Monday, 9 June 2025
WORLD

Amber Alert ระบบเตือนภัยเมื่อลูกหายตัวในสังคมมะกัน แรงขับเคลื่อนจากโศกนาฏกรรม 'เด็กหญิงแอมเบอร์'

การใช้ชีวิตในอเมริกาทำให้มีโอกาสเก็บเกี่ยวประสบการณ์มากมาย ได้เรียนรู้ระบบสังคมที่แตกต่างไปจากเมืองไทย 

ทุกสังคมมีทั้งแง่บวกแง่ลบ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ต้องให้เครดิตสังคมอเมริกาคือ ระบบการเตือนภัยพิบัติ 

เมื่อมีเค้าลางว่าเหตุภัยพิบัติ เช่น ทอร์นาโด จะมีการตัดเข้าสู่สัญญาณเตือนภัยทันทีในทุกสื่อ ไม่ว่าจะเป็นวิทยุทุกระบบ ทั้งสถานีวิทยุทั่วไป วิทยุผ่านดาวเทียม หรือวิทยุทางอินเตอร์เน็ต รวมไปถึงโทรทัศน์ทุกระบบ ทั้งเคเบิลทีวีและสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น รวมถึงสื่อสังคมออนไลน์ 

ยิ่งไปกว่านั้น ในบรรดาสัญญาณเตือนภัยพิบัติที่ว่ามา ก็มีสัญญาณเตือนภัยอย่างหนึ่งที่อยากให้ประเทศไทยนำไปใช้บ้าง เพราะมีประโยชน์อย่างยิ่ง ในเรื่องการช่วยเหลือเด็กให้รอดจากการถูกลักพาตัว นั่นคือสัญญาณเตือนภัยที่เรียกว่า 'Amber Alert'

เมื่อเกิดการลักพาตัวเด็กขึ้น ทางตำรวจและหน่วยงานหลายหน่วย จะประสานงานกันแล้วแจ้งเตือนด้วยการแทคข้อความและส่งสัญญาณเสียง ไปยังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่อง ในบริเวณที่คาดว่าคนร้ายกำลังมุ่งหน้าไป โดยจะแจ้งให้ทราบถึงรูปพรรณสันฐานใบหน้าของเด็กที่หายไป และลักษณะรถยนต์ที่ใช้ในการลักพาตัวเด็ก 

AMBER Alert หรือ a Child Abduction Emergency เป็นสัญญาณเตือนภัย เมื่อมีเด็กถูกลักพาตัวไป มีการนำระบบนี้มาใช้ทั่วประเทศในปี ค.ศ 1996 หรือเมื่อ 27 ปีที่แล้ว โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากคดีของเด็กหญิงตัวน้อยวัยเก้าขวบชี่อ 'แอมเบอร์ ฮาเกอร์แมน' ที่ถูกลักพาตัวไปฆ่าในเมืองอาร์ลิงตัน รัฐเท็กซัส

ย้อนหลังไป 27  ปี เมื่อวันที่ 13 มกราคม ปี ค.ศ.1996   เด็กหญิงแอมเบอร์ขี่จักรยานเล่นกับน้องชายอย่างสนุกสนานในลานจอดรถร้างละแวกบ้านตายายของเธอเอง แต่พอตกเย็น ริกกี้ น้องชายวัย 7 ขวบของแอมเบอร์ขี่จักรยานกลับมาเพียงลำพัง

ข่าวนี้โด่งดังไปทั่วประเทศ อเมริกันทั้งประเทศสวดมนต์และเอาใจช่วยครอบครัวของแอมเบอร์กันอย่างชนิดที่เรียกว่า 'จดจ่อ' กันเลยทีเดียว เพราะถือเป็นเรื่องสะเทือนขวัญมากในเวลานั้น  

ไม่กี่วันต่อมา พบร่างไร้วิญญาณของหนูน้อยแอมเบอร์ในลำธารข้างทาง ไม่ห่างจากบ้านตายายของเธอเองเท่าใดนัก 

มีการส่งศพของแอมเบอร์ไปพิสูจน์หลักฐานพบว่า เมื่อตอนคนร้ายจับตัวหนูน้อยไป เธอยังมีชีวิตอยู่และถูกล่วงละเมิดทางเพศ เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่าคนร้ายจะต้องอาศัยอยู่ในละแวกนั้นด้วยเช่นกัน เพราะคนร้ายไม่ได้ทำอันตรายแอมเบอร์ในทันที แต่ลงมือสังหารหลังจากผ่านไปสองวัน 

ที่น่าเศร้าที่สุดคือจนกระทั่งบัดนี้ก็ยังจับกุมคนร้ายที่ฆ่าเด็กน้อยผู้น่าสงสารไม่ได้ คดีนี้จึงค้างคามาจนปัจจุบัน กลายเป็นหนึ่งในคดีที่เรียกว่า Cold Case

ข่าวแสนเศร้าของเด็กหญิงแอมเบอร์ สั่นสะเทือนหัวใจทั่วอเมริกา ทุกคนต่างคิดว่าแอมเบอร์อาจจะไม่เสียชีวิต ถ้าผู้ที่อยู่รอบข้างสามารถช่วยเหลือได้ทันท่วงทีภายในเวลา 8 นาทีแรก หลังจากที่แม่หนูน้อยขี่จักรยานออกจากบ้าน หรือจนกระทั่ง 8 นาทีแรกหลังจากตำรวจได้รับแจ้งจากผู้เห็นเหตุการณ์ว่ามีเด็กถูกอุ้มขึ้นรถไปในลักษณะลักพาตัว

‘รัสเซีย’ เผย ยินดีส่งเด็กยูเครนกลับประเทศ  หากครอบครัวพวกเขาร้องขอ แนะ ให้ผู้ปกครองเขียนอีเมลส่งมา

(5 เม.ย.66) กล่าวว่า มาเรีย โลววา-เบโลวา กรรมาธิการสิทธิเด็กประจำสำนักงานประธานาธิบดีรัสเซีย ประกาศพร้อมส่งเด็กยูเครนกลับประเทศ หากครอบครัวของพวกเขาร้องขอ

โลววา-เบโลวา เป็นผู้ดูแลเด็กยูเครนที่ถูกส่งตัวจากประเทศมาอยู่ใต้การปกครองของประเทศรัสเซีย และเธอเป็นหนึ่งในผู้ถูกหมายจับของศาลอาญาระหว่างประเทศร่วมกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ในข้อหาลักพาตัวเด็กยูเครนไปยังประเทศรัสเซียอย่างผิดกฏหมาย

ยูเครนกล่าวหารัสเซีย ว่า ขโมยเด็กกว่า 16,000 คนออกจากประเทศ นับตั้งแต่เริ่มบุกรุกเมื่อปีที่แล้ว แต่ฝั่งรัสเซียกล่าวว่าเป็นการช่วยชีวิตเด็ก ๆ จากเขตสู้รบ และมีขั้นตอนรองรับเพื่อรอเวลาให้พวกเขาได้กลับไปอยู่กับครอบครัวอีกครั้ง

ในระหว่างการแถลงข่าวเมื่อวันอังคาร มาเรีย โลววา-เบโลวากล่าวว่า เธอไม่เคยได้รับการติดต่อจากตัวแทนของทางการยูเครนเกี่ยวกับเด็กที่ถูกเคลื่อนย้ายออกนอกประเทศตั้งแต่เริ่มการสู้รบ และเธอยินดีให้ผู้ปกครองของเด็กเหล่านั้นสามารถเขียนอีเมลถึงเธอเพื่อตามหาลูกหลานของพวกเขาได้

"เขียนถึงฉัน...เพื่อตามหาลูกของคุณ" โลววา-เบโลวากล่าว แต่ปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายชื่อเด็กยูเครนทั้งหมดที่ถูกนำตัวมายังรัสเซีย

ตามรายงานล่าสุดที่เผยแพร่โดยสำนักงานของเธอ ระบุว่า เด็ก 16 คนจาก 9 ครอบครัวได้กลับไปอยู่ร่วมกับญาติชาวยูเครนตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคมแล้ว

รายงานยังระบุอีกว่าเด็กกำพร้าชาวยูเครน 380 คนถูกส่งไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ในรัสเซีย รวมถึงผู้เยาว์ 22 คนที่ถูกทิ้งในเมืองมารีอูโปล เมืองท่าที่ถูกถล่มจนราบเป็นหน้ากอง ก่อนที่กองกำลังรัสเซียจะเข้ายึดเมื่อปีที่แล้ว

‘Apple’ จ่อปรับโครงสร้างบริษัท เพื่อรับมือวิกฤตเศรษฐกิจ เล็งลดตำแหน่งงานบางส่วนออกเป็นครั้งแรก 

