

(24 มี.ค. 68) รัฐบาลมาเลเซียเตรียมเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบและควบคุมการนำเข้าและส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ ที่ต้องการจำกัดการส่งออกชิปขั้นสูงไปยังประเทศจีน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

รายงานระบุว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า ซาฟรูล อาซิส กล่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯ เรียกร้องให้มาเลเซียติดตามการเคลื่อนตัวของชิป Nvidia ระดับไฮเอนด์ที่เข้ามาในประเทศอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีความสงสัยว่าชิปจำนวนมากอาจลงเอยที่จีน

“สหรัฐฯ ขอให้เราตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราได้ตรวจสอบการขนส่งทุกครั้งที่มาถึงมาเลเซีย เมื่อเกี่ยวข้องกับชิป Nvidia” อาซิสกล่าวกับหนังสือพิมพ์

ปัจจุบัน มาเลเซียเป็นหนึ่งในศูนย์กลางสำคัญของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก โดยมีบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่หลายแห่งตั้งฐานการผลิตและประกอบชิปในประเทศ ซึ่งนโยบายใหม่นี้อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมไฮเทคในภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมาเลเซียยังคงเดินหน้าสร้างสมดุลระหว่างการรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับมหาอำนาจทั้งสองฝ่าย โดยระบุว่า จะกำหนดมาตรการที่ไม่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและเศรษฐกิจในประเทศมากเกินไป

ด้าน สหรัฐฯ ได้เพิ่มแรงกดดันต่อประเทศพันธมิตรทั่วโลกให้เข้าร่วมมาตรการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI และการทหารไปยังจีน โดยก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่นและเนเธอร์แลนด์ได้ออกมาตรการควบคุมการส่งออกอุปกรณ์ผลิตชิปขั้นสูงแล้ว

นอกจากนี้ รัฐบาลมาเลเซียกำลังเร่งตรวจสอบว่ามีการละเมิดกฎหมายท้องถิ่นหรือไม่ ในกรณีการขนส่งเซิร์ฟเวอร์ที่อาจเกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกงมูลค่า 390 ล้านดอลลาร์สหรัฐในสิงคโปร์ ท่ามกลางข้อสงสัยว่าเซิร์ฟเวอร์เหล่านั้นอาจมีชิปขั้นสูงที่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ

การสืบสวนเกิดขึ้นหลังจากอัยการสิงคโปร์เปิดเผยในศาลเมื่อต้นเดือนมีนาคมว่า บริษัทแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ถูกกล่าวหาว่าจัดหาเซิร์ฟเวอร์จากสหรัฐฯ ให้กับมาเลเซียโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ขณะที่สื่อในสิงคโปร์รายงานว่าคดีนี้อาจเกี่ยวข้องกับการโอนถ่ายชิป AI ขั้นสูงของ Nvidia ไปยังบริษัทปัญญาประดิษฐ์ของจีน DeepSeek

DeepSeek ตกเป็นเป้าสายตาของรัฐบาลสหรัฐฯ หลังจากเปิดตัวโมเดล AI อันทรงพลังเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนในแวดวงเทคโนโลยี ท่ามกลางข้อสงสัยว่าเทคโนโลยีของบริษัทนี้อาจใช้ชิปที่ถูกสหรัฐฯ ควบคุมและจำกัดการส่งออก

ขณะที่ รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเดินหน้าสอบสวนกรณีนี้อย่างใกล้ชิด โดยก่อนหน้านี้ วอชิงตันได้ออกมาตรการจำกัดการส่งออกชิปประสิทธิภาพสูงให้กับจีน เพื่อลดความสามารถของปักกิ่งในการพัฒนาเทคโนโลยี AI ขั้นสูง

ทั้งนี้ การสืบสวนครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างมาเลเซีย สิงคโปร์ จีน และสหรัฐฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยี AI ที่กำลังเป็นจุดศูนย์กลางของการแข่งขันระดับโลก

รัฐมนตรีคลังอังกฤษเผยแผนลดข้าราชการ 10,000 ตำแหน่ง หวังลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ 15%

(24 มี.ค. 68) ราเชล รีฟส์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของอังกฤษ ได้ออกมาเปิดเผยแผนการปรับลดข้าราชการ 10,000 ตำแหน่ง โดยมีเป้าหมายหลักในการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของภาครัฐลงให้ได้ 15% ภายในระยะเวลาอันใกล้

การประกาศดังกล่าวถือเป็นการดำเนินมาตรการเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ประเทศกำลังเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากวิกฤตโควิด-19 และการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งรัฐบาลอังกฤษหวังว่าจะสามารถใช้มาตรการดังกล่าวในการปรับโครงสร้างการบริหารงานภาครัฐเพื่อความยั่งยืนทางการคลังในอนาคต

“เราต้องการทำให้รัฐบาลมีประสิทธิภาพและค่าใช้จ่ายต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้สามารถลงทุนในโครงการที่สำคัญและสร้างผลประโยชน์ระยะยาวต่อประชาชน” ราเชล รีฟส์กล่าวในการแถลงข่าว

แม้ว่าการปรับลดข้าราชการจะส่งผลกระทบต่อบางส่วนของภาครัฐ แต่รัฐบาลอังกฤษได้ยืนยันว่าจะมีการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่และองค์กรต่างๆ เพื่อรับรองว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการให้บริการภาครัฐ

สำหรับการตัดสินใจนี้ยังสะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลอังกฤษในการควบคุมภาวะเงินเฟ้อและลดภาระหนี้สาธารณะ เพื่อรักษาความสามารถทางการคลังและเตรียมพร้อมสำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ณ เดือนธันวาคม 2567 มีการคาดการณ์ว่าข้าราชการพลเรือนมีพนักงานประมาณ 547,735 คน ตามข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งรวมถึงพนักงานชั่วคราวและพนักงานชั่วคราว 

โดยมาตรการลดข้าราชการจะเริ่มต้นภายในปีหน้าและรัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายให้เสร็จสิ้นการปรับโครงสร้างการจ้างงานภาครัฐในช่วงปลายปี 2569 ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยให้รัฐบาลสามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ทั้งนี้ การตัดสินใจดังกล่าวคาดว่าจะได้รับการจับตามองจากหลายฝ่าย ทั้งในแง่ของผลกระทบต่อข้าราชการและการให้บริการภาครัฐ รวมถึงการทบทวนว่ามาตรการนี้จะมีผลต่อภาพรวมของเศรษฐกิจและสังคมอังกฤษในอนาคตอย่างไร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top