เมื่อวันที่ 4 เม.ย.66 บลูมเบิร์ก รายงานว่า Apple Inc. (AAPL) กำลังปรับโครงสร้างภายในทีมค้าปลีกของบริษัท ซึ่งถือเป็นการลดตำแหน่งงานภายในบริษัทเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มดำเนินการรัดเข็มขัดเมื่อปีที่แล้ว

ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว Apple มีพนักงาน 164,000 คน และตรึงอัตรากำลังไว้ต่อเนื่อง ต่างจากบิ๊กเทคอื่นที่ขยายกำลังพนักงานเร็วในช่วงโควิด เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจจนถึงปลายปีที่แล้ว ทำให้ความจำเป็นในการเลิกจ้างพนักงาน เช่น Amazon.com Inc. (AMZN) และ Google ของ Alphabet Inc. (GOOGL) ได้ปลดพนักงานหลายหมื่นคน

แม้ว่าช่วงที่ผ่านมา Apple จะรัดเข็มขัด ลดงบประมาณและตัดทอนพนักงานรับเหมาจำนวนมาก รวมถึงวิศวกรสัญญาจ้าง นายหน้า และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และให้พนักงานเหล่านั้นกลับมาสมัครงานใหม่ในตำแหน่งที่คล้ายกัน ซึ่งอาจจะได้รับค่าตอบแทนต่ำกว่าเดิม

'รบ.เมียนมา' ดัน 'เทศกาลตะจ่าน' ขึ้นเป็นมรดกโลก เรื่องดีๆ ที่ถูกฝ่ายประชาธิปไตยดิสเครดิตแบบไร้สติ

'ตะจ่าน' หรือ 'ติงจ่าน' ถือเป็นเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ของชาวเมียนมา โดยตรงกับช่วงวันสงกรานต์ของไทย 

ดังนั้นสำหรับช่วงเวลานี้รัฐบาลประกาศให้เป็นวันหยุดยาว 10 วัน เพื่อให้ผู้คนได้เดินทางกลับไปยังภูมิลำเนาของตน ซึ่งบางคนต้องใช้เวลาเดินทางถึง 2 วันเต็มๆ ในการเดินทาง
ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทศกาลนี้ คือ ล่าสุดทางกระทรวงกิจการวัฒนธรรมและศาสนาของเมียนมากำลังจัด

ทำเอกสาร เพื่อยื่นขอจดทะเบียน 'เทศกาลตะจ่าน' เป็นมรดกทางวัฒนธรรม โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและสนับสนุนการท่องเที่ยวในเมียนมาในระยะยาว  

แต่สุดท้ายก็ไม่วายที่จะถูกสำนักข่าวฝั่งตรงข้ามใส่สีตีข่าวเพื่อดิสเครดิต!!

หากมองกันตามตรงโดยไม่เอาอคติเรื่องเผด็จการหรือประชาธิปไตยมาตั้ง ถามว่าการกระทำครั้งนี้ของรัฐบาล ต้องถือว่าเป็นสิ่งที่ดีและมองการณ์ไกล ขณะเดียวกันในช่วงเวลานี้ทางรัฐบาลได้ประกาศขอความร่วมมือในการงดดื่มสุราของมึนเมาเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของเทศกาลนี้ ซึ่งในขณะเดียวกันก็จะช่วยลดการบาดเจ็บและสูญเสียจากการดื่มแอลกอฮอล์ด้วยเช่นกัน

ทว่าในข่าวฝั่งประชาธิปไตยพยายามตีแผ่ว่า ในเทศกาลตะจ่านที่ผ่านมา มีคนเล่นน้ำน้อย เพราะไม่มีใครอยากเล่นน้ำในรัฐบาลเผด็จการ ซึ่งความจริงนั้นตรงกันข้าม...

ทางเพจ Look Myanmar เคยนำเสนอเรื่องราวในช่วงเทศกาลตะจ่านปีก่อนไว้ว่า การที่คนไม่เล่นน้ำตามบูธที่รัฐบาลจัด เพราะกังวลเรื่องความปลอดภัยของตนเองมากกว่า เนื่องจากในช่วงเวลานั้นในเมืองใหญ่อย่าง ย่างกุ้งหรือมัณฑะเลย์ ก็ยังมีเรื่องระเบิดให้เห็นอยู่ประปราย 

ดังนั้นคนจึงเลือกเดินทางออกไปยังต่างจังหวัด เช่น ทะเล หรือ น้ำตก เพื่อพักผ่อนในช่วงเวลาดังกล่าว และปีนี้ก็เช่นกัน มีการรายงานว่าที่พักที่ชายหาดชองตาและชายหาดงุยเซาในรัฐอิรวดีได้เต็มหมดแล้ว เช่นเดียวกับที่ชายหาดงาปาลีก็เต็มแล้วเช่นกัน  

ศึกการเงินโลกเริ่มเดือดขึ้นไปอีกขั้น  จับตาดอลลาร์ vs 'ทองคำ-หยวน-Bitcoin'

⚠️ ตอนนี้ศึกการเงินโลกเริ่มเดือดขึ้นไปอีกขั้นแล้ว ! เมื่อจีน-รัสเซียกำลังเร่งเดินหน้าทุกวิถีทางเพื่อพยายามทำลายค่าเงินและอำนาจของเงินดอลลาร์ลงให้ได้ ! ซึ่งคำถามสำคัญคือใครจะเป็นผู้ชนะกันแน่ ?!? ระหว่างเงินดอลลาร์, ทองคำ, เงินหยวน หรือ Bitcoin ?

(4 เม.ย.66) World Maker เผยว่า ปัจจุบันเงินดอลลาร์ยังคงครองการค้าโลกอยู่ราว 88% ของสัดส่วนสกุลเงินทั้งหมดที่ใช้ในการซื้อขายสินค้าและบริการต่าง ๆ ในขณะที่เงินหยวนของจีนมีสัดส่วนเพียง 3-7% เท่านั้น (แต่ล่ะสื่อรายงานตัวเลขไม่เท่ากันแต่อยู่ใน Range ระหว่างนี้)

บางคนมองว่าอีกไม่นานหยวนจะมีสัดส่วนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนแทนดอลลาร์ได้ในที่สุด ? แต่ก็มีอีกฝั่งที่มองว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เนื่องจากนโยบายการบริหารประเทศของจีนและภาคการเงินนั้นเป็นระบบที่ค่อนข้างปลายปิด ซึ่งไม่อนุญาตให้เงินไหลเข้า-ออกประเทศได้อย่างอิสระ

และแม้จะมีข่าวว่าซาอุฯ กำลังเล็งขายน้ำมันบางส่วนเป็นเงินหยวน ทำให้หลายคนกำลังตั้งความหวังที่จะเกิด Petroyuan แทน Petrodollar แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจยังห่างไกลกันมาก โดยเฉพาะเมื่อสกุลเงินของประเทศต่าง ๆ ในตะวันออกกลางมีความอ่อนไหวต่อค่าเงินดอลลาร์มากเป็นพิเศษ

ขณะเดียวกัน แม้ว่าจีนจะเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก และยังเป็นคู่ค้าที่สำคัญมาก ๆ ของหลายประเทศ แต่โดยรวมแล้วการค้าโลกก็ยังถูกเงินดอลลาร์ครองตลาดอยู่ทิ้งห่างลิ่วจากสกุลเงินหยวน แม้จีนจะพยายามผลักดันการใช้เงินหยวนมาหลายปี แต่สุดท้ายแล้วดูเหมือนว่าความต้องการเงินดอลลาร์จะยังคงสูงกว่าจนถึงปัจจุบันนี้

อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตจีนมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองและเปิดกว้างสำหรับตลาดเงินหยวนมากขึ้น และแนวโน้มการเติบโตของเงินหยวนในตลาดโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีโอกาสที่การครอบงำตลาดของเงินดอลลาร์จะลดลงในะระยะยาว แม้ว่าในระยะสั้นนี้จะยังไม่เห็นภาพก็ตาม

📌 ส่วนทางด้านของทองคำนั้น ดูเหมือนจะเป็นคู่ฟัดที่ดูมีโอกาสมากที่สุดในการทุบอำนาจของเงินดอลลาร์ โดยทั่วโลกกำลังจับตาว่าทองคำจะยืนเหนือระดับ 2,000 $/Oz ได้หรือไม่ ? เพราะถ้ายืนได้ก็มีโอกาสที่จะทะลุเพดานไปอีก แต่ถ้ายืนไม่ได้ราคาทองคำโลกก็อาจร่วงลงมาอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน

โดยรัสเซียนั้นได้กลายเป็น 1 ในประเทศที่กำลังผลักดันให้โลกกลับไปสู่ระบบการเงินที่หนุนหลังด้วยทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นเพียงไม่กี่ทางเลือกที่รัสเซียจะสามารถหลีกหนีการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกไปได้ ซึ่งปัจจุบันรัสเซียกำลังร่วมมือกับอิหร่านในการทดลองใช้ Token ดิจิทัลที่หนุนหลังด้วยทองคำเพื่อทดแทนระบบเงินดอลลาร์ ขณะที่จีนเองก็มีข่าวว่าได้เข้าตุนทองคำเอาไว้เป็นปริมาณมาก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการทุบอำนาจดอลลาร์ที่โลกฝั่งคอมมิวนิสต์ต้องการ

ธนาคารต่าง ๆ ในรัสเซียถูกรัฐบาลสั่งให้คิดค่าดอกเบี้ยในธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับดอลลาร์สูงขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่เกิดสงครามยูเครนและโดนคว่ำบาตร ในขณะเดียวกันก็ออกกฏหมายหนุนให้ผู้คนหันไปหาเงินหยวนและทองคำมากขึ้นแทน ทำให้ Demand ทองคำจากผู้บริโภคในรัสเซียสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่นั้นมา

โดยรวมในปี 2022 พบว่า Demand ทองคำทั่วโลกพุ่งขึ้นราว +18% สู่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการเข้าซื้ออย่างมหาศาลของธนาคารกลาง ซึ่งหากคิดเฉพาะ Demand จากธนาคารกลางจะถือว่าเข้าซื้อมาที่สุดในรอบราว 50 ปีเลยทีเดียว

นักวิเคราะห์หลายคนกล่าวว่าธนาคารกลางรัสเซียน่าจะเป็นผู้ซื้อรายสำคัญ แต่ไม่มีข้อมูลทางสถิติออกมายืนยันเพราะรัสเซียหยุดรายงานความเคลื่อนไหวในการซื้อขายทองคำและปริมาณตุนสำรองไปหลังจากที่สงครามยูเครนเริ่มต้นขึ้น

ขณะที่จีนก็พยายามผลักดันทองคำอยู่แบบเงียบ ๆ พร้อมกับการดันเงินหยวนให้มีความเป็นสากลมากขึ้น นั่นทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่าโลกคอมมิวนิสต์กำลังปฏิบัติการเพื่อทำลายค่าเงินดอลลาร์อยู่ โดยใช้ทองคำเป็น 1 ในอาวุธหลัก เนื่องจากเหตุผลว่ามันคือ Safe Haven ที่รักษามูลค่าได้ตลอด 5,000 ปีที่ผ่านมา

แต่จะสามารถล้มอำนาจของดอลลาร์และดึงโลกกลับไปสู่มาตรฐานทองคำได้หรือไม่นั้น ? ก็คงต้องรอดูกันต่อไปในฉากหน้า ! โดยทั้งนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็มีความพยายามในการดัน Gold Standard กลับมาเรื่อย ๆ แต่ปรากฏว่าโลกก็ยังไม่ได้กลับไปใช้ทองคำหนุนหลังค่าเงินอยู่ดี นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เราต้องลุ้นกันว่าครั้งนี้จะสำเร็จหรือคว้าน้ำเหลว ?

⚠️ อีกอาวุธหนึ่งที่มักจะถูกพูดถึงว่าจะนำมาใช้ล้มอำนาจของเงินดอลลาร์ก็คือ Bitcoin และ Crypto ซึ่งราคาของ Bitcoin ได้ปรับตัวสูงขึ้น +71% ในไตรมาสแรกของปี 2023 นี้ ! และท่ามกลางวิกฤต Bank Run ที่เกิดขึ้นก็พบว่าราคา Bitcoin ยังคงดีดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันเทรดอยู่ราว ๆ 28,300 $/BTC ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่านี่จะใช่การกลับมาผงาดของมันหรือไม่ ? หลังจากเป็นกระแสข่าวแล้วราคาร่วงยับในก่อนหน้านี้

หลายสื่อรายงานว่าสภาพคล่องในตลาด Bitcoin กำลังอยู่ในภาวะ “แห้งเหือด” แม้ราคาจะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่ง Trading Volumes ที่ลดลงหมายความว่าผู้ถือครองรายใหญ่จะสามารถปั่นราคาเหรียญได้ง่ายกว่าเดิมโดยใช้ปริมาณเงินน้อยกว่าเดิม ดังนั้นก็อาจเป็นไปได้ว่าที่ราคาปรับตัวขึ้นมาได้เมื่อเร็ว ๆ นี้อาจเป็นเพราะ Volumes ที่ลดลง ?

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เชื่อมั่นใน Bitcoin มองว่าอนาคตของมันยังอีกไกล ? และ Bitcoin จะไม่ใช่แค่แทนที่ดอลลาร์ ? แต่จะแทนที่ทองคำด้วย ? ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ ? เพราะสำหรับขาเชียร์ Bitcoin พวกเขาก็จะ Discredit ระบบเงิน Fiat และทองคำเป็นเรื่องปกตินับตั้งแต่ Bitcoin ยังเป็นกระแสจนราคาร่วงยับ -70%

อนึ่ง ในช่วงที่หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ กำลังเร่งตรวจสอบอุตสาหกรรมคริปโตอยู่นี้ พบว่าทางฮ่องกงก็กำลังเร่งเดินหน้าดันตัวเองให้กลายเป็น 1 ในศูนย์กลางคริปโตระดับโลก ! กลับลำ 180 องศาจากที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนออกมาประกาศก้องโลกว่าจะไม่เอา Crypto และยังสั่งให้ประชาชน-ธุรกิจต่าง ๆ ห้ามยุ่งเกี่ยวกับเหรียญเหล่านี้

ดังนั้นก็คงต้องรอดูว่าอนาคตของ Crypto จะถูกกำหนดออกมาอย่างไร เพราะปัจจัยที่สำคัญมาก ๆ ก็คือการยอมรับจากหน่วยงานกำกับดูแลต่าง ๆ ซึ่งคงต้องพิจารณาควบคู่กับการมาถึงของ CBDC ว่าจะให้ Crypto อยู่ในฐานะสินทรัพย์ทางเลือกต่อไป หรือว่าจะแบนทิ้งกันแน่ ? ส่วนเรื่องที่ Bitcoin จะแทนที่ดอลลาร์รักษามูลค่าไปเรื่อย ๆ ได้หรือไม่นั้น ? ก็คงต้องคุยกันหลังจากประเด็นนี้ผ่านก่อน

📌 ขณะเดียวกันนี้ ทาง OPEC+ ได้ตกลงกันที่จะลดกำลังผลิตน้ำมันดิบลงกว่า -1 ล้านบาร์เรล/วัน นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ OPEC+ กล่าวว่าเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนต่าง ๆ ของเศรษฐกิจโลก แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้นตามไปด้วย

แน่นอนว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะเป็นการสร้างเงินเฟ้อให้แก่โลกไปด้วย ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามที่จะทำลายเศรษฐกิจของประเทศตะวันตกด้วยการดันให้เงินเฟ้อเกิดขึ้นในระดับสูงอย่างที่นักวิเคราะห์ฝ่ายโปรรัสเซียส่วนใหญ่พยายามออกมาชี้ในก่อนหน้านี้ว่าประเทศตะวันตกจะต้องเผชิญเงินเฟ้อครั้งใหญ่จากการทำสงครามกับรัสเซีย ?

ราคาน้ำมันดิบโลกอย่าง WTI และ Brent ดีดขึ้นราว +6% ในวันนี้กลับมาอยู่ที่ระดับ 80 ดอลลาร์/บาร์เรลอีกครั้งหลังมีการประกาศลดกำลังผลิตจากกลุ่ม OPEC+ ซึ่งก็ต้องรอดูว่าหลังจากนี้ราคาน้ำมันดิบโลกจะพุ่งสูงขึ้นอีกหรือไม่ ? เพราะหากเศรษฐกิจและภูมิภาคโลกยังมีความตึงเครียดอยู่ ระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลก็ไม่ได้ถือว่าไกลเกินเอื้อมเลยสำหรับน้ำมัน

‘นักวิจัยจีน’ พัฒนา ‘แบตเตอรี่น้ำเค็ม’ ฝังในร่างกาย ช่วยฆ่า ‘เซลล์เนื้องอก’ ควบคุมการเติบโตของโรค

(4 เม.ย.66) เมื่อวันที่ 3 เม.ย.66 สำนักงานข่าวซินหัวรายงานว่า คณะนักวิจัยจีนพัฒนาแบตเตอรี่น้ำเค็มแบบฝังและชาร์จพลังงานได้เอง ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยฆ่าเซลล์เนื้องอกด้วยการควบคุมสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการเติบโตของเนื้องอก

การศึกษาฉบับดังกล่าวเผยแพร่ในวารสารไซแอนซ์ แอดวานซ์ (Science Advances) เมื่อไม่นานมานี้ โดยอธิบายว่าแบตเตอรีชนิดนี้จะลดปริมาณเนื้องอกเฉลี่ยร้อยละ 90 ในช่วงสองสัปดาห์ และกำจัดเนื้องอกในหนู 4 ตัวจาก 5 ตัว หากใช้ร่วมกับสารประกอบผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรมที่เรียกว่าทิราปาซามีน (tirapazamine)

ทีมงานจากมหาวิทยาลัยฟู่ตั้นได้แรงบันดาลใจจากปฏิกิริยารีดอกซ์ของขั้วไฟฟ้าในแบตเตอรี่ โดยพวกเขาออกแบบอุปกรณ์แบบฝัง ซึ่งประกอบด้วยโพลีอิไมด์ที่มีส่วนประกอบเป็นคาร์บอนิลและโลหะสังกะสีที่เข้ากันได้ทางชีวภาพ

แบตเตอรี่ดังกล่าวสามารถสร้างวงจรการคายประจุและการชาร์จตัวเองเพื่อใช้งานออกซิเจนในเนื้องอกของหนู ซึ่งจะควบคุมปริมาณออกซิเจนและระดับความเป็นกรด-ด่างหรือค่าพีเอช (pH) ของเนื้องอก

การศึกษาเผยว่าแบตเตอรี่ยังเพิ่มประสิทธิภาพการฆ่าเนื้องอกของทิราปาซามีนในการฆ่าเซลล์เนื้องอกในหนู โดยทิราปาซามีนจะใช้ประโยชน์จากสภาวะการลดลงของออกซิเจน (oxygen-depleted) ของเนื้องอกเพื่อเลือกฆ่าเซลล์ที่ขาดออกซิเจน พร้อมเสริมว่าแบตเตอรี่น้ำเกลือมีความสามารถการปรับเปลี่ยนรูปดี จึงสามารถฝังเข้าชั้นใต้ผิวหนังบนผิวเนื้องอกและครอบคลุมพื้นผิวเนื้องอกอย่างเหมาะสม

‘จีน’ พบยอดอาสา ‘บริจาคอวัยวะ’ สูงกว่า 6 ล้านคน เผย กลุ่มผู้บริจาคส่วนใหญ่ วัยหนุ่มสาว-วัยกลางคน

(3 เม.ย.66) สำนักงานข่าวซินหัวรายงานว่า หนังสือพิมพ์ไชน่าเดลี รายงานจำนวนผู้บริจาคอวัยวะที่ลงทะเบียนในจีนอยู่ที่เกือบ 6.2 ล้านคน ขณะจำนวนการปลูกถ่ายอวัยวะต่อปียังคงสูงติดอันดับสองของโลก

โหวเฟิงจง ผู้อำนวยการศูนย์บริหารการบริจาคอวัยวะแห่งประเทศจีน สังกัดสภากาชาดจีน (RCSC) ระบุว่าผู้บริจาคที่ลงทะเบียนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มหนุ่มสาวและกลุ่มวัยกลางคนอายุ 45 ปีและต่ำกว่า

‘เนเธอร์แลนด์’ ผุดแคมเปญไล่นักท่องเที่ยวตลาดล่าง อย่ามาอัมสเตอร์ดัม ทำภาพลักษณ์เมืองเสียหาย

ในขณะที่หลายประเทศในโลก พยายามอัดแคมเปญส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว ดึงดูดให้ชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยวในบ้านเยอะๆ เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ แต่ก็มีบางประเทศที่ทำตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ถึงขนาดออกแคมเปญไล่นักท่องเที่ยว โดยเจาะจงไปที่กลุ่มนักท่องเที่ยวตลาดล่าง ที่เข้ามารบกวน ทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม เพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของเมือง

ประเทศที่ว่า ก็คือ ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยที่กรุงอัมสเตอร์ดัมตอนนี้ มีแคมเปญใหม่ล่าสุด เป็นการขึ้นป้ายบิลบอร์ด ไล่นักท่องเที่ยวกันซึ่งๆ หน้าว่า "หากคุณกำลังวางแผนเที่ยวแบบหัวราน้ำที่อัมสเตอร์ดัมอยู่ล่ะก็ ขอให้คิดใหม่ เพราะเมืองหลวงของเนเธอร์แลนด์แห่งนี้ ไม่ต้อนรับพวกคุณ"

นอกจากนี้ยังมีการทำคลิปโฆษณา จำลองเหตุการณ์ตำรวจจับนักท่องเที่ยววัยรุ่นที่เมา โวยวายตามสถานบันเทิงยามค่ำคืน ชาวต่างชาติที่เสพยาเกินขนาดจนต้องหามส่งโรงพยาบาล หรือนักท่องเที่ยวที่กำลังมองหาโรงแรมถูกๆในอัมสเตอร์ดัมเพื่อมาหาเพื่อนสายปาร์ตี้เอาดาบหน้าที่อัมสเตอร์ดัม  พร้อมขึ้นคำเตือนว่า "อยากมาลองเมาเละที่อัมสเตอร์ดัม = โทษปรับ 140 ยูโร + ติดประวัติอาชญากรรม?" 

นายโซฟอัน มบาร์กี รองผู้ว่าการกรุงอัมสเตอร์ดัม ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับแคมเปญ ‘Stay Away - ไปให้ห่างจากอัมสเตอร์ดัม’ ว่า จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าชาวกรุงอัมสเตอร์ดัม ไม่อยากได้นักท่องเที่ยว เพียงแต่เราไม่ต้องการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ไร้คุณภาพ มีเป้าหมายเพียงเพื่อมาหาที่เมา ที่เสพ และอาละวาด เสียงดังจนชาวบ้านเดือดร้อน เรายอมจำกัดการเติบโตด้านการท่องเที่ยวดีกว่า เพื่อแลกกับบรรยากาศเมืองที่น่าอยู่

สิ่งที่น่าแปลก แต่จริง ก็คือ กลุ่มเป้าหมายหลักที่ทำให้ทางการอัมสเตอร์ดัมต้องหาทำแคมเปญไล่นักท่องเที่ยวในครั้งนี้ คือกลุ่มนักท่องเที่ยวชายชาวอังกฤษ อายุตั้งแต่ 18-35 ปี ที่หลายครั้งพบว่ามา สร้างปัญหาเมื่อข้ามฝั่งมาเที่ยวที่เนเธอร์แลนด์

เมื่อ Bank Run พาคนแห่ถอนเงินออกจากธนาคารไปยังสินทรัพย์อื่น ส่งผลกระทบ 'รายย่อยชะลอซื้อหุ้น' หวั่นฟองสบู่ตลาดเงิน

เราจะต้องเตรียมรับมือวิกฤตฟองสบู่แตกลูกต่อไปหรือไม่ ?!? เพราะหลังจากเกิด Bank Run ขึ้นในสหรัฐฯ จนผู้คนแห่ถอนเงินออกจากธนาคารไปยังสินทรัพย์อื่น ๆ โดยเฉพาะกองทุนตลาดเงิน (Money Market Funds) ตอนนี้กลายเป็นว่าฟองสบู่ลูกใหม่ล่าสุดได้เกิดขึ้นในตลาดเงินแทนแล้ว !!!

(3 เม.ย.66) World Maker เผย Market Cap ของตลาดเงินเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนมีมูลค่าเกือบ 5.5 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว ! จากที่ต้นปีอยู่เพียง 4.5 ล้านล้านดอลลาร์หรือพูดง่าย ๆ ว่ามีเงินไหลเข้ามาราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ !

ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะคนแห่หนีความกังวลจากภาคธนาคารมาแสวงหาผลตอบแทนดอกเบี้ยที่สูงกว่าในตลาดการเงิน แต่เมื่อปัญหาด้านการธนาคารเริ่มบรรเทาลง และหน่วยงานกำกับดูแลได้เข้ามาควบคุมเพื่อเพิ่มเสถียรภาพในระยะยาว แปลว่าการแห่เข้า Money Market Funds อาจไม่ใช่กระแสที่อยู่ได้นานหรือมั่นคง ?

โดยเฉพาะหาก FED เริ่มลดดอกเบี้ยลงหลังจากนี้ เราก็อาจได้เห็นฟองสบู่ในตลาดเงินแตกออกจากการไหลออกของเงินทุนที่เข้ามาในช่วงก่อนหน้านี้ (รวมถึงปัจจุบัน) ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีทันใดหลังจากนี้ แต่ในระยะกลางถือว่าน่าเป็นห่วง เพราะถ้าดอกเบี้ยไปถึงจุด Peak แล้ว และการทำ QT เริ่มจบลง จะหมายความว่าสินทรัพย์เสี่ยงต่าง ๆ มีโอกาสให้ผลตอบแทนดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝากและดอกเบี้ยพันธบัตร !

นอกจากนี้ ยอดเงินที่ไหลเข้าสู่ Money Market Fund เริ่มชะลอตัวลง โดยอยู่ที่ 6.15 หมื่นล้านดอลลาร์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา จากประมาณ 1.26 แสนล้านดอลลาร์ในสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ซึ่งเมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนี้ หมายความว่ายอดสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ที่พุ่งขึ้นถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็อาจกลายเป็นฟองสบู่ที่รอวันแตก !

📌 ปัจจุบันนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากกำลังชะลอการซื้อหุ้นลง หลังจากมีการแห่ซื้อจำนวนมากในช่วงต้นปี 2023 ซึ่งทำให้การซื้อหุ้นสหรัฐฯ สุทธิของรายย่อยแตะระดับ All Time High ที่ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนกุมภาพันธ์

แต่หลังจากเกิดวิกฤต Bank Run ในเดือนนี้ พบว่าปริมาณการซื้อของรายย่อยได้ลดลงเกือบ -50% จาก 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์เหลือเพียงประมาณ 8.9 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นของรายย่อยได้ลดลง

ขณะเดียวกัน ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ดูเหมือนจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างโดดเด่นท่ามกลางวิกฤต Bank Run ในครั้งนี้ โดย Nasdaq ปิดไตรมาสแรก +17% และ S&P500 ปิดไตรมาสแรก +7.5% ซึ่งบางคนให้ความเห็นว่าเขาอาจจะพลาดโอกาสบางส่วนในขาขึ้นรอบใหญ่ ? แต่เขาต้องการปิดรับความเสี่ยงที่หุ้นอาจจะร่วงลงได้อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน

ส่วนหนึ่งของการที่นักลงทุนรายย่อยชะลอการซื้อหุ้นนั้น ก็เป็นเพราะพวกเขาได้นำเงินไปพักไว้ในที่ที่ดูปลอดภัยในระยะสั้น อย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น, Money Market Fund, บัญชีออมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยสูง แต่แนวโน้มดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงได้หลังจากนี้ โดยเฉพาะเมื่อดอกเบี้ยและการทำ QT ได้ไปถึงจุด Peak (อย่างที่อธิบายไปแล้วข้างต้น)

ในระยะสั้น บางคนมองว่าเรายังจำเป็นต้องระวัง After Shock จากวิกฤต Bank Run เนื่องจากผลกระทบของดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและสภาพคล่องที่ตึงตัวขึ้นต่อเศรษฐกิจอาจตามมาด้วยฟองสบู่ลูกอื่น ๆ ที่แตกออก ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นผลกระทบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในในระยะเวลาสั้น ๆ แต่ก็เพื่อทำให้เงินเฟ้อในระบบเศรษฐกิจชะลอตัวลง

⚠️ นั่นหมายความว่าตลาดหุ้นเองอาจมีความผันผวนมากขึ้นอีกได้ทั้ง 2 ทางในระยะสั้นนี้และยังมีความเสี่ยงที่อาจเกิดการปรับฐานได้ แม้ว่าในอนาคตระยะยาวจะมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นก็ตาม โดยเฉพาะกลุ่ม Zombie Company ที่อาจทยอยล้มหายตายจากไปท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคใหม่ !

ปัจจุบัน Zombie Company (บริษัทที่ไม่มีความสามารถในการทำกำไรหรือขยายธุรกิจ) คิดเป็นประมาณ 15% ของบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศพัฒนาแล้ว (เพิ่มขึ้นจาก 4% ในช่วงปลายทศวรรษ 1980) ซึ่งบริษัทเหล่านี้เอาชีวิตรอดได้ในช่วงยุคดอกเบี้ยต่ำและ Easy Money เนื่องจากไม่จำเป็นต้องทำกำไรมากในการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้

แต่เมื่อดอกเบี้ยสูงขึ้น จึงถือเป็นหายนะสำหรับกลุ่ม Zombie Company ทันที เพราะบริษัทเหล่านี้ไม่มีความสามารถมากพอในการสร้างทำกำไรมาชำระหนี้ที่สูงขึ้นจากดอกเบี้ย ดังนั้นจึงหมายความว่าบริษัทราว 15% ในประเทศพัฒนาแล้วกำลังอยู่ในภาวะเสี่ยง และบางแห่งก็อาจต้องล้มละลายหายไปเรื่อย ๆ จากวงจรการเงินที่ตึงเครียดขึ้นในรอบนี้

แน่นอนว่าหลายแห่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นเช่นกัน แต่ไม่ใช่แค่การลงทุนเท่านั้นที่บริษัทซอมบี้สามารถสร้างผลกระทบได้ เพราะในกรณีที่เกิดการล้มละลายอย่างกะทันหันของ Zombie Company มันก็อาจทำให้คนจำนวนมากตกงาน การบริโภคลดลง และการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นอีก (สอดคล้องกับวิกฤต Bank Run ที่เกิดขึ้น) ซึ่งอาจผลักดันให้บริษัทอื่น ๆ เสี่ยงล้มละลายตามอีก

‘กองทัพมะกัน’ วิตก!! หลังจีน-รัสเซีย-อิหร่าน จับมือใกล้ชิดยิ่งขึ้น เผย เป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯ เผชิญหน้ากับมหาอำนาจนิวเคลียร์ 2 ชาติ

(2 เม.ย. 66) พล.อ.มาร์ค มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมกองทัพสหรัฐฯ บอกกับสมาชิกรัฐสภาเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ว่า จีน รัสเซีย และอิหร่านจะเป็นปัญหาสำหรับอเมริกา ‘ในช่วงหลายปีข้างหน้า’ ในขณะที่ทั้ง 3 ชาติกำลังทำงานร่วมกันใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น

ระหว่างให้ปากคำต่อคณะกรรมาธิการด้านการทหารของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ร่วมกับ ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหม ทาง พล.อ.มิลลีย์ เปิดเผยว่า รัสเซียและจีนกำลังร่วมมือใกล้ชิดกันมากยิ่ง

“ผมคงไม่ใช้คำว่า ‘พันธมิตรเต็มรูปแบบอย่างแท้จริง’ ในความหมายที่แท้จริงของคำนั้น แต่เรากำลังเห็นพวกเขาเคลื่อนไหวใกล้ชิดกันมากขึ้น และนั่นเป็นปัญหา และจากนั้น อิหร่านก็เป็นประเทศที่ 3 ดังนั้น ผมคิดว่า 3 ประเทศเหล่านี้รวมกัน จะกลายเป็นปัญหาสำหรับหลายขวบปีข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัสเซียและจีน สืบเนื่องจากศักยภาพของพวกเขา” พล.อ.มิลลีย์ กล่าว

ท่ามกลางเสียงเน้นย้ำมานานหลายปีของสหรัฐฯ ว่าทั้ง 3 ประเทศได้มุ่งเน้นด้านการทหารอย่างมาก โดยเฉพาะจีนและรัสเซีย ความตึงเครียดระหว่างอเมริกากับทั้ง 3 ชาติ ได้โหมกระพือขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หรือแม้กระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้

ในขณะที่สหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือยูเครน ในการป้องกันตนเองจากการรุกรานของรัสเซีย ความตึงเครียดกับจีนได้พุ่งสูงขึ้นเมื่อไม่นานที่ผ่านมา หลังจากพบวัตถุบินต้องสงสัยว่าเป็นบอลลูนสอดแนมของจีน ล่องลอยข้ามน่านฟ้าอเมริกา ก่อนถูกเครื่องบินรบสหรัฐฯ ยิงตกนอกชายฝั่งทางตะวันออกของประเทศ

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สหรัฐฯ เปิดฉากโจมตีตอบโต้พวกนักรบกลุ่มต่าง ๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านในซีเรีย หลังโดรนต้องสงสัยว่าเป็นของอิหร่าน ทำการโจมตีศูนย์แห่งหนึ่งซึ่งเป็นฐานของบุคลากรสหรัฐฯ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่สัญญาจ้างรายหนึ่งของอเมริกาเสียชีวิต และกำลังพลได้รับบาดเจ็บ 5 นาย

ตามหลังปฏิบัติการโจมตีของสหรัฐฯ พวกนักรบได้ยิงจรวดและส่งโดรนโจมตีเพิ่มเติม เล่นงานเป้าหมายต่าง ๆ ที่เป็นของอเมริกาและบุคลากรของพันธมิตรในซีเรีย

‘หนุ่มกัมพูชา’ โปรโมตอาหาร ผ่านรายการดังของอเมริกา เจอพิธีกรทัก ‘นี่มันคล้ายอาหารไทยทั้งหมดเลยนะ’

เมื่อไม่นานนี้ ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกชื่อ back.rose1975 บันทึกภาพรายการ Morning News รายการดังของอเมริกาช่วงหนึ่ง ซึ่งได้เชิญเจ้าของร้านอาหารต่างๆ มาร่วมรายการเพื่อโปรโมตร้านอาหารของตัวเอง

ปรากฎว่าถึงคิวมีเจ้าของร้านอาหารกัมพูชารายหนึ่ง ชื่อ ‘Phnom Penh Noodle Shack’ ได้นำจานเด็ดของที่ร้านมาโปรโมต พร้อมอธิบายชื่อเมนูต่าง ๆ เช่น บาบา (ข้าวต้มไก่) และ จาโก้ย

ทว่า พิธีกรชายกลับถามเขาว่า “อะไรคือความพิเศษที่คุณมี นี่มันเหมือนกับอาหารไทยเกือบทั้งหมดเลยนะ” เมื่อเจ้าของร้านอาหารกัมพูชาได้ยิน จึงตอบกลับไปว่า “มันก็คล้าย ๆ กัน”

งานนี้ทำเอาทั้งชาวเน็ตไทยและกัมพูชาเข้าไปแสดงความคิดเห็นให้พรึบ เช่นว่า

“ขอบคุณที่โปรโมทอาหารไทย”
“หน้าตาเหมือนกัน”
“ผัดแขมร์”
“ดีนะไม่มีส้มตำ”
“กุมขมับเลย”
“ลุงโรเจอร์ ไฮหย่า”


ที่มา : https://www.matichon.co.th/social/news_3905463

‘ชาวจีน’ เผย ยังคงเชื่อมั่นการท่องเที่ยวใน ‘ไทย’ แม้เจอดรามา นทท.ถูกลักพาตัว-ค่าใช้จ่ายสูง

(1 เม.ย.66) สำนักงานข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 66 นับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่เดือนมีนาคม โลกอินเทอร์เน็ตจีน พบข่าวสารเชิงลบเกี่ยวกับการท่องเที่ยวไทยบ่อยครั้ง เช่น นักท่องเที่ยวถูกลักพาตัวเรียกค่าไถ่ ร้านอาหารนายแบบผู้ชายล่อลวงขโมยไต หรือเที่ยวไทยแพงไม่ไหว ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวของไทยที่กำลังฟื้นฟูตัวเอง

ทว่าผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวซินหัวของทางการจีน ค้นพบว่าบรรดาบริษัทการท่องเที่ยวรายใหญ่ของจีนยังคงเชื่อมั่นตลาดการท่องเที่ยวของไทย และไทยยังคงเป็นจุดหมายยอดนิยมของชาวจีนที่ต้องการท่องเที่ยวต่างประเทศ แม้เผชิญการถูกว่าร้ายอย่างรุนแรงบนอินเทอร์เน็ตก็ตาม

‘ประเทศไทยยังคงปลอดภัย’ มัคคุเทศก์ชาวจีนแซ่ห่าว ซึ่งเพิ่งกลับจากไทยพร้อมกรุ๊ปทัวร์ชาวจีนเมื่อวันที่ 27 มี.ค. บอกกับผู้สื่อข่าว โดยห่าวที่ทำงานเป็นมัคคุเทศก์ในไทยมานานกว่า 10 ปี เผยว่าเขาเห็นประเด็นร้อนดราม่าบนอินเทอร์เน็ตพวกนั้นแล้วแต่ไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร

เกาอวี้ชิง ชาวจีนในไทย เล่าว่ามีเพื่อนฝูงในจีนมาถามความจริงหลังเกิดกระแสดราม่า ซึ่งคงปฏิเสธว่าไม่มีไม่ได้ แต่มันเป็นเรื่องที่น่าจะเกิดขึ้นน้อยมาก โดยประเทศที่มีการท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมหลัก ถ้ารับประกันความปลอดภัยพื้นฐานไม่ได้ คงไม่มีคนจากทั่วโลกมาเที่ยวมากมายเช่นนี้

ชายแซ่เหอจากเมืองหางโจวของมณฑลเจ้อเจียง ซึ่งวางแผนเที่ยวไทยช่วงหยุดยาววันแรงงาน บอกว่าตอนเห็นข่าวดราม่าบนอินเทอร์เน็ตก็กังวลนิดหน่อยและลังเลว่าจะยกเลิกการร่วมกรุ๊ปทัวร์ดีไหม แต่พอเห็นทางการไทยออกมาชี้แจงและคุยกับเพื่อนในไทยก็เบาใจแล้ว

หยางจ่านวั่ง หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ของซีทริป (Ctrip) บริษัทตัวแทนการท่องเที่ยวออนไลน์รายใหญ่ของจีน กล่าวว่ากลุ่มผู้ประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวจีน เช่น ผู้จัดการโรงแรมแชงกรีลาในเชียงใหม่ร่วมไลฟ์สดกับซีทริป เพื่อแนะนำที่เที่ยวและประสบการณ์เที่ยวไทยแก่นักท่องเที่ยวจีน

ปัจจุบันไทยยังคงเป็นประเทศยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการจองกรุ๊ปทัวร์ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดยข้อมูลจากแพลตฟอร์มซีทริปในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาพบว่ากรุงเทพฯ และไทยยังคงเป็นจุดหมายอันดับต้นๆ ของเมืองและประเทศสำหรับการท่องเที่ยวต่างประเทศ

ผู้สื่อข่าวอ้างอิงบริษัทการท่องเที่ยวหลายแห่งในเจ้อเจียง ระบุว่าไม่ค่อยมีการยกเลิกเข้าร่วมกรุ๊ปทัวร์เที่ยวไทย โดยหยางตาน รองผู้จัดการฝ่ายการท่องเที่ยวต่างประเทศของเอเจนซีแห่งหนึ่ง คาดว่าผลกระทบจากดราม่าเหล่านั้นน่าจะอยู่ไม่นาน และยอดจองการเดินทางน่าจะกลับมาปกติในเดือนเมษายน-พฤษภาคม

กลับตัวทัน!! ทิ้งชีวิตเสเพล มุ่งหน้าไขว่คว้าหาความรู้ แนะคนจะเรียนต่อสหรัฐฯ เตรียมตัวดีมีชัยกว่าครึ่ง

เหตุการณ์ระทึกใจกับเจมส์และไมเคิลเหมือนเป็นลางเตือนให้เราเปลี่ยนการใช้ชีวิตสนุกไปวันๆ เราจึงตั้งปณิธานไว้ว่าเราจะเที่ยวแค่อาทิตย์ละวันแทนอาทิตย์ละหกวันเพื่อที่จะมุ่งหน้าสมัครเรียนปริญญาโท ก่อนที่จะข้ามน้ำข้ามทะเลมาเรียนที่อเมริกาเราเรียนวิชาเอกภาษาสเปนที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

สมัยนั้นเด็กนักเรียนสายศิลป์ภาษามักจะนิยมเลือกเรียนคณะอักษรฯ เพราะเป็นคณะที่คะแนนสูงที่สุด เราสมัครตามเพื่อนๆโรงเรียนเตรียมอุดมฯทั้ง ๆ ที่เราไม่รู้ว่าคณะนี้มีเรียนอะไรบ้าง เรารู้แต่ว่ามีเรียนภาษาต่างชาติที่เราถนัดทั้ง ๆ ที่ใจของเราอยากจะเรียนโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์มากกว่า เราเลยเลือกวารสารศาสตร์ ธรรมศาสตร์ไว้เป็นอันดับสอง นึกในใจว่าอย่างไรซะเราคงไม่ติดอันดับหนึ่งแน่ ๆ เพราะอาจารย์แนะแนวฟันธงว่าเราไม่น่าจะติดคณะอักษรฯ เพราะผลการเรียนของเราไม่สูงพอที่จะเป็นไปได้ คงเป็นเพราะแกงจืดต้มหัวปลาที่คุณพ่อคุณแม่ทำให้ทานตอนสอบเอนทรานซ์ หรือแรงตั้งใจฮึดสู้ที่อยากจะเอาชนะการคาดการณ์ของอาจารย์แนะแนว เราดันติดคณะอักษรฯ ตอนแรกๆคุณพ่อเราไม่เห็นด้วยที่เราจะเรียนภาษาต่อเพราะท่านไม่เห็นประโยชน์ที่จะมาสานต่อทางธุรกิจของท่านในอนาคต ท่านเลยคะยั้นคะยอให้เราไปลองเรียนที่ ABAC ก่อนเผื่อจะชอบ ใจจริงเราไม่เคยชอบธุรกิจ แต่ขัดท่านไม่ได้จึงเรียนฆ่าเวลาไปพลางๆก่อนที่จุฬาฯ จะเปิดเทอม 

เมื่อถึงเวลาเราก็บอกท่านว่าเราอยากเรียนภาษาต่างประเทศอีกสักสี่ปีแล้วค่อยไปต่อปริญญาโทที่เกี่ยวกับด้านธุรกิจ เนื่องจากเราเรียนภาษาฝรั่งเศสที่โรงเรียนเตรียมฯมาเป็นเวลาสามปีแล้วเราเลยรู้สึกเบื่อกับมัน เราตั้งใจจะเรียนภาษาตะวันตกใหม่ๆ ตอนปีหนึ่งเราลงเรียนภาษาอิตาเลียน แต่เราใจแตกที่มีอิสระเป็นครั้งแรกที่ขับรถเองไม่ต้องมีคนขับรถของทางบ้านมารับมาส่งตามเวลา เราจึงมักจะโดดเรียนไปเดินตามห้างมาบุญครองหรือสยามเซนเตอร์ จนอาจารย์ทั้งหลายรวมทั้งอาจารย์ที่สอนภาษาอิตาเลียนไม่เคยเห็นหน้า ถึงเราสอบผ่านทุกครั้ง แต่คะแนนจิตพิสัยนั้นแทบไม่มีเลย ผลออกมาโดนแมวข่วนได้ซีตามระเบียบ 

พอถึงปีสองต้องเลือกวิชาเอก บังเอิญฟังเพลง “La Isla Bonita” ของมาดอนนาอยู่ในรถ ฟังท่อนที่นางพูดภาษาแปลกหูแต่โรแมนติกเลยถามรุ่นพี่ที่คณะจนได้คำตอบว่าที่นางพูดนั้นเป็นภาษาสเปน เราก็เลยตัดสินใจเลือกเรียน อย่างไรเราก็ละนิสัยขี้เกียจไม่ได้ เรียน ๆ โดด ๆ จนอาจารย์ที่ปรึกษาต้องเรียกไปตักเตือนว่าให้ตั้งใจเรียน มิฉะนั้นจะเรียนไม่จบ ด้วยความกลัวทางบ้านจะเสียใจ เลยขยันขึ้นมาในปีสามและปีสี่จนได้เกรดสูงขึ้นและจบปริญญาตรีภายในสี่ปี ตอนใกล้จบเราบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าเราจะไปเรียนปริญญาเอกที่อเมริกา พอท่านได้ยินก็พากันค้านว่าปริญญาโทก็พอสำหรับการทำธุรกิจ แต่เรายังคงยืนกรานว่าเราอยากเรียนถึงปริญญาเอก ด้วยความรักลูกท่านทั้งสองเลยอนุญาตให้เราเรียน ตอนที่จะมาอเมริกาเรายังไม่ตัดสินใจว่าจะเรียนสายไหน แต่แล้วเหมือนหลอดไฟติดขึ้นในหัวสมองว่าเราเคยอยากเรียนโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ก่อนเข้าจุฬาฯ เราควรจะมาเรียนต่อสาขานั้นแต่มาคิดอีกทีเราไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนั้นเลย ทางมหาวิทยาลัยที่อเมริกาคงไม่รับเราเข้าเรียนแน่ ๆ เมื่อเราคิดได้เช่นนั้นเราก็เลยปรึกษากับพี่สาวดู โชคดีที่พี่เขามีเพื่อนที่ทำบริษัทประชาสัมพันธ์เขาเลยฝากฝังให้เราฝึกงานที่บริษัทนั้นก่อนที่จะเดินทางมาเรียนต่อ 

ขณะที่เราฝึกงานเป็นช่วงที่เสื้อผ้าแบรนด์เนมจากยุโรปเริ่มที่จะมาเปิดสาขาในประเทศไทยและทางบริษัทที่เราฝึกงานได้รับเลือกเป็นผู้ประสานงานและทำประชาสัมพันธ์ของเหล่าแบรนด์ต่างๆ เราเลยมีโอกาสเข้าร่วมจัดแฟชั่นและจัดหาสื่อโฆษณาจนมีผลงานสะสมไว้เพื่อเป็นหลักฐานสมัครเข้าหลักสูตรปริญญาโท 
 
อย่างที่ได้เกริ่นไว้ในบทความแรกๆว่าเราสอบวัดระดับได้เรียนภาษาอังกฤษในระดับเกือบสูงสุด ช่วงนั้นทางโรงเรียนสอนภาษาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Boston University สนับสนุนให้นักเรียนที่มีทักษะภาษาอังกฤษในระดับสูงให้ไปลองสมัครเรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้หนึ่งวิชาในตอนบ่าย แต่มีเงื่อนไขที่ว่าวิชาที่เลือกเรียนในช่วงที่เรียนภาษานั้นจะไม่นับหน่วยกิต เราเลยเลือกเรียนถ่ายภาพเพราะเป็นวิชาที่เราอยากเรียนอยู่แล้ว ตอนที่เราไปเรียนถ่ายภาพเราได้รู้จักกับนักเรียนคนไทยชื่อแพร์ซึ่งกำลังเรียนโฆษณาที่ College of Communication ที่มหาวิทยาลัยแห่งนั้น 

แพร์ได้แนะนำให้เราไปคุยกับฝ่ายรับนักเรียนปริญญาโทโดยตรง เพื่อที่เขาจะได้ทำความรู้จักกับเราและรู้ถึงความจำนงที่เราจะสมัครเข้าหลักสูตรปริญญาโทของคณะเขา แพร์บอกว่าการเข้าไปพบเป็นการส่วนตัวจะเอื้อให้เขาตัดสินใจรับเราได้มากกว่าถ้าเราแค่สมัครผ่านไปรษณีย์ เราเห็นด้วยกับคำแนะนำของแพร์ เราจึงนัดคุยกับหัวหน้าแผนกรับนักเรียนปริญญาโท เมื่อเขาเห็นว่าเราใช้พูดอังกฤษรู้เรื่อง เขาก็ให้เราสมัครอย่างเป็นทางการพร้อมกับลงเรียนวิชาระดับปริญญาโทสองตัวเพื่อแสดงความสามารถควบไปกับการเรียนภาษาเพื่อรักษาสถานภาพนักเรียนเต็มเวลาตามที่ทางกฎหมายสหรัฐฯได้บัญญัติไว้สำหรับนักเรียนต่างชาติ ถ้าหากว่าเราได้เกรดของสองวิชานั้นไม่ต่ำกว่าบี โอกาสที่เขาจะรับเราเข้าโปรแกรมก็จะสูงขึ้น 

รู้หรือไม่? ป้าย ‘Hollywood’ ที่มีชื่อเสียงระดับโลก จริง ๆ แล้วคือป้ายโครงการบ้านจัดสรร!!

เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 66 ผู้ใช้งานติ๊กต็อก ชื่อ ‘englishworld_jason’ ได้โพสต์วิดีโออธิบายเกี่ยวกับป้าย ‘Hollywood’ ที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก โดยระบุว่า…

ป้าย ‘Hollywood’ ที่มีชื่อเสียงระดับโลกแห่งนี้ แท้จริงแล้วมันคือ ป้ายสำหรับ ‘โครงการบ้านจัดสรร’ นอกจากนี้ เดิมทีป้ายนี้ไม่ได้มีชื่อว่า ‘Hollywood’ แต่มีชื่อว่า ‘Hollywoodland’ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2466 โดยในตอนแรกตั้งใจจะติดป้ายนี้ไว้ประมาณปีครึ่งแล้วคอยเอาออก แต่หลังจากที่ทางการของเมืองลอสแอนเจลิสได้ทำการซื้อไป และป้ายก็ได้กลายเป็นสัญญาลักษณ์ของเมืองนี้ไปแล้ว

ดังนั้น ป้าย Hollywood จึงยังคงติดตั้งอยู่ และเอาคำว่า ‘Land’ ออก เหลือแค่คำว่า ‘Hollywood’ ไว้อย่างที่ทุกคนได้เห็นในปัจจุบันนี้นั่นเอง


ที่มา : https://vt.tiktok.com/ZS8pQBjKa/

‘นักวิเคราะห์’ ชี้!! ซื้อหุ้นเทคโนโลยีตอนนี้ดีหรือไม่ หลังกระแส AI อาจจะช่วยดันหุ้นเทคได้มากขึ้น

(1 เม.ย.66) World Maker เผยว่า ท่ามกลางกระแสข่าวร้ายของภาคธนาคารที่โหมกระหน่ำตลาดไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังแทบไม่สะทกสะท้านและดีดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ในไตรมาส 1 ของปี 2023 นี้ Nasdaq100 ซึ่งเป็นดัชนีรวมของกลุ่มเทคโนโลยีเด่น ๆ ปรับตัวสูงขึ้น +17% ขณะที่หุ้นเทคฯ ยักษ์ใหญ่หลายตัวดีดขึ้นมาจากจุด Low มากกว่า +50% เลยทีเดียว!

การดีดขึ้น +17% ของ Nasdaq ในช่วง 1 ไตรมาสถือว่าทำสถิติได้ดีที่สุดในรอบ 20 ปี ซึ่งสิ่งที่นักลงทุนหลายคนคิดว่าเป็นแรงหนุนสำคัญก็คือเรื่องของ Generative AI อย่าง ChatGPT รวมถึงท่าทีของ FED ที่ผ่อนคลายลงบ้างในเรื่องดอกเบี้ย

โดยหุ้นกลุ่มเทคพุ่งขึ้นท่ามกลางวิกฤต Bank Run และความเชื่อมั่นที่ลดลงของภาคธนาคาร ในขณะที่ FED ปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งล่าสุด +0.25% และแม้ว่า Jerome Powell จะกล่าวว่า FED อาจขึ้นดอกเบี้ยต่อไปอีก แต่การปรับขึ้น +0.25% นั้นดูผ่อนคลายกว่าท่าทีก่อนหน้านี้ที่ FED กล่าวว่าอาจกระชับดอกเบี้ยให้เร็วขึ้นอีก (ทำให้ก่อนเกิด Bank Run มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยคาดว่า FED มีโอกาสกลับไปขึ้นดอกเบี้ย +0.5%)

นักวิเคราะห์บางคนชี้ว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมักจะมีความอ่อนไหวด้านความเคลื่อนไหวของราคาต่อการประกาศดอกเบี้ยของ FED ดังนั้น ในช่วงที่ FED ขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วจึงทำให้หุ้นเทคฯ หลายตัวร่วงลงจนมีมูลค่าน่าดึงดูดใจ ดังนั้นเมื่อเกิดวิกฤต Bank Run และนักลงทุนจำนวนไม่น้อยคาดว่า FED จะชะลอหรือลดดอกเบี้ย จึงมีกระแสเงินไหลกลับเข้าไปในหุ้นเทค

อีกเหตุผลที่นักวิเคราะห์กล่าวคือ ก่อนหน้านี้ในช่วงปลายปี 2022 หุ้นเทคได้ถูกจัดอยู่ในโซนมีการขายมากเกินไป (Oversold) และความเชื่อมั่นของหุ้นเทคได้ปรับตัวสูงขึ้นในปีนี้ พร้อมกับข่าวปลดพนักงานจำนวนมากที่หลายคนมองว่าจะทำให้หุ้นเทคมีผลกำไรดีขึ้น

เมื่อเหตุผลตามหลักเศรษฐศาสตร์เหล่านี้มารวมกัน มันจึงกลายเป็นสิ่งที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์มองว่าไม่น่าแปลกใจที่หุ้นเทคโนโลยีสามารถดีดขึ้นได้ท่ามกลางวิกฤตธนาคาร

นอกจากนี้ บริษัทเทคโนโลยียังดูดีกว่าในเรื่องของความสามารถในการทำกำไรท่ามกลางภาวะดอกเบี้ยสูง แต่มีสัดส่วนหนี้ค่อนข้างต่ำ พร้อมกับงบดุลที่แข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่น ๆ โดยเฉพาะธนาคาร และยังถือเป็นผู้ได้รับประโยชน์จาก Megatrend ของโลกที่จะเปลี่ยนไปสู่ Digital Economy มากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต ทำให้หลายคนมองว่าเทคโนโลยีอาจเป็นจุดที่สดใสของตลาดได้ต่อไป?

อย่างไรก็ตาม บางคนไม่ได้มองเช่นนั้น โดยกล่าวว่านักลงทุนกำลังตัดสินใจผิดที่มองว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสามารถเป็นที่หลบภัยได้ท่ามกลางสภาพตลาดในตอนนี้ เนื่องจากบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในการเติบโต แต่ปัจจัยดังกล่าวกำลังเสื่อมถอยลง และอนาคตก็ไม่แน่นอน เนื่องจาก Demand เริ่มอ่อนตัวในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว

คนกลุ่มนี้มองว่านี่อาจเป็นสาเหตุที่บริษัทเทคกำลังเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก เพราะบริษัทตระหนักว่าไม่สามารถเพิ่มรายได้ในการดำเนินธุรกิจ จึงต้องลดค่าใช้จ่ายลง แตกต่างจากกลุ่มแรกที่มองว่าการลดพนักงานจะยิ่งส่งผลให้กำไรสูงขึ้น (ซึ่งก็มีโอกาสเป็นไปได้จริง ๆ แต่ก็อาจไม่ใช่เรื่องดี?)
 

 3 ปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญต่อหุ้นเทคโนโลยีนั้นถูกมองไว้ดังนี้...

1.) ความสามารถในการทำกำไร
2.) สภาพคล่องในตลาด (เช่นการ QE และ QT ของ FED) และดอกเบี้ย
3.) การประเมินมูลค่าหุ้น

ดังนั้น แม้ว่าปัจจุบันหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะดูน่าดึงดูดในสายตาของหลายคน แต่พร้อมกันนี้ก็อาจมีความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ซึ่งอาจส่งผลเชิงลบได้ในอนาคต นั่นหมายความว่าเราไม่ควรประมาทหรือ Bias มากเกินไปว่าหุ้นกลุ่มเทคจะพุ่งขึ้นแบบไม่บันยะบันยังท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ เพราะมีความเป็นไปได้เช่นกันที่หุ้นเทคจะเกิดการปรับฐานอีกครั้งในระยะสั้น แม้ว่าจะไม่มีใครการันตีได้ 100% ว่าจะเกิดขึ้นจริงก็ตาม

อนึ่ง ทางด้าน Michael Burry นักลงทุนชื่อดังจาก The Big Short ได้ออกมา Tweet ยอมรับว่า “เขาผิด” ที่ก่อนหน้านี้ออกมาแนะนำให้ ‘นักลงทุนขายหุ้น’ เนื่องจากตลาดปรับตัวสูงขึ้นนับตั้งแต่ที่เขาทวีตข้อความว่า Sell มาจนถึง ณ วินาทีนี้

โดยรวมแล้ว สถานการณ์ของหุ้นในปัจจุบันดูยืดหยุ่นว่าตลาดตราสารหนี้ซึ่งผันผวนอย่างมากในแต่ละวัน แต่หลังจากจบไตรมาสนี้ไปจนถึงท้ายปี เราก็คงต้องมาลุ้นกันว่าตลาดหุ้นจะยังคงความยืดหยุ่นและทนทานต่อแรงกดดันด้านเศรษฐกิจต่อไปได้อีกหรือไม่?

ไม่มีใครปฏิเสธว่ามีโอกาสที่หุ้นเทคฯ จะพุ่งได้อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่มีใครรู้เช่นกันว่าจะมีการปรับฐานหรือไม่ ดังนั้นสำหรับคำถามที่ว่าเราควรซื้อหุ้นเทคในตอนนี้หรือไม่นั้น คงไม่มีใครให้คำตอบกับเราได้ดีเท่ากับตัวเราเอง ซึ่งเราก็ควรชั่งน้ำหนักและตัดสินใจเอาระหว่างความเสี่ยงกับโอกาสในระยะยาว ว่าควรลงทุนหรือไม่ควร แล้วถ้าลงจะลงมากน้อยแค่ไหนเพื่อไม่ให้เสี่ยงเกินไป?

พร้อมกันนี้ Janet Yellen ออกมากล่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ยังมีงานต้องทำอีกมากในการยกระดับกฏระเบียบการกำกับดูแลระบบการเงินของประเทศ หลังจากการล้มของ SVB, Silvergate และ Signature Bank แสดงให้เห็นว่ากฏระเบียบในปัจจุบันยังเข้มงวดไม่เพียงพอ โดยเฉพาะกับธนาคารขาดเล็ก-กลางที่มีกฏหมายยกเว้นให้ไม่ต้องทดสอบความเครียดเหมือนกับธนาคารใหญ่ ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิด Bank Run ขึ้นมา

คำกล่าวของ Yellen เกิดขึ้นในขณะที่ทำเนียบขาวกำลังเร่งให้หน่วยงานกำกับดูแลภาคธนาคารมีการกำหนดกฏเกณฑ์ใหม่ โดยเฉพาะด้านการทำ Stress Test ที่เข้มงวดขึ้นโดยใช้มาตรฐานเดียวกันไม่ว่าจะเป็นธนาคารและสถาบันการเงินขนาดเล็กไปจนถึงยักษ์ใหญ่

แน่นอนว่า เมื่อใดก็ตามที่ธนาคารล้มเหลว จะทำให้เกิดความกังวลอย่างมาก ซึ่งข้อกำหนดด้านกฎระเบียบก็ได้รับการผ่อนปรนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา (ในยุคของทรัมป์) ดังนั้นเมื่อเปลี่ยนทีมบริหาร จึงน่าจะถึงเวลาแล้วที่สหรัฐฯ จะประเมินผลกระทบของการผ่อนคลายกฎระเบียบ และดำเนินการกระชับการสอดส่องดูแลเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top